ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วันนี้สำหรับคออภินิหารสายฤทธิ์ หากเจอที่ไหนเก็บไว้เด้อ..


    พระเครื่องดีที่เข้าเป้า “ดีเกินราคา” อีกรุ่นหนึ่ง พระปิดตาและพระสมเด็จวัดอโศการาม ปี 2502
    เมื่อพูดถึงวัดอโศการามเป็นอันต้องระลึกถึงหลวงพ่อลี และภาพพระเครื่อง 25 ศตวรรษของท่านก็แจ่มกระจ่างในจอสมอง แตพระปิดตารุ่นนี้ไม่ใช่ 25 ศตวรรษของวัดอโศการามแต่อย่างใด

    [​IMG]

    [​IMG]


    ผู้สร้างพระปิดตาชุดนี้คือ เจ้าคุณแดง หรือ พระสุธรรมคณาจารย์ (สมณศักดิ์ขณะนั้น) เพื่อนำไปแจกจ่ายแก่มวลศิษย์ในจังหวัดกาฬสินธุ์ ดังนั้นชาวกาฬสินธุ์ควรจะเป็นผู้ที่รู้จักพระปิดตาชุดนี้ว่าดีอย่างไรเกิน กว่าคนอื่น
    คนอื่นที่ว่านั้นได้รวมเอาผมไว้ด้วยคนหนึ่ง

    เดิมผมไม่รู้จักหรอกครับว่าพระปิดตารุ่นนี้มีปูมหลังอย่างไร ผมได้พระปิดตาองค์นี้มาในคราวสร้างพระเครื่องถวายหลวงพ่อใหญ่ วัดตาเต็น จังหวัดสุรินทร์ ท่านเอาพระปิดตาองค์นี้ให้ผมเพื่อเป็นตัวอย่างว่าให้สร้างเป็นพระเครื่อง ฟอร์มนี้ คือ เป็นรูปหยดน้ำ ผมก็เลยยึดพระปิดตาองค์นี้ไว้ โดยที่ไม่ทราบว่าเป็นพระอะไร แต่เชื่อในเครดิตของหลวงพ่อใหญ่ ลงท่านเก็บพระนี้ไว้กับตัวตั้งนาน เป็นอันเชื่อได้สนิทหัวใจว่าพระดีแน่
    ต่อมาเพื่อนผมได้เห็นเข้าก็เอะอะว่าพระปิดตาองค์นี้เขารู้จักดี เป็นพระที่ค่อนข้างจะหายากสักหน่อยไม่ค่อยพบเห็น แต่ถ้าพบเห็นแล้วใครๆ ไม่ใคร่รู้จักกัน ราคาไม่แพงอีกต่างหาก
    ในที่สุดเขาได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับพระปิดตารุ่นนี้แก่ผมมาทั้งหมด เห็นรายละเอียดและข้อเท็จจริงของพระปิดตาอโศการามแล้วจะอดใจไม่เล่าให้ผู้ อ่านฟังยังไงไหว
    ผู้แกะพิมพ์พระปิดตาองค์นี้ คือ หลวงตาเสริม อนุตโร วัดชายหาด จังหวัดจันทบุรี รูปแบบของพระปิดตาจะว่าสวยก็ไม่ใช่ ไม่สวยก็ไม่เชิง แต่แปลกตาดี เรียกว่าเป็นฝีมือช่างอย่างชาวบ้านก็ได้ ไม่วิจิตรพิสดารอย่างมือช่างหลวง
    หลวงตาเสริมเป็นเพียงผู้แกะพิมพ์ ไม่ใช่ผู้ริเริ่มสร้าง ซึ่งผู้สร้างคือ หลวงพ่อแดง ธรรมรักขิตโต หรือ พระสุธรรมคณาจารย์ ท่านเป็นสหายของหลวงพ่อลี สร้างแล้วก็ทำพิธีพุทธาภิเษกในวัดอโศการามนั่นเอง
    พิธีพุทธาภิเษกทำกันสามวันสามคืน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2502 – 29 มกราคม 2502 มีคณาจารย์เข้าร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิต 9 รูป

    เห็นรายชื่อแล้วอย่าตกใจนะครับ

    1. พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาโม วัดป่าสาละวัน โคราช
    2. หลวงพ่อลี วัดอโศการาม
    3. หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดถ้ำขาม สกลนคร
    4. หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม วัดอรัญญวิเวก บ้านข่า นครพนม
    5. หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ วังสพุง เลย
    6. หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง หนองคาย
    7. หลวงปู่สาม อกิญจโน วัดป่าไตรวิเวก สุรินทร์
    8. หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม จ.อุดรธานี
    9. พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ วัดเจติยาคีรีวิหาร(ภูทอก) จ.หนองคาย


    ทั้ง 9 รูปนี้เป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถรทั้งสิ้น เรียกว่าเป็นพระคณาจารย์ฝ่ายกัมมัฏฐานล้วนๆเกือบทุกองค์มรณภาพไปหมดแล้ว คงเหลือเพียงหลวงปู่ชอบและหลวงปู่เทสก์ 2 องค์เท่านั้นที่ยังอยู่เป็นมิ่งมงคลแก่ชาวพุทธในเมืองไทย
    ความจริงไม่แต่จะมีพระปิดตาพิมพ์เดียวเท่านั้นที่ถูกสร้างขึ้นในคราวนั้น แต่ว่ายังมีพระสมเด็จอีกพิมพ์หนึ่งรวมแล้ว 2 พิมพ์ โดยพระสมเด็จนั้นสร้างเป็นจำนวน 6,400 องค์ พระปิดตา 5,470 องค์ จนใจแต่พระสมเด็จไม่มีรูปให้ดู
    พระทั้งสองพิมพ์เนื้อสีดำ โดยทำขึ้นจากผงใบลานเผา ผิวขึ้นเงาเป็นมัน ถ้าหากมีรอยกะเทาะอยู่บ้างจะเห็นเนื้อข้างในหยาบกว่าผิวนอก สีก็จางกว่าผิวดำข้างนอกเล็กน้อย ลักษณะพระถูกแกะพิมพ์ง่ายๆ โดยเดินเส้นนูนเป็นรูปองค์พระเท่านั้น ไม่มีมิติเหมือนพระรุ่นใหม่ๆ เห็นที่ไหนจะจำได้ง่ายๆ เพราะมีลักษณะพิเศษเฉพาะ ตัวที่ไม่เหมือนใคร
    พระรุ่นนี้เคยมีหลงเหลือตกค้างอยู่ที่วัดโพธิยาราม ใกล้ฟาร์มจระเข้สมุทรปราการ ทุกวันนี้ไม่ทราบว่ายังเหลืออยู่อีกหรือไม่ผมไม่ทันได้ไปตรวจสอบดู บางทีผู้อ่านที่สนใจหรือผู้ที่อยู่ใกล้ๆ วัดดังกล่าวจะได้เข้าไปถามไถ่กับเจ้าอาวาสด้วยตนเอง ได้ความอย่างไรจะแจ้งข่าวมาทางผมบ้างก็ได้จะได้ร้องบอกกันต่อไป
    ดูเหมือนท่านเจ้าอาวาสมีชิ่อว่า หลวงพ่อหยด อธิปัญโญ เป็นศิษย์ของหลวงพ่อแดงผู้สร้างพระชุดนี้ โดยตัวหลวงพ่อหยดเองเคยนำพระชุดนี้ออกให้คนบูชาเพื่อหาเงินรายได้สมทบทุน สร้างและบูร
    ณะวัดลัยสิทธิ์ จังหวัดแพร่ เมื่อปี 2526 ยังไงให้ลองสอบถามกับท่านเจ้าอาวาสวัดโพธิยาราม ถ้ายังมีเหลืออยู่ท่านคงอนุญาตให้บูชากันได้
    ใครได้ไว้ถือเป็นโชควาสนาแก่ตนจริงๆ จะบอกให้

    ที่มา คอลัมภ์ “สืบหาพระเครื่องดี” โดย อำพล จากนิตยสารศักดิ์สิทธิ์


     
  2. ชิน9

    ชิน9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +247
    สวัสดีครับทุกท่าน ผมได้โอนเงินบริจาคจำนวน 2,000.-บาท

    12/05/2552 14.53.41น 1702 3612a

    เพื่อเป็นพระบารมี พระปัจจัย น้อมนำบุญกุศลและอนุโมทนาบุญกุศล แก่ คุณพระศรีรัตนตรัย


    ด้วยบุญอุทิศนี้ให้อาม่า,ป๋า,แม่,อาโกว,ชิน9,น้องๆ,หลานๆ,เพื่อนๆ,บริวาร,ผู้มีพระคุณ,ครู,อาจารย์,คนไทยทุกคน,ลูกค้าทุกคน





    ขอเชิญเพื่อนๆมาร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกันนะครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  3. natta_pea

    natta_pea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +1,515
    วันนี้ เวลา 13.05 น. ผมได้โอนเงิน 200.- บาท
    ร่วมทำบุญฯ ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่าน ด้วยครับ
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วันนี้มีพระดีมาให้กราบอีกองค์หนึ่ง นับว่าเป็นพระดีชายกรุง หรือชานเมือง พอเอ่ยชื่อ และวัดให้พี่ใหญ่ฟัง พี่ใหญ่ตอบทันที เฮ้่ย! พระดีนี่หว่าท่านพลิกปิ๊บหนึ่งก็หลุดแล้ว กราบได้ๆ องค์นี้กราบได้ จำได้ว่าในกระทู้นี้เคยแนะนำท่านไปครั้งหนึ่งแล้วแต่จำหน้าไม่ได้ ในวันอาทิตย์นี้เป็นวันทำบุญคล้ายวันเกิดท่าน พ่อแม่ครูอาจารย์สายอีสานมาเพียบ เพิ่งโทร.ถามที่วัดมา เช่นหลวงปู่ท่อน หลวงปู่จันทร์แรม พระอาจารย์คำบ่อ ฯ ท่านคือ ท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาพินิจ หรือหลวงพ่อสนธิ์ อนาลโย แห่งวัดพุทธบูชา ประชาอุทิศ ทุ่งครุ นั่นเอง กะว่าพอจัดกิจกรรมเสร็จจะแวะไปกราบท่านเช่นกัน ที่สำคัญก็คือไปกราบหลวงปู่ท่อน ให้ท่านเสกกระเป๋าสตางค์ให้สักหน่อย ใบเก่าเคยให้ท่านทั้งเสกทั้งลงยันต์ไปแล้ว แต่เสื่อมสภาพ คราวนี้เอาใบใหม่ไป เสกเสร็จท่านจะตบกระเป๋า เอ้า...เงินเต็มกระเป๋า คราวนี้ลองมาดูประวัติท่านเจ้าคุณสนธิ์ดีกว่าครับ (ท่านเจ้าคุณฯ นี่ล่ะ ชอบพระวังหน้า สกุลปัญจสิริอย่างมาก แต่ก่อนผมกับคุณสิทธิพงศ์ในกระทู้ฯ พระวังหน้าฯ ไปกราบท่าน นำพระวังหน้าทั้งหมดให้ท่านเลือก ท่านเลือกพระสกุลปัญจสิริ แล้วบอกว่าให้หามาให้ท่านบ้างก็น่าแปลกทั้่งที่มีพระสกุลอื่นอยู่ในพวงเดียวกันหลายองค์ ส่วนคราวนี้พี่ใหญ่ก็ฝากคำถามให้ผมถามท่านเหมือนกัน)
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>
    </td> <td>
    </td> </tr> <tr> <td valign="top" width="95%"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td valign="top" width="3%">
    </td> <script language="JavaScript"> function showpopup(url) { window.open( url , 'kai' , 'width=400,height=270,left=250,top=250,menu=no,staus=no,resizable=no'); }; </script> <td valign="top" width="97%">

    ท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาพินิจ (สนธิ์ อนาลโย)
    วัดพุทธบูชา แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ
    [​IMG]
    ประวัติพระราชภาวนาพินิจ
    (สนธิ์ อนาลโย)
    ท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาพินิจ (หลวงพ่อสนธิ์ อนาลโย) เป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธบูชา องค์ปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นเจ้าอาวาสรูปที่ 5 นับตั้งแต่สร้างวัดพุทธบูชา มาเมื่อ ปี พ.ศ. 2497 จนถึงปัจจุบันหลวงพ่อเป็นพระปฏิบัติที่มีปฏิปทา น่าเลื่อมใสเป็นที่เคารพบูชาของญาติโยม พุทธศาสนิกชน และศิษยานุศิษย์โดยทั่วกัน

    ในวัยเยาว์ (ปฐมวัย)
    ท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาพินิจ เกิดวันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2477
    ที่บ้านโนนชาติ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดอุบลราชธานี (ซึ่งปัจจุบันอยู่ในจังหวัดยโสธร) มีบิดาชื่อ นายเป คำมั่น มารดาชื่อ นางกัน คำมั่น มีอาชีพทำนา หลวงพ่อมีพี่น้องทั้งหมด 6 คน ท่านเป็นบุตรคนที่สอง ชื่อเดิมของท่านชื่อ “สุเต” แต่เนื่องจากมีบุคลิกเป็นคนช่างสังเกต เห็นผู้ใหญ่ทำอะไร ชอบสนใจเดินไปดูอยู่นานๆ เลยได้รับการเรียกชื่อใหม่ว่า “สนธิ์”

    เด็ก ชายสนธิ์ คำมั่น เรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 จากโรงเรียนวัดบ้านสร้างมิ่ง แม้จะอยู่ในวัยเด็ก แต่ท่านก็มีนิสัยรักสงบ เชื่อฟังบิดา-มารดา กลัวบาป ท่านมีความรู้สึกที่แตกต่างจากเด็กรุ่นเดียวกัน ชอบเล่นบิณฑบาต ชอบใส่บาตรกับโยมแม่ และถ้าวันใดโยมแม่พาไปใส่บาตรด้วย จะมีความสุขเป็นพิเศษ เวลาเห็นพระภิกษุแล้วรู้สึกสบายใจ มีความคิดอยากจะบวช และปรารภอยากไปอยู่วัด แต่โยมแม่ไม่ยอมให้ไป ตอนอายุ 11 ปี ออกจากโรงเรียน โยมแม่ก็ยังไม่ยอมให้บวช ท่านเคยออกจากบ้านจะไปอยู่วัด แต่โยมแม่ให้ โยมพ่อไปตามตัวกลับบ้าน บอกว่าโยมแม่คิดถึงมาก หลวงพ่อเป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่ง ช่วยโยมพ่อ – โยมแม่ ทำนาตั้งแต่อายุ 9 - 10 ขวบ

    ในช่วงมัชฌิมวัย
    แม้ ในวัยเด็ก หลวงพ่อจะเป็นคนที่กลัวบาป แต่ในวัยหนุ่มก็มี ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตบ้าง เพราะต้องออกไปหาอาหารกิน เหมือนชาวบ้านแถบนั้น เช่น ตีกบ ฆ่าปลา แต่จิตใจของท่านจะมีความรู้สึกละอายต่อบาปอยู่ตลอดเวลา และพยายามหลีกเลี่ยงไม่ฆ่าแกง เป็นความรู้สึกที่ฝังอยู่ในใจตลอดเวลา พออายุได้ 14 ปี โยมแม่เสียชีวิต ท่านมีความรู้สึกว้าเหว่มาก และตอนเป็นหนุ่ม อยากจะเรียนเย็บจักร อยากค้าขาย แต่โยมพ่อไม่ยอมให้เรียน เคยซื้อข้าวไปขายได้เงิน 20 บาท รู้สึกดีใจมาก เคยซื้อครั่งไปขาย เคยซื้อไก่ และไข่ไปขาย แต่ขาดทุน
    ตอนอายุ 18 ปี ท่านเจ้าคุณสุทธิสาร พาไปจังหวัดสกลนคร เพื่อเปิดหูเปิดตา พักที่
    วัดศรีพลเมือง เกิดความผูกพันที่ท่านเจ้าคุณเมตตา เอาผ้ามาห่มคลุมกันยุงให้รู้สึกมีความสุขใจ ต่อจากนั้นได้ไปที่วัดป่าอุดมสมพร (วัดหลวงปู่ฝั้น) ได้เห็นความอัศจรรย์ และนึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง เมื่อท่านเจ้าคุณปรารภว่าอยากจะบวชหรือไม่ เลยตัดสินใจบวชก็บวช ช่วงนั้นท่องมนต์เตรียมบวช และทานข้าวมื้อเดียว ร่างกายซูบผอมลง และหิวข้าวมาก

    ใน ช่วงนั้นบังเอิญมีคนในตลาด ที่มีร้านเย็บจักรมาบวชที่วัด 15 วัน คุยไปคุยมาเลยบอกท่านเจ้าคุณว่าไม่บวชแล้ว จะไปเรียนเย็บจักร โดยไปช่วยเขาทำนา จะได้ไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน พอเย็บจักรเป็น ต้นปี 2497 กลับมาบ้าน ญาติพี่น้องอยากให้เปิดร้าน และไปหาเช่าร้านที่อำเภอให้ และอยากให้พี่น้องมาเรียนด้วย โยมพ่อจะซื้อจักรให้ ก็ตรงตามที่ตั้งใจไว้ แต่ท่านก็ยังมีความคิดอยากจะบวชอยู่ตลอดเวลา และนึกถึงที่แม่สั่งไว้ว่า “จะทำอะไรจะมีครอบครัวก็ให้บวชเสียก่อน ขอให้บวชให้แม่ก่อน”

    เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์
    ความ คิดที่โยมแม่สั่งไว้ อยู่ในใจท่านตลอดเวลา ท่านจึงเดินทางกลับขึ้นไปจังหวัดสกลนคร และบวชที่วัดป่าสุธาวาส เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2497 มี พระมหาทองสุก สุจิตโต เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์กว่า สุมโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาสนธิ์ ขนตยาคโม เป็นพระอนุศาสนาจารย์
    ใน วันบวชพระ รู้สึกอบอุ่น ความรู้สึกเริ่มตั้งแต่ปลงผมแล้ว เอาผมไปทิ้งลงโถส้ม นึกทันทีว่าหมดกันที เมื่อบวชแล้วได้กลับไปที่วัดป่านาภู่ ได้ปฏิบัติเดินจงกรม ภาวนา พิจารณากรรมฐานตามที่พระอุปัชฌาย์บอก รู้สึกมีความสุข
    ตอนที่ท่านบวชใหม่ๆ หิวมาก จนทนไม่ไหว ฉันน้ำก็ปวดท้อง แม่ชีที่วัดเลยบอกว่า
    ถ้าไม่ไหวทำไมไม่สึกเสีย แต่ท่านมีปณิธานแน่วแน่ ตายก็ตายไม่สึก จากนั้นคิดจะไปอยู่กับหลวงปู่ฝั้น ที่วัดถ้ำขาม หลวงปู่เห็นว่าร่างกายผอม และบอกว่าพระรูปหล่ออย่างนี้ผีเอาไปกินหมด แต่เมื่อพระพาขึ้นไปกราบหลวงปู่ หลวงปู่พูดดีมาก ประทับใจ “ที่นี่เป็นป่า และยังรกกลัวไม่สบาย ให้ออกพรรษาก่อน แล้วค่อยไป” แต่พอออกพรรษาก็ไม่ได้ไป ต้องช่วยอุปัชฌาย์ทำงาน และปฏิบัติต่ออุปัชฌาย์ ซึ่งอุปัชฌาย์ก็เล่าเรื่องต่างๆ ขณะถวายนวด เช่น เรื่องพระอาจารย์มั่น เรื่องไปธุดงค์ วันหนึ่งในขณะที่ถวายนวด มีหนูวิ่งเสียงดัง ท่านจึงเคาะข้างฝา หนูหยุดวิ่ง แล้วท่านก็บอกว่าหนูด่าท่าน ท่านกลัวหนูบาป ยังสงสัยว่าท่านรู้ได้อย่างไร

    ใน ปี พ.ศ. 2498 พระคู่สวดคือ พระอาจารย์กว่า ไม่มีใครอุปัฏฐาก เลยต้องกลับไปดูแลปฏิบัติท่าน และจะมาเรียนหนังสือที่วัดสุธาวาส ต่อ วันแรกที่ไปอยู่วัด ในฝันได้ต่อสู้กับผีเจ้าของที่ ที่ไม่ยอมให้อยู่ ล้มลุกคลุกคลานจนผียอม ตื่นขึ้นมายังเหนื่อยหอบอยู่ หลังจากนั้นเลยทำความเพียรยิ่งใหญ่ นึกถึงพระคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และทำความเพียรเป็นพิเศษ จิตสงบสบาย จิตใจมีแต่ความเมตตา หลวงพ่อเล่าว่าเห็นอะไรก็อยากจะเทศน์ให้ฟัง เห็นมด ก็อยากจะจับมดมาเทศน์ให้ฟัง เห็นอะไรทุกข์ยาก ก็อยากจะเทศน์โปรดไปหมด จิตใจเปี่ยมไปด้วยความเมตตาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    หลวงพ่อไปปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่เทสก์
    หลวงพ่อจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าสุธาวาส และในช่วงพรรษาที่สอง ได้ไปอยู่ที่วัดป่านาภู่อำเภอพรรณานิคม บังเอิญหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ท่านอยู่ที่ภูเก็ต ท่านได้ขึ้นไปจังหวัดสกลนคร ไปพักที่วัดป่าสุธาวาส ท่านสถิตย์ บุญญารักษ์ ได้ให้คนไปตามหลวงพ่อ ให้ไปหาที่วัดป่าสุธาวาส หลวงปู่เทสก์ ก็เลยพาหลวงพ่อไปอยู่ภูเก็ต เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2499 (ซึ่งบางท่านก็บอกว่าหลวงปู่เทสก์ จะเอาพระไปทิ้ง แต่หลวงพ่อก็ค้านอยู่ในใจ) หลวงพ่อได้อยู่ปฏิบัติรับใช้หลวงปู่เทสก์ อย่างใกล้ชิดกับท่านตลอด โดยท่านให้หลวงพ่ออยู่กุฏิเดียวกับท่าน สงสัยอะไรก็ถามได้
    หลวงปู่เทสก์เล่าเรื่องท่านพระอาจารย์มั่นให้ฟัง เพราะท่านอยู่กับพระอาจารย์มั่นมา เล่าถึงการปฏิบัติให้ฟัง ในขณะนั้นหลวงพ่อมีจิตใจที่เพลินมาก ชื่นชมในปฏิปทาของครูบาอาจารย์ในช่วงที่หลวงพ่ออยู่กับหลวงปู่เทสก์นั้น ได้ปฏิบัติต่อหลวงปู่อย่างสม่ำเสมอ หลังจากถวายนวดเส้นแล้ว ก็จะออกมาปฏิบัติเดินจงกรมก่อนที่จะพักผ่อน, หลวงพ่อเล่าว่า ตอนเข้าพรรษา หลวงปู่
    ปรารถว่าใครจะถือธุดงค์ข้อไหน ก็ให้ตั้งใจปฏิบัติ หลวงปู่บอกกับหลวงพ่อว่า “สนธิ์ ปีนี้เราถือธุดงค์บิณฑบาตกัน” ได้ถึงฉัน ไม่ได้ไม่ฉัน

    วัน แรก ที่บิณฑบาต แทบไม่ได้อะไรเลย ได้ข้าวเหนียว และข้าวเจ้านิดหน่อย เพราะชาวบ้านไม่รู้ว่าพระถือธุดงค์ มีวันหนึ่งฉันน้อย และเพลียมาก เผลอหลับไปทั้งๆ ที่ขายังห้อยอยู่ข้างเตียง และไม่ได้กางมุ้ง โดยตั้งใจจะเอนหลัง แล้วจะไปเดินจงกรมต่อ แต่เผลอหลับไป
    หลวงปู่เทสก์ ได้ออกมาถามว่าทำไมไม่กางมุ้ง ตอนนั้นหลวงพ่อรู้สึกอายท่านมาก เลยทำความเพียรเดินจงกรมต่อทั้งๆ ที่เพลีย และเกิดความสงสัยว่า หลวงปู่รู้ได้อย่างไร เพราะโดยปกติท่านจะไม่เคยเดินออกมาเลย วันนั้นท่านออกมาบอกให้กางมุ้งได้อย่างไร แสดงว่าท่านรู้จริงๆ หลวงพ่อเลยเกิดความรู้สึกว่า อยากเป็นพระอรหันต์บ้าง หลวงพ่อได้เร่งปฏิบัติทำความเพียรเป็นประจำ และได้ขึ้นไปเดินจงกรม ไปนั่งภาวนาบนภูเขาด้วย


    หลวงพ่อเรียนพระปริยัติธรรม
    หลวงพ่อมาอยู่วัดพุทธบูชา
    หลวง พ่อเล่าว่า ความคิดที่อยากจะไปอยู่กรุงเทพฯ เพราะหลวงพ่ออายุยังน้อย อยากจะเรียนบาลี จึงกราบเรียนหลวงปู่เทสก์ ซึ่งท่านก็ไม่คัดค้านแต่ก็ไม่เห็นด้วย ท่านกลัวจะสึก ท่านบอกว่าท่านส่งพระ-เณรเข้ากรุงเทพฯ ก็มาสึกกันทั้งนั้น หลวงพ่อก็อ้อนวอนอยู่หลายครั้งหลายคราว จนถึงเดือน 4 ปี พ.ศ. 2500 หลวงปู่เทสก์ ก็เลยตกลงลองดู ท่านเห็นว่าหลวงพ่อควรมาเรียนบาลี ก็เลยส่งมากรุงเทพฯ ตอนนั้นหลวงพ่อจบนักธรรมโท จึงมาเรียนต่อนักธรรมเอก และเรียนเปรียญด้วย
    ท่านพระอาจารย์วัน อุตตโม เป็นผู้ฝากให้หลวงพ่อมาอยู่ที่วัดพุทธบูชา ที่บางมด
    ฝั่งธนบุรี เพราะเป็นสาขาของวัดบวรนิเวศวิหาร หลวงพ่อเดินทางมาเดือน 4 แล้ว จะท่อง
    สวดมนต์ก็ไม่ทัน ยังเข้าอยู่วัดบวรนิเวศวิหารไม่ได้ ในขณะนั้น หลวงพ่อมาอยู่วัดพุทธบูชา เป็นเวลาถึง 8 ปี ช่วงนั้นการเดินทางลำบาก ซึ่งหลวงปู่เทสก์ ก็ได้บอกว่า ถ้าไม่สะดวก ก็ให้กลับภูเก็ต แต่หลวงพ่อก็ตั้งใจแล้วว่าจะต้องเรียน ในปี พ.ศ. 2508 หลวงพ่อได้มาอยู่ที่
    วัดบรมนิวาส ทั้งนี้หลวงพ่อเล่าถึงความหลังให้ฟังว่า “ที่วัดพุทธบูชาในขณะนั้น บิณฑบาตลำบาก จะบิณฑบาตแต่ละครั้งก็ยาก ต้องลุยโคลนลุยเลนลำบากมาก และคิดว่าถ้าจะกลับไปภูเก็ต ก็กลัวเสียชื่อลูกผู้ชาย เกิดมีมานะขึ้นมา ถ้าอย่างไรก็เรียนก่อนเถอะ ได้ตั้งใจมาแล้วต้องอดทนอยู่ต่อไป” แล้วค่อยไปอยู่วัดบวรนิเวศวิหาร ภายหลังหลวงพ่อสอบนักธรรมเอกได้ แต่ยังสอบเปรียญไม่ได้ หลวงพ่อตั้งใจว่าถ้าจะกลับไปหาหลวงปู่เทสก์ ก็ให้เขาเรียกเราว่า “มหา” ก่อน แต่ครั้นจะอยู่วัดพุทธบูชาต่อไป ก็ไม่สะดวก อยากจะเปลี่ยนบรรยากาศดูบ้าง
    ท่านพระอาจารย์สุวัจน์ ก็พามาฝากให้อยู่ที่วัดบรมนิวาส เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2508


    หลวงพ่อสอนวิปัสสนา
    ก่อน ที่หลวงพ่อจะมาเป็นพระอาจารย์ สอนวิปัสสนากรรมฐาน ในทุกวันนี้ หลวงพ่อเล่าถึงอุปสรรคต่างๆ ให้ฟังว่า หลวงพ่อมาอยู่ที่วัดบรมนิวาส ก็มาสอบเปรียญ 3 ได้ที่วัดนี้ ก่อนหน้านั้นได้พาญาติโยมไปช่วยพระครูสถิตย์ สร้างวัดพรหมวิหาร อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร
    จนโบสถ์เสร็จ ศาลาเสร็จ หลวงพ่อสอบได้เปรียญ 3 เขาเลยตั้งให้เป็นครูสอนนักธรรม เลยไม่ได้เรียนต่อ ทั้งๆ ที่หลวงพ่อได้ไปสมัครเรียนที่วัดบวรนิเวศวิหาร ไปสมัครเสร็จเรียบร้อย ทางสภาการศึกษาวัดบวรนิเวศวิหาร ก็เรียกตัวให้ไปเรียน แต่ผู้ใหญ่ให้ไปเรียนครูสอนธรรม ก็เลยต้องสอนเรื่อยมา

    ส่วน วิปัสสนากรรมฐานนั้น หลวงพ่อเคยดำริมานานแล้ว เห็นว่าญาติโยมทางกรุงเทพฯ นี้ มีความรู้ดี ถ้าปฏิบัติจะสำเร็จได้ง่าย คิดมานานแล้ว ตั้งแต่หลวงพ่อมาอยู่วัดบรมนิวาสใหม่ๆ
    แต่เมื่อไปกราบเรียนเจ้าอาวาส ท่านไม่เห็นด้วย ตอนนั้นพระอาจารย์วัน อุตตโม ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ยังอยู่เลย หลวงพ่อได้กราบเรียนปรึกษาท่านเหล่านั้น ท่านก็เห็นด้วย บอกว่า “คนกรุงเทพฯ นี่มีความรู้มีอะไรดีๆ ถ้าปฏิบัติถูกต้อง จะทำได้ดี” ท่านผู้ใหญ่เห็นด้วยทุกองค์ แต่ก็ยังไม่ได้ดำเนินการ เพราะท่านเจ้าอาวาสท่านไม่เห็นด้วยในขณะนั้น


    หลวงพ่ออยากตั้งศูนย์ปฏิบัติกรรมฐาน
    เมื่อ ปี พ.ศ. 2526 หลวงพ่อไปสหรัฐอเมริกา พอกลับมา ความคิดในเรื่องนี้ยังมีอยู่ หลวงพ่อก็ได้มาจัดตั้งการอบรมวิปัสสนากรรมฐานที่ศาลาอุรุพงษ์ ในกลางพรรษา ได้นิมนต์
    ครูบาอาจารย์ให้มาอบรม โดยไปนิมนต์ ท่านเจ้าคุณพระภาวนาพิศาลเถร (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) วัดป่าสาละวัน มาอบรมเป็นองค์แรก ปรากฏว่าคนมาเต็มศาลา นี่เป็นสาเหตุให้หลวงพ่อทำต่อ ก่อนนั้นหลวงพ่อได้ไปกราบเรียนท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาส ท่านไม่เห็นด้วย “ท่านว่าใครจะมา
    จะมีใครมา” แต่พอทำจริงๆ คนมามากมาย ท่านมาเห็นเข้า ท่านก็ว่าดี นับแต่นั้นท่านก็อนุญาตให้ทำเรื่อยมา

    ตอนเริ่มแรกที่ท่านเจ้าคุณภาวนาพิศาลเถร มาอบรมนั้นเพียงแต่เทศน์ให้ฟังเท่านั้น ยังไม่มีการอบรมวิปัสสนากรรมฐาน ยังไม่มีการสอนภาวนา ภายหลังหลวงพ่อก็เลยคิดกับหมู่พวก เช่น พระมหาประกอบ วัดป่ามหาชัย ว่า ถ้าเราทำอย่างนี้ไม่มีการสอนภาวนาญาติโยมคงจะน้อย
    แต่ถ้าเราสอนให้มีการภาวนาอย่างน้อยเราก็ได้ปฏิบัติอยู่ในกุฏิด้วย คงจะดี หลวงพ่อได้ปรารถ
    “ถ้าเราเป็นแกนนำ มากบ้างน้อยบ้างคงไม่เป็นไร คงจะมีคนฟังแล้วคิดอยากปฏิบัติบ้าง” ดังนั้นจึงเริ่มดำเนินการเมื่อปี 2527 ขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิงหาคม ที่กุฏิหลวงพ่อ (กุฏิผ่องดำรงค์) แล้วก็ทำมาจนทุกวันนี้ โดยสอนวิปัสสนากรรมฐานทุกคืน ตั้งแต่เวลา 18:00 น. ถึง 19:00 น.
    มีอุบาสก อุบาสิกา พระ เณร มาภาวนาที่กุฏินี้ทุกคืน ซึ่งขณะที่หลวงพ่ออยู่ที่วัดบรมนิวาสนั้น หลวงพ่อได้รับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส และเป็นผู้อำนวยการศึกษาปริยัติธรรมด้วย


    นิมิตแห่งความเป็นจริงของหลวงพ่อ
    ผ้าขาวมาบอกว่าหลวงพ่อไม่ได้ลาสิขาบท
    เรื่อง ของนิมิตนี้ หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า ท่านได้นิมิตหลายครั้ง ครั้งแรก คืนวันที่หลวงพ่อบวช คือวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2497 อายุ 20 พอดี บวชที่วัดป่าสุธาวาส แล้วไปอยู่อำเภอพรรณนานิคม เพราะเจ้าภาพอยู่ที่นั่น หลวงพ่อได้กลับไปที่วัดป่าโนนภู่ หลังจากนั้นเดินจงกรมแล้วมานั่งสมาธิ ก็ได้นิมิตเห็นผ้าขาวคนหนึ่ง มาบอกว่า “แม่ของท่านที่ตายไปแล้วยังไม่ได้ไปเกิดหรอก เดี๋ยวนี้ก็ยังคอยพ่อท่านอยู่ พ่อท่านก็จะไม่แต่งงานใหม่ แม่ท่านรักพ่อท่านมากจึงยังคอยอยู่” แล้วยังบอกอีกว่า “ตัวท่านนี้เป็นคนมีบุญ ท่านจะไม่ได้สึก จะอยู่ในสมณเพศตลอดไป” ผ้าขาวยังย้ำว่า “ท่านจะไม่ได้สึก จะเป็นครูบาอาจารย์ต่อไปในภายหน้า” พอพูดแค่นั้น หลวงพ่อก็รู้สึกตัว ไม่มีอาการง่วงเลย ยังนึกถึงคำพูดของผ้าขาวที่ว่า พ่อจะไม่ได้แต่งงานใหม่ จะเป็นไปได้หรือ เพราะว่าช่วงนั้นญาติพี่น้องยังเห็นว่าลูกยังเล็กๆ อยู่ อยากให้พ่อแต่งงานใหม่ จะได้มีคนมาเลี้ยงลูก มาช่วยงานบ้าน แต่แล้วพ่อก็ไม่ได้แต่งงานใหม่จริงๆ ซึ่งก็เป็นจริง และโยมพ่อก็เสียเมื่ออายุ 79 ปี โดยไม่ได้แต่งงานใหม่ ส่วนหลวงพ่อนั้น อยู่วัดป่าโนนภู่ อำเภอพรรณนานิคม ได้ไม่ถึง 10 วัน เกิดอยากเรียนนักธรรม ก็กลับไปอยู่วัดป่าสุธาวาสอีกครั้ง ไปช่วยสร้างวัดกับท่านพระครูสถิตย์ ท่านพระอาจารย์อุปัชฌาย์ ก็ไม่ว่ากระไร แล้วในพรรษาที่สองก็ได้กลับไปอยู่วัดป่าโนนภู่ จากนั้นได้ไปอยู่กับหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ที่จังหวัดภูเก็ต มาศึกษาธรรมที่วัดพุทธบูชา วัดบรมนิวาส ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธบูชา จนทุกวันนี้ ไม่ได้สึกตามที่ตั้งใจไว้แต่พรรษาแรกจริงๆ


    หลวงพ่อนิมิตเห็นวัดหินหมากเป้ง
    หลวง พ่อได้เล่าถึงนิมิตต่อว่า ในช่วงที่หลวงพ่อไปอยู่กับท่านหลวงปู่เทสก์ ที่ภูเก็ต คืนขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. 2499 นั้น เกิดนิมิตเห็นผ้าขาวคนหนึ่งรูปร่างใหญ่ สูงโปร่ง อายุประมาณแปดสิบปี เป็นผ้าขาวคนเดิมที่เคยมาหาหลวงพ่อในนิมิต ผ้าขาวบอกว่า “วัดนี้ไม่ใช่วัดท่านหรอก ท่านจะต้องไปอยู่อีกวัดหนึ่ง หลวงพ่อถามว่าที่ไหน ผ้าขาวก็บอกว่า เดี๋ยวผมจะพาไป สถานที่นั้นเคยเป็นวัดเก่าแก่” แล้วผ้าขาวก็พาหลวงพ่อเหาะไปเห็นแม่น้ำ ในแนวตะวันเฉียง
    ผ้าขาวพาเดินดู ซึ่งคืนนั้น เป็นคืนวันเพ็ญเดือนสว่างจ้า เดินตามป่า รู้สึกสวยงามน่ารื่นรมย์
    มีความรู้สึกเป็นสุขจริงๆ ในขณะนั้น พอผ้าขาวพาหลวงพ่อไปดูจนทั่วแล้วก็หายไป หลวงพ่อก็รู้สึกตัว พอรุ่งเช้า หลวงพ่อก็เข้าไปกราบเรียนหลวงปู่เทสก์ว่าลักษณะป่าอย่างนี้ๆ อยู่ริมแม่น้ำ เข้าใจว่าเป็นแม่น้ำโขงแห่งใดแห่งหนึ่ง โดยเล่าเหตุการณ์ในนิมิตให้ท่านฟังอย่างละเอียด แล้วกราบเรียนถามท่านว่า หลวงปู่เคยเห็นมาบ้างไหม หลวงปู่เทสก์ ตอบว่ายังไม่เคยเห็นเลย

    ครั้นปี พ.ศ. 2507 หลวงปู่เทสก์ ออกจากภูเก็ต ขึ้นไปจำพรรษาที่วัดถ้ำขาม จากนั้น ท่านก็ไปอยู่ที่หินหมากเป้ง หลวงพ่อได้ข่าวเช่นนั้น ก็ไปกราบท่าน เลยได้ไปเห็นภูมิประเทศ สถานที่ที่หินหมากเป้งตรงกับนิมิตทุกอย่าง ด้วยช่วงนั้นยังไม่มีอะไร ยังเป็นป่าอยู่ หลวงพ่อมั่นใจว่าใช่แน่ เพราะตะวันเฉียงแม่น้ำโขง ลาดลงมาตามนิมิต หลวงพ่อได้กราบเรียนกับหลวงปู่เทสก์ ว่า “ท่านพระอาจารย์ไม่ได้ไปไหนอีกแล้ว ต้องอยู่ที่นี่ ที่กระผมได้เห็นในนิมิตครั้งนั้น ท่านพระอาจารย์จำได้ไหม” แต่ท่านเป็นผู้ใหญ่ ท่านคงไม่ได้จำ จากนั้นมา ท่านก็ไม่ได้ไปไหนจริงๆ
    มีผู้คนมากมายหลั่งไหลไปกราบนมัสการท่าน ณ. หินหมากเป้งตลอดเวลา


    ผ้าขาวมาบอกว่าอุปัชฌาย์จะมรณภาพ
    พระ อาจารย์อุปัชฌาย์ของหลวงพ่อทำงานหนัก เพราะท่านกำลังสร้างโบสถ์ อยู่มาคืนหนึ่ง ผ้าขาวก็มาปรากฏในนิมิต มาบอกว่า “พระอาจารย์ท่านอายุจะไม่ยืนนะ ให้ท่านไปกราบเรียนอาจารย์ของท่านเสีย ขอนิมนต์ให้ท่านไปบำเพ็ญภาวนาที่อื่นสักระยะ ฉลองโบสถ์เสร็จท่านพระอาจารย์จะมรณภาพ” หลวงพ่อเข้าใจว่าท่านพระอาจารย์อุปัชฌาย์คลุกคลีกับงานมากเกินไป จากนิมิตหลวงพ่อเห็นว่า ชัดเจนอย่างมาก จึงอยากจะไปเตือนท่านให้ไปบำเพ็ญเพียรก่อน เพราะตอนนั้นท่านเหนื่อยมาก อายุจะไม่ยืน
    พอรุ่งเช้า หลวงพ่อก็ไปกราบเรียนท่านพระอาจารย์อุปัชฌาย์ อยากให้ท่านออกไปปฏิบัติภาวนาตามวัดป่าแห่งใดแห่งหนึ่ง พูดตรงๆ แบบลูกศิษย์กับครูบาอาจารย์ ท่านพระอาจารย์อุปัชฌาย์บอกว่า ไปไม่ได้หรอก ถ้าไปงานนี้ก็ไม่เสร็จ เพราะงานสร้างโบสถ์สมัยนั้นไม่มีเงินอย่างทุกวันนี้ ได้อาศัยชาวบ้านเล็กๆ น้อยๆ ขอแรงชาวบ้านทำเองบ้าง ในที่สุดท่านก็ไม่ไป เพราะห่วงงาน หลังจากนั้น ท่านก็สร้างโบสถ์เรื่อยมา หลวงพ่อไปอยู่ภูเก็ต ท่านก็ยังสร้างไม่เสร็จ มาเสร็จเอาตอนหลัง ช่วงนั้นหลวงพ่อมาอยู่วัดบรมนิวาสพอดี ท่านพระอาจารย์อุปัชฌาย์ สร้างโบสถ์เสร็จก็ฉลอง พอฉลองโบสถ์เสร็จท่านก็ล้มป่วย ญาติโยมได้พามารักษาที่โรงพยาบาลศิริราช หลวงพ่อก็ได้ไปปรนนิบัติรับใช้ท่านทุกวัน ท่านคงจะรู้ตัว บอกว่าไม่ไหวแล้ว อยากกลับวัด ต่อมาไม่นานท่านก็มรณภาพ หลวงพ่อได้นึกคำที่ผ้าขาวบอก ซึ่งก็เป็นความจริงทุกอย่าง

    ผ้าขาว อุบาสก อุบาสิกา มาปรากฏให้เห็นตอนภาวนา
    มี ญาติโยมได้กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า จากการที่หลวงพ่อได้ปฏิบัติมา เคยพบเห็นสิ่งแปลกประหลาด หรือนิมิตใดบ้างหรือไม่ หลวงพ่อบอกว่า มีบ้าง อย่างเช่น ตอนอยู่วัดบรมฯ
    วันแรก ขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2526 ที่หลวงพ่อจัดให้มีการอบรมภาวนานั้น หลวงพ่อก็นั่งภาวนาไปด้วย เรื่องนี้จะว่าเป็นนิมิตหรือเป็นอุปาทานก็ไม่ทราบ ในขณะที่หลวงพ่อกำหนดให้ทุกคนนั่งภาวนาสักหนึ่งชั่วโมง หลวงพ่อก็นั่งภาวนาไปสักครึ่งชั่วโมง พอจิตรวมสงบ ปรากฏเห็นมีญาติโยมทั้งหญิงชายนุ่งขาวห่มขาว มาเดินรอบนอกกุฏิอย่างมีระเบียบเป็นแถวเป็นแนว ซึ่งทุกคนไม่พูด ในความรู้สึกนั้น เห็นเขาชะเง้อมองแล้วเดินผ่านไป อีกสักพักก็เดินกลับมาชะเง้อมอง แล้วก็เดินผ่านไปอีก หลวงพ่อก็มานั่งพิจารณาเห็นว่าคงจะเป็นบุพนิมิตอย่างหนึ่ง หรือสัญญา หรือเทพ อาจจะมาร่วมอนุโมทนาด้วยก็เป็นได้ ซึ่งหลวงพ่อได้บอกว่า จากนิมิตแสดงว่าจะมีอุบาสก อุบาสิกา มาปฏิบัติไม่มาก แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ตามที่เห็นในนิมิต หลวงพ่อได้บอกญาติโยมที่ปฏิบัติ ว่าอย่าท้อถอย จะต้องใช้ความอดทน ความพยายามมากต่อไป


    จะไปหาธรรมที่ไหน
    หลวง พ่อได้เล่าถึงผลการปฏิบัติที่ประสบมาว่า หลวงพ่อได้ปฏิบัติอย่างเอกอุมาแล้ว ยังจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันพระขึ้น 15 ค่ำ หลวงพ่อถือว่า เราอยู่กับครูบาอาจารย์ คู่สวด (อาจารย์กว่า) เราได้ปฏิบัติกับท่านแล้ว สมควรจะทำความเพียรส่วนตัวบ้าง ก็นึกถึงครูบาอาจารย์หลายองค์ที่ท่านทำความเพียร อย่างประวัติของท่านพระอาจารย์มั่น ท่านก็ทำจริงๆ จังๆ ทำอย่างไรเราจะทำอย่างท่านบ้าง วันนั้นหลวงพ่อได้เดินจงกรมตั้งแต่เช้าไปถึงเที่ยง ตอนบ่ายมาทำความสะอาดลานวัด คงจะเป็นเวลา 6 โมงเย็น ก็มาเดินจงกรมต่อ เวลานั้นไม่มีนาฬิกาดู ก็คงจะเป็นเวลาดึกอยู่ รู้สึกเพลินก็เดินจงกรมเรื่อยไป ใจสบายเหมือนไม่มีตัวมีตนเบาไปหมด ขณะนั้น พอไปนั่งภาวนาก็เกิดแสงสว่าง คล้ายๆ แสงไฟพุ่งออกกาย สว่างจนเห็นไปหมดแม้แต่มดปลวก เห็นละเอียดชัดเจน
    จะมองไปทางไหนไม่ว่าใกล้ ไม่ว่าไกล เห็นหมด ทั้งๆ ที่หลับตา ก็เลยนึกว่าผลจากการปฏิบัติ เกิดปิติอย่างไม่เคยเช่นนี้เอง แต่พอหลวงพ่อถอนจิตออกจากสมาธิ ลืมตาดู สิ่งนั้นก็ดับไป
    หลวงพ่อเล่าว่าเคยไปธุดงค์ ไปปฏิบัติตามสถานที่ต่างๆ เช่น ไปทางนครพนม เคยเดินจากคำชะอีไปเลิงนกทา ไปที่ภูจ้อก้อ ก็เลยได้ความรู้ว่าธรรมไม่ได้อยู่ที่อื่นไกล ไม่ได้อยู่ที่อื่น ตอนนั้นไปไหนๆ ก็แบกกลด สะพายบาตร เราจะไปหาธรรมที่ไหน ธรรมอยู่ที่ตัวเรานี้ ถ้ารักษากาย รักษาวาจา รักษาใจของเราได้ พระธรรมก็อยู่ที่นี่ พอสิ่งเหล่านี้ดับ คือความโลภ ความโกรธ ความหลงไม่มี สิ่งที่เป็นธรรมล้วนๆ ก็เกิดขึ้นมา

    ใน ช่วงนั้น หลวงพ่อมีความคิดเช่นนี้ ก็รู้สึกเป็นกำลังใจที่จะปฏิบัติต่อไป เห็นอะไรในตอนนั้น ก็อยากจะช่วยเขาให้พ้นทุกข์ไปหมด เกิดความปีติสุขอย่างบอกไม่ถูก ก็เลยมาคิดไว้ว่าความเกิดเป็นทุกข์ ถ้าเราไม่เกิดเราก็ไม่ทุกข์ ถ้าความโกรธ ความโลภ ความหลง ไม่เกิด ก็ไม่มีอะไรเป็นทุกข์

    การปฏิบัติธรรมที่จังหวัดภูเก็ต
    ใน พรรษาที่ 2 ของการบวช ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่จังหวัดภูเก็ตกับหลวงปู่เทสก์ ขณะที่ภาวนาอยู่เกิดความสว่างในจิต รู้สึกว่ามีความสว่างไสวไปหมด และจิตเกิดเมตตาต่อสัตว์ จนคิดอยากจะเทศน์สอนแม้กระทั่งมดตัวน้อยๆ
    การกลับมาปฏิบัติธรรมที่กรุงเทพมหานคร
    ใน ช่วงออกพรรษา ได้ขออนุญาตหลวงปู่เทสก์ ไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ซึ่งในตอนแรกหลวงปู่เทสก์ไม่อนุญาต แต่เมื่อเห็นว่าที่กรุงเทพฯ มีญาติโยมเป็นผู้มีปัญญา จึงได้อนุญาตให้หลวงพ่อมาอยู่ที่กรุงเทพฯ พร้อมกับเขียนจดหมายแนะนำ และมอบเงินจำนวน 20 บาท ให้หลวงพ่อเพื่อเดินทางมากรุงเทพฯ หลวงพ่อได้เดินทางโดยทางเรือ เพื่อมากรุงเทพฯ ขณะอยู่บนเรือ ได้เกิดเหตุการณ์สลดใจ เนื่องจากเห็นนกนางนวล ซึ่งบินอยู่กลางทะเลเหนื่อย และมาเกาะพักที่เสากระโดงเรือ และได้ส่งเสียงร้องดัง จนกระทั่งคนเรือได้ยินเข้า จึงทำการจับนกแล้วปล่อยไปในกลางทะเลนั่นเอง หลวงพ่อได้ห้ามไว้แต่คนเรือไม่ยอมฟัง จึงได้ข้อคิดว่าแม้เกิดเป็นนกบินอยู่กลางทะเล เมื่อเหนื่อยจะหาที่พักก็ไม่ได้ คนเราก็เช่นกันย่อมมีอันตรายอยู่รอบด้าน จึงไม่ควรประมาท เมื่อมาถึงท่าเรือกรุงเทพฯ ได้จ้างแท็กซี่ไปหาหลวงพ่อเพิ่มที่วัดบวรนิเวศน์ หลวงพ่อเพิ่มจึงได้แนะนำให้ไปอยู่วัดพุทธบูชาในปี 2500 ซึ่งในสมัยนั้นจะต้องเดินทางโดยเรือ และบิณฑบาตทางน้ำ
    มี บางครั้งหลวงพ่อเกิดเรือล่มขณะบิณฑบาต ต่อมาเป็นเพราะบารมีหลวงพ่อเพิ่ม ที่ได้ทำการพัฒนาแถบนั้นโดยการตัดถนนเข้าสู่วัด จึงได้เกิดเป็นถนนพุทธบูชาในปัจจุบัน

    หลวงพ่อกับหลวงปู่หล้า
    ใน แต่ละปี เมื่อถึงเทศกาลทอดกฐิน หลวงพ่อมักจะนำลูกศิษย์ไปทอดกฐิน ณ วัดบรรพตคีรี (วัดภูจ้อก้อ) ทุกครั้งที่หลวงปู่หล้า เขมปฺปตฺโต ได้เห็นหลวงพ่อก็มักทักทายอย่างดีใจ และแสดงความเมตตาต่อหลวงพ่อทุกครั้ง


    การเดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกา
    ใน ปี พ.ศ. 2526 หลวงพ่อรับนิมนต์ไปเจริญพระพุทธมนต์ที่รัฐจอร์เจีย จำเป็นต้องต่อเครื่องบินจากเมืองดัลลัส ไปลงที่รัฐเทนเนสซี่ ระหว่างที่เครื่องบินกำลังบินอยู่นั้น เกิดเหตุอากาศแปรปรวน และเครื่องบินเกิดมีปัญหา ทำให้เกิดเครื่องสั่นเป็นพักๆ และโคลงไปมาผู้โดยสาร
    บนเครื่องบินเกิดอาการหวาดกลัวว่าเครื่องบินจะตก หลวงพ่อได้นั่งภาวนาจนจิตนิ่ง จึงกำหนดจิตภาวนา เมื่อจิตสงบนิ่ง รู้สึกว่าจิตนิ่ง และไม่คิดเสียดายชีวิตยอมตาย และรู้สึกว่ากายหายไป ในขณะนั้นได้มีเสียงมากระซิบว่า ไม่ตายๆ เครื่องบินก็เปลี่ยนเส้นทางบินมาลงจอดเพื่อซ่อมเครื่องบินที่รัฐเทนเนสซี่ เดิมถึงเวลา 5 โมงเย็น แต่รอแก้เครื่องยนต์ จนได้นิมิตถึงวัดป่าภูปัง

    คราว หนึ่งหลวงพ่อได้นิมิตว่า หลวงพ่อได้ไปที่หนึ่งซึ่งมีผู้ปฏิบัติธรรมนุ่งขาวห่มขาวแห่งหนึ่ง และมีความยินดีเมื่อหลวงพ่อเดินทางไปถึง และนิมนต์ให้หลวงพ่ออยู่ หลวงพ่อจึงได้จดจำลักษณะของสถานที่แห่งนั้น และได้สอบถามไปยังผู้ที่รู้จักอยู่เสมอ เพื่อที่จะแสวงหาสถานที่แห่งนั้น จนกระทั่งพระอาจารย์ชวน วัดป่าวังน้ำทิพย์ จังหวัดยโสธร ได้เรียนหลวงพ่อถึงเขาแห่งนั้น ในอำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อหลวงพ่อไปถึง เห็นว่าที่แห่งนี้ มีลักษณะตรงตามในนิมิต จึงได้ชักชวนลูกศิษย์ สร้างเป็นวัดป่าภูปัง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 โดยได้ทำการสร้างศาลา 3 ชั้นขึ้นจนสำเร็จ ซึ่งหลวงพ่อได้มอบหมายให้ ดร. ธีรพงษ์ อรรถจารุสิทธิ์ และอาจารย์เจียม เสียงสุคนธ์ และทีมงานให้เป็นผู้ออกแบบ รวมถึงการสร้างศาลาอเนกประสงค์ที่วัดภูหายหลง


    พระพุทธรูปจำลองพระพุทธพิชิตมาร
    วัดบรมนิวาส
    หลัง จากสร้างศาลาเสร็จแล้ว ในปี พ.ศ. 2540 หลวงพ่อจึงได้หล่อรูปจำลองพระพุทธพิชิตมาร ขนาดหน้าตัก 80 นิ้ว โดยจำลองจากพระพุทธพิชิตมาร ซึ่งประดิษฐานอยู่ใน
    ศาลาอุรุพงษ์ วัดบรมนิวาส เพื่อนำไปประดิษฐานที่วัดป่าภูปัง โดยหลวงพ่อได้ดูแลการปั้นหุ่น
    รูปจำลองอย่างใกล้ชิด และได้นิมนต์หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ในการเททอง และหลวงปู่เหรียญ
    วรลาโภ เป็นประธานในการเจริญพระพุทธมนต์ และได้เกิดเหตุมหัศจรรย์ที่มีเหตุฝนตกโปรยปรายลงมาขณะทำการเททอง

    เมื่อหล่อพระเสร็จ และปิดทองพระพุทธรูปแล้วจึงได้ให้โรงหล่ออัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดป่าภูปัง พระพุทธรูปไปถึงก่อนที่หลวงพ่อจะไปถึง และโรงหล่อก็ได้จ้างรถแบ็กโฮในการยกพระพุทธพิชิตมาร ไปประดิษฐานบนสถานที่ชั้น 3 ของศาลา แต่เนื่องจากพระพุทธรูปมีน้ำหนักถึง 2 ตัน หลายคนเกรงว่าการยกจะลำบาก แต่คนขับรถแบ็กโฮกับปรามาสว่าง่ายมาก จึงได้ทำการยกก่อนที่หลวงพ่อจะไปถึง ทำให้เกิดเหตุการณ์ รถแบ็กโฮเสียโดยไม่มีสาเหตุ ไม่สามารถยกได้ ต้องรอหลวงพ่อมาอีก 1 วัน โดยเจ้าของรถแบ็กโฮต้องเอารถคันใหม่มาเปลี่ยน และหลวงพ่อได้ทำพิธีก่อนยก จึงสามารถอันเชิญพระพุทธพิชิตมารไปประดิษฐานในชั้น 3 ของศาลา
    วัดป่าภูปังได้


    การย้ายมาอยู่วัดพุทธบูชาครั้งแรก
    ก่อน ปี 2542 วัดพุทธบูชาว่างเจ้าอาวาส หาผู้ที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสไม่ได้ ทางคณะกรรมการวัดพุทธบูชาจึงมาขอความเมตตาจากหลวงพ่อให้รับเป็นเจ้าอาวาส แต่พระพรหมมุนี (บู่ สุจิณโณ) อยากให้หลวงพ่อเป็นผู้ช่วยของท่าน ทางด้านการศึกษาจึงได้คัดค้าน แต่เมื่อพระธรรมกวีเจ้าคณะกรุงเทพฯ มาขอจึงได้ยินยอมให้หลวงพ่อมาเป็นเจ้าอาวาส ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2542

    ที่มา : คุณ Ebi สมาชิกเว็บลานธรรม (larndham.net)


    ลืมบอกไป ข้างกุฏิท่านมีตู้พระเครื่องของทางวัดให้เช่าด้วย ท่านผู้อธิษฐานก็ท่านอาจารย์ใหญ่สายวิปัสสนาจารย์ทั้งนั้น ราคาไม่แพงด้วย ลองเช่าหาดูได้ ที่สำคัญก็คือพ่อแม่ครูอาจารย์ที่มาในงานมักจะล้วงของดีที่ติดมาในย่ามแจกให้ผู้ที่มาในงานนี้อย่างจุใจรับกับมือท่านเอง หายห่วง แท้แน่นอนครับ งานนี้อาหารการกินทุกอย่างกินฟรีครับ มีลูกศิษย์ท่านมาออกร้านเยอะ แต่ที่จอดรถก็น้อย หากเป็นไปได้ ควรไปช่วงสัก 10 โมง ก็จะพอมีที่บ้างครับ
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2009
  6. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    ชนะอารมณ์


    [​IMG]


    พวกเราทั้งหลายพากันเกลียดกลัวความทุกข์ ซึ่งเก็บอัดไว้ข้างในใจ เหตุเพราะการไม่รู้จักระวังอารมณ์ อารมณ์คือมาร อารมณ์คือบ่วงแห่งมาร เมื่อไม่ระวังผลที่ออกมาคือความทุกข์

    อารมณ์เป็นของที่เกิดขึ้นภายนอก ตาทำหน้าที่มอง หูทำหน้าที่ฟัง จมูกทำหน้าที่ดมกลิ่น ลิ้นทำหน้าที่รับรส แต่ตา หู จมูก ลิ้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อได้รับรส รับการสัมผัส รับการดมกลิ่น มันไม่ได้คงอยู่ต่อไปตลอดกาลตลอดสมัย ยกเว้นแต่เราเอาตัวของเรา คือจิตหรือใจของเราไปผูกกับสิ่งเหล่านั้นไว้ เสียงที่พูดความจริงก็ดี ไม่จริงก็ดี ที่ถูกใจก็ดี ไม่ถูกใจก็ดี กิริยาอาการท่าทางที่ชอบใจก็ดี ไม่ชอบใจก็ดี ความจริงกิริยาก็คือกิริยา คำพูดก็คือคำพูด มันจะทำให้เกิดความสุขความทุกข์ไม่ได้ ถ้าไม่เอาใจเข้าไปยึดไว้ เพราะคำพูดหลุดออกมาจากปาก ได้ยินแล้วก็หายไป ให้มาพูดกรอกหูเข้าหูซ้าย ถ้าคนไม่สนใจจำมันก็ออกหูขวา แต่ถ้าเราสนใจที่จะจำคือสนใจในคำพูดเหล่านั้น เราเอาใจไปเปิดรอรับคำพูด เหมือนเราเอาถุงพลาสติกเปล่าๆไปอ้ารอให้ลมมันเข้า เสร็จแล้วก็ปิดปากถุง สุดท้ายเมื่อลมมันเข้าไปในถุงแล้ว อะไรเกิดขึ้น! ความอึดอัดขัดเคือง รำคาญ ของผู้เป็นเจ้าของถุงนั้นก็เกิด ความหนักที่ต้องแบกในสภาวะที่ลมมันเข้าก็เกิด ถ้าอย่างนั้นคนฉลาดรู้ตัวว่าลมพัดผ่านมา ก็อย่าไปเปิดถุงอ้ารับลม พูดง่ายๆอย่าไปสนใจในอารมณ์ต่างๆที่คนอื่นทำให้เราต้องเกิดอารมณ์ และตัวเราเองอย่าปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์แห่งความชอบใจไม่ชอบใจ

    เมื่อเราเอาจิตของเราไปผูกกับรส รูป กลิ่น เสียง สัมผัส แล้วปรุงแต่งให้เป็นความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ปรุงแต่งให้เป็นเวทนา เมื่อเวทนาเกิดขึ้นก็กลายเป็นอารมณ์คือความอยาก ความทนได้ยากคือความทุกข์ก็ตามมา

    ดังนั้น เมื่อเรารู้ว่าเวทนาทำให้เกิดอารมณ์จากการที่ตาเห็นรูป เราจึงต้องสำรวมตาอย่างที่องค์สมเด็จพระศาสดาพระองค์ทรงสอนให้สำรวมอินทรีย์ทั้ง ๖

    อินทรีย์ แปลว่า ความเป็นใหญ่ ใหญ่ในการทำหน้าที่ เช่น ตาเป็นใหญ่ในการเห็น หูเป็นใหญ่ในการได้ยิน อินทรีย์ทั้ง ๖ ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้สำรวมอินทรีย์ทั้ง ๖ ก็คือให้ สำรวมตา สำรวมหู สำรวมจมูก สำรวมลิ้น สำรวมการสัมผัส สำรวมใจ เช่น สำรวมว่าเอาตาทำหน้าที่มองรูป แต่ก็ไม่ต้องรับรู้ ไม่ต้องแยกแยะว่ารูปชนิดนี้ มีความสวย ชอบใจ รูปชนิดนี้ไม่สวย ไม่ชอบใจ

    ปกติของตาแยกแยะไม่ได้อยู่แล้ว แต่ที่แยกแยะได้เพราะคราใดที่ตามองรูปแล้วปรุงแต่ง แยกว่ารูปสวย พอใจ นั่นเป็นเพราะเรามองด้วยจิตที่มีราคะ เรียกว่า ราคะมูลจิต คือ หมายถึงรูปที่ตาเห็นเกิดความสัมผัสรับรู้ แล้วปรุงแต่งด้วยอารมรณ์ราคะที่เป็นพื้นฐานของจิตที่สั่งสมพอกพูนมาแต่อดีตที่เรียกว่า กิเลสอนุสัย ได้แก่ กิเลสที่ติดแน่นมาจากชาติภพที่แล้วและก่อนที่จะเกิดราคะมูลจิต หรือกิเลสอนุสัยเกิดขึ้นติดตัวเรามาได้ เพราะอวิชาความไม่รู้ ไม่เข้าใจสภาวะที่แท้จริงของสิ่งทั้งปวง และถ้าตาเห็นรูปแล้วปรุงแต่ง แยกว่ารูปไม่สวย ไม่ชอบใจ นั่นก็เป็นเพราะเรามองรูปนั้นด้วยจิตที่มีโทสะ เรียกว่า โทสะมูลจิต ซึ่งโทสะมูลจิตนี้ ก็มีลักษณะอาการเกิดเหมือนๆกับราคะมูลจิตเหมือนกัน

    เพราะฉะนั้นถ้าเรายังปล่อยให้ตามองรูป ตามแต่กิเลสที่เป็นอนุสัยจะพาไป โดยเอาใจไปจดจ่อกับตาและรูป แล้วก็แยกแยะออกมาถูกบ้าง ควรบ้าง ไม่ถูกบ้าง ไม่ควรบ้าง

    เมื่อความไม่ถูก ไม่ควรเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องมาถามชาวบ้าน ทีนี้อะไรจะเกิดขึ้น ปัญหาก็เกิดขึ้นคั่งค้างในใจ สุดท้ายก็มีแต่ความทุกข์ทรมาน เพราะชาวบ้านก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่เราสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเราเอง วิธีการแก้ง่ายนิดเดียว คือ ต้องระงับอารมณ์

    อารมณ์นี่สำคัญ คนเราจะดี จะชั่ว จะเลว ต้องรู้จักระงับอารมณ์ ก็คือ ต้องรู้จักสำรวมตาอย่าแส่ไปหารูปอะไรต่างๆรอบกายมากนัก ทำเฉพาะให้มันรู้สึกว่า มองเพียงหน้าที่ หน้าที่ที่จะดูทาง ดูทิศ ดูรูป ดูสิ่งต่างๆ แต่ตาไม่ใช่ทำหน้าที่แยกแยะว่า รูปดี รูปชั่ว รูปเลว ตัวที่ทำหน้าที่แยกแยะรูปคือกิเลสตัณหาที่หมักดองในสันดาน บังคับสั่งการให้เราเป็นคนพาล คนหลง ในสิ่งที่ไม่มีตัวตนที่แท้จริง เมื่อไปหลงปรุงแต่งยึดถือก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เหมือนดังบุคคลเพียรพยายามใช้พู่กันจุ่มสีแล้ววาดรูปในอากาศ มันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็พยายามคิดว่าเป็นไปได้ เมื่อไม่ได้ดังปรารถนาก็เกิดทุกข์

    ด้วยเหตุนี้พระศาสดาทรงสอนให้ชาวเราทั้งหลาย สำรวมตาในการมองรูป มิใช่ห้ามมิให้มอง พระองค์ทรงให้มองได้ แต่จงมองด้วยปัญญารู้แจ้งตามความเป็นจริงว่า รูปทั้งสวยและซวย หรือโทรม ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนที่แท้จริง เป็นทุกข์ทนได้ยาก เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็เสื่อมสภาพลง ไม่คงที่ ทุกอย่างในรูปเป็นสิ่งที่ต้องอิงอาศัยเหตุปัจจัยเป็นอยู่ เช่น รูปสวยและซวยทั้งหลาย มีชีวิตเกิดขึ้นมาได้จนเป็นรูปสวยและซวยนั้น ก็ต้องอิงอาศัยก้อนข้าว หยดน้ำ อากาศหายใจ เพื่อไปหล่อเลี้ยงรูปนี้ให้เจริญขึ้น เป็นอยู่ได้ ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง รูปนี้ก็จะไม่เจริญขึ้น ตั้งอยู่ไม่ได้ และเพื่อจักให้รูปนี้เจริญตั้งอยู่ได้ ผู้เป็นเจ้าของรูปจึงต้องมีภาระในการบริหาร จัดหา สิ่งที่รูปนี้ต้องการ มาบำรุงบำเรอจนกว่ารูปจะตายลง ถ้าหยุดเพียงแค่นี้ก็พอทน แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ ไม่หยุด เจ้าของรูปนอกจากมีภาระในการบริหาร จัดหาสิ่งที่รูปต้องการแล้ว ยังต้องคอยดูแลรักษา ชำระล้าง ทะนุถนอมให้รูปนี้ดูดีในสายตาของตนและคนอื่น นึกว่าจะหยุดแค่นี้ รูปนี้ซึ่งมีทั้งสวยและซวย ยังประกอบไปด้วยจิตวิญญาณซึ่งมีกิเลสอนุสัย ที่ฝั่งแน่นมาแต่อดีต ไม่รู้ว่ากี่ภพกี่ชาติ จนถึงปัจจุบัน

    กิเลสเหล่านั้นก็มีพวกใหญ่ๆถึง ๓ พวก อันได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ ซ้ำยังมีบริวารติดตามมาอีกมากมายจนนับแทบไม่ถ้วน เมื่อราชากิเลสและพลเมืองกิเลสได้เข้ามายึดครองจิตวิญญาณของรูปนี้เสียแล้ว ย่อมเป็นธรรมดาอยู่เองที่ผู้เป็นนาย ย่อมครอบงำทาส ใช้ทาสเอารัดเอาเปรียบทาส บังคับขู่เข็ญทาส ให้ขวนขวายหาสิ่งที่นายต้องการตามคำสั่ง โดยมิสนใจว่าสิ่งนั้นๆจะได้มาด้วยความง่ายดายหรือยากลำบากขนาดไหน ผู้เป็นนายจักไม่ใส่ใจ ขอให้ทาสหามาให้ ให้ได้ก็แล้วกัน แม้บางครั้งอาจจักทำให้ผู้เป็นทาสนั้นพิการ หรือตายก็ตาม และถ้าเผอิญเกิดทาสนั้นตายลงไปจริงๆ นายผู้โหดร้ายทั้งหลายนี้ ก็จะตามไปทวงหนี้หรือใช้งานจนข้ามภพข้ามชาติทีเดียวแหละ ดูช่างไม่มีวันจบสิ้น

    เหตุนี้องค์สมเด็จพระพิชิตมาร ศาสดาสัมมาสัมพุทธะ ผู้ทรงพระปัญญาอันประเสริฐ จึงทรงสอนให้ชาวเราทั้งหลาย อย่ามองรูปด้วยเห็นว่าเป็นเลศ แต่งจงมองให้ทะลุความเป็นเลศนั้นเข้าไป จนเห็นแจ้งสภาพความจริงของรูปจนรู้ว่า มีองค์ประกอบด้วยเหตุปัจจัยอะไร จักได้ไม่หลงยึดติดในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน รสที่รับ กลิ่นที่ดม สัมผัสที่มี ดีและชั่วที่ปรากฏแก่จิต เหล่านี้เป็นวิธีตัดวงจรของการสืบต่ออนุสัยกิเลสที่มีมาแต่อดีต และปัจจุบันกิเลสได้แก่กิเลสที่จักเกิดขึ้นในปัจจุบัน

    ในบรรดาอินทรีย์ทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้ มีอยู่อย่างเดียวที่น่าจะสำรวมมากที่สุด ก็คือ ใจ เพราะใจเป็นเหมือนนายใหญ่ ใจเปรียบเหมือนแม่ทัพ ส่วนตา หู จมูก ลิ้น กาย เปรียบเหมือนนายกอง หรือสมุนมือขวา มือซ้าย ทำหน้าที่ตามคำสั่งของแม่ทัพ ถ้าแม่ทัพดี คำสั่งที่ใช้ลูกน้องก็ย่อมสั่งในสิ่งที่ดี ที่ถูก ที่ควร หมายความว่า ถ้าใจดี ใจเรียบร้อย ใจน่ารัก ใจสว่าง สะอาด สงบ การมองรูปก็มองด้วยปัญญา พิจารณารู้เท่าทันตามความเป็นจริงของรูปที่เห็น มันก็ไม่เกิดความรู้สึก ไม่ต้องไปเก็บกดอารมณ์ที่มากระทบ แต่ถ้าการมองรูปแล้วบังเกิดอาการปรุงแต่ง พร้อมทั้งเกิดเป็นอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น สุดท้ายก็จะมีความวุ่นตามมา

    เมื่อเราสำรวมใจได้ ตาจะเห็นรูปอย่างไรก็ช่างหัวมัน เพราะตาเก็บรูปไม่ได้ หูจะฟังเสียงอย่างไรช่างหัวมัน เพราะหูเก็บเสียงไม่ได้ จมูกได้กลิ่นอย่างไรเรื่องของมัน กายสัมผัสอย่างไรก็เป็นเรื่องของมัน ลิ้นได้รับรสอย่างไรก็เป็นเรื่องของมัน

    ถ้าเราไม่สำรวมใจ ไม่รู้จักรักษาอารมณ์ ไม่รู้จักทรงอารมณ์แห่งความว่าง สว่าง สงบ ไว้ในตัวเอง มันจะเกิดความทุกข์ทรมาน ตามอาการทั้ง ๖ ที่มันชักจูงไป

    ฉะนั้น เมื่อใจนี้เป็นที่ให้เกิดอารมณ์ อารมณ์ตัวเดียวทำให้เกิดทุกข์สุขได้มากมายอย่างนี้ เราก็ต้องมาดูว่า เรามีวิธีจะจัดการมันได้ยังไง ก่อนอื่นเราจะต้องรู้ก่อนว่า อารมณ์มันจะเข้ามาด้วยวิธีการแบบไหน

    หลวงปู่จะเปรียบเทียบให้เห็นง่ายๆอย่างนี้ว่า

    ตอนนี้เรามีบ้านอยู่ไหม บ้านเรามีประตูหรือเปล่า? มีหน้าต่างไหม? ถ้าเกิดฝนตก เราจะทำอย่างไรไม่ให้เปียกฝน เราก็ต้องปิดประตูหน้าต่าง ไม่ให้ฝนสาดเข้าบ้านได้ใช่ไหม ถ้าเราบอกว่าตอนนี้เราทุกข์ทรมานเพราะตัวอารมณ์ หลวงปู่เปรียบอารมณ์เป็นฝน ที่ทำให้เราหมดความสงบ ฝนที่ตกลงมาและพร้อมที่จะมาสาดรดบุคคลที่อยู่ในบ้าน ถ้าคนฉลาดรู้ว่าฝนตก ก็ต้องรีบเข้าไปหลบภายในบ้านเสียก่อน แล้วปิดประตูหน้าต่าง อย่างนี้ฝนจะเปียกเราได้หรือไม่

    เมื่อเปรียบฝนเป็นอารมณ์ บ้านก็เปรียบได้กับร่างกาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ส่วนจิตก็เปรียบเหมือนเป็นเจ้าของอยู่ในบ้าน เมื่อฝนแห่งอารมณ์ คือ อารมณ์โทสะ อารมณ์โมหะ อารมณ์ราคะ อารมณ์ความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดขึ้น เป็นฝนที่ทำให้บุคคลต้องทรมาน ต้องเปียกปอนเป็นของธรรมดา ตามสภาวะของสีแห่งฝนนั้นๆ เช่น ราคะก็มีสีของฝนกระดำกระด่าง โทสะก็มีสีของฝนแห่งความดำและแดง โมหะมีสีแห่งความเปรอะเปื้อน ความเขียวๆเหลืองๆ ความช้ำใน สิ่งเหล่านี้จัดว่าเป็นน้ำฝนที่มีสี มีความสกปรก ถ้าเราเอาตัวเองเข้าไปคลุกคลี ความรู้สึกทุกข์ทรมาน เดือดร้อน ความสกปรกปฏิกูลพึงรังเกียจย่อมเกิดตามมา ทีนี้เราจะทำอย่างไร ที่จะไม่ให้ตัวเราเปียกปอน เกลือกกลั้วกับสิ่งเหล่านี้ เราก็ต้องคอยปิดประตูรูช่อง อย่าให้ฝนสาดรอดเข้ามาได้

    ฉะนั้น เมื่อฝนเป็นอารมณ์ ฝนจะเข้าทางไหน ก็เข้าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ซึ่งเปรียบได้กับประตู หน้าต่าง เมื่อเราเป็นเจ้าของบ้านซึ่งเปรียบได้กับจิต เราก็ต้องคอยปิดประตู หน้าต่างไม่ให้ฝนแห่งอารมณ์สาดเข้ามา

    เพราะถ้าเรามัวแต่เปิดประตูตา ประตูจมูก ประตูลิ้น ประตูกาย ประตูหู ให้ฝนแห่งอารมณ์สาดเข้ามาเปียกบุคคลผู้อยู่ในบ้าน คือใจของเรานั้น ให้เศร้าหมอง ให้เปียกปอน เราก็จะอยู่ในโลกอย่างไม่เป็นสุข ต้องเดือด ต้องร้อน ต้องทุรนทุราย ต้องกระวนกระวาย ต้องขวนขวายดิ้นรน คนชนิดนี้จึงเป็นคนที่เป็นทาส ไม่เป็นไท เพราะฉะนั้นหลวงปู่จึงสอนพวกเราให้เป็นไท ไม่เป็นทาส

    แล้วการปิดประตู หน้าต่าง ไม่ใช่หมายถึงว่าเดินปิดตา นั่งปิดหู นั่งปิดจมูก นอนปิดปาก แต่การปิดนี้คือ เมื่อตาเห็นรูป เกิดความรู้สึกก็ใช้ปัญญา พิจารณาสภาพแท้จริงของรูปที่เห็นแล้ววางเฉย อย่ารับเอาฝนแห่งอารมณ์ทางตาเข้ามาทำให้ใจเศร้าหมอง เมื่อหูฟังเสียงเกิดความรู้สึก ก็ใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้จริง ก็มีความเฉยๆ อย่ารับเอาฝนแห่งเสียงที่เป็นอารมณ์ทางหูมาทำให้ใจเศร้าหมอง เมื่อจมูกได้กลิ่น มีความรู้สึก ก็ใช้ปัญญาพิาจารณาจนรู้แจ้ง แล้วทำความเฉยๆ อย่ารับเอาฝนแห่งอารมณ์ทางจมูกทางกลิ่น มาทำให้ใจ คือคนที่อยู่ในบ้านเศร้าหมอง เมื่อลิ้นรับรสเกิดความรู้สึก ก็ต้องเฉยๆ อย่ารับเอาฝนแห่งอารมณ์ทางรสชาติ มาทำให้ใจต้องเศร้าหมอง ต้องทนทุกข์ทรมาน เปียกปอนไปตามฝนที่สาดเข้ามา

    ฉะนั้น เมื่อเรารู้ตัวว่าเวลานี้ฝนเริ่มตั้งเค้ามา ตั้งมาจากบุคคลคนนี้ บุคคลคนนี้จะทำให้เราเปียกฝน ถ้าอย่างนั้นเมื่อเห็นหน้าฝนแล้วต้องทำอย่างไร ก็เข้าบ้านปิดประตู คือทำใจ เตรียมใจปกป้องใจเสียก่อนที่จะไปเจอะไปเจอกับอารมณ์ที่จะมากับบุคคลเหล่านั้น ทำใจให้มันยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นปกติ มีความรู้สึกเป็นธรรมดา ตั้งท่าสู้มันเสียก่อน ไม่ใช่สู้ทีหลัง เมื่อมันชักธงรบ อย่างนั้นก็แพ้ซี เพราะมัวรอให้เขาตีหัวก่อน แล้วค่อยตีเขาตอบ พูดอย่างนี้ไม่ได้ให้ไปทะเลาะกัน พูดอย่างนี้เพื่อให้เราตั้งท่าเตรียมไว้ที่จะรบกับอารมณ์ที่บุคคลคนนั้นจะใส่ให้เรา ทำใจเอาไว้เสมอทุกครั้งที่จะต้องไปเห็นหน้ามันว่า นี่เราต้องไปเผชิญกับอารมณ์แห่งความทุกข์ เมื่อรู้ตัวว่าความทุกข์เป็นความทรมาน ต้องระวังใจ เพราะถ้าเรายังมีความหมกมุ่น มัวเมา และใหลหลงอยู่ในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นอยู่ก็ต้องทำใจให้มันเป็นปกติไว้อยู่เสมอว่า...เวลานี้เราอยู่ใกล้บ่อน้ำที่มีความสกปรก มันจะกระเซ็นมาถูกเราเมื่อไรก็ได้

    เพราะฉะนั้น การที่มีชีวิตอยู่อย่างเป็นผู้ระวังอารมณ์ ระวังไม่ให้ฝนเข้ามาเปียกตัวเอง ไม่ให้ซัดสาดเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ความระวังตัวนี้เรียกว่าสติ สติก็มาจากการสร้างเสริมให้เกิดขึ้นจนเป็นสมาธิ คือความตั้งใจ ตั้งใจว่าวันนี้ถ้าเราเจอบุคคลเหล่านั้นที่จะสาดฝนใส่ตัวเรา เราต้องทำความรู้สึกว่าเป็นธรรมดา มันเป็นธรรมดาที่จะต้องสาดให้เราเกิดความทรมาน

    ถ้าเรารู้อย่างนั้นไอ้สิ่งที่มันสาดมาก็เป็นของธรรมดาอีก ถ้ามันหนีไม่ได้ เป็นของธรรมดาที่เราต้องมีความรู้สึกว่าเฉยๆอยู่เป็นปกติ ถ้าเราเดือดร้อนไปตามสภาวะที่มันสาดมา นั่นผลประโยชน์เราไม่ได้ สุดท้ายเราจะเป็นผู้ขาดทุน คือเสียประโยชน์ แล้วใครเป็นผู้ได้รับประโยชน์อันนั้นรู้ไหม ก็ผู้ที่สาดฝนใส่เรา กลายเป็นว่าเราสนับสนุนให้เขามีประโยชน์มากกว่าเก่า อย่างนี้จัดเป็นคนโง่หรือคนฉลาด ยกตัวอย่างเช่น

    ถ้าเราด่าใครสักคน แล้วเขาทำความรู้สึกเฉยๆ เราจะรู้สึกอย่างไร ก็อกแตกตาย ดีไม่ดีเดี๋ยวหันไปเตะหมู เตะหมา ด่าแมว เพราะมันกลุ้มใจที่ไอ้นี่ด่าแล้วหน้าด้าน ด่าแล้วไม่รู้เรื่อง ด่าแล้วไม่ยอมเจ็บตามที่เราด่า แต่ถ้าเราทำความรู้สึกในตัวของเราว่า คนคนนั้นถ้ามันจะมาด่าเรา ก็ทำความรู้สึกเฉยๆเหมือนอย่างนั้น สุดท้ายมันก็อกแตกตายไปเอง ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่แช่งให้เขาตาย แต่สุดท้ายมันก็ต้องยอมแพ้ไปโดยปริยาย

    ฉะนั้น เมื่อพวกเราทั้งหลายอยู่ในบ้าน ถ้าฝนตกก็ย่อมต้องปิดประตู หน้าต่าง เพื่อป้องกันลมฝนไม่ให้สาดเข้าบ้านฉันใด การที่พวกเรารู้จักปิดกาย ปิดวาจา ปิดจมูก ปิดลิ้น ปิดหู ปิดตา ไม่ให้รับเอาฝนแห่งอารมณ์ที่เกิดทางตา จมูก ลิ้น และกาย เข้ามาทำให้คนที่อาศัยอยู่ในบ้านคือใจ ต้องทนทุกข์ทรมาน เปียกปอนไปตามฝนที่สาดเข้ามา ให้มีความรู้สึกเดือดร้อนไปด้วยฉันนั้น เพราะฉะนั้นต้องมีการปิด แค่นี้เองเราก็สามารถจะค่อยๆปลด ค่อยๆวาง ค่อยๆปล่อย ค่อยๆเว้น

    หลวงปู่อยากให้พวกเราทั้งหลายเป็นคนวางทุกอย่าง การวางในที่นี้ไม่ใช่สอนให้เป็นคนขี้เกียจ แต่ให้รู้จักปลด ให้รู้จักทำหน้าที่ พ่อก็ทำหน้าที่ของพ่อ แม่ก็ทำหน้าที่ของแม่ ลูกก็ทำหน้าที่ของลูกที่ดี เมื่อทุกคนทำไปตามหน้าที่ที่ดีแล้ว หลังจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของตัวเองที่ต้องปลด ต้องปล่อย ต้องวางอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่แบกในอารมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ไม่มีอุปาทานติดในอารมณ์ต่างๆ เป็นผู้ไม่ยึดมั่น ไม่ถือมั่น ไม่ผูกพัน ในสิ่งทั้งหลายในโลก

    พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เธอทั้งหลายจงทำใจให้สะอาด สว่าง สงบ เป็นผู้อยู่ในโลกอย่างเป็นผู้ไม่ติดยึดในสิ่งใดๆ เมื่อไม่ติดในอะไรๆ และไม่มีอะไรจะติด สุดท้ายก็สามารถที่จะอยู่เหนืออารมณ์ เหนือกฎเกณฑ์ เหนือโลก และเหนือธรรมชาติ เมื่อเป็นผู้อยู่เหนือทุกอย่างแล้ว ก็สามารถจะใช้ชีวิตในโลกได้อย่างเป็นอิสระและสุขใจทุกๆสถานที่ ทั้งยังอยู่ได้ด้วยความเป็นไทไม่เป็นทาส คงเป็นเพราะเหตุนี้กระมังที่พระองค์ทรงตรัสว่า เราคือโลก โลกคือเรา เราคือจิต จิตคือเรา

    แล้วเราก็เป็นผู้ยืนอยู่เหนือโลก เป็นผู้ชนะโลก ชนะทุกๆสิ่งที่มีและเกิดขึ้นในโลก นั่นคืออารมณ์ อารมณ์จะไป อารมณ์จะมา อารมณ์แห่งราคะ โทสะ โมหะ อารมณ์ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทั้งที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และจักเกิดต่อไปในอนาคตที่เราทั้งหลายชอบที่จะเปิดประตูหน้าต่าง เปิดโอกาสให้อารมณ์เหล่านั้นเข้ามาเป็นเจ้าของชีวิต เข้ามาเป็นตัวบัญญัติ ทำให้เกิดความสุขและความทุกข์

    เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราต้องเพียรพยายามที่จะระวังป้องกันมิให้อารมณ์ทั้งดีและไม่ดีทั้งปวงเข้ามาเป็นนายของเรา ชักชูเราให้แสดงอาการกิริยาไม่ถูกต้อง หรืออย่าให้ตัวเองตกเป็นทาสของอารมณ์ วันใดเวลาใดที่เรามีความรู้สึกว่า เราเริ่มเป็นทาสของอารมณ์ เมื่อตกเป็นทาส เรารู้ตัวต้องดึงออกมาเป็นไทให้ได้ ครั้นเราสามารถที่จะระแวดระวังไม่ให้อารมณ์ทั้งดีและไม่ดีทั้งปวงเข้ามาเป็นนายของเราได้แล้ว เราก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในโลกอย่างมีชัยชนะ เป็นอิสระ พบความสุข หมดทุกข์ทั้งกายและใจ เช่นนี้จึงจะใช้คำพูดได้เต็มปากว่า เราคือโลก โลกคือเรา เราคือจิต จิตคือเรา เพราะสภาวะของโลกและจิต มิได้มีความสุข ความทุกข์ไปกับอารมณ์ต่างๆที่มารบกวนวุ่นวาย

    ฉะนั้น ถ้ามีเวลาว่างจากการงาน ต้องรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ หรือขณะที่ทำการงานก็ภาวนาไปในตัวด้วยก็ได้ การทำอย่างนี้เรียกว่าเป็นวิธีลับมีด และรักษาคมมีด เราต้องรู้จักลับมีด ถ้าไม่ลับมีดก็ไม่คม คนที่สามารถจะใช้มีดได้ทุกกาลทุกสมัยตามความต้องการนั้น เพราะเป็นผู้รู้จักรักษาความคมของมีด การรักษาคมของมีด คือทรงอารมณ์ไว้ในอารมณ์ภาวนา อย่าปล่อยให้จิตหลงระเริงไปในเรื่องราคะ โทสะ โมหะ อบรมจิตให้อยู่ในองค์ภาวนา

    ภาวนา ตัวนี้แปลว่าทำให้มั่น ในที่นี้หมายเอาการทำสติให้ตั้งมั่น ทำการรู้อาการลมหายใจอย่างตั้งมั่น ว่าลมเข้าหรือออก เข้ายาวหรือออกสั้นรู้ให้ชัด รู้ให้มั่นคงไม่ลืมหลง ก็เรียกว่าภาวนา หรือรู้จักความเป็นไปของกาย ชีวิต อารมณ์จิต ตามความเป็นจริงอยู่ทุกขณะ โดยไม่ลืมหลง ดำรงความรู้แจ้งเช่นนั้นอยู่ตลอดเวลา เช่นนี้ท่านก็เรียกว่าภาวนา

    ภาวนาว่า พุทโธ๑ พุทโธ ๒ พุทโธ๓ พุทโธ๔ จนถึง ๑๐๐ ก็ได้ จาก ๑๐๐ มาหา ๑ ก็ได้ โดยไม่ต้องควบคู่ลมหายใจ ไม่ต้องสวดอะไรทั้งหมดเอาแค่พุทโธ ๑ ๒ ๓ เท่านั้น หรือนับ ๑ ถึง ๑๐๐ เฉยๆ ก็ได้ นี่เรียกว่าภาวนา แต่มันจะไกลตัวเกินไป มันจักใกล้เคียงการท่องบ่นเหมือนกับพวกลัทธิศาสนาอื่นมากอยู่ จักไม่ตอบให้ตรงต่อวิถีแห่งปัญญาชัดเท่าไหร่ เหตุเพราะวิถีแห่งปัญญาเท่านั้น จึงจะจัดว่าเป็นวิถีแห่งพุทธะ ถ้าเอาแต่พุทโธ พุทโธ แล้วไม่เกิดปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง ไม่รู้แจ้งตามสภาวะที่ปรากฏ พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงเรียกว่า เป็นวิถีแห่งความเป็นผู้รู้ ตื่น และเบิกบาน ยังอาจจะเป็นวิถีแห่งชฎิล ฤาษี นักบวช เดียรถีย์ อยู่ แต่ถ้าทำอะไรแล้วสามารถให้เกิดปัญญาเห็นจริงได้ นั่นก็ถือว่าเป็นวิถีแห่งพุทธะผู้เจริญแล้วละ

    เพียงแค่นี้เราก็รักษาคมมีดได้แล้ว จะใช้ตัดอะไรก็ตัดได้ตามสบาย ตัดตัวราคะ ตัดตัวโทสะ ตัดตัวโมหะ ชักออกมาเมื่อไรก็ใช้ได้ทันที แต่ถ้าเราไม่รู้จักรักษาคมของมีด ปล่อยให้สนิมกินจนเขรอะ จะมาฟันมาสับอะไรสักทีก็ไม่เข้า ถึงเข้าก็ต้องใช้กำลังมาก ต้องใช้เวลามาก

    เราต้องเอาความดีชนะความชั่ว เอาความอ่อนชนะความแข็ง เอาความเย็นชนะความร้อน ความละเอียดชนะความหยาบ เอาความฉลาดชนะความหลง จะเห็นว่าแต่ละคำของหลวงปู่นั้นมีแต่ความชนะ ไม่มีความพ่ายแพ้หรือตกเป็นทาสใดๆทั้งหมด หลวงปู่กำลังสอนให้พวกเราทั้งหลายเป็นผู้ชนะในโลก ชนะทุกๆอย่างในโลก สุดท้ายชนะ ชาติ ชรา มรณะ และพยาธิ

    ข้อสำคัญ ก่อนที่เราจะชนะอย่างนั้น เราต้องชนะตัวเราเองเสียก่อน คือชนะอารมณ์ เราชนะอารมณ์ที่จะมายุ่งวุ่นวาย ทำให้เราเศร้าหมองเสียใจ ดีใจ ไม่สบายใจ ทุกข์ทรมานใจ ตามสภาวะแห่งฝนอารมณ์ที่มันสาดเข้ามาทางช่องหู ตา จมูก ลิ้น กาย พูดง่ายๆคือ คอยระวังปิดประตูหน้าต่างอยู่เสมอ อย่าให้ฝนแห่งอารมณ์สาดรดเข้ามาโดนบุคคลภายในคือจิตใจเราได้เป็นอันขาด แค่นี้เองเราก็สามารถมีความรู้สึกเป็นอยู่อย่างผู้ชนะ และคนที่มันจ้องสาดฝนใส่เรานั้น ผลสุดท้ายมันก็ต้องมีความเหนื่อยอ่อน ความเพลีย เมื่อมันเกิดความเพลียก็หมดพยศ เมื่อหมดพยศสุดท้ายมันก็ต้องแพ้ภัยตัวเอง

    เมื่อพิจารณาได้อย่างนี้ เราก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีจุดยืนในตัวของตัวเอง มีการปฏิบัติของตัวเองด้วยความอิสระในการปฏิบัติ ในลักษณะของความไม่ยึดไม่ผูกพัน และวิธีการที่จะมีจุดยืนสำหรับตัวเราในการปฏิบัติต่อบุคคลอื่นๆก็คือ มีความรู้สึกว่าอารมณ์ใดที่เราชอบใจก็รู้สึกปกติ ปกติตัวนี้หลวงปู่จะไม่พูดคำว่าเฉยๆ เป็นปกติของอารมณ์ว่า เมื่อมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ไม่สนใจ ไม่เยื่อใย ไม่ไยดีต่อมัน ถ้ามันมีประโยชน์ก็พิจารณาปฏิบัติตาม แต่ถ้าขาดประโยชน์ ขาดลักษณะของความเกิดขึ้นในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเกิดประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวม เราก็มีความรู้สึกว่าปล่อยวาง ถ้ามันเป็นเรื่องของความทุกข์ความทรมาน เราได้ยินแล้วเข้าหูซ้าย ก็ปล่อยให้มันย้ายออกหูขวา อย่าเปิดหัวใจไปอ้ารับอารมณ์เหล่านั้นมาเก็บไว้

    หลวงปู่เคยเขียนบทโศลกไว้ว่า

    ลูกรัก
    อย่าทำอารมณ์ให้เป็นอะไร
    แล้วเราจักไม่มีอะไร ในอารมณ์นั้น ๆ

    ลูกรัก
    ห้องขังหรือคุกแห่งอารมณ์
    มีแต่ตัวเจ้าเท่านั้นที่จะปิดหรือเปิดมันได้

    เพราะจิตใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์ อันเกิดจากความปรุงแต่งของเรานั่นแหละ คือการสร้างคุกขังตัวเราเอง แต่ถ้าเราปรารถนาที่จะปลดปล่อยตนเอง เรื่องมันก็ไม่ยาก แค่หยุดการปรุงแต่งต่ออารมณ์ทั้งปวง แค่นี้ก็จบแล้ว

    ฉะนั้น ถ้ารู้จักวางภาระ รู้จักวางหน้าที่ และไม่ยึดในอารมณ์ รู้จักทำใจให้สว่าง สะอาด และสงบ เราก็สามารถจะพ้นทุกข์ได้

    หลวงปู่แน่ใจว่า ถ้าทำได้ตามนี้ ผลสำเร็จจะเกิดขึ้นในชีวิต และเราสามารถจะเป็นผู้ชนะในโลก จะชนะในน้ำใจของคนทุกๆคน รวมทั้งชนะบุคคลที่เราคิดว่าอยากชนะได้ด้วย

    ลูกรัก
    จิตใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์
    อันเกิดจากความปรุงของเราเอง
    คือการปฏิเสธธรรมชาติ
    และนั่นคือการทำลายธรรมชาติทีเดียวแหละ

    ลูกรัก
    เจ้าจงอย่าผูกมัดและกักขังตัวเอง
    ในคุกแห่งอารมณ์
    เพราะเมื่อใดที่เกิดอารมณ์
    เจ้าจงรู้เถิดว่าเจ้ากำลังติดคุก
    อย่างชนิดที่ไม่มีวันออกทีเดียวแหละ


    [​IMG]http://www.onoi.org/dharma_isara/index.php?option=com_content&view=article&id=88:2009-02-28-01-47-07&catid=34:2008-12-31-07-58-25&Itemid=53
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2009
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระดีมีฤทธิ์ไปหากันเองเน้อ....


    พระเทพสุทธาจารย์ (หลวงปู่โชติ คุณสมฺปนฺโน)
    วัดวชิราลงกรณวราราม
    อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา


    ผมได้ยินและได้ฟังอุโฆษแห่งชื่อเสียงหลวงปู่โชติ คุณสมฺปนฺโน แห่งวัดวชิราลงกรณวราราม และวัดถ้ำไตรรัตน์มา นานแล้ว เป็นแต่ว่าไม่เคยได้มีโอกาสสัมผัสบุญบารมีของท่านด้วยตนเองมาก่อน เนื่องจากว่าในเวลารุ่งโรจน์แห่งชีวิตของท่านนั้นผมยังนึกไม่ออกว่าผมมัวไป อยู่ไปทำอ
    ะไรอยู่ข้างไหน

    เหมือนกับหลวงปู่แหวน, หลวงปู่ฝั้น, หลวงปู่ขาว, หลวงปู่ตื้อ, หลวงปู่ดูลย์, ครูบาพรหมจักร, พระอาจารย์วัน, พระอาจารย์จวน และอีกหลาย ๆ องค์ผมก็ไม่ได้สัมผัสทุกท่าน คงเพียงสดับกิตติศัพท์แห่งคุณงามความดีของพวกท่านอยู่อีกฟากโลกเท่านั้น

    จะบอกว่าบุญน้อยก็เบาบางไป ไม่ตรงนัก ต้องใช้คำว่าผมยังโง่อยู่จึงใกล้เคียงความจริง

    เพราะฉะนั้นเรื่องราวของหลวงปู่โชติที่ผมจะได้นำมาขยายต่อไปนี้จึงเกิดขึ้นจากกการรว
    บรวม ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลหลายแห่ง จะรับรองแข็งขันว่าทุกเรื่องตรงความจริงที่สุดก็ไม่ถนัดนัก อาจมีคลาดเคลื่อนอยู่บ้างเป็นธรรมดา ด้วยเหตุว่าทุกเรื่องล้วนแต่เกิดขึ้นจากการบันทึกตามปากผู้เล่า แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามย่อมต้องมีมูลเค้าอันแน่แท้สอดแทรกอยู่เหมือนกัน ผู้อ่านเมื่ออ่านแล้วขอให้พิจารณากันไป จะปักใจเชื่อได้แค่ไหนก็สุดแท้แต่ความเหมาะควร

    ผมได้รู้สึกว่าใกล้ชิดเรื่องราวของหลวงปู่โชติเข้าบ้างก็ตอนที่ได้กราบหลวงตาจิรศักดิ์ ฐิตธมฺโม ที่วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ เมื่อ ปีกลาย หลวงตาจิรศักดิ์เป็นหลานของหลวงปู่โชติมาหลายปีและได้เมตตากรุณาแก่ผมตาม สมควร ได้เล่าเรื่องหลวงปู่โชติให้ฟังนิดหน่อย และได้เมตตาส่งข่าวคราวของท่านเองให้ผมอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง แม้คราวที่ท่านออกธุดงค์ไปทางภาคเหนือโดยเดินทะลุเข้าเมืองแม่ฮ่องสอน ท่านก็ส่งข่าวของท่านให้ผมทราบทางจดหมายโดยตลอด ผมยังสำนึกในเมตตากรุณาของท่านอยู่เสมอไม่ลืม

    นึกไว้ในใจทุกขณะที่ ระลึกได้ว่าจะได้กราบท่านอีกครั้งหนึ่งที่ไหนสักแห่ง และในอนาคตข้างหน้า ท่านก็จะได้เป็นที่พึ่งแก่ผมยามแก่เฒ่าอีกองค์หนึ่ง

    ถ้าหลวงตาได้อ่านได้ทราบนัยแห่งหัวใจผมแล้ว ผมหวังในเมตตากรุณาของหลวงตาจงมีแก่ผมตลอดไปเหมือนเดิม

    หลวงตาจิรศักดิ์ได้กรุณาล่าเรื่องหลวงปู่โชติในส่วนที่เป็นการระลึกชาติของหลวงปู่โช
    ติ และได้มอบหนังสือที่หลวงปู่โชติเขียนถึงการระลึกชาติแก่ผมฉบับหนึ่ง ซึ่งผมได้นำลงตีพิมพ์ไปแล้วในภาคประวัติของหลวงปู่ดลย์ อตุโล โดยจบสิ้นสมบูรณ์ ผู้อ่านสามารถย้อนไปค้นอ่านได้

    เรื่องการระลึกชาติของหลวงปู่โชตินั้นดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องเด่นที่สุดในชีวิตของท
    ่าน ซึ่งท่านได้เขียนเองเล่าเองทั้งหมดด้วยเต็มปากและใจ ผมเคยเอาพระเครื่ององค์หนึ่งให้เพื่อนดู เขาถามว่าพระของใคร เมื่อบอกว่าของหลวงปู่โชติ ปากช่อง เขาก็ร้องอ๋อ...องค์ที่ระลึกชาติได้ นั่นย่อมโชว์ให้เห็นว่าเรื่องระลึกชาติของท่านเป็นที่รู้จักแพร่หลายจริง ๆ

    ยัง มีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งรู้จักกันแพร่หลายไม่แพ้การระลึกชาติ คือเรื่องห้ามพายุให้สงบลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ไม่ทราบแน่ชัด แต่เล่ากันว่าขณะที่ท่านกำลังอบรมสั่งสอนภิกษุสามเณรในวัดหนึ่งโดยอบรมอยู่ บนศาลาใหญ
    ่ ขณะนั้นเกิดลมพายุพัดตรงมาและหักโค่นทำลายต้นไม้และสิ่งปลูกสร้างล้มระเนระนาดเป็นทา
    งมา ท่านก็หยุดการอบรมพระเณรไว้อึดใจหนึ่ง ชี้นิ้วสวนทางไปยังพายุลูกนั้น ปรากฏว่าลมจัดจ้านหยุดนิ่งลงทันที

    การ ห้ามพายุให้หยุดนี้เท่าที่ทราบปรากฏว่ามีเกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งที่สองเกิดขึ้นตอนที่ท่านเริ่มลงมือสร้างศาลาวัดวชิราลงกรณวรารามใหม่ ๆ มีลมพายุรุนแรง เช่นเดียวกัน ท่านก็ได้ชี้นิ้วไปที่พายุลูกนั้นเหมือนเคย ผลปรากฏว่าพายุสงบนิ่งลงทันที สงบอยู่นานนับ 10 นาทีเห็นจะได้ แต่อย่างไรไม่ทราบท่านก็หยุดชี้นิ้วลง ทำให้พายุก่อตัวขึ้นอีก และสามารถพัดทำลายศาลาโรงครัวที่เพิ่งสร้างเสร็จไหม่ ๆ พินาศไป

    เรื่องห้ามพายุนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คนทั้งหลายรู้จักกันดี

    ปาฏิหาริย์ อย่างนี้หากได้เห็นกับตนเองสักครั้งคงเป็นวาสนาไม่น้อย แม้ว่าวาสนาของผมจะมีไม่ถึงพระเณรหรือบุคคลอื่นใดที่อยู่ในเหตุการณ์ห้าม พายุของหลวง
    ปู่โชติก็ตาม แต่ว่าผมก็เห็นคล้ายๆ กับเรื่องนี้ครั้งหนึ่งตอนนั้นไปกราบสนทนากับ ดร.ปรีชา พิณทอง บน ยอดตึกของบ้านท่าน ได้เกิดพายุรุนแรงพัดเอาทุกอย่างปลิวกระเจิง พายุนั้นไม่ถึงกับทำลายอาคารบ้านเรือนหรือต้นไม้ แต่สามารถหอบเอาเสื่อน้ำมันปูพื้นทั้งผืนม้วนลอยขึ้น ผมเห็นคุณพ่อปรีชาทำปากขมุบขมิบ หน้าตาเคร่งเครียด แล้วโบกมือทำนองไล่ลมพายุ 3 ครั้ง พายุก็สงบ

    ผมรับว่าแปลกใจ ไม่รู้ว่าเป็นไปได้อย่างไร


    คุณ พ่อปรีชาอธิบายทีหลังว่า เรื่องเวทมนตร์กลคาถาเป็นของมีจริง ถ้าผมสนใจทางนี้ หรือขัดข้องครูบาอาจารย์เมื่อไหร่ให้ไปหาท่านก็จะได้รับความเมตตากรุณาสอน ให้

    คุณพ่อปรีชา ได้รับเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ในอดีตเคยเป็นภิกษุ เป็นพระเถระสำคัญองค์หนึ่งในเมืองอุบลฯ ปัจจุบันดำรงเพศคฤหัสถ์ ประกอบอาชีพทางด้านเขียนและค้นคว้าทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสมบัติบรรพบุรุษ อีสาน ภรรยาของท่านเคยบอกว่า ท่านมีความเป็นอยู่ทุกวันนี้เหมือนเก่า คือเหมือนสมัยเป็นพระไม่ได้ดูเหมือนฆราวาสแต่อย่างใด

    ผมไม่ทราบ ว่าการห้ามพายุของหลวงปู่โชติจะเป็นด้วยเวทมนตร์หรือพลังจิต เพราะว่าเหลือวิสัยจะวิจารณ์ได้ แต่สิ่งเดียวที่ทำได้คือเชื่อในปาฏิหาริย์นี้อย่างไม่มีข้อสงสัย

    หลวงปู่โชติมีนามเดิมว่าโชติ เมืองไทย เกิดปีวอก พ.ศ. 2451 ที่ตำบลนาบัว (บ้านกระทม) อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ เป็นศิษย์องค์สำคัญของหลวงปู่ดุลย์ อตุโล และเป็นศิษย์ของพระอาจารย์ใหญ่สายวิปัสสนากัมมัฏฐานคือพระอาจารย์เสาร์ กันตลีโล ท่านเป็นพระที่มีอภินิหารมาก เรื่องทางนี้ของท่านจึงมีอยู่มากมาย แต่จะยกมาเล่าเป็นบางเรื่องพอเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่ศรัทธา

    มี ผู้เล่าว่าครั้งหนึ่งหลวงปู่เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อทำธุระบางอย่างที่วัดบวรนิเวศวิหาร ท่านกับเจ้าคุณโอภาสธรรมญาณ จะขึ้นรถเมล์ไปบางเขน โดยรอรถเมล์อยู่แถวๆสะพานควาย ขณะนั้นมีรถเมล์ที่สามารถจะไปยังจุดหมายที่ท่านต้องการได้มาจอดลง รถว่าง แต่ท่านไม่ขึ้น ท่านบอกกับเจ้าคุณโอภาสฯ ว่า คอยคันอื่นเถอะ ครั้นรถเมล์คันอื่นมาถึงท่านก็ขึ้น

    ต่อมารถเมล์คันที่ท่านยอมขึ้นก็แล่นผ่านรถเมล์คันแรกที่ท่านไม่ยอมขึ้นซึ่งเกิดอุบัต
    ิเหตุชนเสาไฟฟ้างอก่องอขิงอยู่บนฟุตบาธข้างทาง


    หลวงปู่มองดูรถเมล์คันที่เกิดอุบัติเหตุแล้วก็เฉย ๆ ไม่ว่าอะไร

    ทหารผ่านศีกเชียงตุงชื่อ “พาง” บ้านอยู่ ถนนเทศบาล 2 เมืองสุรินทร์ เป็นผู้หนึ่งที่ประสบเหตุพิลึก ท่านเล่าว่าครั้งหนึ่งหลวงปู่มีธุระออกจากวัดไป แต่แล้วกลับนึกได้ว่าลืมอะไรอย่างหนึ่ง ท่านจึงเรียกสุนัขข้างทางซึ่งจรจัดอยู่แถวนั้นมาตัวหนึ่งเขียนหนังสือแจ้ง ข้อความแห่
    งธุระที่ลืมผูกติดกับคอสุนัขแล้วเอามือตบหลังสุนัขบอกให้นำหนังสือนี้ไปให้พระที่วัด

    องท่าน

    พระที่วัดก็ทราบความในหนังสือนั้นหลังจากสุนัขแจ้นเข้าไปถึง

    อีก เรื่องหนึ่งซึ่งแปลกมาก คือครั้งหนึ่งหลวงปู่ซึ่งเวลานั้นยังพำนักอยู่เมืองสุรินทร์ ได้บอกว่ามีธุระไปโคราช แต่ขณะที่ทุกคนได้ยินเสียงรถไฟขบวนที่ท่านจะต้องอาศัยเดินทางเข้าโคราชเปิด หวูดอยู่ท
    ี่สถานี หลวงปู่ก็ยังนั่งรับแขกเป็นปกติ ครั้นเมื่อทุกคนกราบลาท่านออกมาแล้วก็สวนทางกับลูกศิษย์อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งแจ้งข่าวว่
    าเพิ่งไปส่งท่านขึ้นรถไฟไปโคราช

    คำนวณเวลาแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะสามารถนั้งอยู่ที่แห่งหนึ่งในขณะที่รถไฟเข้าเท
    ียบสถานี แล้วสามารถไปขึ้นรถไฟทัน

    เรื่อง ที่เกี่ยวกับรถไฟผมเคยเล่าไปบ้างแล้วในภาคประวัติของหลวงปู่ดุลย์ ซึ่งจะพอทบทวนย่อ ๆๆ ได้อีกว่าระหว่างที่ลูกศิษย์ไปรับท่านที่ถ้ำใครไตรรัตน์เพื่อไปส่งท่านขึ้น รถไฟไปสุร
    ินทร์นั้น ไม่มีทางเลยที่จะขึ้นรถไฟที่ปากช่องทัน แต่หลวงปู่ก็ยืนยันให้ไปส่งท่านที่สถานีปากช่อง และปรากฏว่าไปทันจริง ๆ เพราะรถไฟเสียเวลา ทำให้ท่านกลับสุรินทร์ได้พอดี

    แม้ว่าหลวงปู่โชติ จะไม่ใช่พระให้หวย แต่เรื่องให้หวยของท่านก็เป็นที่ฮือฮา ขณะหนึ่งท่านกำลังกวาดลานวัดท่านพูดลอย ๆ ว่า หวยงวดนี้จะออก 33 พระเณรที่อยู่ใกล้ ๆ ท่านต่างได้ยินถนัด และได้บอกเลข 33 ให้กับชาวบ้านญาติโยมทั้งหลายไปว่าหลวงปู่ให้เลขเด็ดตัวนี้
    ปรากฏว่าหวยออก 33 จริง ๆ รวยกันไปทั้งหมู่บ้าน มีคนมากมายพยายามจะไปกราบขอเลขเด็ดจากท่านอีก แต่ไม่สำเร็จ ท่านไม่ปริปากอีกเลย

    หลวงปู่โชติได้ชื่อว่าเป็นพระที่เด่นเรื่องโชคลาภอีกองค์หนึ่ง ซึ่งคุณไพฑูรย์ เกื้อสกุล ซึ่ง เป็นผู้เล่าเรื่องไปส่งหลวงปู่ขึ้นรถไฟที่สถานีปากช่องได้บอกว่า พอกลับจากส่งท่านก็แวะซื้อล็อตเตอรี่ 9 ใบ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยซื้อมาก่อน และก็ถูกเลขท้ายทั้ง 9 ใบอย่างน่าอัศจรรย์

    มีผู้เล่าเรื่องแขวนพระ เครื่องของท่านแล้วเกิดโชคลาภอยู่เหมือนกัน เรื่องนี้มีปรากฏอยู่ในหนังสืออาณาจักรพระเครื่อง ฉบบที่ 20 ปี 2517 ซึ่งคุณ “คนโรงเหล้า” ได้เขียนมาลงตีพิมพ์โดยเล่าว่าเขาได้เห็นรูปถ่ายหน้าตรงของหลวงปู่โชติซึ่ง ตีพิมพ์ใน
    หนังสืออาณาจักรพระเครื่องฉบับเดือนมิถุนายน พารณาเห็นตัวเลขปรากฏอยู่ที่ไรผมเป็นเลข 63 ชี้ให้เพื่อนดูก็ดูกันไม่ออก คงมีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่เห็นว่าเป็นตัวเลขดังกล่าว ผลก็คือเขาถูกล็อตเตอรี่งวดนั้น (10 มิ.ย. 2517) พอได้เงินก็บึ่งรถไปยังวัดวชิราลงกรณ์วรารามวรวิหาร และได้บูชาเหรียญโสฬสระลึกชาติของหลวงปู่มาคนละหลายเหรียญ ในราคาเหรียญละ 29 บาท

    เมื่อได้เหรียญมาแล้วได้นำเหรียญนั้นไปให้อาจารย์ทางพรหมศาสตร์ที่พวกเขาเคารพนับถือ
    ตรวจดู อาจารย์ท่านนั้นออกปากว่า

    “ใน บรรดาเหรียญใหม่ ๆ ในยุคนี้ มีเหรียญหลวงพ่อโชติองค์เดียวเท่านั้นที่มีอิทธิฤทธิ์ในชั้นสมเด็จโต พระอาจารย์ที่สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์บังคับธาตุทั้ง 4 คือดิน น้ำ ลม ไฟ ได้นั้น เท่าที่ทราบก็มีหลวงพ่อทวด และหลวงพ่อโชติก็บังคับลมพายุให้หยุดนิ่งได้ และเขี่ยก้อนหินให้เบาเป็นสำลีได้ ส่วนที่ชี้ไฟซึ่งกำลังลุกไหม้ให้ดับได้นั้นยังไม่เคยเห็น พระอาจารย์ที่สามารถบังคับธาตุทั้ง 4 อย่างใดอย่างหนึ่งได้แล้ว การบังคับของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา”

    คุณคนโรงเหล้าได้ชี้แจงมาอย่างนี้ และยังมีจดหมายอีกฉบับหนึ่งเขียนถึงบรรณาธิการหนังสืออาณาจักรพระเครื่อง ความว่า

    15 มิ.ย. 17
    656/15 ซ.วิมลสรกิจ ถ.จรัลสนิทวงศ์ ธนบุรี
    เรียน บก.หนังสืออาณาจักร พระเครื่อง

    ผม ได้อ่านหนังสืออาณาจักรพระเครื่องฉบับที่ออกต้นเดือนมิถุนายนแล้ว ผมสนใจเรื่องของหลวงพ่อโชติเพราะทำให้ผมถูกล็อตเตอรี่ได้เงินมาหลายพันบาท (ถูกเลขท้ายสามตัว 4 ใบ ผมซื้อ 10 ใบ) จึงได้เล่าเรื่องตามความเป็นจริงมาเพื่อขอให้คุณช่วยพิจารณาลงในหนังสืออาณา จักรพระเ
    ครื่องด้วย
    ลูกชายผมแขวนเหรียญที่มีชื่อว่า “ระลึกชาติ” สุนัขตัวใหญ่ได้เข้ามากัดน่อง กางเกงทะลุแต่ไม่เข้าผมแปลกใจจริง ๆ
    ผมขอให้กิจการของท่านเจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไป
    สวัสดี
    สนธิ
    เกี่ยวกับเรื่องเขี่ยก้อนหินแล้วเบาเหมือนสำลีนั้นได้เกิดขึ้นขณะที่ท่านกำลังทำความ
    สะอาด ถ้ำและรื้อก้อนหินแตก ๆ หัก ๆ ปรากฏว่ามีก้อนหินใหญ่กลิ้งตกลงมาทับท่าน พระลูกวัดได้ยินเสียงสนั่นหวั่นไหวก็กรูกันเข้ามาดูและท่านได้บอกว่า ท่านเอาเท้าเขี่ยก้อนหินนิดเดียว ทำไมจึงเบาเหมือนสำลี กระเด็นไกลตั้งหกเจ็ดวา

    ภายหลังเรื่องนี้จึงถูกเปิดเผยชัดเจนขึ้นดังนี้


    หลวง ปู่เล่าว่าท่านได้ขึ้นไปบนภูเขาหลังถ้ำ ขึ้นไปต่อยหินเพื่อทำทางขึ้นเขา บังเอิญหินก้อนใหญ่ตกกลิ้งลงมาทับท่าน และเวลานั้นสมเด็จโต วัดระฆัง มาช่วยท่านไว้ ท่านมีความรุ้สึกว่าตนเองตายแล้ว แต่จับเนื้อหนังตนเองแล้วทราบว่ายังมีชีวิตอยู่ ท่านจึงนมัสการสมเด็จโต และสมเด็จโตได้ถามท่านว่าจะสร้างพระสมเด็จไหม หลวงปู่ตอบว่าไม่เคยทำ สมเด็จโตก็บอกว่าถ้ารับปากว่าจะทำก็จะนำมาให้ ซึ่งท่านก็รับปาก ท่านบอกว่าเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ไม่มีความเจ็บปวดหรือบาดแผลใด ๆ เลย

    ต่อ มาก็มีชายไม่ทราบชื่อ เอาพระผงพิมพ์สมเด็จโตมาให้ ใส่ลังกระดาษมาถวายหลวงพ่อ บอกว่าได้มาจากกรุราชบุรี หลวงพ่อจึงรับไว้ทำพิธีอีกครั้งหนึ่งตลอด 3 พรรษา เมื่อครบแล้วจึงนำออกแจก ท่านตั้งชื่อว่า “สมเด็จมาเอง”

    ทั้งสมเด็จมาเอง และเหรียญโสฬสระลึกชาติไม่มีรูปให้ดู เพราะหาตัวอย่างพระไม่ทัน ขออภัยด้วย คงมีแต่เพียงภาพพระนิรันตรายปี 2506 ให้ดูองค์เดียวเท่านั้น

    แต่ชื่อว่าพระเครื่องของหลวงปู่โชติแล้วรุ่นไหนก็ดีหมด ถ้าพบเห็นแล้วให้คว้าไว้เลย อย่าลังเลสงสัยให้เสียการ

    พระ เครื่องของหลวงปู่โชติมีอยู่หลายรุ่น หลายรูปแบบ แต่ทุกวันนี้ไม่ค่อยได้พบเห็นปรากฏอยู่ในสนามหระเครื่องเท่าไหร่นัก เห็นจะเป็นเพราะว่าผู้มีอยู่กับตัวนั้นรู้จักเป็นพระเครื่องศักดิ์สิทธิ์ที่ ควรค่าแก่่ความหวงแหน

    อย่าไปคิดเรื่องมูลค่าของพระเครื่องหลวงปู่โชติให้ยุ่งหัวใจเลยครับ ถ้าทีทางพอเป็นไปได้ที่จะได้มาบูชาสักองค์หนึ่งก็ทำเถิด




    [​IMG]

    อีกรุ่นนะครับในหนังสือบอกว่าเป็นเหรียญของท่านด้วยครับ
    แต่สงสัยว่าทำมัยถึงเรียกว่าหลวงพ่อกตัญญูครับ พี่ๆท่านใดพอทราบข้อมูลรบกวนด้วยนะครับ


    [​IMG]
    <!--IBF.ATTACHMENT_2022-->

    ทั้ง 2 เหรียญ ผมก็หาอยู่ล่ะ แต่หาไม่ได้ครับ


    บทความนี้นำมาจาก

     
  8. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    หลวงปู่มั่นทำประโยชน์ต่อโลก
    <TABLE style="PADDING-BOTTOM: 10px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 5px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-BOTTOM: 5px; PADDING-TOP: 5px">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    ที่มา : หนังสือชาติสุดท้าย โดยหลวงตาพระมหาบัว

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วันนี้มีความรู้เรื่องหินธิเบตมาฝาก ลองอ่านกันดู ผมเองชอบใส่สร้อยหินธิเบตมาก ซื้อมาจากท่าพระจันทร์นั่นล่ะ บางเส้นทันท่านหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก บางเส้นเข้าพิธี 2451 สวยๆ ทั้งนั้น ราคาไม่แพงอย่างที่คิด แค่หลักร้อยต้นๆ มีทองใส่แต่ไม่ใส่ กลัวโดนงาบ ชอบใส่หินธิเบตที่ผ่านการอธิษฐานจิตนี่ล่ะถูกด้วยแถมพลังแรงมาก วันไหนจิตดี รูดสายสร้อยเล่นปรื๊ด จี๊ดจ๊าด สนุกดี ใครไปท่าพระจันทร์บ่อยๆ หาดูเถอะแต่ที่ดีและทันท่านคณาจารย์ยุคนั้นที่อธิษฐานจิตมีน้่อยร้านที่ไว้ใจได้จริงๆ ครับ

    <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="864"><tbody><tr><td align="center" bgcolor="#ffffff">
    </td> <td bgcolor="#ffffff">
    </td> <td align="center" bgcolor="#ffffff">ประวัติความเป็นมาของหินตาสวรรค์ธิเบต
    </td> </tr> <tr> <td bgcolor="#ffffff" height="15">
    </td> <td bgcolor="#ffffff">
    </td> <td bgcolor="#ffffff">
    </td> <td bgcolor="#ffffff">
    </td> <td bgcolor="#ffffff">
    </td> </tr> <tr> <td bgcolor="#ffffff">
    </td> <td bgcolor="#ffffff">
    </td> <td bgcolor="#ffffff"><table style="float: left;" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="32%"> <tbody><tr> <td width="30%">[​IMG]</td> <td width="70%">
    </td> </tr> <tr> <td height="19"></td> <td>
    </td> </tr> <tr> <td height="19">
    </td> <td>
    </td> </tr> </tbody></table> ธิเบต

    ตั้ง อยู่ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ติดกับแคชเมียร์ ด้านตะวันตก ตะวันออกเฉียงเหนือติด ยูนาน ซินเจีย –ชิงไห่ ของจีน ทิศใต้ติดพม่า – ภูฐาน – ศิขิม – เนปาลและอินเดีย นักสำรวจพบว่า เมื่อแปดหมื่นปีมาแล้ว ธิเบตจะจมอยู่ใต้ทะเล เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง ของธรรมชาติ ทำให้เมืองลี้ลับแห่งนี้ โผล่ขึ้นมาจนกลายเป็นเทือกเขาได้รับสมญานามว่า“หลังคาโลก“ ซึ่งทั่วโลก รู้จักในนาม EVEREST (เอเวอเรส ) เทือกเขา หิมาลัยที่สูงที่สุดในโลก ตั้งสูงตระหง่านเสียดฟ้า ที่จีนและ เนปาลมาจนทุกวันนี้


    ประวัติความเป็นมาของหินตาสวรรค์โบราณ

    คน จีนเรียกว่า ”ซี จ้าง เทียน จู” Tibet Heavenly Beads หินตาสวรรค์ธิเบตหรือหินลูกปัดตาสวรรค์ มีแหล่ง กำเนิดที่ธิเบต , ภูฐาน , ศิขิม , ทางแถบภูเขาหิมาลัย แต่พบแห่ง แรกที่ธิเบตเป็นพลอยมงคล ชนิดหายาก ซึ่งคนธิเบตเชื่อว่าเป็น หินจากสวรรค์ หินสวรรค์เป็น หินชะนวน ลายเส้นเก้าตา มีส่วน ผสมของหยกและหินโมรา เป็น 1 ใน 7 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประจำวัด ธิเบต จากหนังสือประวัติศาสตร์อ้างอิงถึงหินตาสวรรค์ไว้ว่า หิน สวรรค์ 9 ตา ภายในหินมีแรง สนามแม่เหล็กอย่างมหาศาล จาก การวิจัย ของนักฟิสิกส์ญี่ปุ่นรับรองผลว่า แร่ธาตุเดิมเมื่อ 3 - 4 พันปีนั้น เป็นหินขว้าง ฟ้า หรือหินอุกกาบาตจากดาวพระอังคาร เมื่อตกลงมายังพื้นโลกกระแทก กับเทือกเขาหิมาลัยอย่างแรง ทำให้เกิดแร่ธาตุ 14 ชนิด ของสะเก็ดดาว และพบว่าส่วนผสม ของแร่ธาตุที่มีมากสุด คือ Ytterbium ( ฮีทเรียม ) และยังค้น พบว่า มีแต่หินตาสวรรค์โบราณจากธิเบตโบราณ จะใช้คุณ สมบัติ พิเศษนี้ ทำเป็นเครื่องประดับต่างๆ สวมใส่หรือบูชาเพื่อขจัดสิ่ง ชั่วร้าย และยังใช้ในการแก้โรคเกี่ยวกับโลหิต , บำบัด โรคชัก , เพิ่มพลังต้านทาน แก่ร่างกาย หินตาสวรรค์มีสนามแม่เหล็กมาก เป็น 3 เท่าของคริสตัลเพราะคริสตัลมีแค่ 4 โวลท์ ส่วนหินตาสวรรค์มี 13 โวลท์ หินยิ่งแข็งแม่เหล็กจะยิ่งแรง แต่หินตาสวรรค์เป็นหินกึ่งพลอย ซึ่งมีความแข็ง 7 – 8 โมส ยกเว้นพลอยแอฟริกาใต้ ซึ่งมีความแข็ง 10 โมส นอกนั้น คงไม่มีหินชนิดใดที่มีความแข็งมากกว่าหินตาสวรรค์แล้ว


    ตำนานหินตาสวรรค์โบราณ

    ตาม ตำนานอันเก่าแก่ คนธิเบตเล่าขานว่าหินตาสวรรค์โบราณหรือของแท้นั้น เป็นสิ่งล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง มีคุณสมบัติใน การ ขจัดสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง นำมาซึ่งสิริมงคลมาแทน ทำให้ผู้สวมใส่พ้นจากภัยอันตรายรอบตัว บางคนชอบอ้างศาสนา โดยไม่ ได้ เข้าถึงธรรมะ ควรมีความศรัทธาต่อพระพุทธองค์และบูชาอยู่เป็นนิจ จะได้ผลบุญตอนแทนนอกเหนือจากนั้น ตามตำนาน การแพทย์ของธิเบตบันทึกไว้ว่า หินตาสวรรค์โบราณหรือหินลูกปัดของแท้นั้น จะมีคุณสมบัตินอกเหนือจาก เพิ่มพลัง ภูมิต้านทานแล้ว ยังมีพลังอำนาจในการบำบัดและรักษาโรคชัก แต่ของแท้นั้นจะหาได้ยากยิ่ง เล่าขานว่า ชาวนา ธิเบตเมื่อขุดดิน เคยพบหินตาสวรรค์ฝังในดินและคนเลี้ยงแกะก็เคยกองมูลสัตว์พบเช่นกัน จึงเชื่อว่าเป็นหินสวรรค์ไม่ได้ ทำจากฝีมือมนุษย์ หัวข้อเรื่องประวัติความเป็นมา วิธีการทำและความหมายอันแท้จริงของหินตาสวรรค์นั้น ยังเป็นที่ถก เถียงจนทุกวันนี้ ไม่มีการสิ้นสุด แต่อย่างไรก็ตาม คนธิเบตจะไม่ยอมขายมรดกตกทอดชิ้นนี้แก่ใครเด็ดขาด เพราะเชื่อว่า จะทำให้หมดโชคลาภ โรคภัยไข้เจ็บมาเยือนหรืออาจทำให้เสียชีวิตได้ จากหนังสือประวัติจีนเคยบันทึกไว้ว่า ขุนนางผู้ใหญ่ และคุณหญิง คุณนาย ธิเบตสมัยนั้น จะสวมใส่หินตาสวรรค์เป็นเครื่องประดับประจำกายและออกงานโอกาสต่างๆ ปัจจุบัน คนธิเบตในท้องถิ่นนั้น จะหาทุกวิธีทางหาแหล่งหินตาสวรรค์หรือหินลูกปัดนี้ แม้กระทั่งยังหาทางติดต่อหาซื้อกับญาติ ผู้ตายหรือผู้สืบทอด เพื่อขาย ไปยังกวางเจา , เซียงไฮ้ , ไต้หวัน และฮ่องกง ซึ่งราคาจะสูงลิบลิ่วหรือเรียกตามความพอใจ ไม่มีราคาแน่นอน นอกจาก คุณค่า ที่กล่าวข้างต้น หินตาสวรรค์จะแตกต่างกับเพชรพลอย ซึ่งสามารถจะขุดพบได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะทางแถบเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น , ไต้หวัน , ฮ่องกง , จีน จะตั้งเป็นชมรมนักสะสมหินตาสวรรค์โบราณ จะไม่มีการ ซื้อขายในท้องตลาด และไม่มีข้อมูลเผยแพร่ ทางด้านนี้สู่โลกภายนอกเมื่อมีความต้องการมาก ทำให้ปัจจุบันมีคนลอกเลียน แบบออกมา เรียกว่า “ หินตาสวรรค์ใหม่ “ ซึ่งใช้วัสดุน้ำยางถูกๆ , กระจกหรือหินมีตำหนิมาแทน เราสามารถหาซื้อ “หินตา สวรรค์ใหม่” ได้จากห้างสรรพสินค้าใหญ่ , ตลาดหยก , ร้านขายของเก่าที่ไต้หวัน , ฮ่องกง , จีน โดยชั่งขายเป็นน้ำหนัก

    สรุปได้ว่า คนธิเบตถือว่าการที่จะได้ครอบครอง “ หินตาสวรรค์ ” โบราณนั้น คงเป็นบุญวาสนาจากชาติปางก่อน

    จากข้อมูลชมรมนักสะสมหินตาสวรรค์ประเทศไต้หวันเล่าว่า หินลูกปัดของธิเบต มักจะมีสีดำ, ขาว และน้ำตาลอ่อน หรือ เข้มส่วนใหญ่จะเป็นหินอาเกตหรือหินโมรา จะมีลวดลายสัญลักษณ์แตกต่างกัน เชื่อกันว่า หินตาสวรรค์เป็นสะเก็ดดาวตกที่ร่วง หล่นจากฟากฟ้า จึงมีลวดลายสัญลักษณ์จากต่างดาว เช่น พระอาทิตย์, พระจันทร์, ดวงดาว, ดวงตา, วงกลม (ฟ้า) สี่เหลี่ยม (ดิน), ดอกบัว, สายฟ้า, แจกันหรือตัวหนังสือมงคล เช่น โซ้ว (อายุวัฒนะ), ต้าเหยินหรือกุ้ยเหยิน(ผู้ยิ่งใหญ่) เป็นต้น ส่วนรูปทรงจะแยกเป็นแป้นกลม, ยาวรี, รูปงาช้าง, เขี้ยวเสือ, มนเหลี่ยม, มุมเมอแรง... ด้านคุณค่าของหินจะแตกต่างกันออกไป ตามลวดลายสัญลักษณ์ที่สลักไว้ ส่วนใหญ่จะเน้นด้านพลังอำนาจในการปกป้องคุ้มครอง-แคล้วคลาดปลอดภัย-ขจัดสิ่ง ชั่วร้าย โชควาสนาอายุวัฒนะ, อำนาจบารมี, ความเจริญรุ่งเรือง, คู่ครองหรือครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข, สมปรารถนา เป็นต้น นอกจาก เป็นเครื่องประดับแล้วยังนำมาบูชาบนพระพุทธรูป เป็นพระพุทธรูปทองคำทรงเครื่องแห่งวัดต้าจาว เมืองลาซา ซึ่งมีประวัติ บันทึกในราชวงศ์ถัง(ค.ศ.641) องศ์หญิงเหวินเฉิง ได้นำพระพุทธรูปทองคำติดตัวมาเมื่อครั้งอภิเษกสมรสกับพระเจ้าสรองตา สันคัมโป (ดูภาพประกอบ) ซึ่งมงกุฎจะประดับด้วยหินสวรรค์ 9 ตา, เขี้ยวเสือ, แจกันศักดิ์สิทธิและหินสวรรค์ 2 ตา, 3 ตา เป็นเครื่องชี้ชัดว่า หินตาสวรรค์เป็นเครื่องราชบรรณาการที่สำคัญและสูงค่ายิ่งสำหรับถวายแก่ราช สำนัก หลายพันปีมาแล้ว


    </td> <td bgcolor="#ffffff">
    </td> <td bgcolor="#ffffff">
    </td> </tr> <tr> <td bgcolor="#ffffff" height="15">
    </td> <td bgcolor="#ffffff">
    </td> <td bgcolor="#ffffff">
    </td> <td bgcolor="#ffffff">
    </td> <td bgcolor="#ffffff">
    </td> </tr> <tr> <td bgcolor="#ffffff">
    </td> <td bgcolor="#ffffff">
    </td> <td bgcolor="#ffffff"> คุณค่านานัปการที่ได้รับจากหินตาสวรรค ์

    • สักการะบูชาพุทธองค์ การค้าคล่อง , สังคมดี , เพิ่มราศี
    • สักการะบูชาองค์เทพารักษ์แห่งสวรรค์ – เพิ่มโชคลาภ
    • สร้อยคอ – สร้างบรรยากาศ – คลายเครียด – หลับสนิท
    • ข้อมือ – ระบบการย่อยดีขึ้น
    • แหวน – การติดต่อราบรื่น – ซึมซาบธรรมะ
    • ตุ้มหู – ระบบประสาท – สร้างความสัมพันธ์กับผู้ร่วมงานดี
    • เข็มกลัด – สร้างบรรยากาศสนทนา – มนุษย์สัมพันธ์ดี
    • ห้องนอน – ผ่อนคลายหลับสบาย – ธุรกิจลื่นไหล
    • โต๊ะหนังสือ – เพิ่มสมาธิในการอ่านเขียน – ความจำดีขึ้น
    • ห้องรับแขกหรือ สำนักงาน – สร้างบรรยากาศสบาย – ผูกมิตรง่าย


    ผลแห่งการสวมใส ่

    • ปรับสมดุลในร่างกาย – ขับเคลื่อนการหมุนเวียนโลหิต – สร้างภูมิต้านทาน
    • ขจัดสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง ซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษของ “ หินตาสวรรค์ ”
    • เป็นที่รักใครในหมู่เพื่อนฝูงและผู้ร่วมงาน – การค้าและการงานเจริญก้าวหน้า
    • เพิ่มความมั่นใจ – ไม่กลัวอุปสรรค – สร้างบรรยากาศในห้องสบาย
    • ขจัดสิ่งชั่วร้าย และอัปมงคลออกไปนำซึ่งสิ่งดี ๆ และสิริมงมลเข้าทดแทน
    • พ้นภัยอันตรายและอุบัติเหตุ
    • หยุดยั้ง – ลดอาการโรค เช่น โรคหัวใจ – ปวดเมื่อย – ความดัน
    • เพิ่มพลัง – การหมุนเวียนโลหิตดีขึ้น
    • จิตใจแจ่มใส – ร่าเริงอยู่เสมอ
    • ผ่อนคลายและหลับได้สนิท

    สัญลักษณ์และความหมายหินสวรรค์

    หินสวรรค์พุทธคุณ
    ส่วนใหญ่จะมีลักษณะทรงเมล็ดถั่วหรือลูกปัดเส้นกลมตรงกลางจะมีลายเส้นขาว หนึ่งเส้น ใช้ สำหรับร้อยลูก ประคำโดยเฉพาะสานุศิษย์ทางพุทธศาสนาของธิเบต

    หินสวรรค์ 1 ตา ทำให้จิตใจแจ่มใส – คลายเครียด – เพิ่มพูนเชาว์ปัญญา

    หินสวรรค์ 2 ตา กิ่งทองใบหยก – ครอบครัวสุขสันต์ – ชีวิตคู่ราบรื่น – มนุษย์สัมพันธ์ดี

    หินสวรรค์ 3 ตา เทพ ฮก ลก ซิ่ว บันดาลโชคลาภ อำนาจบารมี อายุวัฒนะ

    หินสวรรค์ 4 ตา สุขสมบูรณ์ – โชคลาภ – ลดความทุกข์ด้าน เกิด แก่ เจ็บ ตาย สมดุลธาตุทั้ง 4 คือ ดิน ,น้ำ ,ลม ,ไฟ

    หินสวรรค์ 5 ตา พระโพธิสัตว์ทั้ง 5 บันดาลโชคลาภมหาศาล ราบรื่นไร้อุปสรรค

    หินสวรรค์ 6 ตา ขจัดสิ่งชั่วร้าย ปรับสมดุลแก่ชีวิต โชคลาภมาเยือน

    หินสวรรค์ 7 ตา เจ็ดพระพุทธแผ่เมตตา เสริมราศีพร้อมโชคลาภ

    หินสวรรค์ 8 ตา อำนาจ 8 พระพุทธ เงินทองเพิ่มพูน สมหวังดั่งใจ

    หินสวรรค์ 9 ตา โชควาสนา 9 ขั้น บุญบารมีมากล้น จุดประกายแห่งปัญญา

    หินสวรรค์ 10 ตา ขจัดอุปสรรคทั้งปวง อำนาจ บารมี สุขสมหวัง

    หินสวรรค์ 11 ตา 5 พุทธคุณ และคาถาทั้ง 6 รวมโชควาสนา

    หินสวรรค์ 12 ตา ชื่อเสียง – กล้าหาญ – อำนาจ – สุขสดชื่นสมหวัง

    หินสวรรค์ 13 ตา โชคทั้ง 8 และพุทธคุณทั้ง 5 จิตสงบ

    หินสวรรค์ 15 ตา แก้วทั้ง 7 และพรทั้ง 8 สมปรารถนาทุกประการ

    หินสวรรค์ 21 ตา เพิ่มพลังอำนาจ สมปรารถนาทุกประการ

    หินสวรรค์แจกันศักดิ์สิทธิ์ แคล้วคลาดปลอดภัย ทรัพย์สินเพิ่มพูน

    หินสวรรค์ดอกบัว ตัวแทนขาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง – บารมี – สันติสุข – สดชื่น – โชควาสนา


    หินสวรรค์เขี้ยวเสือ มีลายเขี้ยวเสือ มีอำนาจในการปราบมาร สานุศิษย์ธิเบตถือเป็นพระคัมภีร์แห่งตะวันออก ชำระล้างจิตใจ และใช้อุปสรรคสำหรับผู้ถือศีล คนธิเบตต้องเรียกว่า “ หินสวรรค์สายฟ้า ” และภายนอกจะคล้ายลาย “ หินสวรรค์ฟันม้า ” ประเมินค่ามิได้ส่วนลายเสือจะแตกต่างหลายรูปแบบคือ ลายพบยาก ลายหาง่าย และลายทั่วไป

    หินตาสวรรค์เขี้ยวเสือเดี่ยว ปกป้องคุ้มครอง คาบอเงินคาบทอง

    หินตาสวรรค์เขี้ยวเสือคู่ กล้าแกร่ง ขจัดสิ่งชั่วร้าย คาบเงินคาบทองทวีคูณ

    หินสวรรค์เขี้ยวเสือ 3 ตา โชควาสนา อำนาจ อายุ คาบเงินคาบทอง

    หินตาสวรรค์ลายเสือ อดทนกล้าหาญ ขจัดสิ่งชั่วร้าย จุดประกายแห่งปัญญา

    หินตาสวรรค์ลายมังกรไฟ เป็นการจุดไฟบูชาเทพเจ้า


    หินสวรรค์ฟันม้า คนธิเบตเรียกหินชนิดนี้เป็น “ หินสวรรค์ผู้พิทักษ์พระคัมภีร์ ” “ หินสวรรค์เขี้ยวเสือเล็ก ” ถ้าเป็นของแท้ แต่ละเม็ด จะมีลายคลื่นสีดำแค่เส้นเดียวเพราะภายนอกจะคล้าย หินสวรรค์ลายเสือ จึงมีคนเรียกหินสวรรค์ลายเสือและฟันม้า เป็น “ หินสวรรค์สายฟ้าคู่ ”

    หินเส้นสาย หินตาสวรรค์เส้นสายยังเรียกว่าหินลายเส้น ยังไม่ถือเป็นหินตาสวรรค์แท้เพราะจะเลือก หินโมราสีส้มหรือสีขาว ธรรมชาติฝังเส้นขาวและดำ 2 เส้น เมื่อนำมาส่องดูใต้แสง อาทิตย์สองข้างของสีส้มจะโปร่งแสง แต่ลายเส้นจุดดำ และขาว นั้นจะทึบหิน ลักษณะนี้ ถือว่าเป็นของชั้นยอดบางครั้งถ้าสวมใส่นานแล้ว ปรากฏลายเส้นหลุดหายไปนั่นแสดงว่าเป็นการเพิ่ม ลายเส้นบางที่ตัวหินเท่านั้น หินเส้นสายจะมีส่วนคล้ายหิน ตาสวรรค์เขาแพะเพราะใช้หินโมราธรรมชาติสีดำหรือสีกาแฟ ฝังลายเส้นสีขาวเข้าไป

    หินตาสวรรค์ลาย 3 เส้น โชควาสนาพรั่งพร้อม กลับร้ายเป็นดี สำเร็จผลดั่งใจ

    หินตาสวรรค์ฟ้าดิน สังเกตจากลาย ทรงกลมแทนฟ้าและสี่เหลี่ยมแทนดินคนค้าขายจะนิยมสวมใส่ หินตาสวรรค์ ชนิดนี้เพราะนำแต่โชคลาภ ยังแบ่งออกเป็นประตูดินคู่ – ฟ้าดินและฟ้าดินคู่ซึ่งฟ้าดินคู่จะหายากที่สุด


    หินแป้นกลม ยังเรียกว่า “ หินตาสวรรค์ตาแพะ ” คนธิเบตเรียกว่า “ ดูมิ ” หมายถึง ดวงตาแห่งพระอาทิตย์ หินแป้นกลมจะ พบมากที่ธิเบต , ปากีสถาน และแถบอียิปต์ ถือเป็นหินตาสวรรค์ที่นิยมทั่วไปยังแยกเป็นแนวตั้ง และแบบแบนเรียบคนอินเดีย ยังเรียกหินชนิดนี้ว่าดวงตา เชื่อกันว่าสามารถจะปราบมารขจัดสิ่งชั่วร้ายและการค้าก้าวหน้า เงินทองไหลมาเทมา

    หินตาสวรรค์อายุวัฒนะ จะมีลักษณะเหมือนกระดองเต่า ซึ่งถือว่าอายุจะยืนยาวและสุขภาพแข็งแรง

    หินตาสวรรค์ประกายรุ้ง เป็นหินตาสวรรค์ลายเสือชนิดหนึ่งจะมีลักษณะกลมสั้นหาได้ยากยิ่ง ถ้าสังเกตให้ดีลายเส้นตรง กลางเป็นเส้นตรง ส่วนสองข้างจะเป็นคลื่น ซึ่งจะตรงกับตัวอักษรจีนว่า “ น้ำ ” จึงเรียกอีกว่า “ หินตาสวรรค์ลายน้ำ ” อีกชื่อ เรียกว่า “ หินตาสวรรค์ลายเสือพบยาก ” ในพระคัมภีร์ธิเบต จะเป็น ตัวแทนการปราบมาร – ขจัดอุปสรรค – จะมีมูลค่า ต่ำกว่าหินตาสวรรค์บัวงามเท่านั้น ( ชนิดหินสวรรค์ทรงกลม )


    หินตาสวรรค์ขาวดำ มีอายุประมาณ 500 ปีก่อน จะพบทางอินเดียและปากีสถานจะมีลายเส้นกระจายทั่ว อาจมีเส้นขาวใต้ดำ หรือเส้นดำใต้ขาวหรือขาวดำปนกัน

    หินตาสวรรค์ใบโพธิ์ ขจัดภัยและปลดทุกข์ ขจัดร้ายเป็นดี

    หินตาสวรรค์ลายน้ำ เงินทองใหลมาดั่งสายน้ำ อยู่เย็นเป็นสุขนิรันดร

    หินตาสวรรค์สุริยันจันทรา หยินหยางผสาน ปรับสมดุลให้ชีวิต ร่มเย็นเป็นสุข

    หินตาสวรรค์ว่านจื้อ สัญลักษณ์แห่งแสงธรรม นำโชคลาภและสงบสุข

    หินตาสวรรค์ขอเกี่ยวทอง ตะขอเกี่ยวโชคลาภ เกี่ยวเงินเกี่ยวทอง บารมีมากล้น

    หินตาสวรรค์ภูผา กล้าหาญเด็ดเดี่ยว มั่นคงดั่งภูผา สำเร็จผลทุกประการ

    หินตาสวรรค์ภูผาสายน้ำ โชคลาภมหาศาล อาิยุวัฒนะ

    หินตาสวรรค์พระเนตร สมหวังดั่งใจ มั่งมีศรีสุข

    หินตาสวรรค์พระมาลาลามะ อำนาจพระลามะขจัดสิ่งชั่วร้ายรอบทิศ

    หินตาสวรรค์นกอินทรีย์ ขจัดโรคภัยไข้เจ็บ และสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง

    หินตาสวรรค์หยู่อี่ สมปรารถนาทุกประการ อยู่เย็นเป็นสุข


    คนธิเบตถือว่า : “ ผู้ที่ได้ครอบครองตาสวรรค์แท้นั้น เป็นผู้มีบุญวาสนาจากชาติปางก่อน



    [​IMG]
    คลิกเพื่อดูรูปขยาย

    http://luckybead.com/article_01.php
    </td></tr></tbody></table>
     
  10. teerins

    teerins เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +1,796
    วันนี้โอนเงินทำบุญกับพระสงฆ์อาพาธ จำนวนเงิน 309 บาท

    อนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    บทคัดย่อของทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธครับ

    http://www.vcharkarn.com/vblog/34941/136
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    นอกเหตุเหนือผล สำหรับคุณ teerins ครับ


    [​IMG]
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    “รู้จริง” กับ “จำได้” ไม่เหมือนกัน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)


    “การรู้จริง” กับการ “จำได้หมายรู้” นั้น มิใช่เป็นอย่างเดียวกัน ผลจึงไม่เหมือนกัน รู้จริงผลจึงจะจริง รู้แบบจำได้ผลก็ย่อมเป็นผลแบบที่จำมาได้เท่านั้น ความรู้ให้จริงจึงสำคัญมากสำหรับผู้ปรารถนาผลจริงและความรู้จริงในอริยสัจจ์ จะเกิดได้ ก็ต้องอาศัยความจำได้เป็นเพียงพื้นฐาน แล้วปฏิบัติให้เกิดความรู้จริงขึ้นมาด้วยตนเอง

    คำว่าปฏิบัติในที่นี้ หมายถึง “การพิจารณาเหตุผลทบทวน ไม่ว่างเว้นจนได้ความรู้จริงประจักษ์ใจ” ได้ ความรู้จริงในอริยสัจจ์ประจักษ์ใจขั้นไหนก็วางทุกข์ได้ขั้นนั้น มากน้อยตามขั้นของความรู้จริงนั้นไม่ว่าจะเป็นทุกข์ในเรื่องใดก็ตาม ความรู้จริงในอริยสัจจ์ย่อมแก้ได้ทั้งสิ้น

    ดังนั้นความรู้จริงในอริยสัจจ์จึงเป็นยอดของความรู้ที่ผู้ปรารถนาความพ้น ทุกข์ ตั้งแต่น้อยที่สุดจนถึงมากที่สุดจะพึงปฏิบัติอบรมให้เกิดขึ้น

    : การบริหารทางจิตสำหรับผู้ใหญ่
    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


    “รู้จริง” กับ “จำได้” ไม่เหมือนกัน : อาหารสมอง


     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    [​IMG]



    เกิดมาพบพระพุทธศาสนาเป็นผู้มีบุญอย่างยิ่ง แต่ผู้ปฏิบัติพระพุทธศาสนา คือปฏิบัติให้จริงตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเป็นผู้มีบุญสูงสุด

    พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ประเสริฐสุด ไม่มีที่เปรียบได้ เพราะพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่จะพาไปให้รู้จักพลังพิเศษ คือ ความคิดที่สามารถทำลายความทุกข์ได้ ตั้งแต่ทุกข์น้อย จนถึงทุกข์ทั้งปวง จนถึงเป็นผู้ไกลทุกข์สิ้นเชิง ไม่มีเวลากลับมาให้เป็นทุกข์อีกเลย ตลอดไป

    ผู้มีพลังพิเศษพาหนีทุกข์ได้ พาดับทุกข์ได้ พาพ้นทุกข์ได้ คือผู้มีความคิดพิเศษ และความคิดพิเศษนี้เกิดได้จากความรู้จักปฏิบัติพระพุทธศาสนาเท่านั้น

    พลังแห่งความคิดพิเศษ หรือความคิดพิเศษนั่นเอง ที่เป็นผู้ช่วยยิ่งใหญ่ พร้อมที่จะช่วยทุกคนที่รู้ค่าของความพิเศษ ที่ยอมรับยอมเชื่อ ว่าความคิดพิเศษนั้นมีอำนาจใหญ่ยิ่งจริง อาจพาให้พ้นทุกข์ได้จริง ทั้งทุกข์น้อยทุกข์ใหญ่ จนถึงทุกข์สิ้นเชิง

    จะทุกข์หรือไม่ทุกข์ อยู่ที่ความคิดของตนเองนี้เป็นสัจจะ คือเป็นความจริงแท้ ไม่ว่าผู้ใดจะเชื่อหรือจะไม่เชื่อก็ตาม ก็เป็นความจริง ผู้ใดจะทุกข์หรือไม่ทุกข์ อยู่ที่ความคิดของผู้นั้น

    ไม่มีผู้ใดที่ไม่ปรารถนาความไม่มีทุกข์ ทุกคนล้วนปรารถนาความไม่มีทุกข์ แต่ไม่ทุกคนที่ยอมรับความจริง ว่าการที่หนีความทุกข์ไม่พ้นนั้นเป็นเพราะคิดไม่เป็น ถ้าคิดให้เป็นจะไม่มีความทุกข์ใดใกล้กรายได้เลย เพราะความคิดนั้นแหละคือกำลังสำคัญที่สามารถทำไม่ให้ทุกข์เกิดได้

    ความคิดไม่เป็น หรือความคิดไม่ถูก ของตนเองเท่านั้น ที่ทำให้ความทุกข์กลุ้มรุมใจตน ไม่มีการกระทำคำพูดของผู้ใดอื่นจะอาจทำให้ความทุกข์กลุ้มรุมใจใคร ถ้าใครนั้นเป็นผู้รู้จักคิดให้เป็น รู้จักคิดให้ถูก ความคิดจึงสำคัญนัก ความคิดจึงมีพลังนัก มีอิทธิพลนัก ต่อชีวิตจิตใจผู้คนทั้งปวง ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะ ไม่เลือกสูงต่ำ ร่ำรวยหรือยากดีมีจนเพียงใดก็ตาม

    ผู้ปรารถนาความเบิกบานสำราญใจไม่เศร้าหมองร้อนรนด้วยความทุกข์ พึงเห็นความสำคัญของความคิดให้มาก เห็นให้จริงใจว่า ความคิดของใครก็ตามที่ถูกต้องเป็นธรรมจะนำไปสู่ความเบิกบานสบายใจแน่นอน สมดังที่ปรารถนาอยู่ทุกเวลานาที



    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    : แสงส่องใจ วัดบวรนิเวศวิหาร ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๗


    ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14661
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    [​IMG]

    : พระคติธรรม...สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
    <hr style="" size="1"> <!-- / icon and title --> <!-- message --> สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    พื้นแผ่นดิน แม่น้ำ ภูเขา ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ คนเรามีปัญญาถมให้เป็นถนน ขุดให้เป็นแม่น้ำ ลำคลอง ทำสะพานข้ามแม่น้ำใหญ่ สร้างทำนบกั้นน้ำ ฉันใด

    ความขรุขระของชีวิตเพราะกรรมเก่าก็ฉันนั้น เหมือนความขรุขระของแผ่นดินตามธรรมชาติ คนเราสามารถประกอบกรรมปัจจุบัน ปรับปรุงสกัดกั้นกรรมเก่า เหมือนอย่างสร้างทำนบกั้นน้ำเป็นต้น เพราะคนเรามีปัญญา

    อันที่จริงทั้งความสุขทั้งความทุกข์เป็นอุทกภัยเหมือนกัน ถ้ามีสิ่งที่เป็นเกาะเป็นที่พึ่งของใจดีแล้วก็ไม่เดือดร้อน การทำใจก็คือคนมีเกาะของใจดีที่ได้สร้างสมมาแล้ว และกำลังสร้างสมอยู่

    ผู้ที่ทำกรรมดีอยู่มากเสมอๆ จึงไม่ต้องกลัวกรรมชั่วในอดีต...หากจะมีกุศลของตนก็จะชูช่วยให้มีความสุข ความเจริญสืบไป และถ้าได้แผ่เมตตาจิตอยู่เนื่องๆ ก็จะระงับคู่เวรอดีตได้อีกด้วยระงับได้ตลอดถึงปัจจุบัน

    : พระคติธรรม
    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก




    ที่มา : ::
     
  16. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    กราบขอบพระคุณและโมทนาบุญกับทุกๆท่านนะครับที่ได้ร่วมกันบริจาคทรัพย์ให้กับทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร เพื่อนำไปใช้ในการสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์ที่กำลังอาพาธอยู่ตามโรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศ(ขณะนี้ก็ 7 โรงพยาบาลแล้ว)

    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ

    ทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร จะได้ไปทำบุญกันประจำเดือนพฤษภาคมนี้ในวันอาทิตย์ที่
    24 พฤษภาคม 2552 ที่โรงพยาบาลสงฆ์ท่านใดที่จะไปร่วมกันทำบุญที่โรงพยาบาลฯก็ขอเรียนเชิญเลยนะครับ ไปถึงสัก 7.00-7.15 น.ก็ดีนะครับจะได้ไปช่วยกันบรรจุภัตตาหารและของที่จะถวายพระตอนเช้าด้วยมือของท่านเอง หากจะนำของมาร่วมสมทบถวายพระด้วยเช่น นม ขนมหวาน น้ำผลไม้ ฯ ก็ยินดีนะครับ ได้สอบถามทางโรงพยาบาลฯในตอนนี้มีพระภิกษุสงฆ์ที่มานอนอาพาธรักษาตัวอยู่ 180 รูปครับ

    ท่านใดที่ยังไม่เคยไปก็ให้ตรงเข้าทางประตูด้านหน้าโรงพยาบาลฯไปที่โรงอาหารสวัสดิการของทางโรงพยาบาลฯที่อยู่ทางด้านหน้าซ้ายสุดของโรงพยาบาลด้านสี่แยกศรีอยุธยาครับ (เปลี่ยนที่แล้วครับ)หรือถ้าไปไม่ถูกก็ถามยามรักษาการณ์ก็ได้ครับ แล้วเจอกันนะครับ

    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2009
  17. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    พระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว
    โดย พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร


    <HR SIZE=1>

    <!-- / icon and title --><!-- message -->
    [​IMG]

    ด้วยพระเมตตาแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อพสกนิกรชาวไทย พระองค์ประดุจพระผู้สร้างแผ่นดิน ทรงเป็นดั่งผู้มอบชีวิต มอบความรุ่งเรือง มอบความเจริญงอกงามภายในหัวใจคนไทยทั้งชาติ ทรงเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นแรงบันดาลใจจุดประกายพลังแผ่นดิน

    หากเราได้มีโอกาสศึกษาพระบรมราโชวาท แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เราจะเข้าใจได้อย่างแจ่มชัดด้วยคำสอนที่พระองค์ทรงพระราชทานให้แต่ละข้อแต่ละอย่างนั้น ล้วนเกิดขึ้นจากการที่พระองค์ทรงไตร่ตรองพิเคราะห์ถึงปัญหานั้นอย่างถ่องแท้แล้วว่า จะเป็นหนทางแห่งการแก้ปัญหาการดับทุกข์ได้ด้วยสมาธิ

    ธรรมดาสภาวะจิตอันเป็นสมาธินั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นจากการบังคับควบคุม เกิดขึ้นจากความผ่อนคลาย หรือเกิดขึ้นจากภาวะคับขันต่อการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้า จะทำให้ต้องเร่งรวบรวมสติให้มั่น ไม่ว่าสมาธิจะเกิดขึ้นอย่างไร สมาธิเป็นของดี เป็นของที่เกิดขึ้นได้จากการฝึกฝน เป็นของที่มีอยู่ในกายและในจิตอันพร้อมเป็นของเข้าใจได้ เป็นของเข้าใจง่าย และใช้ได้กับคนทุกเพศทุกวัย และความเข้าใจอันแจ่มชัดที่แสดงให้เห็นว่า สมาธิเองก็มิใช่ของที่เกิดขึ้นโดยลำพังหรือใช้โดยลำพัง ​

    แต่สมาธิที่ดีจะยังประโยชน์แก่ผู้อื่นได้มาก หากผู้ใช้สมาธิรู้จักการปฏิบัติอันถูกต้อง ถูกต้องทั้งแก่ตนแลถูกต้องทั้งแก่ผู้อื่น ดังที่ได้ศึกษาจากรอยพระจริยวัตรแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช อันได้แสดงไว้ถึงเรื่องราวของ “พระสมาธิ”


    [​IMG]

    พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน

    ผู้ที่เคยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ในงานหรือพิธีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องประทับอยู่เป็นเวลานานๆ เช่น ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร คงจะได้เห็นด้วยความพิศวงกันทุกคนว่า พระเจ้าอยู่หัวนั้นเมื่อทรงนั่งลงแล้ว จะประทับอยู่ในพระอิริยาบถนั้นตั้งแต่เริ่มพิธีไปจนกระทั่งจบ ไม่ทรงเปลี่ยนพระอิริยาบถเลย นอกจากนั้น ยังทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างกระฉับกระเฉงต่อเนื่อง ไม่มีพระอาการที่แสดงว่าทรงเหนื่อย หรือทรงเบื่อเลย ผมเคยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร พิธีนั้นยาวถึงประมาณ ๔ ชั่วโมง และมีบัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษาเฝ้าฯ รับพระราชทานปริญญาบัตรเป็นจำนวนหลายพันคน ได้เห็นเหตุการณ์เช่นว่านั้น แต่ผมได้เห็นมากกว่านั้นคือ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับไปถึงพระตำหนักจิตรลดารโหฐานในตอนค่ำวันนั้น พระเจ้าอยู่หัวยังทรงออกพระกำลังบริหารพระวรกายด้วยการวิ่งในศาลาดุสิตาลัยอีก

    ในการประกอบพระราชกรณียกิจอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติด้วยพระอาการที่แสดงว่าเอาพระทัยจดจ่ออยู่กับพระราชกรณียกิจนั้นๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ทรงเหนื่อยหรือเบื่อหน่าย เช่น ในการทรงดนตรี (ที่ใครๆ มักจะนึกว่าเป็นการหย่อนพระราชหฤทัย) เป็นต้น ผมเคยเห็นพระเจ้าอยู่หัวประทับทรงดนตรีตั้งแต่หัวค่ำจนสว่าง โดยทรงนั่งไม่ลุกเลยแม้แต่จะเพื่อเสด็จฯ ไปห้องสรง ในขณะที่นักดนตรีอื่นๆ ลงกราบแล้วถอยหลังลุกไปเข้าห้องน้ำกันเป็นครั้งคราวทุกคน ในการทรงเรือใบก็เช่นเดียวกัน ทรงจดจ่ออยู่กับการบังคับเรืออย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งจบ ครั้งหนึ่งเสด็จฯ ออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นเรือใบเข้าฝั่ง ตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯ อยู่ ด้วยความฉงนว่า เสด็จฯ กลับเข้าฝั่งเพราะเรือใบพระที่นั่งแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวล์ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเห็น

    แสดงว่าการทรงดนตรีก็ดี ทรงเรือใบก็ดี สำหรับพระเจ้าอยู่หัวเป็นงานอีกชนิดหนึ่ง ที่จะต้องทำด้วยความจดจ่อและต่อเนื่องไปจนกว่าจะเสร็จเหมือนกัน พระราชกรณียกิจอื่นๆ ทั้งน้อยและใหญ่ ทรงปฏิบัติแบบเดียวกัน คือด้วยการเอาพระราชหฤทัยจดจ่อไม่ทรงยอมให้ขาดจังหวะจนกว่าจะเสร็จ และไม่ทรงทิ้งขว้างแบบทำๆ หยุดๆ เพราะฉะนั้นจึงจะเห็นว่าพระราชกรณียกิจทั้งหลายนั้นสำเร็จลุล่วงไปเป็นส่วนใหญ่

    ผมไปรู้เอาหลังจากที่เข้ารับราชการในตำแหน่งนายตำรวจราชสำนักประจำอยู่ได้ไม่นานว่า ที่ทรงสามารถจดจ่ออยู่กับพระราชกรณียกิจทุกชนิดได้เช่นนั้นก็เพราะพระสมาธิ


    [​IMG]
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปถวายน้ำพระมหาสังข์ทักษิณาวัตร
    ในวันที่โปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระญาณสังวรฯ เป็นสมเด็จพระสังฆราช


    ผมไม่ทราบว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มฝึกสมาธิตั้งแต่เมื่อใด แต่สันนิษฐานว่าคงจะเริ่มในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ เมื่อทรงผนวชที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) หลังจากทรงผนวชแล้ว ประทับจำพรรษาอยู่ที่พระตำหนักปั้นหย่า วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงอยู่ในสมณเพศเป็นเวลา ๑๕ วัน ครั้งนั้นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งทรงเป็นพระอุปัชฌาย์จารย์ ทรงเลือก สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เมื่อครั้งยังเป็นพระโสภณคณาภรณ์) ให้เป็นพระอภิบาล (พระพี่เลี้ยง) ของพระเจ้าอยู่หัว เป็นที่ทราบกันดีว่า แม้จะทรงมีเวลาน้อยแต่พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด และคงจะได้ทรงฝึกเจริญพระกรรมฐานในโอกาสนั้นด้วย

    เมื่อผมเข้าไปเป็นนายตำรวจราชสำนักประจำในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ นั้น ปรากฏว่า การศึกษาและปฏิบัติสมาธิหรือกรรมฐานในราชสำนักกำลังดำเนินอยู่แล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติเป็นประจำ และข้าราชสำนัก ข้าราชบริพารหลายคน ทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารก็กำลังเจริญรอยพระยุคลบาทอยู่ด้วยการฝึกสมาธิอย่างขะมักเขม้น

    ผมไม่ได้ตั้งใจจะหัดสมาธิ แม้จะเคยศึกษามาก่อนโดยเฉพาะจากหนังสือของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ แต่ระหว่างการตามเสด็จฯ โดยรถไฟ จากกรุงเทพมหานครไปอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ การเดินทางไกลกว่าที่ผมคาดคิด หนังสือเล่มเดียวที่เตรียมไปอ่านฆ่าเวลาบนรถไฟ ก็อ่านจบเล่มเสียตั้งแต่กลางทาง ขณะนั้นผมเห็นนายทหารราชองครักษ์ประจำที่ปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัยร่วมกันสองนาย ใช้เวลาว่างนั่งหลับตาทำสมาธิ ผมจึงลองทำดูบ้างโดยใช้อานาปานสติ (คือกำหนดรู้แต่เพียงว่ากำลังหายใจเข้าและหายใจออก) อันเป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ และท่านอาจารย์พุทธทาสแนะนำ ปรากฏว่าจิตสงบเร็วกว่าที่ผมคาด แลเห็นนิมิตเป็นภาพสีสวยๆ งามๆ มากมาย และเป็นเวลาค่อนข้างนานด้วย ตั้งแต่นั้นมาผมก็ติดสมาธิและกลายเป็นอีกผู้หนึ่งที่ปฏิบัติสมาธิเป็นประจำมาจนทุกวันนี้

    เมื่อความทราบถึงพระกรรณว่าผมเริ่มปฏิบัติสมาธิ พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงกรุณาพระราชทานหนังสือ และแถบบันทึกเสียงคำสอนของครูบาอาจารย์ต่างๆ ลงมา และบางครั้งก็ทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชดำรัสแนะนำด้วยพระองค์เอง ผมจึงได้รู้ว่า พระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัวนั้นก้าวหน้าไปแล้วเป็นอันมาก รับสั่งเล่าเองว่าแม้จะทรงใช้อานาปานสติเป็นอุบายในการทำสมาธิ แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ไม่ทรงสามารถที่จะกำหนดพระอัสสาสะ (ลมหายใจเข้า) และพระปัสสาสะ (ลมหายใจออก) ได้แต่ลำพัง ต้องทรงนับกำกับ

    วิธีนับของพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงทำดังนี้ หายใจเข้าครั้งที่หนึ่ง นับหนึ่ง หายใจเข้าครั้งที่สอง นับสอง หายใจเข้าครั้งที่สาม นับสาม หายใจเข้าครั้งที่สี่ นับสี่ หายใจเข้าครั้งที่ห้า นับห้า หายใจออกครั้งที่หนึ่ง นับหนึ่ง หายใจออกครั้งที่สอง นับสอง หายใจออกครั้งที่สาม นับสาม หายใจออกครั้งที่สี่ นับสี่ หายใจออกครั้งที่ห้า นับห้า

    เมื่อถึงห้าแล้ว หากจิตยังไม่สงบ ก็นับถอยหลังจากห้าลงมาหาหนึ่ง แล้วนับจากหนึ่งขึ้นไปหาห้าใหม่ กลับไปกลับมาเช่นนั้นจนกว่าจิตจะสงบ รับสั่งว่า ที่เห็นพระองค์ประทับอยู่นิ่งๆ นั้น พระจิตทรงอยู่กับหนึ่งเข้าหนึ่งออกตลอดเวลา



    [​IMG]
    พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน
    ทรงประทับหน้าใบเสมาพระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร
    เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙



    พระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาเรื่องสมาธิ ด้วยการรวบรวมและประมวลคำสอนของครูบาอาจารย์ทุกท่านแล้ว ก็ทรงพระกรุณาพระราชทานประมวลคำสอนนั้นแก่ผู้ที่ทรงทราบว่ากำลังปฏิบัติสมาธิอยู่ ครั้งหนึ่ง ทรงพระกรุณาพระราชทานแถบบันทึกเสียงของ สมเด็จพระญาณสังวรฯ ให้ผม รับสั่งว่า เป็นบันทึกเสียงการแสดงธรรมเรื่องฉฉักกสูตร (คือพระสูตรว่าด้วยธรรมะ หมวด ๖ รวม ๖ ข้อ ซึ่งอธิบายความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่มีตัวมีตนของสิ่งต่างๆ มีอายตนะภายนอก อายตนะภายใน วิญญาณ ผัสสะ เวทนา และตัณหา พระสูตรนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน) และทรงแนะนำให้ผมฟังธรรมบทนั้น

    ผมรับพระราชทานแถบบันทึกเสียงม้วนนั้นมาแล้ว ก็เอาไปใส่เครื่องบันทึกเสียงและเปิดฟัง ฟังไปได้ไม่ทันหมดม้วนก็ปิด แล้วก็เก็บเอาไว้ไม่ได้ฟังอีก หลังจากนั้นไม่นานนัก ได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสรับสั่งถามว่า ฟังเทปของสมเด็จฯ แล้วหรือยัง เป็นอย่างไร ผมไม่อาจจะกราบบังคมทูลความอันเป็นเท็จได้ ต้องกราบบังคมทูลตรงๆ ว่าฟังได้ไม่ทันจบม้วนก็ได้หยุดฟังเสียงแล้ว

    ตรัสถามต่อไปถึงเหตุผลที่ผมไม่ฟังให้จบ และผมก็จำเป็นต้องกราบบังคมทูลตรงๆ ว่า สมเด็จฯ ท่านเทศน์ฟังไม่สนุก พูดขาดเป็นวรรคๆ เป็นห้วงๆ เนื่องจากสมเด็จฯ พิถีพิถันในการใช้ถ้อยคำและประโยคเทศน์ของท่านนั้น ถ้าเอามาพิมพ์ก็จะอ่านได้สบายกว่าฟัง

    พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามว่า ที่ฟังสมเด็จฯ เทศน์ไม่รู้เรื่องนั้นก็เพราะคิดไปก่อนหรือไม่ว่า สมเด็จฯ ท่านจะพูดว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ครั้นท่านพูดช้ากว่าที่คิด หรือพูดออกมาแล้วไม่ตรงกับที่คาดหมายจึงเบื่อ เมื่อผมนิ่งไม่กราบบังคมทูลตอบ ก็ทรงแนะนำว่าให้กลับไปฟังใหม่ คราวนี้อย่าคิดไปก่อนว่าสมเด็จฯ จะพูดว่าอย่างไร สมเด็จฯ หยุดก็ให้หยุดด้วย

    ผมกลับมาทำตามพระราชกระแสรับสั่ง เปิดเครื่องบันทึกเสียงฟังเทศน์ของสมเด็จฯ จากแถบบันทึกเสียงม้วนนั้นใหม่ตั้งแต่ต้น ฟังด้วยสมาธิ สมเด็จฯ หยุดตรงไหน ผมก็หยุดตรงนั้น และไม่คิดๆ ไปก่อนว่า สมเด็จฯ จะพูดว่าอย่างไร คราวนี้ผมฟังได้จนจบและเห็นว่าจริงดังพระราชดำรัส แถบบันทึกเสียงม้วนนั้น เป็นม้วนที่ดีที่สุดม้วนหนึ่ง


    [​IMG]

    สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ-พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ณ พระตำหนักบัญจบเบญจมา เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๙


    ครั้งหนึ่ง หลังจากที่นั่งสมาธิแล้ว ผมได้มีโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทและกราบบังคมทูลประสบการณ์ที่ได้ขณะทำสมาธิ ผมกราบบังคมทูลว่า ขณะที่นั่งสมาธิครั้งนั้น รู้สึกว่าตัวเองลอยขึ้นจากพื้นสูงประมาณศอกหนึ่ง ทีแรกก็ยังไม่รู้สึกอะไรแต่ครั้นหัวเริ่มคล้อยลงไปข้างหน้า ทำท่าเหมือนจะตีลังกา ผมก็ตกใจและต้องเลิกทำสมาธิ

    พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวิจารณ์ว่า ถ้าหากสติยังอยู่ ยังรู้ตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่ควรจะเลิก แต่ควรจะปล่อยให้เป็นไปตามสภาพนั้น

    อีกครั้งหนึ่ง หลังจากทำสมาธิแล้ว ผมกราบบังคมทูลว่า พอจิตสงบผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเลื่อนต่ำลงไปในท่อขนาดใหญ่ และที่ปลายท่อข้างล่างผมแลเห็นแสงสว่างเป็นจุดเล็กๆ แสดงว่าท่อยาวมาก กลัวจะหลุดออกจากท่อไป ผมก็เลยเลิกทำสมาธิ

    รับสั่งเช่นเดียวกันว่า หากยังรู้ตัว (มีสติ) อยู่ ก็ไม่ควรเลิก ถึงหากจะหลุดออกนอกท่อไปก็ไม่เป็นไร ตราบเท่าที่สติยังอยู่และรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตน ต่อมาภายหลังจากการศึกษาคำสอนของครูบาอาจารย์ทุกท่าน และโดยเฉพาะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสสอนให้ “ดำรงสติให้มั่น” ในเวลาทำสมาธิ

    ในส่วนที่เกี่ยวกับพระสมาธิของพระเจ้าอยู่หัว เคยตรัสเล่าให้ผมฟังว่า ครั้งหนึ่งขณะที่กำลังทรงทำสมาธิอยู่ พระจิตสงบและเกิดนิมิต ในนิมิตนั้นพระเจ้าอยู่หัวทรงทอดพระเนตรเห็นพระกร (แขนท่อนล่าง) ลอกออกทีละชั้นๆ ตั้งแต่จากพระตจะ (หนัง) ลงไปจนถึงพระอัฐิ (กระดูก)

    พระเจ้าอยู่หัวทรงประยุกต์พระสมาธิในการประกอบพระราชกรณียกิจทุกอย่างทั้งน้อยและใหญ่ จึงทรงสามารถเผชิญกับพระราชภาระอันหนักในตำแหน่งพระมหากษัตริย์ ได้โดยไม่ทรงสะทกสะท้านหรือหวั่นไหว ไม่ทรงคาดการณ์ล่วงหน้าไปไกลๆ อย่างเลื่อนลอยและเปล่าประโยชน์ ไม่ทรงอาลัยอดีตหรืออนาคต ไม่ทรงเสียเวลาหวั่นไหวไปกับความสำเร็จหรือความล้มเหลว อันเป็นเรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ทรงจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ทรงสนพระราชหฤทัยอยู่แต่กับพระราชกรณียกิจเฉพาะพระพักตร์เท่านั้น

    ในฐานะที่เกิดมาเป็นพลเมืองของประเทศที่มีพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้เป็นพระประมุข และในฐานะที่ทุกคนมีหน้าที่ในการทำนุบำรุงเมืองไทยนี้ให้เป็นที่ร่มเย็นของเรา และของลูกหลานของเรา จึงสมควรที่เราจะเจริญรอยประพฤติตามพระยุคลบาทด้วยการศึกษาและปฏิบัติสมาธิกันอย่างจริงจัง และนำสมาธิมาประยุกต์ในการดำเนินชีวิตเช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา


    [​IMG]
    พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน
    ประทับในพระตำหนักปั้นหยา เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๙



    ............................................................................... ​

    คัดลอกมาจาก ::
    http://www.ybat.org/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2009
  18. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    วันนี้ได้โอนเงินจำนวน 8100 บาททำบุญกับทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อาจารย์ประถม อาจสาคร โดยมีรายนามผู้ทำบุญดังนี้ครับ
    คุณอนันต์ และ คุณสุนารี ตั้งธาราวิวัฒน์ 1000 บาท
    คุณสงวนชัย อัครวิทยาภูมิ 1000 บาท
    คุณปิยะวัฒน์ วรัทเศษรฐ์ และครอบครัว 1000 บาท
    คุณวิศัลย์ ณ ระนอง 1000 บาท
    คุณธิติ ตันสกุล 400 บาท
    คุณนาลดา อมรพัชระ และบุตร 400 บาท
    คุณชมพู ดิษฐ์ประเสริฐ 200 บาท
    คุณพิชญ์ธนัน อนันธรสิริ และเพื่อน 1600 บาท
    คุณพลภัทร ตั้งธาราวิวัฒน์ และ นายสติ 1500 บาท


    โมทนากับทุกๆท่านครับ
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ...ความยิ่งใหญ่ คือ ความไม่ยั่งยืน...(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)


    [​IMG]


    หากต้องการภาพขนาดใหญ่ เพื่อทำ Wallpaper
    Download Wallpaper Link...

    (กดปุ่มเมาส์ด้านขวา เลือก Save Target As)



    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=22149
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ธรรมะสุดยอด (หลวงพ่อชา สุภัทโท)


    [​IMG]

    ธรรมะเป็นสิ่งที่อยู่เหนือคำพูด……คำสอนธรรมะทั้งหลายนั้น

    มันเป็นคำสมมุติกันขึ้นมาพูด……ตัวธรรมะแท้ๆ นั้นอยู่เหนือคำพูด…..

    ผู้มีปัญญารู้เห็นธรรมะ……ท่านไม่ต้องการอะไร…..ไม่เอาอะไรอีกแล้ว.

    เพราะถ้าจะเอาความสุข…..ความสุขมันก็ดับ.

    ถ้าจะเอาความทุกข์……ความทุกข์มันก็ดับ.

    จะเอาวัตถุสมบัติข้าวของอะไรต่างๆ……สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันก็จะดับเหมือนกัน.

    แม้นแต่ร่างกายที่คนหวงแหนกันนี้…..เกิดขึ้นแล้ว ที่สุดแล้ว มันก็ดับ.



    post โดยคุณ ariyachon
    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=21689

     

แชร์หน้านี้

Loading...