พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผลกระทบของแอลกอฮอล์ ที่ไหลผ่านอวัยวะในร่างกาย

    http://hilight.kapook.com/view/36091

    [​IMG]

    ผลกระทบของแอลกอฮอล์ ที่ไหลผ่านอวัยวะในร่างกาย (สยามดารา)

    [​IMG]1. ปากและลำคอ เหล้าจะไประคายเคืองชิ้นเยื่อบุที่ละเอียดอ่อนในปากและหลอดอาหาร มักจะร้อนซู่เมื่อผ่านลงไป​

    [​IMG]2. กระเพาะอาหารและลำไส้ เหล้านั้นจะไปมีผลกับผนังชั้นนอกสุดที่เป็นชั้นที่จะปกป้องกระเพาะอาหาร จะทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ ถ้าอาการเช่นนี้เกิดอย่างเฉียบพลัน เกิดการอักเสบของเยื่อบุชั้นในสุดของผนังกระเพาะหรืออาจทะลุได้ ในลำไส้เล็ก เหล้าจะไปเป็นอุปสรรคกับการดูดซึมของสารอาหารบางชนิด เช่น ไขมัน วิตามินบี 6, 12 เป็นต้น​

    [​IMG]3. กระแสเลือด 95% ของเหล้าที่ดื่มเข้าไปในร่างกาย จะซึมเข้ากระแสเลือด โดยผ่านเยื่อบุในกระเพาะ และลำไส้อย่างรวดเร็ว เมื่อถึงกระแสเลือดมันจะเข้าไปในเซลล์และตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกายอย่างรวดเร็วเช่นกัน แอลกอฮอล์ทำให้เซลล์ของเลือดเกาะเป็นก้อนเหนียว ทำให้การไหลเวียนช้าลง ออกซิเจนน้อยลงด้วย เหล้าทำให้โลหิตจางด้วย โดยที่มันจะไปลดการสร้างเม็ดเลือดแดง และยังไปทำให้ความสามารถของเม็ดเลือดขาวในการกลืนตัวเชื้อและการทำลายแบคทีเรียช้าลง การทำให้การแข็งตัวของเกล็ดเลือดช้าลงด้วย​

    [​IMG]4. ตับอ่อน แอลกอฮอล์จะทำให้เซลล์ของตับอ่อนระคายเคือง เซลล์บวมขึ้น เหล้าทำให้การไหลของน้ำย่อยไม่คล่องตัว สารเคมีไม่สามารถที่จะเข้าไปในลำไส้เล็กได้ ทำให้มันย่อยตัวตับอ่อนเอง ทำให้ เกิดเลือดออกอย่างเฉียบพลันและการอักเสบของตับอ่อน พบว่า 1/5 จะเสียชีวิตไปในครั้งแรก เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับตับอ่อนนี้ทำให้การสร้างอินซูลินขาดหายไป และทำให้เป็นเบาหวาน​

    [​IMG]5. ตับ แอลกอฮอล์มีอิทธิพลกับเซลล์ของตับ ทำให้เกิดการบวมและไปทางเดินน้ำดีเล็กๆ ที่จะเป็นทางไปสู่ลำไส้เล็ก ทำให้น้ำดีซึมผ่านไปทั่วตับ ทำให้ตัวเหลืองตามส่วนขอบของตาและผิวหนังเป็นสีเหลือง ทุกครั้งที่ดื่มนั้นเซลล์ของตับจะถูกทำลายในที่สุดทำให้ตับแข็ง การเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับมีถึง 8 เท่า เมื่อเทียบกับความปกติ​

    [​IMG]6. หัวใจ แอลกอฮอล์ทำให้กล้ามเนื้อของหัวใจบวมขึ้น ทำให้เกิดเป็นพิษกับหัวใจเป็นเหตุทำให้การสะสมของไขมันมากขึ้น และทำให้การเผาผลาญช้าตามไปด้วย​

    [​IMG]7. กระเพาะปัสสาวะและไต แอลกอฮอล์ทำให้เยื่อบุของกระเพาะปัสสาวะบวมขึ้น ทำให้ไม่สามารถยืดตามปกติได้ในไต การระคายเคืองทำให้การสูญเสียน้ำมากขึ้น​

    [​IMG]8. สมอง อวัยวะที่แอลกอฮอล์ลุกลามจะไปมีบทบาทและเห็นผลได้ชัด คือ สมอง มันจะไปกดศูนย์กลางของสมอง ทำให้การประสนงานเสื่อมลงเรื่อยๆ สับสน จำความไม่ได้ เซื่องซึม ชา หรือสลบ โคม่าและตายได้ มันจะไปฆ่าเซลล์ของสมอง เมื่อเซลล์สมองถูกทำลายแล้วจะสร้างขึ้นใหม่ไม่ได้ การดื่มเป็นประจำระยะหนึ่งจะทำให้ความจำ การตัดสินใจและความสามารถในการเรียนรู้เสื่อมไป ​

    นอกจากนี้แอลกอฮอล์ที่ไหลผ่านอวัยวะของร่างกายนั้นจะมีกรดที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายเมื่อดื่มเข้าไปอีกด้วย

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก สยามดารา
    [​IMG]
    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต ​
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ฮือฮาทหารดวงแข็ง กระสุนทะลุหมวกเฉียดศีรษะ

    http://hilight.kapook.com/view/36104

    [​IMG]

    [​IMG]


    กองทัพอังกฤษฮือฮาทหารดวงแข็ง กระสุนทะลุหมวกเฉียดกบาล (ข่าวสด)

    เอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 เมษายน สื่อมวลชนในอังกฤษรายงานข่าวเปิดตัวนายทหารที่ดวงแข็งที่สุดในกองทัพอังกฤษ หลังรอดพ้นกระสุนปืนของกองโจรตาลิบันในอัฟกานิสถานที่พุ่งผ่านหมวกเกราะ เฉียดใกล้ศีรษะในระยะเพียง 2 มิลลิเมตร โดยรอยกระสุนยังปรากฏอยู่ที่หมวกใบนี้ (วงกลมสีขาว 2 วงในภาพ)

    ทหารนายนี้มีชื่อว่า ลีออน วิลสัน วัย 32 ปีจากเมืองแมนเชสเตอร์ ถูกส่งไปประจำการที่หมู่บ้านโคว-ชฮาล คาเลย์ จังหวัดเฮลมานด์ ในอัฟกานิสถาน วันเกิดเหตุคือวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา กองโจรตาลิบันปะทะทหารของอังกฤษอย่างดุเดือด​

    พลทหารวิลสัน เล่าถึงจังหวะที่ถูกยิงว่า "ผมคลายนิ้วออกจากไกปืนเพียงวินาทีเดียว และนั่นเป็นจังหวะที่กระสุนพุ่งถูกหมวกของผม มันเหมือนเสียงระเบิดตูม ผมหงายหลังลงไป ไม่อยากจะเชื่อว่ายังมีชีวิตอยู่ ผมหลับตาลง แล้วถามพลทหารเวย์น วิเธอร์ ทีอยู่ใกล้ๆ ว่าผมถูกยิงหรือเปล่า แล้วผมก็ลืมตาขึ้น เขาจ้องผมด้วยแววตาฉงนมากแล้วก็สบถออกมา"

    สำหรับกระสุนที่พุ่งเฉียดศีรษะของพลทหารวิลสันเป็นชนิด 7.62 มม. จากปืนอาก้า ส่วนหมวกเกราะของอังกฤษทำจากเคฟลาร์ มีระดับป้องกันแรงกระแทกสูง แต่ไม่อาจป้องกันกระสุนที่ทรงพลังโดยตรงได้​

    หลังรอดตายมาอย่างปาฏิหารย์ พลทหารวิลสันก็กลับไปสนามรบเพื่อช่วยเพื่อนทหารต่อสู้กับตาลิบันอีกในทันที กระทั่งเมื่อการสู้รบสิ้นสุด พลทหารวิลสันกลับไปยังฐานบาสชัน ค่ายของกองทัพอังกฤษในสมรภูมิ โทรศัพท์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้แฟนสาวในอังกฤษฟัง

    ร้อยเอกร็อบ แอ็กนิว ผู้บังคับบัญชาของพลทหารวิลสัน กล่าวว่า "ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พลทหารวิลสันคือทหารที่โชคดีที่สุดในกองทัพอังกฤษ เขาเป็นเพื่อนที่ดีและทหารที่ดี"


    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ข่าวสด
    [​IMG]
     
  3. gnip

    gnip สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +14
    อ่านแล้วก็ตกใจค่ะ

    มีอาจารย์ที่เคยสอนเราด้วย...

    เวลาและอุดมการณ์ทำให้คนเปลี่ยน แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือความจริง
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“หวานอู้ซางจื้อ”
    http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9520000044073

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>21 เมษายน 2552 19:19 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left><CENTER>ภาพประกอบจาก http://www.yytart.com</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>玩 (wán) อ่านว่า หวาน แปลว่าเล่น ในที่นี้หมายถึงลุ่มหลง
    物 (wù) อ่านว่า อู้ แปลว่า สิ่งของ
    丧 (sang) อ่านว่าซาง แปลว่า ทำลาย
    志 (zhì) อ่านว่า จื้อ แปลว่า ความคิดสร้างสรรค์ ความมุ่งมั่น

    ในสมัยชุนชิว เว่ยอี้กง ซึ่งเป็นเจ้าปกครองแคว้นคนที่ 14 แห่งรัฐเว่ย นั้น มีความชื่นชอบในนกกระเรียนยิ่งนัก วันทั้งวันมีนกกระเรียนอยู่ข้างกาย เฝ้าเลี้ยงดู หยอกล้อเล่นอย่างลุ่มหลงจนไม่มีแก่ใจที่จะคิดทำนุบำรุงบ้านเมือง ละเลยทุกข์สุขประชาราษฎร์ แต่กลับให้นกกระเรียนอยู่อย่างสุขสบาย พาไปไหนมาไหนด้วยรถม้าหรูหรา หรูหรายิ่งกว่ารถม้าของบรรดาขุนนางชั้นสูงทั้งหมด ทั้งยังต้องใช้เงินแผ่นดินในแต่ละปีไปไม่น้อยเพื่อเลี้ยงดูนกกระเรียนเหล่านี้ ทำให้บรรดาขุนนางไม่พอใจ ราษฎรพากันก่นด่า

    659 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อมีศัตรูเข้ามารุกรานยังชายแดน เว่ยอี้กงได้มีคำสั่งให้กองทหารไปสู้รบป้องกันเมือง ทว่าบรรดาแม่ทัพกลับกล่าวด้วยความคับแค้นว่า “ในเมื่อในสายตาท่าน นกกระเรียนอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งและทรงคุณค่าเช่นนี้ ให้พวกมันไปรบแทนจะดีกว่า" เว่ยอี้กงอับจนหนทาง สุดท้ายจึงต้องนำทหารออกรบด้วยตนเอง แต่ด้วยความที่ไม่เคยใส่ใจในกองทัพ จิตใจไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกับผู้ใต้บังคับบัญชา สุดท้ายสงครามพ่ายแพ้ เว่ยอี้กงเสียชีวิตในสนามรบ

    สุภาษิต “หวานอู้ซางจื้อ” หมายถึง การลุ่มหลงในสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป ทำให้เกิดผลร้าย เพราะย่อมทำลายพลังในการคิดสร้างสรรค์และความใส่ใจต่อสิ่งที่เป็นประโยชน์อื่นๆ รอบข้างไปสิ้น

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอเชิญร่วมบุญสร้าง พระสมเด็จองค์ปฐม หน้าตัก ๔ ศอก ๒ องค์ ที่จังหวัดกระบี่
    โดย คุณs3057780<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_", true); </SCRIPT>

    การดำเนินการจะแบ่ง ๒ ช่วง
    ช่วงที่ ๑ จะทำการเทปูนหล่อ ฐานพระและองค์พระ ต้นแบบวัดท่าซุง ตั้งแต่วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๒ วัดป่าไตรสรณคมน์ (พระประธาน ที่ศาลาปฏิบัติธรรม) และ วัดบ้านคลองพน (ลานกลางแจ้ง หน้าวัด)
    ช่วงที่ ๒ จะทำการปิดทององค์พระ ณ วัดป่าไตรสรณคมน์ ประมาณปลายปี

    จึงขอเชิญทุกท่านร่วมบุญ(ช่วงที่ ๑) ในการหล่อองค์พระ และ ส่งพระหรือพระบรมธาตุมาบรรจุในพระสมเด็จองค์ปฐม ๔ ศอก จำนวน ๒ องค์ ที่กระบี่

    สามารถส่งมาบรรจุได้ตามที่อยู่ (ก่อนสิ้นเดือนเมษายน)
    ศิริพล สุขอุบล 19 หมู่ที่1 คลองพน คลองท่อม กระบี่ 81170
    โทร ๐๘๔-๐๖๓๖๑๗๗


    หรือร่วมบุญค่าหล่อพระและอื่นๆ มาที่
    พระอาจาวย์ไพโรจน์ (ครูบาน้อย วัดโป่งสวรรค์ นครสวรรค์)
    ธนาคาร กสิกรไทย ออมทรัพย์ สาขา พยุหะคีรี
    ๔๐๓-๒๐๙๒-๓๘๗
    โทร ๐๘๓-๓๑๐๗๒๑๑

    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาร่วมบุญกันนะครับ
    โมทนาสาธุครับ
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พลิกตำราหากลยุทธ์ตลาด ฝ่าวิกฤตบนปัจจัยเหนือควบคุม

    http://www.posttoday.com/business.php?id=43360

    ผลจากวิกฤตการเงินสหรัฐหรือพิษแฮมเบอร์เกอร์ ที่ขยายผลไปทั่วโลก ทำให้เกิดคำถามกับนักเศรษฐศาสตร์มากขึ้นว่า

    ที่ผ่านมานักเศรษฐศาสตร์ไม่สามารถคาดการณ์หรือหาวิธีแก้เพื่อไม่ให้เกิดหรือบรรเทาวิกฤตใหญ่ๆ ของโลกให้กระทบน้อยลงได้ นักเศรษฐศาสตร์ทำได้เพียงตามอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น หลังวิกฤตเกิดขึ้นและกระทบคนไปทั่วแล้ว
    จากคำถามดังกล่าวสะท้อนมาถึงนักการตลาด ผู้ติดตามพฤติกรรมการบริโภคของคน ซึ่งนักการตลาดชอบพูดว่าผู้บริโภคคือพระเจ้า หรือคอนซูเมอร์อีสเดอะคิงส์ ว่าจะมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เพื่อจะคิดสินค้า-บริการออกมาสนอง ว่าใน ส่วนของนักการตลาด ทำไมถึงไม่สามารถ คาดการณ์ผู้บริโภคไม่ให้ช็อก! ในการใช้จ่าย

    บนคำถามดังกล่าวนักการตลาดส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า เพราะมีปัจจัยเหนือการควบคุม เช่น วิกฤตของโลก หรือความรุนแรงทางการเมือง ซึ่งช่วงนี้มีการเปลี่ยนแปลงเกือบทุกวัน แต่ถ้ามองเฉพาะปัจจัยทางธุรกิจที่ควบคุมได้ นักการตลาดบอกว่า กลยุทธ์ต่างๆ ที่กำหนดขึ้นมายังใช้ได้
    และบนโจทย์จากวิกฤตครั้งนี้ ผศ.ดร.ธีรพันธ์ โล่ห์ทองคำ ที่ปรึกษาและนักกลยุทธ์ด้านสื่อสารการตลาดหลายองค์กร ให้ความเห็นว่าจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ระวังการใช้จ่าย ราคาเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อในหลายสินค้า กลยุทธ์ “3 S” หรือทริปเปิลเอส สตราติจิก น่าจะเหมาะในการทำการตลาด

    [​IMG]

    สำหรับ S ตัวแรก คือ เซล โปรโมชัน (Sale Promotion) เครื่องมือการทำตลาดหลักที่ ออกมาช่วยกระตุ้นยอดขายให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ รวมถึงยังเข้ามาช่วยบรรเทาในเรื่องของการบริหารสินค้าคงคลัง หรือสต๊อกสินค้าให้ระบายออกไปอย่างชะงัด เห็นได้ชัดในช่วงนี้ที่เจ้าของสินค้าประเภทต่างๆ หันมาโหมแคมเปญโปรโมชันมากขึ้น

    ส่วน S ตัวที่ 2 คือ ซินเนอร์ยี มาร์เก็ตติง (Synergy Marketing) การผสานกิจกรรมส่งเสริมการขายและการทำตลาดระหว่างสินค้าที่มีกลุ่มเป้าหมาย และตำแหน่งสินค้าอยู่ในระดับเดียวกัน เพื่อ ลดต้นทุนดำเนินการร่วมกัน แต่ได้ยอดขายเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ของแต่ละสินค้าในที่สุด อย่างช่วงที่ผ่านมาเกิดความร่วมมือทางการตลาดระหว่างธุรกิจประกันภัยและธุรกิจบันเทิง เป็นต้น
    และ S ตัวสุดท้าย คือ โซเชียล เน็ตเวิร์กกิง (Social Networking) ด้วยการให้ผู้บริโภค ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมตรงกับสินค้าหรือบริการนั้นๆ ให้ได้มากสุด ในลักษณะการสร้างประสบการณ์สินค้า ร่วมกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่ตรงจุดของตัวเองมากขึ้น ซึ่งต่อจากนี้ไปจะเห็นได้ว่า กิจกรรมตลาด ณ จุดขาย หรือพีโอพี จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เจ้าของสินค้าจะเลือกเม็ดเงินการทำตลาดไปยังรูปแบบการโฆษณาแบบไม่ผ่านสื่อ (บีโลว์เดอะไลน์) มากขึ้น
    ผศ.ดร.ธีรพันธ์ ย้ำว่ากลยุทธ์ “ทริปเปิลเอส” ยังสามารถนำไปปรับใช้ได้กับการบริหารจัดการการทำงานระหว่างภาครัฐ หรือ “จีทูจี” ได้ด้วยเช่นกัน เช่น จากความเสียหายที่เกิดขึ้นของการเมืองที่ผ่านมา กระทบยังภาคธุรกิจท่องเที่ยว จุดนี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาอาจร่วมมือกับหน่วยงานรัฐอื่นๆ เช่น กระทรวงวัฒนธรรม หรืออื่นๆ เพื่อคิดหาโซลูชันพลิกเกมสู้วิกฤตนี้ร่วมกัน เป็นต้น

    ขณะที่ ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด มองว่าเจ้าของสินค้าหรือนักการตลาดควรนำ “จิตวิทยาการตลาด” มาใช้เพื่อกระตุ้นอารมณ์กำลังซื้อมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของราคาและกิจกรรมส่งเสริมการขาย (Price & Promotion) ที่ต้องแรง และปลุกเร้าอารมณ์การจับจ่าย ซึ่งวิธีนี้อาจเหมาะกับกำลังซื้อ ผู้บริโภคทั่วไป

    ขณะเดียวกันยังมีอีกหนึ่งกลุ่มลูกค้าสำคัญ คือ กลุ่มที่มีรายได้สูงและไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้ ซึ่งเจ้าของสินค้า-บริการ รวมถึงหน่วยงานรัฐต่างๆ ต้องเร่งหามาตรการหรือนโยบายออกมากระตุ้นกำลังซื้อกลุ่มนี้ให้ออกมาจับจ่ายในช่วงนี้ด้วย

    จากภาพรวมทั้งหมด เห็นได้ว่าเมื่อมีปัจจัยเหนือการควบคุมเข้ามา การตัดสินใจทางเศรษฐศาสตร์ หรือการตลาด จึงไม่มีอะไรที่ผิดหรือถูก ชนิดตัดสินได้เป็นขาวหรือดำ ผลที่ออกมาจึงมีแต่ผิดมากหรือถูกมาก ใช้ได้ถูกที่ถูกเวลาหรือไม่ สิ่งสำคัญ คือ เซนส์ (SENSE) ไหวพริบของผู้เลือกใช้ ซึ่งก็ต้องพลิกตำรา หากลยุทธ์ นำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับองค์ประกอบขององค์กรของตน เท่านี้ก็สามารถฝ่าวิกฤต แม้จะ เกิดวิกฤตอีกกี่ครั้ง ก็ผ่านฉลุย
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กรด หรือ ด่าง ? เลือกให้ถูก กินให้เป็น

    http://www.posttoday.com/lifestyle.php?id=43451

    ในสมัยต้นศตวรรษที่ 20 มีนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลได้ค้นพบว่า หากร่างกายไม่ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ เราอาจล้มป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ โรคพยาธิติดเชื้อ เบาหวาน ฯลฯ


    ปริมาณออกซิเจนที่ร่างกายดูดซึม สามารถวัดได้ด้วยค่า pH ซึ่งมีระดับตั้งแต่ 0 ถึง 14 หากวัดได้ที่ค่า 0 หมายถึง เลือดมีความเป็นกรดสูง และไล่ไปจนถึงค่า pH ที่ 14 หมายถึง เลือดมีความเป็นด่างสูง ซึ่งระดับที่ร่างกายมีความสมดุลของกรดด่าง และออกซิเจนจะอยู่ที่ประมาณ 7.365 ค่อนไปทางความเป็นด่างเล็กน้อย และหากค่า pH สูง หรือต่ำจนเกินไป คุณจะรู้สึกไม่สบาย เหนื่อยล้า น้ำหนักขึ้น ท้องผูก และปวดเมื่อย
    ผู้คนส่วนใหญ่ในแถบอเมริกาและยุโรป จะมีร่างกายที่มีความเป็นกรดมากกว่าด่าง เพราะอาหารที่บริโภคและการใช้ชีวิต จึงทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมออกซิเจนได้เพียงพอ ทำให้เราสามารถพบเห็นมะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ในกลุ่มประเทศแถบนี้
    4 สาเหตุหลักที่ทำให้ร่างกายมีความเป็นกรดสูง ได้แก่ ความเครียด สารพิษ เชื้อโรค และอาหารที่เรารับประทาน

    อาหารที่มีความเป็นกรด
    อาหารโดยส่วนใหญ่ในช่วงชีวิตของเรา โดยมากจะมีค่าเป็นกรด ซึ่งอาหารเหล่านี้จะทำให้เราป่วยและเหนื่อยง่าย และน่าเสียดายที่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาหารสุดโปรดของเราทั้งนั้น เช่น
    • ฟาสต์ฟู้ด
    • น้ำตาล
    • ชา กาแฟ
    • เนื้อสัตว์
    • แป้ง
    • ผลไม้รสหวาน
    • เดลี่โปรดักส์
    • ไขมัน
    • ถั่ว เม็ดมะม่วงหิมพานต์

    อาหารที่มีความเป็นด่าง
    อาหารที่มีความเป็นด่างสูง สามารถช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือดให้คุณ การรับประทานอาหารที่มีค่าเป็นด่าง จะช่วยให้ร่างกายของเราสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ ได้ อาหารนั้นได้แก่
    • ผัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผักใบเขียว
    • สลัด ที่ได้มาจากผักจำพวกผักกาด ผักขม ขึ้นฉ่ายยักษ์ แตงกวา อะโวคาโด เป็นต้น
    • เครื่องเทศ เช่น โหระพา สะระแหน่ ผักชีฝรั่ง ขิง
    • ผลไม้ จำพวก แตงโม อะโวคาโด แตงกวา มะพร้าวอ่อน
    • Wheat Grass
    • กล้าหรือยอดผักต่างๆ เช่น หัวแอลฟัลฟา ถั่ว บรอกโคลี

    ส่วนน้ำดื่มที่ดีที่สุดก็จะเป็นน้ำเปล่าที่มีค่าความเป็นด่าง น้ำผัก และน้ำWheat Grass ถ้าร่างกายของเรามีค่าความเป็นกรด เราก็ควรที่จะรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีค่าความเป็นด่าง เพื่อให้เกิดความสมดุลของระบบในร่างกาย กล่าวโดยรวมคือ การรับประทานอาหารที่มีความเป็นด่างนั้น จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพร่างกายให้ดีขึ้นจากภายใน ทำให้เราพร้อมที่จะปฏิบัติกิจวัตรประจำวันต่างๆ ด้วยความสดใสและมั่นใจ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ส่อง(ย่าน)สรรพสัตว์ สืบประวัติอดีต กทม.
    http://www.manager.co.th/Travel/View...=9520000044630
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>21 เมษายน 2552 15:23 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย : หนุ่มลูกทุ่ง

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ท่าช้าง ปัจจุบันเป็นท่าเรือที่มีผู้คนพลุกพล่านที่สุดแห่งหนึ่ง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ชื่อย่านบ้านเมืองไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีที่มา โดยเฉพาะเมืองเก่าแก่มีประวัติศาสตร์ควบคู่กันมาอย่างกรุงเทพมหานครของเราก็ยิ่งเล่าประวัติกันได้สนุก มีหลายๆย่าน หลายถนน หลายสะพาน รวมไปถึงสี่แยกในกรุงเทพฯ หลายแห่งทีเดียวที่ฉันสังเกตว่ามีชื่อของบรรดาสิงสาราสัตว์เข้ามาเกี่ยวข้อง ที่มาของชื่อแต่ละแห่งนั้นจะไปเกี่ยวข้องกับสัตว์เหล่านี้ได้อย่างไร ฉันได้ไปสืบค้นข้อมูลมา เพื่อจะบอกเล่าแก่แฟนานุแฟนถึงชื่อบ้านนามเมืองที่มีส่วนเกี่ยวพันกับสิงสาราสัตว์เหล่านั้น

    มาเริ่มกันที่สัตว์ชนิดแรก อย่าง "ช้าง" สำหรับที่แรก "ท่าช้าง" หรือชื่อเต็มว่า ท่าช้างวังหลวงนั้น ก็มีความเกี่ยวข้องกับช้างตรงที่ ช่วงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 นั้น บริเวณนี้เป็นบริเวณประตูเมืองที่นำช้างซึ่งเลี้ยงไว้ในพระบรมมหาราชวังลงอาบน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณนี้จึงเรียกกันต่อมาว่า "ท่าช้างวังหลวง"

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>สะพานช้างโรงสี แต่มีหัวสุนัขอยู่ที่เสาสะพาน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>แต่ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 1 นี้ ท่าช้างก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "ท่าพระ" เนื่องจากในขณะนั้นได้มีการอัญเชิญพระศรีศากยมุนีจากวัดมหาธาตุเมืองสุโขทัย ล่องแพมาตามแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อมาประดิษฐานในพระวิหารวัดสุทัศนเทพวราราม และได้มีการพักแพที่ท่าช้างวังหลวงเพื่อประกอบพระราชพิธีสมโภชพระพุทธรูปเป็นเวลา 3 วัน แต่เนื่องจากพระศรีศากยมุนีนั้นมีขนาดใหญ่โตจนไม่สามารถผ่านประตูเมืองเข้าไปได้ จึงต้องมีการรื้อประตูและกำแพงบางส่วนออกเพื่อให้สามารถเคลื่อนย้ายพระพุทธรูปได้ และหลังจากนั้นก็ได้สร้างประตูเมืองขึ้นใหม่ โดยรัชกาลที่ 1 พระราชทานนามไว้ว่าประตูท่าพระ แต่ก็ไม่ค่อยมีคนนิยมเรียก ยังคงติดเรียกแบบเก่าว่าท่าช้างอยู่เช่นเดิมจนมาถึงปัจจุบัน ซึ่งก็เหลือเพียงชื่อ ไม่มีช้างลงอาบน้ำให้เห็นอีกแล้ว

    มาดูช้างเชือกที่สอง ก็คือ "สะพานช้างโรงสี" สะพานข้ามคลองคูเมืองเดิม หน้ากระทรวงมหาดไทย ที่หลายๆคนอาจเคยอ่านผิดเป็นสะพานข้างโรงสี แต่แท้จริงแล้วนี่คือสะพานช้างโรงสี แต่มองไปมองมาไม่เห็นมีช้าง เห็นมีแต่หัวสุนัขยื่นออกมาจากเสาสะพานทั้งสี่เสารวมทั้งหมดแปดหัว เอ๊ะ... มันยังไงกันล่ะนี่

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=288 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=288>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>สะพานหัวช้าง หรือสะพานเฉลิมหล้า 56</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>แต่พอได้ทราบถึงประวัติของสะพานนี้แล้วฉันจึงได้เข้าใจ โดยสะพานช้างโรงสีนี้เป็นสะพานเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น แต่เดิมนั้นตัวสะพานเป็นตอม่อก่อด้วยอิฐ และปูพื้นด้วยไม้ซุงเหลี่ยม มีความแข็งแรงมากขนาดที่ช้างสามารถเดินข้ามได้ ซึ่งในช่วงนั้นก็ยังมีความจำเป็นต้องใช้ช้างในการสร้างบ้านเมืองอยู่ จึงมีสะพานข้ามคลองหลายแห่งด้วยกันที่สร้างอย่างแข็งแรงให้ช้างเดินข้ามได้ ส่วนสะพานช้างแห่งนี้นั้นก็ตั้งอยู่ข้างโรงสีข้าวของฉางหลวง ชาวบ้านจึงเรียกกันติดปากว่า "สะพานช้างโรงสี" ด้วยประการฉะนี้

    หน้าตาของสะพานช้างโรงสีเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย จนในตอนนี้ก็กลายเป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก ราวสะพานทั้งสองข้างทำเป็นลูกกรงปูนปั้น มีเสาที่ปลายสะพานทั้งสี่ด้าน บนเสามีชื่อสะพานช้างโรงสี บรรทัดถัดมาเขียนไว้ว่า ศก ๑๒๙ อยู่เหนือหัวสุนัขทั้งแปดหัวนั้น ส่วนเหตุผลที่ทำไมจึงเป็นหัวสุนัขโผล่ยื่นออกมาแทนที่จะเป็นหัวช้างนั้นก็เพราะเป็นที่ระลึกถึงปีจอ หรือ ศก ๑๒๙ หรือ พ.ศ.2453 อันเป็นปีที่มีการซ่อมแซมสะพานนั่นเอง

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>สะพานควาย ไม่เหลือร่องรอยของควายและทุ่งนาอีกแล้ว</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ไปทั้งท่าช้าง ทั้งสะพานช้างโรงสี ก็ยังไม่เห็นช้างแม้แต่เงา แต่คราวนี้ไม่พลาดแน่ เพราะฉันมาที่ "สะพานหัวช้าง" หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า "สะพานเฉลิมหล้า 56" แถวๆ สยามสแควร์ เห็นชื่อสะพานขึ้นต้นว่าเฉลิม ลงท้ายด้วยตัวเลขอย่างนี้ ก็เป็นอันเข้าใจว่าสะพานนี้สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 56 พรรษา โดยสะพานเฉลิมหล้า 56 ซึ่งสร้างข้ามคลองแสนแสบนี้ เป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก คานเป็นคอนกรีตรูปโค้ง มีรายละเอียดงดงาม แต่ที่สำคัญก็คือเสาหัวสะพานทั้งสี่เสานี้มีหัวช้างประดับไว้ทั้ง 4 ด้าน รวมแล้วทั้งสะพานก็มีหัวช้างอยู่ 16 หัวพอดี

    เหตุที่มีช้างประดับอยู่ก็เนื่องจากรัชกาลที่ 5 เสด็จมาทรงประกอบพิธีเปิดสะพานเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2452 ซึ่งในปีนี้พระองค์ทรงมีพระชนมพรรษาเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบรมอัยกาธิราช จึงโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดงานพระราชพิธีพระชนมายุมงคลเสมอรัชกาลที่ 2 และฉลองวัดอรุณราชวรารามด้วย และเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีช้างเผือกในแผ่นดินถึง 4 เชือก จึงพระราชทานนามสะพานนี้ว่าสะพานเฉลิมหล้า ซึ่งมาจากพระนามของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และหัวเสาสะพานจึงได้ออกแบบเป็นหัวช้างเผือก 4 หัวอย่างที่เราเห็นกัน

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>สี่แยกคอกวัว เมื่อก่อนเคยเป็นที่ตั้งของคอกวัวมาก่อน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>หมดจากเรื่องช้าง คราวนี้เราไปตามควายกันบ้างดีกว่า ควายใครหายก็ไปตามหาเอาได้ที่ "สะพานควาย" สถานที่ซึ่งในอดีตเคยเป็นทุ่งนากว้างใหญ่ที่พ่อค้าควาย หรือ "นายฮ้อย" จะนำฝูงควายจากภาคอีสานเดินทางมาขายยังภาคกลาง และมาไกลถึงยังทุ่งนากว้างใหญ่แห่งนี้ด้วย โดยที่กลางทุ่งนานั้นจะมีสะพานไม้สร้างไว้เพื่อให้ฝูงควายเดินข้ามคูลองส่งน้ำได้สะดวก ผู้คนจึงเรียกบริเวณนี้กันต่อมาว่า "สะพานควาย"

    พูดถึงสะพานควายแล้วก็ต้องไม่พลาดที่จะเอ่ยถึง "บางกระบือ" เพราะเป็นพื้นที่เกี่ยวเนื่องกัน เพราะเมื่อขบวนคนและควายเดินทางมาจนถึงสะพานควายแล้ว ก็จะเดินลัดเลาะหาสถานที่ที่เหมาะจะพักขบวน และเป็นที่ซื้อขายตกลงราคากัน สถานที่นั้นก็คือ "บางกระบือ" ซึ่งอยู่ใกล้กับแม่น้ำเจ้าพระยานั่นเอง

    มีควายแล้วก็ต้องมีวัวคู่กันถึงจะสมบูรณ์ มาต่อกันที่ "สี่แยกคอกวัว" ที่ในอดีตนั้นเคยมีการเลี้ยงวัวหลวงพันธุ์ให้น้ำนมอยู่เป็นจำนวนมากเพื่อผลิตน้ำนมส่งเป็นของเสวยสำหรับพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทุกๆ เช้าจะมีแขกนุ่งห่มเหมือนอย่างพราหมณ์นำขวดนมจากคอกวัวหลวงนี้มาส่งที่ประตูสนามราชกิจในพระบรมมหาราชวังทุกวัน และนมวัวนี้ก็จะต้องนำไปตั้งไว้ให้กับพระราชาคณะไว้ฉันรองท้องก่อนเพลเสมออีกด้วย

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>สี่แยกพรานนก ตั้งชื่อเป็นที่ระลึกถึงบ้านพรานนกในอยุธยา</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>คอกวัวหลวงที่ว่านี้ก็อยู่ไม่ไกลจากพระบรมมหาราชวังมากนัก ก็คือตั้งอยู่บริเวณสี่แยกคอกวัวในปัจจุบันนั่นเอง แต่พอถึงสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงปรับพื้นที่ในเขตพระนครเพื่อที่จะรับกับแผนการขยายเมือง คอกวัวจึงถูกรื้อไป เหลือแต่ชื่อไว้เป็นอนุสรณ์เท่านั้น

    คราวนี้มาดูจำพวกสัตว์ปีกกันบ้าง มากันแถวฝั่งธนที่ย่าน "พรานนก" ที่มาของชื่อย่านนี้แปลกตรงที่เรื่องราวเกี่ยวกับพรานนกนั้นไม่ได้เกิดในสถานที่แห่งนี้ แต่กลับมีจุดเกิดเหตุอยู่ไกลถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยานู่น

    ชื่อนี้มีที่มาจากเหตุการณ์ในช่วงก่อนกรุงศรีอยุธยาจะแตก สมเด็จพระเจ้าตากสิน หรือพระยาวชิรปราการ พระยศในขณะนั้น ได้ตีฝ่าวงล้อมกองทัพพม่าออกมาทางทิศตะวันออกเพื่อรวบรวมกำลังพลมากอบกู้เอกราชในภายหลัง

    เมื่อเดินทางมาถึงบ้านพรานนก (ปัจจุบันอยู่ในอำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) ก็ได้เจอกับพรานล่านกที่ชื่อว่าเฒ่าคำคอยช่วยเหลือทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสิน ที่บ้านพรานนกนี้ทหารพม่าตามมาทัน เกิดการสู้รบกันขึ้น แต่กองทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินก็สามารถเอาชนะข้าศึกได้ แม้จะมีกำลังน้อยกว่าก็ตาม

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ขลุ่ยบ้านลาว หนึ่งในอาชีพเก่าแก่ของคนในชุมชนบางไส้ไก่</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์นี้ ทางราชการจึงนำชื่อบ้านพรานนกมาตั้งเป็นชื่อถนนในแขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย ว่า "พรานนก" นั่นเอง

    ยังคงอยู่ที่ฝั่งธนเช่นเดิม แต่จากนก คราวนี้มาเป็นไก่กันบ้าง ที่ "บางไส้ไก่" อันเป็นชื่อของคลองบางไส้ไก่ วัดบางไส้ไก่ และชุมชนบางไส้ไก่ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน

    ชื่อบางไส้ไก่นี้พอสืบค้นประวัติไปแล้วฉันก็พบว่า ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับไก่เลยแม้แต่น้อย!! แต่เป็นการเรียกที่ผิดเพี้ยนไปจากชื่อเดิม โดยแต่ก่อนนั้นมี "คลองสาวกลาย" เป็นคลองขุดมาแต่เดิม ต่อมาชื่อคลองสาวกลายก็ถูกเรียกเพี้ยนไปเป็นคลองสาวไก่ และสุดท้ายก็เพี้ยนมาเป็นชื่อเรียกในปัจจุบันว่าคลองบางไส้ไก่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าในอนาคตข้างหน้าอาจจะเพี้ยนไปเป็นอะไรอย่างอื่นอีกก็ได้

    ในแถบชุมชนบางไส้ไก่นี้ ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่าชุมชนบ้านลาว เพราะบรรพบุรุษของคนในชุมชนเป็นชาวลาวที่ถูกกวาดต้อนมาจากเมืองเวียงจันทน์ มาตั้งถิ่นฐานกันอยู่ที่นี่ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี วัดบางไส้ไก่ก็ยังเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าวัดลาว เนื่องจากพุทธศาสนิกชนชาวลาวได้ร่วมกันสร้างขึ้นไว้ในชุมชนของตน ในชุมชนนี้มีอาชีพเก่าแก่ เป็นงานฝีมือที่ชาวลาวนำติดตัวมาด้วยก็คือการทำขลุ่ยและแคนซึ่งเป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านของตัวเอง จนกลายมาเป็นอาชีพเก่าแก่ที่สืบทอดกันในชุมชน และเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "ขลุ่ยบ้านลาว" นั่นเอง

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>พระประธานในพระอุโบสถวัดหมู หรือวัดอัปสรสวรรค์</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ขอปิดท้ายเรื่องราวของสารพัดสัตว์ในเมืองกรุงกันด้วย "หมู" เพราะมีวัดถึงสองวัดทีเดียวที่มีความเกี่ยวข้องกับหมู เช่น "วัดหมู" หรือวัดอัปสรสวรรค์ เขตภาษีเจริญ ที่มีเรื่องเล่ากันว่าผู้สร้างวัดแห่งนี้เป็นชาวจีนชื่ออู๋ มีอาชีพเลี้ยงหมู เมื่อสร้างวัดแล้วเจ้าหมูเหล่านั้นก็ออกมาเดินเพ่นพ่านเต็มลานวัด ชาวบ้านจึงเรียกว่าวัดหมูกันมาตั้งแต่นั้น

    ส่วน "วัดคอกหมู" หรือวัดสิตาราม ใกล้ๆ กับวัดสระเกศฯ ที่แต่เดิมเคยเป็นคอกหมู อยู่คู่กับคอกวัว หรือสี่แยกคอกวัวในปัจจุบัน คนแขกเลี้ยงวัว ส่วนคนจีนเลี้ยงหมูอยู่บริเวณนี้ จนเมื่อร่ำรวยจากการเลี้ยงหมูแล้วจึงได้มีศรัทธาถวายที่ดินเพื่อสร้างวัด ชื่อว่าวัดคอกหมูนั่นเอง

    และนั่นก็เป็นเรื่องราวส่วนหนึ่งของชื่อย่านนามเมืองที่เกี่ยวพันกับบรรดาสิงสาราสัตว์ ซึ่งหากเราสืบค้นให้ลึกลงไปก็จะพบเรื่องราวอันหลากหลายทั้งสภาพสังคม การเมือง เศรษฐกิจ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ เป็นรากเหง้าแห่งวัฒนธรรมไทยที่น่าเสียดายว่า ในยุคนี้ พ.ศ. นี้ หลายคนได้หลงลืม ละเลย วัฒนธรรมอันดีงามของสยามประเทศไปแล้ว
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    ขอโทษค่ะ ลืมไปว่าของพี่แอ๊วต้องส่งไปที่คุณแด๋น เดี๋ยวส่งให้อีกสองถุงนะคะ เผื่อแจกคนอื่นด้วย วันนี้ไปส่งให้คุณรุ่ง(พรสว่าง)แล้วนะคะ ของน้องอุ้มกะคุณนิวรอเจอกันก่อน คุณตั้งจิตรบกวนส่งที่อยู่ให้ด้วยนะคะ ของพี่ไฟดูดกับพี่kwokฝากไว้ที่ใครดีคะ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คุณตั้งจิต ,พี่ไฟดูด และพี่kwok ฝากไว้ที่ผมก็ได้ครับ

    เดือนหน้า คงได้ไปเจอกันที่ชลบุรี ส่วนพี่kwok มาหาผมได้ครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  15. โชคชัยชนะ

    โชคชัยชนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +148
    .
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]

    ขอเชิญร่วมบุญสร้าง พระสมเด็จองค์ปฐม หน้าตัก ๔ ศอก ๒ องค์ ที่จังหวัดกระบี่
    โดย คุณs3057780<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_", true); </SCRIPT>

    การดำเนินการจะแบ่ง ๒ ช่วง
    ช่วงที่ ๑ จะทำการเทปูนหล่อ ฐานพระและองค์พระ ต้นแบบวัดท่าซุง ตั้งแต่วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๒ วัดป่าไตรสรณคมน์ (พระประธาน ที่ศาลาปฏิบัติธรรม) และ วัดบ้านคลองพน (ลานกลางแจ้ง หน้าวัด)
    ช่วงที่ ๒ จะทำการปิดทององค์พระ ณ วัดป่าไตรสรณคมน์ ประมาณปลายปี

    จึงขอเชิญทุกท่านร่วมบุญ(ช่วงที่ ๑) ในการหล่อองค์พระ และ ส่งพระหรือพระบรมธาตุมาบรรจุในพระสมเด็จองค์ปฐม ๔ ศอก จำนวน ๒ องค์ ที่กระบี่

    สามารถส่งมาบรรจุได้ตามที่อยู่ (ก่อนสิ้นเดือนเมษายน)
    ศิริพล สุขอุบล 19 หมู่ที่1 คลองพน คลองท่อม กระบี่ 81170
    โทร ๐๘๔-๐๖๓๖๑๗๗


    หรือร่วมบุญค่าหล่อพระและอื่นๆ มาที่
    พระอาจาวย์ไพโรจน์ (ครูบาน้อย วัดโป่งสวรรค์ นครสวรรค์)
    ธนาคาร กสิกรไทย ออมทรัพย์ สาขา พยุหะคีรี
    ๔๐๓-๒๐๙๒-๓๘๗
    โทร ๐๘๓-๓๑๐๗๒๑๑

    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    .

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  16. prawangna

    prawangna Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +33
    .
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]

    ขอเชิญร่วมบุญสร้าง พระสมเด็จองค์ปฐม หน้าตัก ๔ ศอก ๒ องค์ ที่จังหวัดกระบี่
    โดย คุณs3057780<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_", true); </SCRIPT>

    การดำเนินการจะแบ่ง ๒ ช่วง
    ช่วงที่ ๑ จะทำการเทปูนหล่อ ฐานพระและองค์พระ ต้นแบบวัดท่าซุง ตั้งแต่วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๒ วัดป่าไตรสรณคมน์ (พระประธาน ที่ศาลาปฏิบัติธรรม) และ วัดบ้านคลองพน (ลานกลางแจ้ง หน้าวัด)
    ช่วงที่ ๒ จะทำการปิดทององค์พระ ณ วัดป่าไตรสรณคมน์ ประมาณปลายปี

    จึงขอเชิญทุกท่านร่วมบุญ(ช่วงที่ ๑) ในการหล่อองค์พระ และ ส่งพระหรือพระบรมธาตุมาบรรจุในพระสมเด็จองค์ปฐม ๔ ศอก จำนวน ๒ องค์ ที่กระบี่

    สามารถส่งมาบรรจุได้ตามที่อยู่ (ก่อนสิ้นเดือนเมษายน)
    ศิริพล สุขอุบล 19 หมู่ที่1 คลองพน คลองท่อม กระบี่ 81170
    โทร ๐๘๔-๐๖๓๖๑๗๗


    หรือร่วมบุญค่าหล่อพระและอื่นๆ มาที่
    พระอาจาวย์ไพโรจน์ (ครูบาน้อย วัดโป่งสวรรค์ นครสวรรค์)
    ธนาคาร กสิกรไทย ออมทรัพย์ สาขา พยุหะคีรี
    ๔๐๓-๒๐๙๒-๓๘๗
    โทร ๐๘๓-๓๑๐๗๒๑๑

    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    .

    โมทนาสาธุครับ

    .<!-- google_ad_section_end -->
     
  17. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    เมือ่เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา เหมียวกับเพื่อนๆไปถวายลานธรรมที่ลำปางกันมาค่ะ ลานธรรมนี้เกิดจากเพื่อนเหมียวอยากจะสร้างลานขนาด 400 ตารางเ มตรสำหรับปฏิบัติธรรม เดินจงกรม นั่งสมาธิและทำกิจกรรมศาสนาอื่นถวายไว้ที่ศูนย์วิปัสสนาบุญญานุภาพ จึงเริ่มสำรวจและทำแบบตั้งแต่ปีที่แล้วและเริ่มก่อสร้งต้นปีนี้ค่ะ โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้นหนึ่งล้านห้าแสนบาท ซึ่งนอกจากลานธรรมแล้ว ยังได้สร้างระบบบำบัดน้ำเสีย อาคารห้องน้ำและสุขา5ห้อง งานปรับปรุงภูมิทัศน์ด้วย เจ้าภาพใหญ่ก้คือเพื่อนเหมียวและคุณพ่อคุณแม่ ที่เหลือก็เพื่อนๆ ซึ่งสามารถหาปัจจัยได้ถึงหนึ่งล้านหกแสนบาท มากกว่างบประมาณที่ใช้ไปถึงหนึ่งแ สนบาท จึงขอนำความปิติอิ่มใจอย่างยิ่งนี้มาแบ่งปันเพื่อร่วมกันโมทนาด้วยนะคะ

    [​IMG]
    ตอนปรับดินและปลูกต้นไม้แล้ว

    [​IMG]
    ช่วยกันถอนหญ้าและวัชพืช

    [​IMG]
    ปลูกต้นไม้

    [​IMG]
    หลังจาก ช่วยกันประดับต้นกล้วยไม้แล้ว

    [​IMG]
    ลานธรรมถวายไว้แด่พระพุทธศาสนา

    [​IMG]
    ร่วมกันถวายลานธรรม

    [​IMG]
    สว่างด้วยเทียนแห่งธรรมยามค่ำ

    [​IMG]
    ร่วมกันปฏิบัติธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2009
  18. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    วันพรุ่งนี้ จะจัดส่งพระผงกำลังจักรพรรดิ ไปร่วมบรรจุ จำนวน 108 องค์
    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ครับ
     
  19. หม่อง

    หม่อง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2007
    โพสต์:
    363
    ค่าพลัง:
    +943
    ขออนุญาติพี่หนุ่มเจ้าของกระทู้ นำ เรื่องดีดีมีไว้แบ่งปัน มาให้ทุกๆท่านนะครับ
    ไม่รู้ว่าอ่านยากหรือเลอะเทอะไปไหมถ้าไม่ดียังไงลบได้เลยนะครับขอบพระคุณครับ

    *******คำสั่งพิเศษ****

    ความหวาดกลัวจับเข้ามาอยู่ในหัวใจของพลทหารท่ามกลางสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง..เมื่อเขาได้เห็นเพื่อนสนิทของเขาล้มลงในสนามรบffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    ขณะติดอยู่ในสนามเพลาะที่มีแสงไฟจากปืนพุ่งข้ามไปมาอยู่ตลอดเวลา พลทหารขออนุญาตผู้กองของเขาออกไปที่ “เขตอันตราย” ซึ่งอยู่ตรงกลางของสนามเพลาะ เพื่อเอาศพเพื่อนกลับมา <O:p></O:p>
    “ได้” ผู้กองบอก<O:p></O:p>
    “แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะคุ้มนะ เพราะเพื่อนของเธอน่ะ ตายแล้ว..แล้วเธออาจจะเอาชีวิตไปทิ้งเสียก็ได้” <O:p></O:p>
    พลทหารได้ยินทุกคำพูดของผู้กอง แต่มันไม่สำคัญสำหรับเขา พลทหารวิ่งออกไปที่เขตอันตรายทันที<O:p></O:p>
    เขาไปถึงเพื่อนได้อย่างปาฏิหาริย์..เขาแบกเพื่อนขึ้นบ่า..แล้วนำกลับมาที่สนามเพลาะ ผู้กองสำรวจพลทหารที่เสียชีวิต แล้วหันไปมองพลทหารที่ไปแบกศพเพื่อนกลับมาด้วยสายตาที่อ่อนโยน<O:p></O:p>
    “ฉันบอกเธอแล้วว่ามันไม่คุ้ม” ผู้กองบอก.. “เพื่อนเธอตายแล้ว และเธอก็บาดเจ็บสาหัสกลับมา”<O:p></O:p>
    “ถึงกระนั้นมันก็คุ้มค่าครับท่าน”..พลทหารตอบ<O:p></O:p>
    “เธอหมายความว่าอย่างไร คุ้มค่า..เพื่อนเธอตายแล้วนะ”<O:p></O:p>
    “ใช่ครับท่าน แต่มันก็คุ้มค่าเพราะตอนที่ผมไปถึง เขายังไม่ตาย ผมดีใจที่ได้ยินเขาบอกว่า จิม..ฉันรู้ว่านายต้องมา”...<O:p></O:p>
    เพื่อนแท้คนหนึ่ง คือพรประเสริฐสุด<O:p></O:p>
    และเป็นหนึ่งเดียวที่เราคาดคิดได้น้อยที่สุดว่าจะมี

    ********** แค่ห้านาที**********
    วันหนึ่ง ขณะที่อยู่ที่สวนสาธารณะ หญิงคนหนึ่งนั่งข้างชายคนหนึ่งบนม้านั่งใกล้สนามเด็กเล่น<O:p></O:p>
    ลูกชายของฉันอยู่นั่นค่ะ”<O:p></O:p>
    เธอบอกและชี้ไปที่เด็กชายเล็ก ๆ คนหนึ่งในเสื้อกันหนาวสีแดงที่กำลังไถลลื่นลงมาที่กระดานลื่น <O:p></O:p>
    หน้าตาดีเชียวครับ” ชายคนนั้นตอบ ลูกชายผมอยู่ที่ชิงช้า ใส่เสื้อสีฟ้าครับ”<O:p></O:p>
    แล้วเขาจึงก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือก่อนจะตะโกนเรียกลูกชาย<O:p></O:p>
    “ท๊อด ลูกจะว่ายังไง ถ้าเราจะกลับกันแล้ว” ท๊อดอ้อน “ขอห้านาทีฮะ นะฮะ ขออีกแค่ห้านาที”<O:p></O:p>
    ชายคนนั้นพยักหน้าและท๊อดก็ได้เล่นชิงช้าต่อไปอย่างทีต้องการ ห้านาทีผ่านไป พ่อลุกขึ้นยืนร้องเรียกลูกชายอีกครั้ง<O:p></O:p>
    “ได้เวลาไปหรือยัง”<O:p></O:p>
    อีกครั้งที่ท๊อดอ้อน “ห้านาทีฮะ พ่อ แค่อีกห้านาทีฮะ”<O:p></O:p>
    ชายคนนั้นยิ้มและพูดว่า “ตกลง”<O:p></O:p>
    “เหลือเชื่อ คุณช่างเป็นพ่อที่อดทนจังค่ะ” หญิงคนนั้นบอก<O:p></O:p>
    ชายคนนั้นยิ้มแล้วจึงพูดว่า <O:p></O:p>
    “ทอมมี่ ลูกชายคนโตของผมถูกคนเมาขับรถชนตายเมื่อปีที่แล้ว ตอนที่แกขี่จักรยานเล่นแถวนี้ ตอนนั้นผมไม่มีเวลาให้ทอมมี่มากนัก แต่ตอนนี้ผมยินดีแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่กับทอมมี่แม้อีกเพียงนาทีเดียว แม้จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ตาม<O:p></O:p>
    ผมสาบานไว้ว่าจะไม่ทำผิดซ้ำสองกับท๊อดอีก วันนี้สำหรับท๊อด แกคิดว่าแกมีเวลาเล่นชิงช้าเพิ่มอีกห้านาที แต่ที่จริงแล้วเป็นผมต่างหาก ที่มีเวลาดูแลแกเพิ่มอีกห้านาที”<O:p></O:p>
    เวลาไม่เคยรอใคร <O:p></O:p>
    เมื่อมันผ่านไปแล้ว มันจะไม่กลับมาอีก<O:p></O:p>
    จงใช้เวลาของคุณทุกขณะอย่างดีที่สุด <O:p></O:p>
    คุณจะรู้คุณค่าของเวลา เมื่อคุณได้แบ่งปันเวลาพิเศษกับคนที่พิเศษสุดในชีวิตคุณ<O:p></O:p>

    ********ความหมายของชีวิต*********

    หลายคนชอบบ่นกระปอดกระแปดว่า ชีวิตไม่เห็นดี<O:p></O:p>
    เหมือนคนอื่น ๆ <O:p></O:p>
    บ้างก็ไม่พอใจที่ไม่ได้เกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวยอย่างที่<O:p></O:p>
    เพื่อน ๆ เป็น<O:p></O:p>
    บ้างก็อยากมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้<O:p></O:p>
    หลายคนเป็นทุกข์กับการไขว่คว้าหาวัตถุมากมายในชีวิต <O:p></O:p>
    ตอนเด็ก ๆ ก็เรียกร้องหาของเล่นชิ้นใหม่ไปเรื่อย ๆ <O:p></O:p>
    ครั้นโตขึ้น ก็เรียกร้องของชิ้นโตขึ้น รถใหม่ คอนโด <O:p></O:p>
    บ้านหลังใหญ่ ฯลฯ<O:p></O:p>
    พร้อมกับความรู้สึกว่าตัวเองยัง “มีไม่พอ”<O:p></O:p>
    และจากการพยามยามไขว่คว้าอะไรมากมายเช่นนี้นี่เองที่ทำให้โอกาสได้พบกับเพื่อนลดน้อยลงทุกที<O:p></O:p>
    ลองหยุดคิดสักนิด<O:p></O:p>
    ครั้งสุดท้ายที่คุณได้นัดเพื่อนสนิทสมัยเรียนมานั่งกินเบียร์หรือกินข้าวกัน “เกิดขึ้นเมื่อไหร่” แล้วครอบครัวล่ะ คุณอยู่กับเค้าบ่อยแค่ไหน หากคุณไม่ได้เป็นอีกคนที่ “ยุ่งอยู่กับงาน” มากจนไม่เคยมีเวลาให้เพื่อนฝูง ครอบครัวและคนรัก บอกได้เลยว่า “คุณคิดถูกแล้ว”<O:p></O:p>
    เคยเห็นคนแต่งตัวสกปรกมอมแมมข้างถนนบ้างหรือเปล่า..<O:p></O:p>
    หลายครั้งหากคุณลองใช้เวลามองดูดี ๆ อาจพบว่าเขายิ้มได้บ่อยกว่าคุณเสียอีก<O:p></O:p>
    ลองทำให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้นโดยลดความต้องการให้น้อยลงสักนิด <O:p></O:p>
    เปิดโอกาสให้ชีวิตได้พบกับความสวยงามบ้าง ชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่โดยไม่สนใจกับความ อยาก”<O:p></O:p>
    จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูง คนที่รักให้มากขึ้น<O:p></O:p>
    กินอาหารให้อร่อย ไปเที่ยวในที่ที่อยากไป เอาคำพูดที่ว่า “สักวันหนึ่ง” ออกไปจากชีวิตเสีย แล้วบอกคนที่เรารักทุกคนว่าเรารักพวกเค้าแค่ไหน <O:p></O:p>
    ทำให้ทุกวันเป็นวันที่พิเศษ <O:p></O:p>
    เพราะทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย <O:p></O:p>
    เพราะเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าเมื่อไร..มันจะสิ้นสุดลง <O:p></O:p>


    ที่มา:Forward Mail แผนกบริการลูกค้า (CCS) R.X. Company Ltd
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2009
  20. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    Chicken Soup : ขนม 1 ถุง

    ที่สนามบินนานาชาติระดับโลก มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัวดี
    จำเป็นต้องรอเวลาถึง 3 ชั่วโมง ในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลายทาง
    เธอจึงตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือ 1 เล่ม และคุ๊กกี้ 1 ห่อ
    และเตรียมหาที่นั่งเพื่ออ่านและกิน ฆ่าเวลาไปพลาง ๆ
    เธอสอดส่ายมองหาที่นั่งได้ 1 แห่ง เมื่อนั่งลงก็เตรียมหนังสือและคุ๊กกี้
    เพื่ออ่านและกินไปพลาง ๆ เธอสังเกตเห็นว่าข้าง ๆ เธอมีชายหนุ่ม
    ซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใคร ว่าจะมีใครนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา

    สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ
    ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุ๊กกี้ออกจากถุงซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง
    แล้วกินมันอย่างละชิ้น เธอมองด้วยความโกรธ
    แต่ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ
    เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุ๊กกี้และเฝ้ามองนาฬิกา
    ในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ขโมยไร้ยางอาย กำลังกินมันให้หมดสิ้นไป
    เธอเริ่มโมโหและคิดในใจว่า "ถ้าฉันไม่ใช่ผู้ดีมีการศึกษาแล้วละก็....
    ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี้ให้แหลกไปเลย"

    ทุกครั้งที่เธอหยิบกิน 1 ชิ้น ชายหนุ่มก็หยิบมันกิน 1 ชิ้น
    ทั้งสองส่งสายตามองกัน เมื่อคุ๊กกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย
    เธอหยุดและอยากรู้ว่าชายหนุ่มจะทำอย่างไร
    ชายหนุ่มค่อย ๆ หยิบคุ๊กกี้ชิ้นสุดท้ายแล้วหักออกเป็น 2 ชิ้น
    ส่งให้เธอครึ่งชิ้นและกินเองครึ่งชิ้น
    เธอรับจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและคิดในใจว่า
    "เขาช่างเป็นคนไร้มารยาทสุดๆ ช่างไร้การศึกษา ไม่มีแม้แต่พูดขอบคุณสักคำ"
    เธอลุกขึ้นหยิบข้าวของทั้งหมดแล้วตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง
    ไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมามองหัวขโมยผู้ไร้มารยาทซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม

    ภายหลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่อย่างสบายแล้ว
    เธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง
    ในขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า ก็พบว่ามีขนมคุ๊กกี้ 1 ห่อ เธอตกใจมาก
    ถ้าคุ๊กกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ ก็แปลว่า.....
    คุ๊กกี้ห่อนั้นเป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกิน
    เธอลุกขึ้นทันที แล้ววิ่งออกจากเครื่องบินไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม
    แต่คงเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า
    มันสายไปเสียแล้วที่จะได้ขอโทษชายหนุ่ม
    ระหว่างเดินกลับเข้าเครื่อง เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
    เธอนั่นเองที่ไร้มารยาท เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง

    มีกี่ครั้งในชีวิตของคนเรา ที่ค้นพบในภายหลังว่า
    สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นการเข้าใจผิด
    มีกี่ครั้งในชีวิตที่เราขาดความไว้วางใจผู้อื่น
    และทำให้เราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง
    ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากมาย
    นี่แหละที่ทำให้เราต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนตัดสินผู้อื่น
    หลาย ๆ สิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ควรมองผู้อื่นในแง่ดี
    แล้วคอยสังสัยตัวเองว่า
    "เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง? เราเคยแบ่งปันอะไรแก่คนอื่นบ้างหรือไม่"

    PS: Chicken Soup ไม่ได้แปลว่าซุปไก่ แต่หมายถึงบทความที่ช่วยเสริมกำลังใจ :)

    ที่มา : Forward mail
     

แชร์หน้านี้

Loading...