ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ไปช่วยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชสร้างเจดีย์กันเถอะครับ

    พระสมเด็จอรหัง รุ่นนี้ น.ท.กวี รัตนวโรภาส เป็นผู้จัดสร้างขึ้นตามนิมิตที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆังโฆสิตาราม ได้กำหนดให้ เมื่อปี ๒๕๑๑ เพื่อถวายวัดใดวัดหนึ่ง ตามแต่จะเห็นสมควร โดยร่วมสร้างกับนายอุดม รัมมะวาสน์


    การจัดสร้างพระสมเด็จอรหังรุ่นนี้ ได้ใช้ผงวิเศษ ๕ ประการ คือ ผงอิทธิเจ ผงปัตถมัง ผงมหาราช ผงพุทธคุณ ผงตรีนิสิงเห เกสรดอกไม้ ๑๐๘ ผสมทำผงมงคล ตามตำราการสร้างพระสมเด็จฯ ของสมเด็จโตฯ รวมทั้งผงพระสมเด็จ วัดระฆัง ผงพระสมเด็จกรุบางขุนพรหม ผงพุทธคุณหลวงพ่อโอภาสี ฯลฯ

    น.ท.กวี รัตนวโรภาส ตั้งใจไว้ว่าจะถวายพระสมเด็จอรหังรุ่นนี้แด่หลวงปู่อ่อง ยโสธโร วัดใหม่พิเรนทร์ บางกอกใหญ่ โดยได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษก หลายครั้งหลายวาระด้วยกัน คือ

    ๑. พิธีพุทธาภิเษก วัดใหม่พิเรนทร์ ปี เมื่อปี ๒๕๑๑ โดยมีพระภาวนาจารย์นั่งปรกปลุกเสกหลายท่าน อาทิ หลวงปู่เทียม วัดกษัตราธิราช จ.พระนครศรีอยุธยา

    ๒. พิธีพุทธาภิเษก วัดประสาทบุญญาวาส สามเสน เมื่อวันที่ ๖-๙ มิถุนายน ๒๕๑๑

    ๓. พิธีพุทธาภิเษกที่วัดชิโนรส บางกอกน้อย เมื่อวันที่ ๒๘-๒๙ กันยายน ๒๕๑๑ มีพระภาวนาจารย์นั่งปรกปลุกเสก ๙ รูป โดยมี หลวงปู่นาค วัดระฆัง เป็นประธานในพิธี

    ๔. พิธีพุทธาภิเษก ที่วัดชิโนรส วันที่ ๒๒-๓๑ สิงหาคม ๒๕๑๒

    ๕. หลวงปู่อ่อง นั่งบริกรรมภาวนาอธิษฐานจิต ขอพุทธบารมีพระพุทธคุณ เป็นเวลานานถึง ๕ ปี (ปี ๒๕๑๒-๒๕๑๗)

    หลังจากนั้นไม่นาน หลวงปู่อ่องได้มรณภาพ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๑๗ สิริรวมอายุ ๗๒ ปี พรรษา ๔๙ โดยที่พระสมเด็จอรหังรุ่นนี้ ท่านไม่ได้นำออกแจกจ่ายแก่ผู้ใดเลย
    น.ท.กวี รัตนวโรภาส จึงได้เก็บรักษาพระสมเด็จอรหังเอาไว้เป็นอย่างดี จนเมื่อ น.ท.กวี ได้ถึงแก่กรรมลง พระสมเด็จอรหังก็ยังเก็บรักษาอยู่ที่บ้านมาโดยตลอด

    ต่อมา น.ส.ทิพอาภา รัตนวโรภาส บุตรสาวของ น.ท.กวี ได้นำพระสมเด็จอรหัง ดังกล่าวนี้ ขึ้นน้อมถวายเจ้าประคุณ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เนื่องในมหามงคลวโรกาสครบรอบ ๒๐ ปี แห่งการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช และทรงเจริญพระชนมายุ ๙๖ พรรษา ๘ รอบ ในวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๒

    เจ้าประคุณสมเด็จฯ ทรงรับพระสมเด็จอรหังนี้ไว้แล้ว และโปรดให้สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช จัดพิธีพุทธาภิเษกอีกครั้งหนึ่ง ในวันศุกร์ที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๕.๑๙ น.ณ พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม เป็นประธานจุดเทียนชัย และมีพระคณาจารย์หลายท่านนั่งปรกปลุกเสก

    เมื่อเสร็จพิธีแล้ว จะประทานให้สำนักเลขานุการฯ เพื่อมอบให้แก่ผู้มีจิตศรัทธาโดยเสด็จพระกุศลฯในโครงการก่อสร้าง พระบรมธาตุเจดีย์ ณ วัดเวฬุวัน อ.ศรีวิไล จ.หนองคาย ในพระสังฆราชูปถัมภ์

    ผู้มีจิตศรัทธาร่วมการกุศล ติดต่อสอบถามได้ที่ สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร โทร.๐-๒ ๒๘๑-๒๘๓๑ ถึง ๒ หรือโทร.๐๘-๑๕๕๒-๙๙๖๗


     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    <!--coloro:#A0522D--><!--/coloro--><!--sizeo:3--><!--/sizeo-->การตัดกรรมตัดเวร
    โดย พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) <!--sizec--><!--/sizec-->

    การ ตัดกรรม คือ การหยุดทำความชั่วหยุดทำบาป ส่วนการตัดเวร คือ การหยุดการพยาบาทอาฆาตจองเวรซึ่งกันและกัน คือไม่แก้แค้นซึ่งกัน และกันรู้จักคำว่าให้อภัยซึ่งกันและกัน และผู้ที่ทำผิดก็ให้รู้จักคำว่าขอโทษ ผู้ที่ถูกขอโทษก็รู้จักคำว่าให้อภัย อันนี้เป็นอุบายตัดกรรมตัดเวร

    พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าใครทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอนหลีกเลี่ยงไม่ได้
    กัมมัสสะโกมหิ (เรามีกรรมเป็นของๆตน)
    กัมมะทายาโท (เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น)
    กัมมะโยนิ (เรามีกรรมนำเกิด)
    กัมมะพันธุ (เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์พวกพ้อง)
    กัมมะปะฏิสะระโน (เรามีกรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย)
    ยัง กัมมัง กะริสสามิ (เราทำกรรมอันใดไว้)
    กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา (เป็นบุญหรือเป็นบาป)
    ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ (เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น)
    อภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง (พึงพิจารณาเห็นเนืองๆดังนี้)
    ไปทำพิธีตัดกรรมก็เป็นการลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า

    กรรม ใดใครก่อไว้แล้วในเมื่อใจเป็นผู้จงใจทำลงไปแล้วเป็นกรรมอันเป็นบาป ภายหลังจึงมานึกได้และไม่ต้องการผลของบาป มันก็หลีกเลี่ยงปฏิเสธไม่ได้เพราะใจเป็นผู้สั่งให้กาย วาจา ทำลงไป พูดลงไป ใจตัวนี้ต้องรับผิดชอบโดยความเป็นธรรมโดยหลักของธรรมชาติ เพราะฉะนั้นการที่ไปทำพิธีตัดกรรมนี่หมายถึงตัดผลของบาปนั้นมันตัดไม่ได้ อย่าไปเข้าใจผิด

    ถ้าเข้าใจว่าทำบาปทำกรรมแล้วแล้วไปทำพิธีล้างบาป ได้ ทำพิธีตัดกรรมแล้วมันหมดบาปประเดี๋ยวก็ทำกรรมชั่วแล้วมาหาหลวงพ่อหลวงพี่ตัด บาปตัดกรรมให้ มันก็ไม่กลัวต่อบาปเพราะฉะนั้นอย่าไปเข้าใจผิดว่าทำกรรมอันเป็นบาปแล้วตัดกรรมให้หมดไปได้ มันเป็นไปไม่ได้

    ********ยกตัวอย่างเรื่องกรรมบางส่วนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า********

    ชาติ หนึ่งเคยเกิดเป็นนักเลงชื่อปุนาลี ได้กล่าวใส่ความพระปัจเจกพุทธเจ้า พระนามว่าสุรภิผู้มิได้ประทุษร้ายใคร ด้วยผลแห่งกรรมนั้นต้องไปท่องนรกสิ้นกาลนาน เสวยทุกขเวทนาสิ้นพันปี ด้วยกรรมที่เหลือในภพสุดท้ายก็ถูกใส่ความ เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา ซึ่งเป็นนักบวชหญิงถูกพวกเดียรถีย์ใช้ให้ทำเป็นไปค้างคืนกับพระสมณโคดม ให้ใครต่อใครหลงเข้าใจพระองค์ผิด

    ทั้งที่นางค้างที่อื่น แต่รุ่งเช้ามาก็ทำท่าโผเผมาจากเชตวนารามที่พำนักของพระพุทธองค์ อีกสองสามวันต่อมามีคนโจษจันเรื่องนี้กันแล้ว พวกเดียรถีย์ก็จ้างนักเลงไปฆ่านางสุนทริกา เพื่อป้ายความผิดว่านางถูกพระพุทธองค์ฆ่าปิดปาก คนทั้งหลายก็สงสัยว่าอาจจะเป็นจริง ร้อนถึงพระราชาต้องส่งราชบุรุษไปสืบเรื่องดูตามร้านสุรา เมื่อได้ความชัดแจ้งก็จับนักเลงที่ฆ่านางสุนทริกา กับเดียรถีย์ที่จ้างฆ่านางสุนทริกา มาลงโทษทั้งหมด

    อีกชาติหนึ่ง เกิดเป็นพราหมณ์ผู้มีความรู้ มีผู้เคารพสักการะ เป็นผู้สอนมนต์แก่มานพ ๕๐๐ คน และได้ใส่ความภีมฤษีผู้มีอภิญญา มีฤทธิ์มาก หาว่าฤษีนี้เป็นผู้บริโภคกาม มานพทั้งหลายก็พลอยชื่นชมยินดีไปด้วย เมื่อไปภิกขาจารในสกุล ก็เที่ยวกล่าวแก่มหาชนว่าฤษีนี้เป็นผู้บริโภคกาม

    ผล ของกรรมนั้นภิกษุ ๕๐๐ คนเหล่านี้ทั้งหมดพลอยถูกใส่ความด้วย เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกาที่ถูกนักเลงฆ่าและป้ายความผิดให้พระพุทธองค์ รวมทั้งภิกษุทั้งหลายที่อยู่ในเชตวนาราม ก็พลอยถูกหาว่าร่วมกันฆ่าปิดปากนางสุนทริกาและถูกด่าว่าด้วย จนกระทั่งพระราชาจับนักเลงและเดียรถีย์ที่ร่วมกันฆ่านางได้ เรื่องราว จึงได้สงบ

    อีกชาติหนึ่งไปกล่าวใส่ความพระสาวกของพระสัพพาภิภู พุทธเจ้า มีนามว่านันทะ จึงต้องท่องไปในนรกหลายหมื่นปี เมื่อเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ถูกใส่ความมาก และด้วยกรรมที่เหลือ ชาติสุดท้ายนี้จึงถูกนางจิณจมาณวิกา ใส่ความว่าพระองค์ทำให้นางตั้งครรภ์

    ชาติ หนึ่งเคยฆ่าน้องชายต่างมารดาเพราะเหตุแห่งทรัพย์ ได้ผลักน้องชายต่างมารดาลงในซอกเขา เอาหินทุ่มใส่ ด้วยผลแห่งกรรมนั้นจึงถูกพระเทวทัตเอาหินทุ่มใส่ที่เขาคิชกูฏ จนสะเก็ดหินกระเด็นถูกหัวแม่เท้า ห้อพระโลหิตในชาติสุดท้าย

    จะเห็นว่าแม้ขณะเป็นพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้ายท่านยังต้องได้รับผลของกรรมเก่าที่ทำไว้้ในชาติก่อนมาสนองหลายอย่าง จึงเห็นได้ว่าเรื่องของกรรมนั้นตัดไม่ได้

    แต่ ตัดเวรนี้มีทางเป็นไปได้ เวรหมายถึงการผูกพยาบาทคอยแก้แค้นกันอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่นฆ่าเขาตายเมื่อนึกถึงกรรมแล้วกลัวเขาจะอาฆาตจองเวร จึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา ถ้าหากว่าเขาได้รับส่วนกุศลเขาได้รับความสุข เขาเลื่อนฐานะจากภาวะที่ทุกข์ทรมานไปสู่ฐานะที่มีความสุข เมื่อเขานึกถึงคุณความดีนึกถึงบุญคุณ เขาก็อโหสิกรรมให้ไม่ตามล้างตามผลาญกันอีกต่อไป อันนี้คือตัดเวรซึ่งตัดได้

    บางท่านอาจจะคิดว่าพระพุทธเจ้าช่างโหดร้ายจริงๆ ทำอะไรก็บาป แต่แท้ที่จริงพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้โหดร้ายอย่าเข้าใจท่านผิด พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้กฎความเป็นจริงของธรรมชาติคือรู้ว่าฆ่าสัตว์เป็นบาป ลักทรัพย์เป็นบาป ผิดกาเมเป็นบาป มุสาเป็นบาป ดื่มสุราและสิ่งมอมเมาเป็นบาป

    แต่บาปที่กล่าวมานั้นมันมีมาก่อนที่ พระพุทธเจ้าจะประสูติแล้ว ไม่ใช่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มาประสูติแล้วมาบัญญัติขึ้นเอง หรือมาบัญญัติบาปกรรมและโทษทัณฑ์อะไรไว้ลงโทษสัตว์ทั้งหลาย

    การทำบาปทำกรรมนั้นสิ่งที่เรียกว่าเป็นบาปเป็นการกระทำด้วยกาย วาจา โดยมีใจเป็นผู้เจตนาคือมีความตั้งใจ ทำลงไปแล้วเป็นบาปทันทีคือการละเมิดศีลห้าข้อเท่านั้น เพราะฉะนั้นใครรักษาศีลห้าข้อได้บริสุทธิ์บริบูรณ์จึงเป็นการตัดทอนผลของบาป

    บาปกรรมที่ทำไว้ในอดีต เมื่อวานนี้หรือเมื่อเช้านี้ ย่อมตัดกรรมไม่ได้แล้วและจะต้องให้ผลต่อไป แต่เราจะตัดการทำกรรมชั่วในปัจจุบันได้และไม่ต้องรับผลของกรรมชั่วในอนาคต เมื่อเราตั้งใจรักษาศีลห้าข้อให้บริสุทธิ์ตั้งแต่วันนี้ ตั้งแต่ขณะปัจจุบันนี้ได้ชื่อว่าตั้งใจตัดเวรตัดกรรมตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าหากเราสามารถปฏิบัติต่อๆ ไปได้จนกระทั่งตลอดชีวิตของเรา เราก็จะได้ตัดกรรมตัดเวรตลอดชีวิตเรา นี่คือการตัดกรรมตัดเวรที่ถูกต้อง

    ศีลห้านี้เป็นเรื่องสำคัญเป็นแม่บทแห่งศีลทั้งหลายทั้งปวง เป็นหลักธรรมที่เป็นข้อมูลเป็นจุดเริ่มแห่งการทำความดี ผู้ใดปฏิบัติตามคำสอนของพระศาสดาเป็นประโยชน์ให้เกิดทางมรรคผลนิพพานอย่าง แท้จริง

    ขอให้ยึดมั่นในศีลห้าประการ เมื่อท่านมีศีลห้าข้อนี้ครบโดยบริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว ความเป็นมนุษย์ของท่านสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านจะปลูกฝังความดีอันใดลงไป คุณความดีนั้นก็จะฝังแน่นในกาย วาจา และในใจของท่าน

    บทความที่ดีนี้นำมาจาก
    http://www.suankhlang.com/ipb//index.php?showtopic=604
     
  3. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ปัญญาพิจารณาสังขารในไตรลักษณ์
    โดย พระอาจารย์ทูล ขิปปปญโญ
    วัดป่าบ้านค้อ ต. เขือน้ำ อ. บ้านผือ จ. อุดรธานี


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="90%" align=center><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="90%" border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD width="29%"></TD><TD width="71%">ชื่อผลงาน สังขาร</TD></TR><TR vAlign=top><TD></TD><TD>ชื่อศิลปินกัญญา เจริญศุภกุล</TD></TR></TBODY></TABLE>​


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    การพิจารณาด้วยปัญญา ผิดกันกับการทำสมาธิอยู่บ้าง เพราะการทำสมาธิต้องตัดขาดในสิ่งที่เป็นอดีตที่ล่วงมา และตัดขาดในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แม้จะอยู่ในปัจจุบันก็ไม่ให้คิดในเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงให้มีอารมณ์กรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งบริกรรมอยู่เท่านั้น การพิจารณาด้วยปัญญานี้ ต้องมีความรู้รอบในเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งภายนอกทั้งภายใน เช่น ไปเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ก็กำหนดพิจารณาด้วยปัญญาลงสู่ไตรลักษณ์ ถ้าเห็นคนแก่ ก็พิจารณาในเรื่องความแก่ในรูปสังขารว่า ไม่มีใคร ๆ ในโลกนี้จะต้านทานไว้ได้ ถึงจะมีอาหารหวานคาวที่ดีเลิศ มีโอชารส เอร็ดอร่อย เอาเข้ามาหล่อเลี้ยงให้ร่างกายนี้มีความหนุ่มแน่นตามความต้องการของเราก็หาสำเร็จไม่ ความแก่นี้จะไม่อยู่ในอำนาจของใคร ๆ ทั้งสิ้น ถึงจะให้ที่อยู่ที่นอนดีเลิศสักเท่าไร ความแก่นี้ ก็จะไปตามสายทางของความแก่อยู่ตลอดไป ถึงจะมีอำนาจวาสนาที่สูงส่งก็ตาม ความแก่ของร่างกายก็จะแก่ไปตามหน้าที่ของมัน เมื่อรูปร่างกายแก่มากลงไปเท่าไร ทุกขัง อนิจจัง ก็เด่นขึ้นมาอย่างมองเห็นได้ชัดทีเดียว มีตา แต่ก่อนมองดูในสิ่งใดจะใกล้หรือไกลก็มองเห็นได้ชัด แต่บัดนี้ รูปร่างกายแก่ตัวลง จะมองดูในสิ่งใดก็ฝ้าฟางหรือมองดูอะไรไม่เห็นเสียเลย การเดินไปมาก็ไม่สะดวก หนักเบาแต่ละครั้งก็พึ่งตัวเองไม่ได้ นี้ก็เพราะความไม่เที่ยงของรูปร่างกาย จึงเป็นอยู่ด้วยความเป็นทุกข์ คนแก่นี้ ในครั้งก่อน ก็เคยเป็นเด็กเหมือนกันกับเด็กทุกวันนี้ แล้วก็เจริญขึ้นมาเป็นหนุ่มสาว อนิจจัง ความไม่เที่ยงของรูปสังขารพาให้เปลี่ยนไป จนมาถึงปัจฉิมวัย ร่างกายทุกส่วนก็เหี่ยวแห้งหย่อนยาน กำลังวังชาก็ลดน้อยถอยลง แทบจะพึ่งตัวเองไม่ได้เลย
    มีหู แต่ก่อนเมื่อยังหนุ่มก็ฟังเสียงอะไรได้ชัดเจน แต่บัดนี้ร่างกายแก่แล้ว หูจะฟังอะไรก็ไม่ถนัด หรือฟังอะไรไม่ได้ยินเสียงเลย นี้ก็เป็นอนิจจัง ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากให้เป็นไป เมื่อฟังเสียงใดไม่ได้ก็เป็นทุกข์ จมูก ลิ้น กาย แต่ก่อนเคยใช้งานได้อย่างคล่องแคล่ว แต่บัดนี้ อนิจจังพาให้เป็นไป จึงทำให้เป็นทุกข์ เมื่อเราเห็นคนแก่และพิจารณาในเรื่องความแก่ของผู้อื่นแล้ว จึงให้น้อมเอาเรื่องของความแก่ของผู้นั้นเข้ามาหาตัวเรา และให้พิจารณาดูความแก่ของเรา ให้กำหนดจิตตั้งใจพิจารณาดูตัวเองว่า เราก็จะต้องแก่เหมือนคนนั้น สังขารร่างกายเรา แต่ก่อนก็เป็นเด็ก แต่บัดนี้ สังขารร่างกายไม่ใช่เด็กเสียแล้ว นี้เรากำลังแก่ แก่วันนี้บ้าง วันหน้าบ้าง ที่สุดเราก็จะแก่เหมือนกันกับคน ๆ นั้น เพราะสังขารร่างกายเราทุกส่วน ก็ตกอยู่ในไตรลักษณ์เหมือนกัน ถึงเราจะให้อาหารการบริโภคอย่างเหลือเฟือ และให้ที่อยู่หลับนอนเป็นอย่างดีก็ตาม ความแก่ก็จะไม่อยู่ในอำนาจเราเลย ถึงเราจะให้เครื่องประดับประดา ตกแต่งด้วยครีมนานาชนิดมาฉาบไว้ให้ร่างกายเรานี้หนุ่มแน่นกลับเป็นหนุ่มเป็นสาวตามเดิม ร่างกายนี้ก็ไม่เป็นไปตามความต้องการของเราเลย นี้เราจะฝืนธรรมชาติเดิมของสังขารไปถึงไหน! ถ้าเป็นไปในลักษณะนี้ สมควรแล้วหรือ ที่เราจะมาหลงว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา แม้คนทั่วไปทั้งโลก ก็มีความเข้าใจว่า ร่างกายนี้เป็นตัวตนด้วยกันทั้งนั้น ให้พิจารณาว่า ถึงร่างกายนี้จะเป็นตัวตน ก็เพียงว่า เป็นตัวตนอาศัยชั่วคราวเท่านั้น ไม่กี่วันเราก็จะต้องทอดทิ้งร่างกายนี้ไป และเราก็จะไม่หอบหิ้วเอาร่างกายนี้ไปด้วยเลย นี้เราก็เคยเกิดเคยแก่อยู่ในโลกนี้มานาน เกิดมาในชาตินี้ก็มาแก่อีก และจะเกิดแก่ในชาติอนาคตต่อไป ตราบใด เรายังมีกิเลสตัณหาอยู่ เราก็จะล่องลอยตามกระแสของวัฏฏะ ไม่มีทางที่จะสิ้นสุดลงได้เลย นี้เป็นแนวชี้แนะการพิจารณาด้วยปัญญา เมื่อเราเห็นคนแก่ ก็พิจารณาความแก่ แล้วน้อมเข้ามาหาตัวเอง และพิจารณาความแก่ของตัวเอง จงพิจารณาให้มากกว่านี้ และให้ใช้ความสามารถจากปัญญาของตัวเอง อย่าไปเอาปัญญาคนอื่นมาเป็นของตน
    เราไปเห็นคนเจ็บด้วยอาการอย่างไร เราก็พิจารณาดูความเจ็บของคน ๆ นั้น แล้วน้อมเข้ามาหาตัวเองว่า เราก็ต้องเจ็บอย่างคน ๆ นั้น แนวทางพิจารณา ก็ให้เป็นรูปเดียวกันกับการพิจารณาความแก่นั้นเอง แต่เพียงเปลี่ยนว่าความเจ็บเท่านั้น และให้กำหนดจิตพิจารณาด้วยความตั้งใจจริง ๆ อย่าพิจารณาเร็ว ถ้าพิจารณาเร็ว การพิจารณาจะไม่ละเอียด และจิตก็จะรู้ตามปัญญาไม่ทัน ความตั้งใจมั่นในการพิจารณาด้วยปัญญาก็จะมีช่องว่าง ถ้ามีช่องว่างเมื่อไร กิเลส ตัณหา มานะทิฏฐิ อวิชชา ก็จะเข้าสวมรอยเมื่อนั้น การพิจารณาด้วยปัญญาก็จะสิ้นสุดลง เพราะถูกกิเลส ตัณหา มานะทิฏฐิ อวิชชา เข้ามาเป็นเจ้ากี้เจ้าการออกประกาศว่า สิ่งเหล่านี้ เรารู้หมดแล้ว เราก็ได้เรียนผ่านมาหมดแล้ว จะเทศน์ให้ใครต่อใครฟังก็ได้ จะหยุดนั่งสมาธิหยุดเดินจงกรมเสีย นอนดีกว่า เรื่องอย่างนี้ ผู้เขียนเคยถูกิเลสต้มตุ๋นมาแล้ว จึงได้นำเอาความโง่ ๆ ของตัวเองนี้มาเปิดเผย เพื่อจะได้เกิดความละอาย จะได้มีความขยันหมั่นเพียร คอยระวังกิเลสประเภทนี้เข้ามาแทรกซ้อน ในการภาวนาอีกต่อไป
    การพิจารณาความตาย
    เราเห็นคนตายอยู่ที่ไหนก็พิจารณาได้ทันที หรือจดจำมาพิจารณาภายหลังก็ได้ การพิจารณาก็ต้องกำหนดจิตและตั้งใจพิจารณาอย่างจริงจัง และทำให้จิตได้เกิดความสลดสังเวชต่อความตาย อย่าไปเอาธรรมดาเข้ามาตัดรอนให้ปัญญาหมดไป โดยให้กิเลสตัดสินว่ารู้แล้ว ทั้ง ๆ ที่จิตยังไม่เกิดความกลัวและสลดใจ การพิจารณาต้องพิจารณาให้ละเอียด ให้เข้าถึงจิต ให้จิตได้รู้เห็นตามปัญญาอย่างชัดเจน การพิจารณาด้วยปัญญา ถ้าจิตไม่รู้เห็นตามปัญญาแล้ว ก็เหมือนกันกับคนตาบอดฉายไฟ จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่บอดชอบอวดฉลาด การจดจำเอาเรื่องของคนอื่นเป็นของตัวนั้นเก่งมาก ว่าสิ่งนั้นเราก็รู้ สิ่งนั้นเราก็เข้าใจ ทั้ง ๆ ที่ได้ยินจากคนอื่นเท่านั้นฉันใด จิต เมื่อไม่รู้เห็นตามปัญญาแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะรู้จริงเห็นจริงในสัจธรรมได้ฉันนั้น ถึงจะอ่านตำราจบตู้พระไตรปิฎก จิตก็ยังไม่ได้สัมผัสในสัจธรรมนั้นเลย ความรู้ที่เรียนรู้มาก็ยังเป็นภาคทฤษฎีไป ยังไม่เข้าใจในขอบข่ายแห่งความรู้จริงในสัจธรรมได้ เพียงเป็นหลักการวิชาการเท่านั้น เหมือนกันกับไปเรียนหลักการวิธีการในการทำอาหาร เมื่อจบหลักสูตรมาแล้วไม่เคยปรุงอาหารรับประทานเองสักที รสชาติของอาหารนั้นเป็นอย่างไรหารู้ไม่ฉันใด การพิจารณาด้วยปัญญา เมื่อจิตยังไม่รู้เห็นตามด้วยปัญญาก็เป็นสัญญาไปฉันนั้น ถึงจะพิจารณาไปตามหลักความจริง ก็จริงเพียงสัญญาเท่านั้น ถ้าเพียงเท่านี้ ก็จะละกิเลสตัณหาไม่ได้เลย เพราะการละกิเลสตัณหาเป็นเรื่องของจิต ปัญญาเพียงเป็นแสงสว่างให้จิตได้รู้เห็นโทษภัยเท่านั้น ถ้าปัญญามีความสว่าง จิตก็รู้เห็นในความเป็นจริง เห็นโทษภัยในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วก็จิตนั้นแลจะหาทางให้พ้นไปจากการเกิดไปได้ ส่วนความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นผล และเป็นทั้งโทษภัยด้วย ถ้าตัดรากแห่งความเกิดได้แล้ว ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็หมดปัญหาไป
    เหมือนกับคนที่นอนหลับอยู่ในท่ามกลางแห่งภัยทั้งหลาย มีช้าง มีเสือ มีงูพิษอยู่รอบตัว เมื่อลืมตาขึ้นเห็นสัตว์ร้ายด้วยตาเองแล้ว แม้จะฝืนนอนต่อไปอีก ก็นอนไม่ได้เลย มีแต่จะหาช่องทางวิ่งหนีจากภัยเหล่านั้นให้พ้นไปด้วยกำลังแห่งความกลัว ถึงที่นั้นได้เคยหลับเคยนอนมาแล้วนานสักเท่าไรก็ตาม เมื่อเห็นภัยเข้ามาคุกคาม ก็จะทอดอาลัยทันที นี้ฉันใด ขณะนี้จิตเรากำลังหลับ ก็ยังไม่เห็นภัยในการเกิด ไม่เห็นภัยในการแก่ ไม่เห็นภัยในการเจ็บ ไม่เห็นภัยในการตาย ถ้าจิตไม่เห็นภัย จิตก็มีความยินดีที่จะหลับอยู่อย่างนี้ตลอดไป เมื่อภัยมากระชั้นชิดไม่มีทางออกก็เป็นทุกข์ฉันนั้น
    ไม่อยากแก่ก็จำเป็นจะต้องแก่ ไม่อยากเจ็บก็จำเป็นจะต้องเจ็บ ไม่อยากตายก็จำเป็นจะต้องตาย ไม่อยากเกิดอีกก็จำเป็นจะต้องเกิดอีก เพราะเชื้อพาให้เกิดยังมี นี้การพิจารณาความตาย ให้ถือว่าเป็นภัยที่สำคัญ เพราะทุกคนไม่ต้องการความตาย แต่ก็ยังยินดีในการเกิด ถ้าเกิดแล้วก็ไม่อยากตาย แต่มันเป็นไปตามความอยากของเราไหม? เราจะไปขัดขืนสัจธรรมด้วยวิธีนี้จะขัดขืนได้ไหม? ขัดขืนไม่ได้ เพราะสายทางของสัจธรรมต้องเวียนรอบกันอยู่อย่างนี้ และเป็นอยู่อย่างนี้ไม่รู้ว่ากัปไหนกัลป์ไหน ตราบใดที่ยังมีโลกอยู่ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็หมุนเวียนเป็นวัฏฏะอยู่อย่างนี้ตลอดไป การพิจารณาความตายนี้อยู่บ่อย ๆ ก็เพื่อให้จิตได้เกิดความกลัว ถ้าจิตมีความกลัวแล้ว หนทางที่จะทำไม่ให้ตายนั้นหาง่าย เหมือนกับบุคคลที่เห็นเสือแล้วกลัวเสือ หนทางที่จะหนีจากปากเสือ ก็คนที่กลัวเสือนั้นแหละจะหาเอง ที่ไหนจะพ้นจากปากเสือได้ คนนั้นจะวิ่งให้เต็มที่ คำว่าเดินโอ้เอ้อยู่ไม่มี หรือเหมือนกับขี้ไพ่ ไฮโล เห็นเจ้าหน้าที่ ทางออกอยู่ไหนไม่ต้องถามใคร ช่องไหนจะพ้นไปจากเจ้าหน้าที่ได้ เป็นอันวิ่งทันที นี้การปฏิบัติภาวนา การพิจารณานึกถึงความตาย และพิจารณาในความตายบ่อย ๆ ก็เพื่อปลุกจิตให้ตื่น ให้จิตมีความกลัวในโทษภัยทั้งหลาย ให้จิตได้เกิดความเบื่อหน่ายในการเกิดตาย ที่เป็นของซ้ำซาก ไม่มีสารประโยชน์อะไรเลย
    เห็นคนตายอยู่ที่ไหน ก็พิจารณาคนที่ตายไป แล้วน้อมเข้ามาหาตัวเอง ให้เทียบกันดูว่าธาตุขันธ์ของคนที่ตายไปแล้ว กับธาตุขันธ์ของเราผู้ยังมีลมหายใจอยู่นี้ ให้รู้เห็นเป็นสภาพเดียวกัน พิจารณาว่า แต่ก่อนผู้ที่ตายไปนี้ เขาก็มีลมหายใจเหมือนกันกับเรา ความเป็นอยู่ การไปมาก็เหมือนกันกับเรา ธาตุขันธ์เขา กับธาตุขันธ์เรา ก็มีธาตุสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนกัน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อเขายังไม่ตาย ก็เหมือนกันกับเรา เราก็เหมือนกันกับเขา นี้เขาก็ได้หมดลมหายใจไปแล้ว นี้เราก็จะหมดลมหายใจ และเหมือนกันกับคนที่ตายไปแล้ว คนที่ตายไปแล้วนี้ เมื่อครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาก็ยึดถือว่าร่างกายทั้งหมดนี้เป็นตนเป็นตัว และมีความกลัวต่อความตายและไม่อยากตายเลย ความไม่อยากตายนี้ก็เป็นวิภวตัณหา แต่ก่อนคนที่ตายไปนี้ ก็มีความเข้าใจว่า ทรัพย์สมบัติที่เขาหามาได้จะน้อยหรือมาก เขาก็ยึดถือว่าเป็นของของเขา แต่บัดนี้ สิ่งที่เขายึดถือว่าเป็นของของเขานั้น เขาเอาไปด้วยหรือไม่ เอาไปด้วยไม่ได้เลย ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่หามาได้นั้น เป็นของประจำโลก เพียงอำนวยความสะดวกเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น เป็นปัจจัยที่อาศัยประจำวันและอาศัยไปจนหมดลมหายใจ เมื่อเขาตายไป ทรัพย์สมบัติทั้งหลายนั้นก็ยังอยู่ในโลก และคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็อาศัยทรัพย์สมบัตินั้นต่อไป
    การพิจารณาความตายของคนอื่น ก็ต้องพิจารณาให้ละเอียด แล้วน้อมนำมาพิจารณารูปร่างกายตัวเราเอง จงพิจารณาให้ละเอียด อย่าเห็นแก่ความมักง่าย อย่าพิจารณาเร็ว ให้พิจารณาช้า ๆ ในขณะพิจารณาอยู่นั้น ก็ให้ กำหนดจิตรู้ตามปัญญาทุกครั้ง เพื่อให้จิตตั้งมั่นอยู่กับปัญญาตลอดไป การนึกถึงความตาย การพิจารณาในความตาย ต้องพิจารณาให้มาก วันหนึ่งคืนหนึ่งจะกี่ร้อยกี่พันครั้งไม่ต้องนับ ไม่ใช่จะพิจารณาเพียงความตายของคนเราด้วยกันเท่านั้น แม้จะไปเห็นสัตว์อื่นที่ตายอยู่ในที่ต่าง ๆ ข้างถนน ก็พิจารณาได้ และน้อมเข้ามาหาตัวเอง และพิจารณาความตายของตัวเอง ให้เป็นสภาพเดียวกันกับสัตว์นั้น ๆ ทุกประการ และพิจารณาให้รวมลงสู่ไตรลักษณ์ทุกครั้งไป มิใช่จะพิจารณาเพียงความตายเท่านี้ เมื่อเราไปเห็นคนและสัตว์มีความทุกข์ด้วยประการใด เราก็น้อมเข้ามาหาตัวเองว่า เราก็มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเหมือนกัน เมื่อเราเห็นคนและสัตว์ที่มีอวัยวะไม่สมประกอบ เราก็น้อมเข้ามาหาตัวเราว่า เราก็เคยได้เป็นมาแล้ว และเราก็จะเป็นอย่างนี้ในชาติต่อไป เราไปเห็นยาจกอนาถาหาขอทาน เราก็น้อมเข้ามาหาตัวเอง ว่าเราก็เคยเป็นยาจก อนาถาหาขอทาน อย่างนี้มาแล้ว และเราก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปในชาติอนาคตอย่างแน่นอน ถ้าทำกรรมชั่ว การพิจารณาด้วยปัญญาในวิธีนี้ ก็เพื่อลดทิฏฐิมานะของตัวเอง และเพื่อให้จิตได้รู้ผลกรรมของผู้ที่กำลังได้รับผลในปัจจุบัน
    การพิจารณาด้วยปัญญานี้ เราจะยืน เดิน นั่ง นอน ก็พิจารณาได้ทั้งนั้น จะพิจารณาก่อนการทำสมาธิ หรือทำสมาธิก่อน แล้วจึงพิจารณาด้วยปัญญาทีหลังก็ได้ การสร้างปัญญา เราอย่าพึ่งคนอื่นมากเกินไป ให้เราใช้ความพยายามสร้างปัญญาให้แก่จิตตัวเอง ถ้าจะอาศัยปัญญาของคนอื่นไปเสียทุกอย่าง ปัญญาที่เราพิจารณาอยู่นั้น ก็จะเป็นสัญญาโดยเราไม่รู้ตัว การสร้างปัญญาให้แก่ตัวเอง ต้องใช้ความสามารถฝึกหัดคิดค้นคว้าในสัจธรรมให้มาก ในเรื่องเดียว จะคิดพิจารณากี่ครั้งกี่หนไม่ต้องนับ เหมือนกับโค่นต้นไม้ จะใช้มีดใช้ขวานฟาดฟันด้วยกำลังของตัวเองโดยไม่ต้องนับว่าฟันไปแล้วกี่ครั้ง รากเล็กรากใหญ่ที่มาขัดขวางก็ฟันเสียทั้งหมด เมื่อฟันขาดแล้ว ต้นไม้ก็จะล้มไปเอง การพิจารณาด้วยปัญญาก็ให้เป็นในลักษณะนั้น สิ่งใดที่สัมผัสด้วยตา ด้วยหู ที่เป็นสื่อสารแห่งความชอบใจ และเป็นสื่อสารแห่งความไม่ชอบใจ ความทุกข์ที่มีอยู่ในกาย ความทุกข์ที่มีอยู่ในจิต ก็นำมาพิจารณาให้รู้เห็นเหตุและปัจจัย ว่าความทุกข์นั้นมีอยู่ที่ไหน ก็ใช้ปัญญาพิจารณาดูให้รู้ เพื่อให้จิตได้เบื่อในความทุกข์นั้น ๆ การพิจารณาก็พิจารณาตามความเป็นจริง จะคิดคาดหมายก็ต้องคาดหมายให้ถูกหลักความจริง เพราะการเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยที่เป็นจริง ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ตามเหตุปัจจัยที่เป็นจริง จะแตกสลายไป ก็แตกสลายตามเหตุปัจจัยที่เป็นจริง ความจริงมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปด้วยเหตุปัจจัยทั้งนั้น การพิจารณา ก็พิจารณาให้รู้ทั้งเหตุและผล เหตุที่เป็นทุกข์ ผลก็ต้องเป็นทุกข์ เหตุที่เป็นของไม่เที่ยง ผลก็เป็นของไม่เที่ยง เหตุที่ไม่ใช่ตัวตน ผลก็ต้องเป็นของที่สูญเปล่า ให้จิตรู้จริงว่าเหตุอย่างไรผลก็ต้องเป็นอย่างนั้น
    ปัญญาเบื้องต้นอาศัยสัญญา สมมติ
    การพิจารณาด้วยปัญญานี้ก็ต้องอาศัยสัญญา อาศัยสมมติ เป็นเส้นทางไปก่อน เพื่อให้เป็นที่รองรับปัญญา เหมือนกับปากกาที่อยู่ในมือ ถ้าหากไม่มีที่รองรับให้ปากกาได้เขียน ปากกานั้นก็จะไม่มีที่เขียน จะเขียนบนอากาศวาดภาพเป็นตัวหนังสือ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ฉะนั้น สัญญา สมมติ จึงเป็นกระดาษที่รองรับปัญญาอย่างสำคัญ ความจดจำในสิ่งต่าง ๆ ภายนอกจึงน้อมเข้ามาหาตัวเองได้ถูกต้อง เช่น เห็นคนแก่ก็จดจำน้อมเข้ามาหาตัวเอง เห็นคนเจ็บก็จดจำน้อมเข้ามาหาตัวเอง เห็นคนตายก็จดจำน้อมเข้ามาหาตัวเอง เห็นความสกปรกโสโครกในซากศพของคนและสัตว์ ก็จดจำน้อมเข้ามาหาตัวเอง ถ้าไม่มีสัญญา สมมติแล้ว ปัญญาจะพิจารณาอะไรไม่ได้เลย เพราะสัญญาเป็นสมมติ เป็นกระจกเงาให้ปัญญาเป็นอย่างดี ผู้ที่ทิ้งสัญญา ทิ้งสมมติ คือติดอยู่ในสมาธิขั้นละเอียด จึงไม่เกิดปัญญา และพิจารณาอะไรไม่เป็นเลย เพียงอยู่เฉย ๆ อยู่นิ่ง ๆ อาศัยความว่างของจิตเป็นที่อยู่ ความว่างของจิตที่นิ่งเฉยนี้ ไม่ใช่การละกิเลสตัณหาอวิชชาแต่ประการใด เพียงอาศัย สติ ฌาน สมาบัติ กลบกิเลส ตัณหา อวิชชา ไว้เท่านั้น
    ในสมัยครั้งพุทธกาล มีภิกษุไปปฏิบัติธรรมในป่าช้าก็อาศัยสัญญาเป็นเครื่องจดจำซากศพที่มีลักษณะต่าง ๆ มีทั้งตายใหม่และตายเก่า มีทั้งขึ้นอืดพุพองน้ำเหลืองไหล มีทั้งเนื้อหนังกำลังเปื่อยเน่า มีทั้งสัตว์ป่านานาชนิดกัดกินเป็นอาหาร มีทั้งกระดูกติดเอ็นและกระดูกที่เก่าแล้ว ภิกษุท่านนั้นก็อาศัยสัญญาจดจำใส่ใจไว้ เมื่อออกจากที่นั้นไปแล้ว ก็โอปนยิโก น้อมสิ่งเหล่านั้นมาที่ตัว เห็นในซากศพเป็นในลักษณะใด ก็จดจำ แล้วจึงสมมติตัวเองให้เป็น
    ไปในลักษณะนั้น เห็นศพที่ตายใหม่ ก็สมมติในร่างกายตัวเองให้เป็นในลักษณะคนตายใหม่ และพิจารณาในร่างกายตัวเองให้เป็นไปตามสัญญาที่จดจำมา และสมมติให้ร่างกายตัวเองให้เป็นไปตามซากศพในลักษณะนั้น ๆ และพิจารณาให้ลงสู่ไตรลักษณ์ และกำหนดจิตให้รู้เห็นเป็นธรรม มีอนัตตาคือความสูญเปล่าไปจากตัวตนอย่างแท้จริง ไม่นานท่านก็ได้บรรลุอรหัต เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว เรื่องสัญญา สมมติ ก็หมดภาระกันทันที ฉะนั้น สัญญา สมมติ จึงเป็นสะพานให้ปัญญาได้เป็นอย่างดี
    ขอขอบคุณ
    http://www.era.su.ac.th/artdb/tha/detailpicture.asp?id=P001990
    http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_tool/lp-tool_7-14.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2009
  4. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    Begin With The End

    "เกมชีวิต เริ่มต้นที่ตอนจบ"
    บทความของ วนิษา เรซ
    ผู้เชี่ยวชาญ อัจฉริยภาพ
    ปริญญาโท จาก ฮาร์วาร์ด

    น่าสนใจดีเลยนำมาฝาก ลอง download ไปอ่านกันดูนะครับ
    ผมอ่านกลับไปกลับมาก็นั่งนึกไปว่าเอ..ดูจะคล้าย ๆ กับการพิจรณาสังขาร
    เลยนำมาให้อ่านกันทั้งสองบทความครับเผื่อจะได้แง่คิดอะไรดีๆ
    ขอโมทนาบุญทุกท่านครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    อาเตรยะ มหาเถรตำแย

    <TABLE class=r-navi-border cellSpacing=5 cellPadding=2 width="90%" border=0><TBODY><TR><TD class=r-navimain></TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 10px; PADDING-LEFT: 10px" vAlign=top align=right><CENTER>
    [​IMG]


    [FONT=Microsoft Sans Serif, AngsanaUPC]ข้าขอประนมหัตถ์ พระไตรรัตนนาถา[/FONT]
    ตรีโลกอมรา อภิวาทนาการ
    อนึ่งข้าอัญชลี พระฤาษีผู้ทรงญาณ
    แปดองค์เธอมีญาณ โดยรอบรู้ในโรคา
    ไหว้คุณอิศวเรศ ทั้งพรหมเมศทุกชั้นฟ้า
    สาปสรรค์ซึ่งหว้านยา ประทานทั่วโลกธาตรี
    ไหว้ครูกุมารภัจ ผู้เจนจัดในคัมภีร์
    เวชศาสตร์บรรดามี ให้ทานทั่วแก่นรชน
    ไหว้ครูผู้สั่งสอน แต่ปางก่อนเจริญผล
    ล่วงลุนิพพานดล สำเร็จกิจประสิทธิพร
    (คำไหว้ครูจากคัมภีร์ฉันทศาสตร์ ฉบับพระยาวิชยาธิบดี(กล่อม)อดีตผู้ว่าเมืองจันทบุรี เรียบเรียง)

    จากบทไหว้ครูจากตำราฉันทศาสตร์ ตำราแพทย์ในแผนไทย(โบราณ)ที่ยกมามาพิจารณาได้ว่า ครูที่เกี่ยวกับวิชาเวชศาสตร์ (แพทย์)มีหลายท่านทั้งส่วนที่เป็นเทพพรหมตามที่กล่าวว่า อิศวเรศ(อิศวร)และพรหมเมศ (พระพรหม) ส่วนครูที่เป็นพระฤาษีนั้นกล่าวไว้ถึงแปดองค์ที่ออกจะเน้นเอาคติเรื่องราวในคัมภีร์ไสยไว้ค่อนข้างมาก[​IMG] โดยได้พยายามประสานคติทางพุทธศาสนาไว้ด้วยโดยยกไว้ในลำดับแรกที่ว่า “พระไตรรัตนาถา” โดยมีการสอนจรรยา ไว้เพิ่มเติมให้แพทย์(โบราณ) ทั้งหลายยึดถือปฏิบัติ เช่น
    “ศีลแปดและศีลห้า เร่งรักษาสมาทาน ทรงไว้เป็นนิจกาล ทั้งไตรรัตน์สรณา…”เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิที่ควรยึดถือและแนะนำการเรียนวิชาแพทย์ ควรจะ “พิเคราะห์ ดูผู้อาจารย์ เที่ยงแท้ว่าพิสดาร ทั้งพุทธ ไสย์จึงควรเรียน….” และในบทไหว้ครูในคัมภีร์ฉันทศาสตร์นี้เองที่เป็นตัวอย่างสำคัญ ที่แสดงการประสานความเชื่อแบบคติชนวิทยา ด้าน “พุทธ” กับ “ไสย์” เข้าด้วยกัน ดังที่ยกมาว่าผู้ประพันธ์จะยกเอาพระรัตนตรัย เป็นอันดับปฐม คือการไหว้ “พระไตรรัตนาถา” แล้วจึงไหว้พระฤาษีทั้งแปดตามที่กล่าวมา ซึ่งน้อยคนนักจะทราบว่าหมายถึงท่านใด เพียงแต่กล่าวตามๆกันเท่านั้น เมื่อสอบค้น ตามคติอินเดีย ที่เรามักรับเอาเรื่องราวต่างๆมาพบว่า จะถือเอาพระฤาษี ทั้งหลาย เป็นผู้รับวิชา การแพทย์มาจากพระพรหม เพื่อนำมาเผยแพร่แก่ชาวโลก ฤาษีที่เป็นปฐมาจารย์ ทางการแพทย์คือ อาเตรยะ มีศิษย์ที่มีชื่อเสียง คือ ฤาษีหาริต อัคนิเวศ กาศยป และเภท ต่อมาในสมัยหลังปรากฏชื่อ ฤาษี ผู้เป็นอาจารย์ ทางการแพทย์อีกสามองค์ คือ จรกะ สุศรุต และ วาคภัฏ ดังนั้นคำกล่าวที่ว่าพระฤาษีทั้งแปดองค์จึงน่าะนับเอาตามอย่างที่กล่าวมานี้และเราจะเห็น อีกส่วนหนึ่งที่มักจะคุ้นตาคุ้นหูกันก็คือครูแพทย์ อีกท่านหนึ่งที่มักยกกันในบทไหว้ครู จนเข้าใจกันว่าท่านเป็นบรมครูวิชาแพทย์แผนไทยคือท่าน “ชีวกโกมารภัจ” ซึ่งในตำนานคติพุทธถือว่าเป็นแพทย์หลวงประจำตัวพระเจ้าพิมพิสารแห่งแคว้นมคธ และถือว่าเป็นแพทย์ประจำองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย ซึ่งท่านได้ศึกษาวิชาแพทย์จาก ฤาษีอาเตรยะ ที่สำนักตักศิลา แต่เราคนไทยน้อยคนนักจะรู้จักนาม “อาเตรยะ” หากออกชื่อว่า “มหาเถรตำแย” หลายท่านคงร้องอ๋อ กันทีเดียว ชื่อนี้ ได้ปรากฏในตำราแพทย์แผนไทย ที่ชื่อว่า “คัมภีร์ปฐมจินดา” ตอนหนึ่งว่า
    “…อันว่าข้า (ชีวกโกมาโร) ชื่อชีวกโกมารภัจ(สุตํ) ได้สดับฟัง(มหาเถรโต) จากสำนักมหาเถรผู้ชื่อว่า ตำแย….”
    มีข้อน่าสังเกตว่าชื่อ “ตำแย” ไม่ปรากฏในคำบาลีเลย ที่กำกับไว้ในวงเล็บคงเป็นชื่อที่จำต่อๆกันมาจนเพี้ยนจากชื่อเดิม หากพิจารณาเสียงที่ใกล้เคียงกันก็น่าจะสันนิษฐานได้ว่า เป็นชื่อที่กลายมาจาก “อาเตรยะ” อาจารย์ของหมอ ชีวกโกมารภัจ
    [​IMG]
    อนึ่งในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายที่มาของคำ“ตำแย”ในคำหมอตำแยผู้ทำคลอดว่า ได้ชื่อมาจาก “มหาเถรตำแย” ซึ่งน่าจะได้จากข้อความตอนหนึ่งในคัมภีร์ปฐมจินดาที่กล่าวถึงการทำคลอดว่า “…ถ้าแพทย์ผู้ใดก็ดี หมอตำแยแม่มดผู้ใดก็ดี แลจะถือครรภ์ให้กุมารคลอดไปเบื้องน่านั้น ให้บูชาบวงสรวงพระมหาเถรตำแยก่อน จึ่งประสิทธิทุกประการ…”

    ส่วนในคัมภีร์อื่นๆ อาจพบว่า อาจารย์ของท่านชีวกโกมารภัจ นอกจากจะมีชื่อว่า “อาเตรยะ” ดังกล่าวมาแล้ว บางแห่งยังใช้ชื่อ “ฤทธิยาธรดาบส” ซึ่งตามรูปศัพท์ มีความหมายว่า ดาบสผู้ทรงฤทธิ์เท่านั้นจึงน่าจะเป็นสมญานามมากกว่าที่จะเป็น ชื่อจริง สำหรับเรื่องราวที่ค่อนไปทางศาสตร์ไสย์ ชื่อมหาเถรตำแย ก็เป็นการกล่าวอ้างถึงอำนาจในการบำบัดรักษาสิ่งที่เรียกว่า คุณไสย์ หรือ โรค ในทางมิติจิตวิญญาณ ดังปรากฏในมนต์ที่เข้าลักษณะคำร่ายยาวที่ชื่อว่า “โองการมหาเถรตำแย” นั่นเองอันแสดงถึงอำนาจแบบ ฤทธิยาธร ดาบส มากกว่าความรู้ในการประกอบยาสมุนไพรอันเป็นการรักษาโรคทางกายปกติ


    ชื่อของมหาเถรตำแย ในความรู้จักของคนไทยจึงเป็นไปในทางการบำบัด สิ่งชั่วร้าย ที่มารังควาญความสงบสุขของมนุษย์ที่มีนัยสองสถานคือ โรคภัยและคุณไสย อันเป็นคติวิทยาของชนย่านสุวรรณภูมิที่ยอมรับและประนบใช้เรื่องราวต่างๆที่แม้รับจากต่างถิ่น มาเข้ากับวิถีความเชื่อเดิมอย่างลงตัวโดยบางครั้งก็อาจเปลี่ยน ชื่อสิ่งที่รับมาเสียเป็นภาษาสำเนียงแบบของตนโดยอาจไม่คงเค้าความหมายเดิมดังเช่นนามท่าน ฤาษี อาเตรยะ ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ที่เป็นถึงอาจารย์ท่านหมอชีวกโกมารภัจ ที่มาเป็นการเรียกขาน แบบชาวสุวรรณภูมิว่า
    “มหาเถรตำแย” ………..

    </CENTER>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอขอบคุณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2009
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    ประสบการณ์การออกธุดงควัตรในป่าลึก
    ของ “หลวงปู่จันทา ถาวโร”


    ปลายปี 2543 ผู้เขียนได้มีโอกาสขึ้นไปกราบพระเกจิอาจารย์ทางภาคเหนือหลายรูป ซึ่งแต่ละรูปล้วนเป็นพระสงฆ์ที่เคร่งต่อการปฏิบัติในแนวทางสาย “พระป่า” ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ทั้งสิ้น การปฏิบัติธรรมในสายนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า มีวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัดอย่างน่าเลื่อมใสเพียงใด หากใครจะไปหาโดยที่ไม่ได้นัดหมายกันไว้ก่อนก็มักจะไม่ค่อยพบ เพราะเหตุที่หลวงพ่อและหลวงปู่ทุกรูปจะไม่ค่อยอยู่ประจำวัด ท่านมักออกธุดงค์เพื่อฝึกปฏิบัติสมาธิภาวนาตามป่าเขา หรือตามหมู่บ้านท้องถิ่นที่กันดาร

    มีเรื่องเล่ามากมายจากหลวงปู่รูปหนึ่ง ซึ่งเป็นพระกรรมฐานสุปฏิปันโนที่มีอายุเกือบ 80 ปีแล้วท่านได้เล่าถึงประสบการณ์ในการออกธุดงควัตร ปฏิบัติสมาธิภาวนาในป่า ที่ต้องผจญกับภยันตราย สิ่งลี้ลับ มหัศจรรย์ เรื่องประหลาดๆ หลายๆ เรื่อง หลวงปู่ท่านนี้คือ “หลวงปู่จันทา ถาวโร” แห่งวัดป่าเขาน้อย จังหวัดพิจิตร

    ประสบการณ์ในการออกธุดงควัตรมีอยู่ในหนังสือประวัติของหลวงปู่จันทา ซึ่งเป็นการรวมเรื่องที่ท่านได้เล่าให้ญาติโยมฟังในโอกาสสำคัญต่างๆ ผู้เขียนเห็นหลายเรื่องน่าสนุกและคงหาอ่านกันไม่ได้ง่ายๆ ใครอยากอ่านต้องไปหาท่านถึงพิจิตร เพราะไม่มีการพิมพ์จำหน่าย นอกจากจะเป็นการเผยแพร่เท่านั้น ผู้เขียนจึงได้ขออนุญาตหลวงปู่นำเรื่องราวในบางตอนมาลงเผยแพร่ใน “หญิงไทย” เพื่อให้เกิดประโยชน์เป็นธรรมทานสำหรับผู้อ่านที่สนใจ ตอนหนึ่งที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่อง “สวรรค์” หลวงปู่จันทา ถาวโร เล่าว่าท่านเคยประสบพบเห็น และสนทนาธรรมกับเหล่าเทพยดาจากสวรรค์ว่า...

    ...ปี 2501 อาตมาได้ขึ้นไปภาวนาอยู่ที่วัดถ้ำกลองเพล อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี (อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู ในปัจจุบัน) กับหลวงปู่ขาว (อนาลโย) และหลวงปู่หลุย (จันทสาโร) ในสมัยนั้นที่วัดถ้ำกลองเพลยังขลุกขลักอยู่มาก ไม่สะดวกสบายเหมือนทุกวันนี้ แต่ก็เหมาะสำหรับการทำความเพียรมาก เข้าที่นั่งสมาธิจิตก็รวมได้เร็ว รวมได้ทุกขณะนั่นแหล่ะ เมื่อไปอยู่ที่นั่นจึงตั้งใจทำความเพียรไม่ลดละด้วยการอดนอน ผ่อนอาหาร ตลอดไตรมาส 3 เดือน ตั้งใจทำความเพียรอยู่อย่างนั้น

    [​IMG]
    หลวงปู่ขาว อนาลโย

    [​IMG]
    หลวงปู่หลุย จันทสาโร


    อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันเพ็ญ เมื่อเดินจงกรมเสร็จแล้วก็ไปนั่งภาวนาอยู่ในถ้ำใหญ่ นั่งสมาธิกำหนดพุทโธเป็นอารมณ์ของสติ ไม่นานจิตก็วาง “พุทโธ” แล้วจิตก็รวมลงสู่ภวังคภพพอันแน่นแฟ้น อุปจารธรรมเกิดขึ้น มีแสงสว่างกระจ่างแจ้งเกิดขึ้น กลางคืนเหมือนกลางวันสว่างโล่อย่างนั้น

    ไม่นานมีฝูงเทพยดาทั้งหลาย มีแต่ผู้หญิงล้วนๆ รูปร่างใหญ่โตมโหฬารสวยงามเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ ถือธงแดงและธูปคนละอันมาจากฟากฟ้า มาถึงถ้ำแล้วก็เอาธงปัก จุดธูป แล้วก็พากันกราบไหว้ กราบที่ 1 ว่า “พุทโธ” กราบที่ 2 ว่า “ธัมโม” กราบที่ 3 ว่า “สังโฆ สะระณัง คัจฉามิ” เสร็จแล้วก็ทำวัตรเย็น จากนั้นก็สวด “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อนัตตลักขณสูตร และอาทิตตปริยายสูตร ทั้ง 3 สูตรนี้เขาเรียกว่าราชาธรรม เป็นธรรมอันยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ ธรรมทั้ง 84000 พระธรรมขันธ์มารวมอยู่ที่นี่ทั้งหมด

    เมื่อสวดมนตร์เสร็จแล้วเขาก็นั่งภาวนา นานนะเป็นชั่วโมง สองชั่วโมงสามชั่วโมงนะ เรียบร้อยดี เมื่อเสร็จแล้วเขาก็กราบพุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้วเขาก็จะจากไป จึงได้กำหนดถามเขาว่า

    “โยม...มาจากสถานที่ใด” เขาก็ว่า “ท่านอาจารย์พวกดิฉันมาจากเมืองสวรรค์”

    “มาที่นี่เพื่อประโยชน์อะไรหรือโยม” เขาก็ตอบว่า “มาบูชาแก้วทั้ง 3 ประการนะท่าน”

    “บูชาเพื่อประโยชน์อะไร”

    “เพื่อบำเพ็ญกุศลนะท่าน เพราะแก้วพุทโธ แก้วธัมโม แก้วสังโฆนั้นเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ในการบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนและของหอม”

    ถามเขาไปอีกว่า “อยู่บนสวรรค์ไม่ได้บำเพ็ญหรือโยม”

    “บำเพ็ญอยู่เหมือนกันแต่ได้รับผลน้อย ไม่ได้มากเหมือนอยู่ในเมืองมนุษย์ ในเมืองมนุษย์ทำน้อยได้มาก ทำมากก็ยิ่งได้มาก เพราะเป็นสถานที่สำหรับบำเพ็ญบุญกุศล จะไปสวรรค์หรือพรหมโลกก็ต้องมาบำเพ็ญบุญในเมืองมนุษย์นี้ก่อน จะไปนิพพานพ้นทุกข์จากโอฆสงสารก็ต้องมาบำเพ็ญบุญในศาสนาพุทธ ในเมืองมนุษย์นี่เสียก่อนจึงจะได้ นอกนั้นไม่มี”

    “ในสมัยพระเจ้ากัสสโปโน้น (ยุคศาสนาของพระเจ้ากัสสโป) พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นหญิงชาวบ้านพากันประพฤติวัตรปฏิบัติขัดสีแก้วทั้ง 3 ประการให้สว่างไสวรุ่งโรจน์ทั้งกลางวันและกลางคืน ด้วยการเดินจงกรมบูชาแก้วทั้ง 3 ดวงนี้ แก้วพุทโธ แก้วธัมโม แก้วสังโฆ ทำอยู่อย่างนั้นเป็นนิตย์ไม่ลดละ ล้วนแต่เป็นบุญเป็นกุศลทั้งนั้น ทานการกุศลสิ่งใดที่ให้แก่สมณชีพราหมณ์นั้นก็จะกลายเป็นของทิพย์ไปรอคอยอยู่บนสวรรค์หมดทั้งนั้น ฉะนั้น เมื่อพวกข้าพเจ้าไปเกิดบนสวรรค์ก็มีแต่ความสุขสำราญ เป็นผลจากการประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาถึง 2 หมื่นปี ในสมัยศาสนาพระเจ้ากัสสโป ผู้คนอายุยืน 2 หมื่นปีนะท่าน”

    พวกเทพยดาเหล่านั้นล้วนแต่มีรูปร่างสูงใหญ่ สวยงาม มีผิวสีขาว เหลือง แดง ไว้ผมยาว ใส่สายสร้อยรอบตัว นุ่งผ้ายาวครึ่งแข้งเหมือนคนโบราณ เวลาเดินก็งาม พูดก็งาม เมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์แล้วไกลกันเหมือนฟ้ากับดินนะ จากนั้นเขาก็ฝากธรรมะว่า

    “ท่านอาจารย์ขอได้โปรดไปแนะนำพร่ำสอนญาติโยมทั้งหลาย ให้พากันบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา บำเพ็ญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค 8 โพชฌงค์ 7 และพากันเดินจงกรมฝึกจิต อบรมจิตสอนจิตให้มันดี นั่งสมาธิภาวนานั่นแหละจะเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่เหมือนดังที่พวกข้าพเจ้าทำอยู่อย่างนั้น 2 หมื่นปี เมื่อสิ้นลมแล้วเหมือนกับว่านอนหลับแล้วก็ตื่นขึ้นฉะนั้น”

    เสร็จแล้วเขาก็ลาจากไป ปลิวขึ้นสู่อากาศเหมือนกับนุ่นต้องลม ปลิวเข้าสู่กลีบเมฆหายไปเลย ขณะที่สนทนากันนั้นลืมถามไปว่า พวกเขาเหล่านั้นมาจากสวรรค์ชั้นไหน ได้ถามแต่ว่า “ทำไมจึงมีแต่นางเทพยดาไม่เห็นมีเทพบุตร” เขาก็ตอบว่า “เมื่อครั้งที่พวกข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ได้บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนานั้น ไม่มีพวกผู้ชายไปบำเพ็ญด้วย ดังนั้นเมื่อไปเกิดบนสวรรค์จึงไม่มีเทพบุตร” นั่นแหละ ทำอย่างไรก็ได้ผลอย่างนั้น

    รุ่งเช้าไปทำกิจวัตร หลวงปู่ขาวท่านถามว่า “เมื่อคืนภาวนาเห็นอะไรบ้าง”

    อาตมาตอบว่า “หลวงปู่ครับผมตั้งสัตย์ไว้แล้วว่าจะไม่นอนทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อคืนนี้ภาวนาแล้วจิตสงบเห็นสาวสวรรค์ลงมาจากสวรรค์ในราว 60 คน มีรูปร่างสูงใหญ่สวยงาม ถือธงแดงและธูปลงมาคนละอันเอามาปักไว้หน้าถ้ำ แล้วก็พากันไหว้พระสวดมนต์ จบแล้วก็นั่งภาวนา เสร็จแล้วก่อนที่เขาจะจากไป ได้ถามเขาว่า มาจากไหน เขาก็ตอบว่า มาจากเมืองสวรรค์”

    หลวงปู่ขาว (อนาลโย) ท่านก็ว่า “ปัตจัตตังจ ะรู้เห็นเฉพาะผู้ปฏิบัติ ใครปฏิบัติผู้นั้นก็จะรู้เห็นเองนะ แต่ถ้าปฏิบัติแล้วจิตไม่สงบก็ไม่เห็น เมื่อจิตสงบลงสู่อุปจารธรรมแล้วจะเห็นได้ เพราะจิตเข้าสู่ภพเดียวกับพวกเขาเหล่านั้น”

    นั่นแหละก็เห็นจริงแจ้งชัดประจักษ์ว่า สวรรค์นั้นมีจริง ถึงแม้จะไม่ได้ไปเห็นเมืองสวรรค์ แต่ก็ได้เห็นนางเทพธิดาทั้งหลายเหาะลงมาจากฟ้า ลงมาไหว้พระสวดมนต์และนั่งภาวนาอยู่ที่วัดถ้ำกลองเพลนั้น...”

    [​IMG]
    พระอาจารย์บุญพิน กตปุญโญ


    หลวงปู่ฯ เทศน์โปรดเทวดาจากภูเขาใหญ่ “...สมัยหนึ่งไปวิเวกที่ถ้ำพระ บ้านตาลเลียน อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี ภูเขาลูกนั้นมีถ้ำอยู่ 2-3 ถ้ำ ไปอยู่คนละถ้ำกับพระอาจารย์บุญพิน (กตปุญโญ) วันนั้นนั่งภาวนาตั้งแต่หัวค่ำ ราวเที่ยงคืนจิตสงบแล้วเกิดแสงสว่างกระจ่างแจ้ง จากนั้นก็มีฝูงเทพบุตรเทพยดาลงมาจากภูเขาใหญ่ รูปร่างใหญ่โต สวยงาม แต่พูดจาเสียงแข็ง แต่ก็ไม่ใช่ลักษณะการด่าว่าหรอก เขามาขอรับพระไตรสรณคมน์และศีล 5 ถามว่า “จะรับไปทำไม” เขาก็ว่า “พวกข้าพเจ้าหมดเกษียณภพชาติที่อยู่บนภูเขาใหญ่แล้ว จะได้เกิดยังเมืองมนุษย์อีก เมื่อเห็นท่านมาอยู่ที่นี่ก็ดีใจเลยมาขอรับพระไตรสรณคมน์และศีล 5”

    เมื่อให้เสร็จแล้วเขาขอฟังธรรมะ ก็เทศน์ให้ฟังว่า “เยเกจิ พุทธัง สะระณัง คะตา เส นะ เต คะมิสสันติ อะปายะภูมิง” นรชาติหญิงชายทั้งหลาย เมื่อเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว อบายไม่ได้ไปไฟนรกไม่ได้ไหม้สิ้นแสนกัป ดับขันธ์แล้วจะมีแต่สุคติสวรรค์เป็นที่ไปเบื้องหน้าได้ชื่อว่า มนุสสะธัมโม เป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องกลั่นกรองกิเลส เป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องล้างบาปและเคราะห์เข็ญเวรร้าย นั่นแหละเป็นของดีเลิศประเสริฐแท้

    เสร็จแล้วเขาก็จากไปเข้าสู่จังหวัดอุดรธานีมีราวๆ 100 ตนเห็นจะได้ คืนนั้นนั่งภาวนาทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้าแจ้งเป็นวันใหม่ พระอาจารย์บุญพิน (กตปุญโญ) ก็มาถามว่า “เมื่อคืนนี้เทศน์ให้ใครพัง”... “เทศน์ให้เทพบุตรเทพยดามาจากภูเขาใหญ่ เขาหมดเกษียณภพชาติแล้ว เขาจะไปเกิดเป็นมนุษย์ที่เมืองอุดรธานีโน่น”

    การเล่าถึงประสบการณ์ในการออกธุดงควัตร ปฏิบัติสมาธิภาวนาในป่าเขาลำเนาไพรของพระกรรมฐานสุปฏิปันโน พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต รูปหนึ่งผู้มีนามว่า “หลวงปู่จันทา ถาวโร” ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือสูงสุดของสาธุชนชาวพิจิตร เรื่องที่หลวงปู่ท่านเล่าถึงการผจญกับภัยอันตรายหรือสิ่งเร้นลับมหัศจรรย์ยังมีอีกหลายเรื่อง ซึ่งล้วนแต่สนุก มีสาระแฝงข้อคิดที่เป็นคุณประโยชน์ในทางพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น ผู้เขียนจึงขอนำเรื่องเล่าบางตอนของหลวงปู่มาเผยแผ่ต่อไป...

    [​IMG]
    หลวงปู่จันทา ถาวโร


    ประสบการณ์การตายแล้วพื้น

    สมัยหนึ่ง (ปี 2494) ไปจำพรรษาอยู่ที่บ้านตะเบาะ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ มีพระจำพรรษาอยู่ด้วยกัน 3 รูป สามเณร 1 รูป และผ้าขาวเฒ่า 1 คน (ผ้าขาวคือฆราวาสผู้รักษาศีล 8 อยู่ที่วัด) อยู่มาวันหนึ่งเป็นวันเพ็ญเดือน 10 หลังจากฉันอาหารเช้าแล้วกลับมาที่กุฏิ เอาผ้าคลุมจะไปฟังธรรม ก็พอดีไข้มาลาเรียมันกำเริบหนักขึ้นสมอง ล้มลงกับพื้นที่กุฏิซึ่งปูด้วยฟากไม้ไผ่ เณรได้ยินเสียงล้มลงจึงออกมาดูแล้วถามว่า “ครูบา...เป็นอะไร” (ครูบาเป็นคำเรียกพระที่พรรษาหย่อน 10) “ไม่รู้...มันมึนตึ๊บแล้วก็ล้มลงเลย”

    เณรก็วิ่งไปบอกญาติโยมว่า “ครูบาจันทาล้มลงนะ...เป็นอะไรก็ไม่ทราบ” ทั้งพระและโยมเขาก็เข้ามาดู เอาหมอมาด้วย หมอก็ตรวจดูแล้วบอกว่า เป็นไข้มาลาเรียขึ้นสมองอย่างหนัก อีก 5 นาทีก็จะสิ้นลม โยมทายกวัดเขาก็ว่า จะเป็นหรือตายอย่างไรก็ตามต้องฉีดยาช่วยเหลือไว้ก่อน พอฉีดยาเสร็จแล้วไม่นานก็สิ้นลม เมื่อสิ้นลมดวงจิตนั้นยังไม่ยอมออกจากร่าง ยังห่วงใยเสียดายร่างกายอยู่ ไม่นานมีเพื่อนคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างๆ ร้องบอกว่า

    “เพื่อนๆ รีบออกจากเรือนเถอะ ไฟมันจะไหม้ทับหัว” ก็เลยออกจากร่างมายืนติดกับเพื่อน

    เพื่อนก็บอกว่า “นี่แหล่ะ...เพื่อนเอ๋ย สมบัติร่างกายนี้นั้นอาศัยกันมาตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันนี้นั้นก็ถูกไฟพยาธิเผาให้เร่าร้อนฉิบหายเสียแล้ว จะอาศัยอยู่ต่อไปอีกไม่ได้ หมดเพียงแค่นี้นั่นแหละ ถึงจะเสียดายอย่างไรก็หมดสิทธิ์อำนาจที่จะเข้าไปครอบครองได้อีกต่อไป”

    จากนั้นทั้งพระและโยมก็ช่วยกันเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็หามศพไปไว้ที่ศาล วางนอนไว้เฉยๆ ไม่ได้ใส่โลงและก็ไม่ได้ฉีดยา ก็ตามไปดูอีกเพราะความเสียดายนั่นแหละ เข้าไปนั่งลูบคลำร่างกายศพ ดูแล้วก็เฉยเหมือนขอนไม้ โอ้หนอ...ขึ้นชื่อว่าตายแล้วถึงจะคิดเสียดาย อาลัยอาวรณ์อย่างไรก็เอากลับคืนมาไม่ได้แล้วก็หมดความสงสัย ทีนี้ก็หันไปพูดกับพระเณรเขาก็ไม่พูดด้วย ไปถามญาติโยมเขาก็ไม่พูดด้วย เขามองไม่เห็นเพราะมีแต่นามธรรมคือ “ดวงจิต” จึงหันกลับมาถามเพื่อนว่า “เราจะไปไหนกันดี” เพื่อนก็ตอบว่า “จะพาไปเที่ยวดูภูมิประเทศ”

    ก็ออกเดินทางกันวันยังค่ำ มีแต่ดวงจิตไปสบาย ไม่หิวโหย ไม่เหนื่อยล้า ครั้นไปถึงกึ่งกลางระหว่าง 2 หมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่งเป็นภูเขา อีกหมู่บ้านหนึ่งเป็นป่าดง ในระหว่างกลางนั้นเป็นสนามเล่น ก็เลยไปพักเล่นอยู่กับเขา พักเล่นอยู่จนกระทั่งตี 3 พวกเขากลับบ้านกันหมดเพราะมันจะค่ำ กลางคืนเป็นกลางวันนะ เมื่อพวกเขากลับกันหมดแล้วก็ถามเพื่อนว่า “เราจะไปไหนกันอีก” เพื่อนก็บอกว่า “เราเองก็มาใหม่ ยังไม่รู้จักภูมิประเทศดี จะไปข้างหน้าก็เป็นป่าดง ไปข้างหลังก็เป็นภูเขา แต่ว่าขณะนี้สมบัติปัจจัยเก่าคือร่างกายนั้นยังสดชื่นอยู่ พอที่จะกลับคืนสู่ร่างเก่าได้เพราะมีบุญครึ่งหนึ่งรักษาไว้ แต่ว่าเรามาไกลแล้ว จะเดินกลับคงไม่ทันแน่ ต้องวิ่ง”

    เอ้าวิ่งก็วิ่งเลย ข้ามดงข้ามทุ่งมาถึงวัดแล้วก็ขึ้นไปบนศาลาไปดูซากศพก็เห็นนอนสบายดีอยู่ มีแต่ญาติโยมที่มาเฝ้าศพปรึกษากันว่าจะเผาหรือฝังเท่านั้น เพื่อนก็บอกให้เข้าไปนั่งติดกับร่างศพและตั้งสติให้ดี นึกถึงบุญเก่าและบุญใหม่ประกอบกันเข้านั่นแหละจะช่วยให้ดวงจิตกลับเข้าสู่ร่างได้ นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา อุปัชฌาย์อาจารย์ พอนึกจบแล้วก็เข้าสู่ร่างกายได้สบาย เมื่อหันหน้ากลับมาดูเพื่อน เพื่อนหายไปเสียแล้ว

    พอแจ้งเป็นวันใหม่ กระดุกกระดิกร่างกายได้สมบูรณ์ดีแล้ว ลืมตาขึ้นได้ยินเสียงนกแซงแซวร้อง ก็ระลึกขึ้นมาว่าเรามีชีวิตกลับคืนมาได้ก็เพราะบุญหรอก บุญที่สะสมไว้ตั้งแต่ชาติปางก่อนโน้นและชาตินี้ประกอบกันเข้าเป็นเครื่องรักษา ฉะนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราจะสะสมแต่บุญกุศลเท่านั้น สิ่งอื่นไม่ว่าจะเป็นสมบัติ ข้าวของ เงินทอง กุฏิ วิหาร สบง จีวร สังฆาฏิก็ดี เมื่อสิ้นลมแล้วก็ทอดทิ้งไว้หมดเสียสิ้น มีแต่บุญกุศลเก่าและใหม่เท่านั้นที่จะบันดาลให้เป็นเสื้อผ้าอาภรณ์เ ป็นผ้าสบงจีวร เป็นสังฆาฏิสวยงาม เป็นที่พึ่งพิงอาศัยได้แท้แน่นอน

    เมื่อตั้งสัตยาธิษฐานเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง พวกญาติโยมที่มาเฝ้าศพอยู่บนศาลาก็ตกใจ บ้างก็วิ่งหนี บ้างก็กระโดดลงศาลาไปด้วยความกลัวผี ไม่นานพอหายตกใจกลัวแล้ว พวกโยมทายกวัดก็เข้ามาถามความเป็นมา เพราะไม่เคยเห็นคนตายไปวันกับคืนแล้วพื้นคืนมาได้ ก็แสดงให้เขาฟังอย่างที่ได้อธิบายมาแล้วนั่นแหละ และก็ว่าโยมทั้งหลายต่อไปนี้จงยึดเอาอาตมาเป็นคติธรรมเตือนใจนะ เพราะบุญกรรมดีสะสมไว้แต่ชาติปางก่อนโน้นและชาตินี้ประกอบกันเข้าจะรักษาสมบัติร่างกายไว้ ถึงตายแล้วก็ไม่เน่ายังสดชื่นเหมือนเดิมทำให้พื้นกลับคืนมาได้ ฉะนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายจงรีบเร่งสะสมคุณงามความดีใส่ตนไว้ จะได้เป็นเพื่อนสองเป็นคู่ครองติดตามตลอดไป...

    [​IMG]
    พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ


    เทศน์โปรดช้าง

    สมัยหนึ่ง (ปี 2497) ไปวิเวกที่ดงหม้อทอง อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร กับหลวงปู่ขาว (อนาลโย) และพระอาจารย์จวน (กุลเชฏโฐ) และพระอื่นๆ อีกรวมแล้วมีพระ 7-8 รูปด้วยกัน คืนหนึ่งในขณะที่เดินจงกรมอยู่ประมาณ 4-5 ทุ่ม ก็มีช้างฝูงใหญ่ราว 10 ตัวเดินเข้ามาหาพอห่างได้ระยะ 1 เส้น (20 วา) จ่าฝูงก็กระทืบตีน 3 ครั้งแล้วก็โบกหูไปมาแล้วก็ชูงวงขึ้น

    ขณะนั้นอาตมาก็ไม่มีความสะทกสะท้านหรือเกรงกลัวอย่างไรทั้งสิ้น เพราะอำนาจพระธรรมเกิดขึ้นแล้วที่จิต คือความสงบนั้น จึงกำหนดถามพระธรรมตัวเองขึ้นว่า “ช้างเขามาทำอะไรกัน” พระธรรมพูดขึ้นว่า “ช้างฝูงนี้เป็นญาติของเรามาแต่ชาติปางก่อนโน้น เขาอนุโมทนาส่วนบุญกับเรา จงอุทิศส่วนบุญให้เขาเสีย” ก็เลยตั้งใจมั่นแล้วแผ่เมตตาให้ว่า

    “ช้าง...พวกท่านกับอาตมาเป็นญาติกันมาแต่ชาติปางก่อนโน้น มาชาตินี้ก็ได้มาประสบพบปะกันแล้ว จงอนุโมทนาส่วนบุญนะ จะอุทิศให้ “ปุญญัง อุทิสสะ ทานัง สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ” ขอให้ท่านทั้งหลายจงได้รับส่วนบุญเถิด” จากนั้นก็ให้โอวาทแก่เขาว่า

    ...ขอให้พวกท่านทั้งหลาย จงน้อมเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไปไว้เป็นที่พึ่งนะ ไหว้พระสวดมนต์ภาวนาประจำชีวิต ไม่ลดละ ท่านทั้งหลายจงตั้งตนอยู่ในศีล 5 “ปาปะกัง ปาณาติบาต” อย่าเพิ่งฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมนุษย์นะ เป็นบาป อย่างเพิ่งลักขโมยกินของไร่ ของสวนเขานะ เป็นบาป เขาจะฆ่าเอา อย่าเพิ่งนอกใจซึ่งกันและกัน นั่นแหละ อันนี้เป็นข้อสำคัญมั่นหมาย

    เมื่อพวกท่านมีพระไตรสรณคมณ์ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นสรณะที่พึ่งแล้ว มีศีล 5 ประจำชีวิตอีกก็จะได้นุสสธัมโม เปลี่ยนชาติภพจากสัตว์เดรัจฉานไปเป็นมนุษย์ เมื่อเปลี่ยนชาติภพแล้วจะได้ทำคุณงามความดีเหมือนอย่างข้าพเจ้านี่แหละ เขาก็ตั้งใจฟังจนจบ จากนั้นจ่าฝูงก็กระทืบเท้า 3 ครั้งแล้วโบกหูพึบพับๆ จากไป

    สมัยนั้นที่ดงหม้อทองยังเป็นป่าดงทึบ มีสัตว์ป่ามากมาย ทั้งช้าง ทั้งเสือเหลือง เสือโคร่ง ส่งเสียงร้องกันสนั่นหวั่นไหว แต่สัตว์ร้ายเหล่านั้นก็ไม่ได้มาทำอันตรายแต่อย่างใด เพราะอำนาจของการประพฤติธรรมบันดาลให้เป็นมหาเสน่ห์มหานิยม

    พบเสือโคร่งกลางป่า

    สมัยหนึ่งปี 2496 ได้เร่ร่อนสัญจรไปวิเวกยังดงพระลาด บ้านหนองแผน อำเภอวานนรนิวาส จังหวัดสกลนคร มีพระ 2 รูป และเณร 1 รูปไปทำที่พักอยู่กลางดง ห่างจากหมู่บ้านราว 2 กม. พระรูปหนึ่งทำที่พักอยู่ใต้ต้นเม็ก และเณรไปทำที่พักอยู่กลางป่ารกๆ ส่วนอาตมาไปทำที่พักอยู่ในสถานที่ๆ ช้างและเสือมันจะขึ้นลงไปกินน้ำในห้วย

    คืนแรกพอค่ำมาก็ลงเดินจงกรมจนถึง 2 ทุ่ม จากนั้นก็ไหว้พระสวดมนต์เสร็จแล้วจึงนั่งสมาธิภาวนาต่อไป พอถึง 3-4 ทุ่มเสือโคร่งใหญ่ลงไปกินน้ำในห้วยแล้วกลับขึ้นมา หายใจดัง...ฮื่อฮ่า...ๆ...ๆ เสียงมันดังเพราะคอมันใหญ่ เดินปัดหางดัง...ก๊วก...ๆ...ๆ ใกล้เข้ามาก็นึกในใจว่า มันจะทำอย่างไรก็แล้วแต่บุญแล้วแต่กรรมเถิด ถ้าได้ทำกรรมไว้ก็มอบร่างกายนี้ให้เป็นภักษาหารของเสือใหญ่ไปเลย ไม่อาลัยเสียดายทั้งนั้น เมื่อเสือใหญ่เข้ามาใกล้ที่พัก มันก็เดินเลี่ยงไปทางพลาญหินแล้วก็วกกลับมานั่งดู ยืนดูอยู่ตรงนั้น นั่นแหล่ะ...เสือก็เฝ้าอยู่อย่างนั้น จนล่วงไปถึง 6 ทุ่ม มีเทพบุตรตนหนึ่งมาพูดว่า

    “หลวงพ่อๆ อย่ากลัวนะ แมวใหญ่ (เสือโคร่ง) นั้น ข้าพเจ้าบอกให้เขาเฝ้ารักษาหลวงพ่อไว้ ตัวที่อยู่ใกล้เฝ้าดูแลรักษา ส่วนตัวที่อยู่ไกลก็ร้องส่งสัญญาณขู่ไม่ให้สัตว์อื่นเข้ามารบกวนในบริเวณนี้ ทั้งนี้ เพราะข้าพเจ้ากับท่านและเสือใหญ่นั้นเป็นญาติกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว มาชาตินี้เห็นท่านมาเจริญสมณธรรมเกรงว่าจะเป็นอันตราย จึงให้เขามารักษาญาติพี่น้องของเราไว้อย่าให้เป็นอันตราย จะออกไปขี่หลังมันก็ได้ ไม่ต้องกลัว

    นั่นแหล่ะ คืนนั้นก็ไม่ได้นอน นั่งภาวนาอยู่จนสว่างแจ้งเป็นวันใหม่ เสือมันก็เข้าดงไป นั่นแหล่ะ...ไปวิเวกตามสถานที่ต่างๆ เป็นอย่างนั้น เมื่อก่อนนี้ในภาคอีสานยังมีคนน้อย มีแต่ป่าดงทึบ สัตว์ร้ายเสือช้างอะไรมันก็มาก ผีก็เยอะ ผีกองกอยสะมอยดง ผีโป่ง ผีป่ามากมาย ถึงแม้จะมีสัตว์ร้ายมากขนาดไหนก็ไม่หวั่นไหวนะ ภาวนาอยู่ที่นั้นนานๆ ก็ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด...”



    .............................................................

    คัดลอกมาจาก ::
    นิตยสารหญิงไทย เรื่องโดย สายทิพย์
    <!-- m -->
    http://www.yingthai-mag.com/column.asp?columnid=8
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เมื่อวานได้ดำเนินการเบิกเงินบัญชีทุนนิธิฯ ร่วมกับ อ.ปุ๊ เพื่อบริจาคให้ รพ.ที่มีหน่วยงานดูแลสงฆ์อาพาธทั้ง 7 แห่ง โดยมีรายละเอียดดังนี้

    1. รพ.สงฆ์ กทม.

    - เตรียมปัจจัยถวายค่าสังฆทานอาหารเช้า
    พระสงฆ์ จำนวน 200 รูป 5,000.-
    - บริจาคซื้อเลือดส่วนกลาง 7,500.-
    - บริจาคซื้อเวชภัณฑ์ส่วนกลาง 7,500.-

    2. รพ. ส่วนภูมิภาค

    - รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่ 5,000.-
    - รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น 5,000.-
    - รพ. 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ 5,000.-
    - รพ.แม่สอด จ.ตาก 6,000.- ( รพ.ชายแดนฝั่งพม่า)
    - รพ.สมเด็จพระยุพราช (ปัว) จ.น่าน 6,000.- ( รพ.ชายแดนฝั่งลาว)
    - รพ.สงขลา จ.สงขลา 8,000.- ( รพ.มีพื้นที่ให้บริการม
    มากกว่าพื้นที่อื่น)

    รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 55,000.- (ห้าหมื่นห้าพันบาทถ้วน)

    โดยเงินทั้งหมดนี้ได้ทยอยโอนผ่านธนาคารไปแล้ว 4 แห่ง คงเหลือทางไปรษณีย์ธนาณัติ 2 แห่ง คือ ที่ จ.น่าน และที่ จ.อุบล

    ส่วนที่ รพ.สงฆ์ใน กทม. นั้น จะได้นำไปบริจาคในวันทำกิจกรรมประจำเดือน ในวันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคมนี้ ทั้งหมดครับ

    สำหรับจำนวนพระสงฆ์ที่ทำบุญ และกำหนดการอื่นๆ นั้น จะได้แจ้งให้ทราบต่อไปในกระทู้นี้ รวมถึงหลักฐานการโอนเงินและยอดเงินคงเหลือในบัญชีด้วยครับ


    พันวฤทธิ์
    18/5/52
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    พุทธศาสตร์ศึกษาโดยวิธีอุปมาอุปมัย
    เรื่อง “วิธีทำบุญให้ได้ผลที่สุด” (ตอนที่ ๕ การแผ่เมตตา)
    พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์


    ข้อปฏิบัติประการหนึ่งที่จะขาดไม่ได้ของผู้ที่ปฏิบัติธรรม หลังจากการสวดมนต์ภาวนา และปฏิบัติกัมมัฏฐานแล้ว คือ "การสวดแผ่เมตตา" ซึ่งมีบทสวดเป็นภาษาบาลีที่อ่านเป็นไทยได้ว่า "สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ สัพเพ สัตตา อัพยาปัชฌา โหนตุ สัพเพ สัตตา อะนีฆา โหนตุ สัพเพ สัตตา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ" แปลเป็นไทยได้ว่า "สัตว์โลกทั้งหลายที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น จงอย่ามีเวรซึ่งกันและกันเลย จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด จงอย่าพยาบาท เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงอย่ามีความลำบาก จงอย่ามีความเดือดร้อน จงอย่ามีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย"

    การสวดแผ่เมตตานี้เป็นบุญกิริยาอย่างหนึ่งจัดอยู่ในประเภท "การทำทาน" ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนที่ ๒ และเป็นกิจกรรมที่มีส่วนช่วยให้เจตสิกของท่านผู้นั้นได้รับการฝึกและพัฒนาเกิดเป็น "อัปปมัญญาเจตสิก" ที่เฝ้าคอยกระตุ้นจิตให้ระลึก มีอารมณ์มีความสงสารเห็นใจผู้ที่กำลังได้รับทุกข์เวทนา มีความอยากที่จะช่วยเหลือให้เขาพ้นจากทุกข์ที่กำลังได้รับอยู่ หรือ กำลังจะได้รับ ไม่นิ่งดูดายต่อทุกข์ของผู้อื่น ไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้เขาได้รับทุกข์กาย ทุกข์ใจ อยู่เป็นประจำ "อัปปมัญญาเจตสิก" นี้เป็นเจตสิกหนึ่งในกลุ่ม "โสภณเจตสิก" ซึ่งเป็นเจตสิกฝ่ายกุศลที่คอยกระตุ้นให้จิตเป็นกุศลระลึกแนบแน่นอยู่กับความดีงาม ปราศจากความเร่าร้อน ตั้งอยู่ในศีลธรรม เว้นจากการกระทำบาป ทุจริตต่างๆ อยู่ตลอดเวลา สามารถประหาร "โลภเจตสิก" ที่คอยกระตุ้นให้จิตมีตัณหาอารมณ์มีความกระหายทะเยอทะยาน อยากได้อยากเป็น ได้เป็นอย่างดี จึงส่งผลให้เกิดกุศลเจตนาขึ้น ตั้งใจประกอบแต่กุศลกรรมแต่เพียงฝ่ายเดียว


    .....................................................
    "Great minds discuss ideas; Average minds discuss events;
    Small minds discuss people."

    จิตใจที่ยิ่งใหญ่วิพากย์วิจารณ์ความคิด จิตใจสามัญวิพากวิจารณ์เหตุการณ์ แต่จิตใจที่ต่ำต้อยนั้นวิจารณ์เพียงผู้คน



    ลานธรรมจักร &bull; แสดงกระทู้ - การแผ่เมตตา (พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์)
     
  9. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    วันนี้ผมและครอบครัวได้โอนเงินทำบุญ200บาทครับ
    โมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2009
  10. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    กราบขอบพระคุณและโมทนาบุญกับทุกๆท่านนะครับที่ได้ร่วมกันบริจาคทรัพย์ให้กับทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร เพื่อนำไปใช้ในการสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์ที่กำลังอาพาธอยู่ตามโรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศ(ขณะนี้ก็ 7 โรงพยาบาลแล้ว)

    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ

    ทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร จะได้ไปทำบุญกันประจำเดือนพฤษภาคมนี้ในวันอาทิตย์ที่
    24 พฤษภาคม 2552 ที่โรงพยาบาลสงฆ์ท่านใดที่จะไปร่วมกันทำบุญที่โรงพยาบาลฯก็ขอเรียนเชิญเลยนะครับ ไปถึงสัก 7.00-7.15 น.ก็ดีนะครับจะได้ไปช่วยกันบรรจุของที่จะถวายพระตอนเช้าด้วยมือของท่านเอง ท่านใดที่ยังไม่เคยไปก็ให้ตรงไปที่โรงอาหารสวัสดิการของทางโรงพยาบาลที่อยู่ทาง
    ด้านหน้าซ้ายสุดของโรงพยาบาลด้านสี่แยกศรีอยุธยาครับ (เปลี่ยนที่แล้วครับ)หรือถ้าไปไม่ถูกก็ถามยามรักษาการณ์ก็ได้ครับ แล้วเจอกันนะครับ

    ปล. ผมขอแจ้งรายชื่อท่านที่ได้บริจาคทรัพย์ให้กับทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ผ่านทางพี่ใหญ่ดังนี้ครับ

    1. คุณ Benyapa 1000 บาท
    2. นพ.เอกพล-พ.ญ.ยุวเรศ ตั้งมานะสกุล 200 บาท

    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ
     
  11. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    ปฐมกำเนิดรูปนามกายใจ
    และกาลเวลาแห่งจักรวาล

    ครั้งหนึ่ง มีผู้กราบเรียนถามหลวงปู่ดูลย์ อตุโล พระอัจฉริยอรหันตเจ้าผู้แทงตลอดในจิตและจักรวาลอย่างถูกต้องร่องรอยตามพุทธฏีกามากที่สุดแห่งวัดบูรพาราม สุรินทร์ว่า
    "ก่อนที่จิตจะมาจับให้เกิดรูป จิตมันมาอย่างไรขอรับ.???"

    หลวงปู่ดูลย์วิสัชนาอย่างละเอียดที่สุดว่า

    "จิตเกิดขึ้นในจักรวาล สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตมันก็อยู่ในจักรวาลนั้นเอง ซึ่งถ้ารวมแล้วก็มีรูปกับนาม ๒ อย่างเท่านั้นอยู่ในจักรวาล นามเดิมก็คือความว่างของจักรวาล เข้าคู่กันเป็นเหตุเกิดตัวอวิชชาเกิดเหตุก่อ ที่ใดมีรูปที่นั้นต้องมีนาม ที่ใดมีนามที่นั้นต้องมีรูป รูปนามรวมกันเป็นเหตุเกิดปฏิกิริยา.....และเกิดกาลเวลาขึ้น รูปย่อมมีการดึงดูดซึ่งกันและกัน จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหวและหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย รูปเคลื่อนไหวได้ต้องมีนามความว่างกั้นหลังรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้
    เมื่อสภาวะธรรมขึ้นดังนี้ สรรพสิ่งของวัตถุสสาร มีชีวิตและไม่มีชีวิต จึงต้องเปลี่ยนแปลงเป็นไตรลักษณ์ เกิดดับสืบต่อ สืบเนื่องจิต ไม่ยอมหยุดนิ่งให้คงทนให้เป็นปัจจุบันได้ จิตก็เกิดมาจากรูปนามของจักรวาล มันเกิดมาจากนี้จิต จิตก็เกิดมาจากรูปนามของจักรวาลนั้นเอง..."
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    "นาม(จิต)เดิม ก็คือความว่างของจักรวาล" <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    “ภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เหล่านี้ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น
    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราไม่ได้กล่าวถึงอายตนะนั้นว่าเป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยไม่ได้ ไม่ได้เป็นไป หาอารมณ์ไม่ได้ นั่นแลเป็นที่สุดแห่งทุกข์”

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>



    “ที่จริง พระอรหันต์ทั้งหลายท่านไม่ได้รู้อะไรมากมายเลย เพียงแต่เจริญจิตให้รู้แจ้งในขันธ์ห้า แทงตลอดในปฏิจจสมุปบาท หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาจิต มันก็จบแค่นี้ เหลือแต่บริสุทธิ์ สะอาด สว่าง ว่าง มหาสุญญตา ว่างมหาศาล”
    รู้’ (อัญญา) เป็นปกติจิตที่ “ว่าง สว่าง บริสุทธิ์ หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาของจิต ไม่มีอะไรเลย ไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง”
    "พระพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้เข้าสู่นิพพานในฌานสมาบัติอะไรที่ไหนหรอก เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌานแล้ว จิตขันธ์ หรือนามขันธ์ ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือ นั่นคือพระองค์ดับเวทนาขันธ์ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตอันปกติของมนุษย์ ครบพร้อมทั้งสติและสัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใดมาครอบงำอำพรางให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างบริบูรณ์ ภาวะอันนั้นจะเรียกว่า มหาสุญญตา หรือจักรวาฬเดิม หรือเรียกว่าพระนิพพานอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เราปฏิบัติมาก็เพื่อเข้าถึงภาวะอันนั้นเอง"
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บ
     
  12. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    การจะมีสติระลึกได้อยู่เสมอ ต้องค่อยทำค่อยไป ไม่รีบร้อน ทำบ่อยๆ ทำแบบเต็มใจทำ





    ปุจฉา
    วิธีปฏิบัติตนเมื่อห่างไกลครู

    กราบนมัสการองค์หลวงปู่ที่เคารพรัก ตั้งใจที่จะเป็นฆราวาส ผู้ปฏิบัติธรรม เจริญสติ ฝึกจิต ให้ สะอาด สว่าง สงบ ในขณะที่ ต้องทำงานอยู่ในปัจจุบันท่ามกลางสิ่งแวดล้อม อันแตกต่างที่ฉุดดึงออกไปให้ห่างครู เนื่องจากยังไม่เข้มแข็งพอ และ
    จะมีวิธีใดบ้างที่จะน้อมนำให้สามารถปฏิบัติได้ดีเหมือนตอนที่อยู่ใกล้ครู

    วิสัชนา


    เป็นธรรมชาติของจิตแหละคุณ จิตนี้เหมือนกระแสน้ำย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำอยู่เสมอ จิตนี้เหมือนน้ำมันบรรจุลงใน หม้อดิน บุคคลผู้นำพาหม้อดินที่มีน้ำมันบรรจุอยู่เต็มย่อมต้องพยายามประคับประคองมิให้น้ำมันในหม้อกระฉอกกระเพื่อมหกฉันใด การฝึกจิตนี้จะต้องพยายามประคับประคอง มิให้กระฉอกกระเพื่อมไปตามขบวนการหลอกล่อ ทั้งภายในภายนอก ฉันนั้น

    คุณต้องหาทางสร้างแรงจูงใจสร้างกำลังใจให้เข้มแข็งกล้าหาญเด็ดเดี่ยวพร้อมที่จะฝึกหัดดัดจิตนี้ให้ซื่อตรง
    มีสติระลึกได้อยู่เสมอ ต้องค่อยทำค่อยไป ไม่รีบร้อน ทำบ่อยๆ ทำแบบเต็มใจทำ อย่าทำแบบจำใจ

    เพราะอย่างนี้แหละบรรดาพระมหาโพธิสัตว์เจ้าจึงจำเป็นต้องบำเพ็ญบารมีทั้ง 10 คือ ทานบารมี ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจอธิษฐาน เมตตา อุเบกขา เพื่อเป็นเครื่องพยุงจิตให้กล้าแข็งต่อการฝึกหัด ค่อยๆบำเพ็ญบารมีไปสักวันหนึ่งชัยชนะจะเป็นของคุณ

    ปุจฉา
    สติ อนุสติ กับ มหาสติ


    สติ อนุสติ (เช่น พุทธานุสติ มรณานุสติ) มหาสติ แตกต่างกันอย่างไร ? จะใช้สติที่แตกต่าง กันเหล่านี้ มากำกับจิตที่แตกต่าง กันหรือไม่? การมีสติมากำกับจิตทุกดวงที่เกิดดับ คือสติตัวไหน? ทำได้อย่างไร ?

    วิสัชนา

    สติ คือ ความระลึกได้ อนุสติ คือ อารมณ์ที่ควรระลึกถึง เหตุปัจจัยที่ควรระลึกถึงอยู่เนืองๆ ตลอดเวลามี 10 อย่าง พุทธานุสติ คือ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ธรรมานุสติ คือ ระลึกถึงคุณของพระธรรมสังฆานุสติ คือ ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ สีลานุสติ คือ ระลึกถึงศีล จาคานุสติ คือ ระลึกถึงประโยชน์ในการบริจาคทาน เทวตานุสติ คือ ระลึกถึง คุณธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นเทวดา มรณานุสติ คือ ระลึกถึงความตายที่จะเกิดขึ้นแก่ตน และคนอื่นสัตว์อื่น กายคตาสติ คือ ระลึกถึงความจริงแท้มีอยู่ในกายนี้ อานาปานัสติ คือ ระลึกถึงลมหายใจที่เข้าและออก อุปสมานุสติ คือ ระลึกถึงธรรมที่เป็นเหตุทำให้กิเลสระงับ

    ส่วน มหาสติ คือ สติที่กำกับจิตทุกดวงที่เกิดดับ มีสติรู้สภาวะตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในกาย เวทนา จิต และธรรม ให้เกิดสติรับรู้ทุกขณะลมหายใจ เข้าออก ทำให้เกิดขึ้นได้ด้วยการฝึกปรือ อบรม บ่มเพาะ อย่างจริงจัง ตั้งใจ จดจ่อ และจับจ้อง

    ปุจฉา
    นั่งภาวนาแล้วง่วงนอน


    ทำอย่างไรจะชนะความ ขี้เกียจได้ตลอดไป และทำอย่างไรจะชนะความโกรธได้ตลอดกาล ดิฉันชอบนอนมากๆ ทำอย่างไรถึงจะแก้ได้เพราะเป็นอุปสรรคในการภาวนามาก นั่งภาวนาไม่คอยปวดเมื่อยแต่ง่วงนอนอย่างเดียว และไม่ชอบเดินจงกรมด้วย เมตตาตอบด้วยเจ้าค่ะ

    วิสัชนา

    ขอตอบว่า เจริญสติ ฝึกสติ ทำให้เกิดสติทุกลมหายใจ รายละเอียดในการฝึกสติ ขอให้ หาอ่านดูในหนังสือ 'วิถีแห่งพุทธะ' เพราะถ้าจะตอบตรงนี้คงจะใช้เวลามากพอสมควร

    สำหรับคำถามที่ว่า ภาวนาทีไรง่วงนอนทุกที แสดงว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะคุณไม่ได้ภาวนา ถ้าภาวนาอยู่จักไม่ง่วง ที่ง่วงเพราะไม่ได้ภาวนา เหตุที่ไม่รู้ว่า ภาวนาหรือไม่ เพราะคุณขาดสติ

    อยากจะแนะนำคุณว่า ถ้านั่งอยู่แล้วมันง่วงก็ลุกขึ้นยืน ในขณะที่ยืนก็มีสติรับรู้ รูปยืน กิริยาที่ยืน สำรวจตรวจดูว่าคุณยืนตรงหรือไม่ ยืนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งหรือเปล่า

    ถ้ารับรู้ได้ว่า คุณยืน ด้วยอาการลักษณะเช่นไร นั่นแหละคือตัวสติแล้วล่ะ คุณจักหายง่วงเอง

    ปุจฉา
    แสงมาจากไหน

    บางครั้งหลังจากสวดมนต์แล้ว ดิฉันก็ลองนั่งสมาธิเพื่อสำรวจใจตนเอง และเพื่อให้สุขภาพดีขึ้น ในการนั่งสงบจิตสงบใจนี้ บางครั้งรู้สึกว่าสว่างไสว มาก ไม่ทราบว่าแสงมาจากไหน ในครั้งต่อไป ถ้าเห็นแสงสว่างนี้อีก ดิฉันควรที่จะกำหนดจิตอย่างไรหรือไม่ หรือควรปล่อยให้เป็นเช่นนั้นเอง?

    วิสัชนา

    แสง มาจากจิตที่สงบ
    ไม่ควรใส่ใจ เพราะแสงนั้นเป็นเพียงแค่มายาการแห่งจิตที่สงบชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น คุณควรจะรับรู้ในสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความสงบอันนั้นต่อไปอย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน และจริงจัง โดยไม่สนใจต่อเหตุปัจจัยอื่นใดทั้งหมด


    [​IMG]http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9520000029885 <!-- / message --><!-- sig -->
     
  13. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    มองปัญหาด้วยปัญญา:
    วิธีปรับตัวเข้ากับสังคมหน้ากาก

    [​IMG]


    ปุจฉา
    วิธีปรับตัวกับสังคมหน้ากาก

    เมื่อเรารู้สึกเหนื่อยใจจากสังคมในวิทยาลัยที่เราอยู่ มีความรู้สึกอึดอัดใจกับการใส่หน้ากากจากโดยรอบ ซึ่งเราเองไม่สามารถที่จะบอก จะพูดอะไรตรงๆ ไม่ได้ และยังรู้สึกเดียวดาย

    เราจะมีวิธีใดบ้างในการปรับตัวเข้ากับสังคมแบบนี้ ซึ่งข้าพเจ้าเองนั้นกำลังเผชิญอยู่กับมัน ทั้งที่เราพยายามปรับตัวเข้าด้วยแล้วยิ่งทำให้เรารู้สึกแย่มาก เราควรแยกตัวออกมาหรือเปล่า แต่เขาก็เป็นเพื่อนๆ ของข้าพเจ้าเอง

    วิสัชนา

    ไม่เห็นจะต้องไปทำอย่างไร แค่ไม่นำมันมาปรุงแต่งให้เป็นอารมณ์ แค่นี้มันก็ไม่มีอะไรแล้ว อย่าไปแบกมันมากนักเลยคุณ วางๆ มันลงไปเสียบ้าง แล้วคุณจะรู้สึกเบาสบาย

    ปุจฉา
    ขอวิธีดูคนจริงใจ

    ดูอย่างไรถึงจะรู้ว่าผู้นั้นจริงใจกับเรา (ทุกเรื่อง) ไม่ปกปิด เรา ขอหลวงปู่ช่วยบอกวิธีสังเกตหน่อยซิครับ

    วิสัชนา

    ไม่มีหรอกคุณ คนที่เขาจะจริงใจกับเราทุกเรื่อง โดยธรรมชาติของคนทุกคนจะมีโลกส่วนตัวของตนเอง ซึ่งก็ไม่มีใครอยากให้ใครเข้ามาก้าวก่าย เรื่องของเรื่องเลยต้องกลายเป็นปกปิด ทั้งที่เขาไม่อยากปกปิด เพียงแต่ต้องการโลกส่วนตัวเท่านั้น

    ปุจฉา
    ใครๆ ก็ไม่ชอบผม

    ผมเหงาใจจังครับ รู้สึกว่าตนเองไม่มีเพื่อนเลย รู้สึกว่าใครๆ ก็ไม่ชอบผม ทำอย่างไรดีครับ

    วิสัชนา

    คนในโลก มีไม่น้อยที่เขาอยู่คนเดียวอย่างไม่สิ้นหวัง ฉันว่าคุณลองฝึกตนให้เป็นคนเชื่อมั่นตนเอง เข้มแข็ง ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ หางานอดิเรกทำ ทำทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรมดูบ้าง จะได้รู้ว่าชีวิตนี้อยู่คนเดียว สบายกว่าเยอะเลย

    ปุจฉา
    วิธีเตรียมตัวก่อนสอบเอนท์

    กราบนมัสการหลวงปู่ ที่เคารพรักอย่างสูง

    1. หลวงปู่ช่วยแนะนำวิธีการ เตรียมตัวก่อนสอบเอนทรานซ์ ให้อ่านหนังสือแล้วจำได้ไม่ลืมยาก และผลสอบออกมาดี ซึ่งวิธีนี้เหมาะแก่ปุถุชนทั่วไปที่ จิตหยาบ ซึ่งไม่ยากเกินที่จะปฏิบัติได้

    2. เราควรจะทำอย่างไรถ้าเราไม่เก่งวิชาวิชาหนึ่งซึ่งไม่ยากไม่ง่าย ผมพยายามชอบแล้ว ก็คือชอบ ตั้งใจเรียนแล้ว แต่จำไม่ได้ ควรทำอย่างไรดีครับ

    3. สุดท้ายนี้ผมขอให้หลวงปู่แข็งแรง โรคภัยขอให้บรรเทา ผมรักและห่วงหลวงปู่เสมอ

    วิสัชนา

    เริ่มอ่านหนังสือมาแต่ต้นภาคเรียนทุกวัน แล้วทำความเข้าใจว่าหนังสือที่เราอ่านกำลังจะบอกอะไรแก่เรา อ่านจนจบเล่ม แล้วเขียนบทสรุปสั้นๆ ของใจความสำคัญของหนังสืออย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม เมื่อใกล้สอบ หยิบมาทบทวนอีกครั้ง เมื่อถึงวันสอบ ทำใจให้สบาย แล้วเข้าห้องสอบ เธอจะตอบได้ทุกปัญหาที่เขาถาม

    - ทำอย่างเดียวกันกับคำตอบแรก

    - ขอบใจ ขอให้สิ่งที่เธอให้ฉัน จงย้อนกลับไปหาเธอเป็นร้อยเท่าพันทวี


    http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9520000026851 <!-- / message --><!-- sig -->​
    __________________
     
  14. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    [​IMG]
     
  15. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    ร่วมบุญเพิ่มเติม ประจำเดือนพค. 2552 ครับ
    ฝากเงิน เข้าบัญชี 348-123-245-9
    วันที่ 20 พค. 2552 เวลา 12:50 น. จำนวน 300 บาท ครับ
    โมทนาบุญกับทุกท่าน ครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    “แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร” (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)




    [​IMG]

    เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ความเสียเปรียบมนุษย์
    เสียเปรียบตามโลกสมมุตินิยม กิเลสนิยมต่างหาก
    แต่ธรรมท่านไม่นิยม ความยอมเสียเปรียบ
    ท่านบอกว่า “แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร” นี่เป็นสำคัญมาก
    นี่แหล่ะที่ว่า “แพ้เป็นพระ”


    เอ้า ! ยอมเสียเปรียบเขาด้วยทางใจของเราด้วยความเมตตา
    ด้วยความให้อภัยนี่เป็นของมีคุณค่ามาก
    แล้วเราก็ได้เปรียบในตัวของเรา คือ ชนะตัวของเรา
    ชนะความโกรธ ความเคียดแค้นของเรา
    ชนะความที่จะเอาเปรียบตอบรับเขาไปได้โดยลำดับลำดา


    นี่สิ่งที่มีคุณค่าแต่ทีนี้กิเลสมันไม่ให้เรามองดูละซิ
    มันให้มองข้ามไปๆ อันใดเป็นเรื่องของกิเลส
    กิเลสจะยกขึ้นเป็นเรื่องเด่น ความโกรธก็เด่น


    ความเอารัดเอาเปรียบเด่นไปหมด
    ขึ้นชื่อว่าสิ่งจะทำลายกันแล้วเด่นไปหมด
    คือเรื่องของกิเลส ให้พากันจำเอาไว้


    <!-- m -->http://www.luangta.com/thamma/thamma_ta ... 23&CatID=2
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097


    “กัลยาณมิตร” เกิดขึ้นฝ่ายเดียวไม่ได้ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)



    [​IMG]

    คง เคยได้พบ ได้เห็น หรือได้ยินได้ฟัง กันมาแล้วบ่อยๆ ที่เมื่อใครคนใดคนหนึ่งคิดพูดทำที่ผิดพลาด ที่ไม่สมควรแก่ภาวะฐานะ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเกียรติยศ เป็นต้นว่าเป็นผู้ไม่มี “กัลยาณมิตร” จึงไม่มีผู้ยับยั้งผู้ให้พ้นความผิดความเสียหาย ที่จะเกิด เพราะคิดพูดทำที่ผิด ที่ไม่สมควร ที่ไม่น่าทำให้เกิดขึ้น ที่จะต้องไม่เกิดขึ้น แม้มี “กัลยาณมิตร” บอกกล่าวให้รู้ความควรไม่ควร

    ที่จริง “กัลยาณมิตร” จะเกิดขึ้นฝ่ายเดียวไม่ได้
    “กัลยาณมิตร” ต้องเกิดขึ้นด้วยความพร้อมเพียงยอมรับทั้งสองฝ่าย
    “กัลยาณมิตร” จะเกิดขึ้นฝ่ายเดียวไม่ได้


    แม้คนดีมีปัญญาสักคนหนึ่งจะมีความหวังดี
    ปรารถนาจะช่วยคนดีคนใดคนหนึ่งให้พ้นจากภัยพิบัตินานาประการ
    ก็ย่อมไม่อาจทำได้ แม้อีกฝ่ายหนึ่งไม่มีความเข้าใจคำว่า “กัลยาณมิตร”


    : แสงส่องใจ อาสาฬหบูชา ๒๕๔๙
    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]


    หากต้องการภาพขนาดใหญ่ เพื่อทำ Wallpaper
    Download Wallpaper Link...

    (กดปุ่มเมาส์ด้านขวา เลือก Save Target As)


    <!-- m -->http://i708.photobucket.com/albums/ww89 ... UENG/2.jpg<!-- m -->
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    ขออนุโมทนาและสาธุบุญด้วยครับ วันอาทิตย์นี้รอทานแยมอีกที่ รพ.สงฆ์ครับ ทั้งแยมและขนมอร่อยมากๆ ครับ ติดใจครับติดใจจริงๆ

    [​IMG]

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2009
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <table class="contentpaneopen"><tbody><tr><td>
    </td> </tr> <tr> <td colspan="2" valign="top">
    [​IMG]
    คำสอนของแม่


    แม่คงสอนให้ลูกฉลาดไม่ได้
    ลูกต้องเรียนรู้และฉลาดด้วยไหวพริบ และกึ๋นของลูกเอง


    แม่อยากให้ลูกคิดและมองโลกในแง่ดี
    อย่าคิดว่าใต้ฟ้านี้มีแต่เรื่องทำไม่ได้ เป็นไม่ได้
    หัดคิดให้เป็นบวกไว้แหละดี




    แม่อยากให้ลูกหัดฝัน
    เมื่อไรลูกฝันเป็น ไม่ว่าจะเป็นใฝ่ฝัน
    หรือความฝัน ลูกจะรู้ว่าโลกนี้มันน่าอยู่เพียงไหน


    แม่อยากให้ลูกพูดแต่เรื่องดี พูดแต่เรื่องสวยงาม
    จงเป็นคนสุดท้ายที่ให้ร้ายคนอื่น และจงเป็นคนแรก
    ที่ให้กำลังใจ และชื่นชม




    แม่อยากให้ลูกทำเรื่องแปลกๆ
    ลูกไม่จำเป็นต้องเดินตามชีวิตประจำวันของใคร
    อย่าเก็บความคิดแปลก เพียงเพราะเห็นว่ามันไม่เหมือนใคร




    แม่อยากสอนให้ลูกกล้าแดด กล้าฝน
    เพราะภายใต้ไออุ่นของดวงอาทิตย์ ลูกจะได้รับวิตามินดี
    และภายใต้ฟ้าที่มีฝน มันจะทำให้ลูกร้องไห้โดยไม่มีใครเห็นน้ำตา




    แม่อยากสอนให้ลูกออกกำลังกายทุกวัน
    อย่างน้อยคนเราก็ต้องเคลื่อนไหวทะมัดทะแมง
    ลูกได้ออกแรงเสียบ้าง ลูกจะแข็งแกร่งไม่อ่อนแอ


    แม่อยากให้ลูกยิ้ม และอยู่กับโลกด้วยความรัก
    ยิ้มอาจจะไม่ชนะทุกสิ่ง ยิ้มมากๆ อาจจะดูเหมือนคนบ้า
    แต่มันก็ดีกว่าหน้าบึ้งหน้างอเป็นไหนๆ




    แม่อยากสอนให้ลูกรู้จักอดทน
    ลูกต้องเรียนรู้ว่าลูกไม่มีทางได้ทุกๆ อย่างที่ลูกหวังไว้
    อดทนและอย่าได้เสียกำลังใจ อย่าท้อและขอให้เริ่มใหม่อย่างมีพลัง


    แม่อยากสอนให้ลูกเขย่งขาขึ้นให้สูง
    ไม่มีอะไรที่สูงไปกว่าสองมือเราจะเอื้อมคว้า
    เพียงแค่ว่าเรายืนยันที่จะไม่ยืนอยู่กับที่




    แม่อยากสอนให้เจ้ามีความสุข แต่อย่าลืมทุกข์ด้วยล่ะลูก
    คนที่ไม่เคยมีความทุกข์ เขาสุขจริงๆ ไม่เป็นหรอกเจ้าเอย


    ไอคิวมันติดมาแต่บนฟ้าลูกจ๋า ไม่ฉลาดก็มีความสุขได้ไม่ต้องห่วง
    อย่าน้อยใจถ้าตามใครเขาไม่ทัน อย่าเสียขวัญถ้าเราช้ากว่าใครๆ
    อีคิวมันต้องหาเองบนโลกนี้ลูกเอ๋ย ไม่ฉลาดก็น่ารักและมีความสุขได้




    "อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลงปรับปรุง ลูกมีกำลังใจเป็นถุงจากแม่ ไม่ต้องกลัว

    </td></tr></tbody></table>
     

แชร์หน้านี้

Loading...