พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ดูแลสุขภาพด้วย น้ำข้าวกล้องงอก
    http://women.kapook.com/health00107/

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]



    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


    เวลานี้อาหารสุขภาพยอดฮิตที่ถูกถามหากันมากที่สุด คงหนีไม่พ้น “น้ำข้าวกล้องงอก” เป็นแน่ เพราะตั้งแต่ผ่านพ้นช่วงปีใหม่มา “น้ำข้าวกล้องงอก” ก็ได้รับความสนใจและเป็นที่ต้องการเป็นพิเศษ วันนี้กระปุกเลยนำเรื่องราวของข้าวกล้องงอกมาฝาก พร้อมวิธีทำน้ำข้าวกล้องงอกด้วยค่ะ

    เรื่องราวของ “ข้าวกล้อง” และ “ข้าวกล้องงอก”
    สำหรับข้าวกล้องนี้ถือว่าเป็นเมนูยอดฮิตของคนรักสุขภาพเลยทีเดียว โดยข้าวกล้องนั้น ก็คือข้าวที่ผ่านกรรมวิธีการสีเพียงครั้งเดียว เพื่อให้เปลือก (แกลบ) หลุดออกไป ดังนั้นจึงยังมีจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวที่เป็นสีน้ำตาลและสีแดง (รำ) เหลืออยู่ ต่างจากข้าวประเภทอื่นๆที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวัน ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวหลุดลอกออกไปหมดแล้ว
    จมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) นี่แหละค่ะที่เป็นแหล่งอุดมไปด้วยกรดไฟติก (Phytic acid) วิตามินบี 1 บี 2 บี 6 บี 12 วิตามินซี วิตามินอี สารกาบา (Gamma amino butyric acid) เส้นใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่นิยมรับประทานข้าวกล้องมากนัก ด้วยข้าวกล้องจะมีเนื้อแข็ง เพราะมีกากเยอะจึงไม่นิ่มเหมือนข้าวประเภทอื่นๆ ทำให้รู้สึกว่าทานไม่อร่อยนั่นเอง
    ส่วนข้าวกล้องงอก เป็นเรื่องที่เพิ่งได้ยินกันไม่นานนี้เอง ซึ่งข้าวกล้องงอก (Germinated brown rice หรือ GABA-rice) เป็นข้าวกล้องที่ต้องนำมาผ่านกระบวนการงอกเสียก่อน พอนำข้าวกล้องมาแช่น้ำจนกลายเป็นข้าวกล้องงอกแล้ว จะทำให้ข้าวกล้องมีสารอาหารเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสารกาบา และข้าวกล้องที่แช่น้ำทิ้งไว้แล้วเมื่อนำไปหุงก็จะได้ข้าวที่นุ่มน่ารับประทานกว่าข้าวกล้องธรรมดาด้วย

    “สารกาบา” พระเอกของข้าวกล้องงอก
    สารกาบา หรือ Gamma amino butyric acid เป็นกรดอะมิโนจากกระบวนการ Decarboxylation ของ กรดกลูตามิก ( Gutamic acid) กรดนี้มีความสําคัญในการทำหน้าที่สารสื่อประสาท (Neurotransmitter) ในระบบประสาทส่วนกลาง และสารกาบายังเป็นสารสื่อประสาทประเภทสารยับยั้ง (Inhibitor) โดยจะทำหน้าที่รักษาสมดุลในสมอง ช่วยทำให้สมองผ่อนคลายและนอนหลับสบาย อีกทั้งยังทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นต่อมไร้ท่อ (Anterior Pituitary) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต (HGH) ทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้กล้ามเนื้อกระชับ และเกิดสาร Lipotropic ป้องกันการสะสมไขมัน

    จากการศึกษาและวิจัยพบว่า การบริโภคข้าวกล้องงอกที่มีสารกาบามากกว่าข้าวกล้องปกติ 15 เท่า จะสามารถป้องกันการทำลายสมอง และโรคสูญเสียความทรงจำ หรืออัลไซเมอร์ได้ ดังนั้น จึงได้มีการนำสารกาบามาใช้ในวงการแพทย์เพื่อการรักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาทต่างๆ หลายโรค เช่น โรควิตกกังวล โรคนอนไม่หลับ โรคลมชัก เป็นต้น รวมทั้งผลการวิจัยด้านสุขภาพระบุว่าข้าวกล้องงอกที่ประกอบด้วยสารกาบา มีผลช่วยลดความดันโลหิต ลด LDL (Low Density lipoprotein) ลดอาการอัลไซเมอร์ ลดน้ำหนัก ทำให้ผิวพรรณดี และใช้บำบัดโรคเกี่ยวกับระบบประสาทส่วนกลางได้อีก

    ประโยชน์ของข้าวกล้องงอก
    ประโยชน์ที่ได้จากการรับประทานข้าวกล้องงอกนั้น นอกจากจะเป็นประโยชน์ที่ได้รับจากสารกาบา ไม่ว่าจะเป็นช่วยให้สมองผ่อนคลาย ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ บำรุงระบบประสาท หรือลดความดันโลหิตแล้ว การรับประทานข้าวกล้องงอกยังช่วยลดความเสี่ยมจากโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ช่วยระบบย่อยอาหาร ช่วยให้สมองผ่อนคลาย นอนหลับสบาย และช่วยควบคุมน้ำหนักตัวได้ด้วย แถมยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ ไม่ให้แก่ก่อนวัยได้อีก (สาวๆ ต้องฟังไว้) ถือได้ว่าแค่รับประทานข้าวกล้องงอกก็ครบถ้วนไปด้วยสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น

    ผู้ที่ไม่ควรทานข้าวกล้องงอก
    สารต่างๆในข้าวกล้องงอกล้วนมีประโยชน์มากมาย ดังนั้นข้าวกล้องงอกจึงมีประโยชน์ต่อทุกเพศ ทุกวัย ยกเว้นกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเกาต์ ที่ไม่ควรรับประทาน เพราะเมล็ดข้าวกล้อง หรือยอดผักต่างๆ ที่กำลังจะงอก จะมีสารยูริคจำนวนมาก ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคเกาต์ ซึ่งเป็นโรคเกิดจากการที่มีสารยูริคจำนวนมากสะสมอยู่ตามข้อ จนเกิดการอักเสบนั่นเอง

    วิธีทำน้ำข้าวกล้องงอกด้วยตัวเอง
    ตบท้ายด้วยขั้นตอนการทำน้ำข้าวกล้องสำหรับรับประทานเอง

    1.คัดเลือกข้าวกล้อง โดยข้าวกล้อง ที่สามารถนำมาแช่น้ำให้เกิดการงอกได้ดีนั้นจะต้องเป็นข้าวกล้องใหม่ ที่ผ่านการกะเทาะเปลือกมาไม่ เกิน 2 สัปดาห์ (ถ้าเป็นข้าวเก่า ส่วนปลายจะไม่สามารถงอกออกมาได้)
    2.นำเมล็ดข้าวกล้องใหม่นั้นมาซาวน้ำ ล้างเอากรวดทรายออกก่อนหนึ่งครั้ง
    3.นำข้าวกล้องไปแช่น้ำประมาณ 1 ลิตร ทิ้งไว้ประมาณ 5-6 ชั่วโมง จะเกิดเป็นตุ่มงอกสีขาวขึ้นมาที่เมล็ดข้าว
    4.จากนั้นนำข้าวขึ้นมาผึ่งให้แห้ง แล้วนำไปต้มให้เดือดโดยใช้ไฟปานกลาง แต่อย่าให้เดือดมาก เพราะถ้าร้อนมากไป สารกาบ้าจะถูกทำลายมาก แต่หากเดือดพอดีแล้วให้เคี่ยวต่อไปสัก 15-20 นาที สารกาบ้าจะยังเหลืออยู่ถึง 70% ซึ่งเป็นปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกาย
    5.เสร็จแล้วให้ใช้ผ้าขาวบางหรือตะแกรงกรองน้ำข้าวมารับประทานได้ทันที หรือจะเติมเกลือ น้ำตาลเล็กน้อย เพื่อให้ได้รสชาติที่ถูกปากค่ะ
    ท้ายนี้เรามีวิธีหุงข้าวกล้องมาฝากกันค่ะ โดยถ้าอยากหุงข้าวกล้องให้อร่อยนุ่มล่ะก็ จะต้องนำข้าวกล้องไปแช่น้ำทิ้งไว้ก่อนประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้เมล็ดข้าวบานออกเล็กน้อย จากนั้นนำไปหุงก็จะได้ข้าวที่นุ่มน่ารับประทาน ซึ่งการหุงข้าวนี้จะทำให้สารกาบ้าถูกทำลายไป 40 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ถือว่าเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว แต่ถ้าทำเป็นข้าวกล้องงอกขึ้นมา จะช่วยเพิ่มสารอาหารให้มากขึ้นกว่า 10 เท่า เลยล่ะค่ะ

    รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมลองไปทำน้ำข้าวกล้องงอกทานกันนะคะ เพราะแค่รับประทานข้าวกล้อง หรือ น้ำข้าวกล้องงอก เราก็จะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนมีประโยชน์ โดยไม่ต้องไปหาซื้ออาหารเสริมมารับประทานเลยล่ะ




    ขอขอบคุณข้อมูลจาก​

    [​IMG] [​IMG]
    - ricethailand.go.th
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  3. dragonlord

    dragonlord เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,541
    [SIZE=-1][SIZE=-1]ขอให้ทุกท่านมีความสุขสมหวังในวัน Songkran na ka[/SIZE][/SIZE]
    [SIZE=-1][/SIZE]
    [SIZE=-1]Happy Songkran's day ka
    [/SIZE]
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เทศกาลสงกรานต์ วันผู้สูงอายุ-วันครอบครัว

    http://www.matichon.co.th/khaosod/vi...MHdOQzB4TXc9PQ==

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>"สงกรานต์" ถือเป็นประเพณีที่เก่าแก่ของไทยประเพณีหนึ่งที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ คู่กับประเพณีตรุษ หรือที่เรียกกันรวมๆ ว่าประเพณีตรุษสงกรานต์ ซึ่งหมายถึงประเพณีส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของไทย ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนมาใช้วันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันส่งท้ายปีเก่า และวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ เมื่อพ.ศ.2483 เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

    คำว่าตรุษ เป็นภาษาทมิฬ ใช้ในชนเผ่าหนึ่งทางอินเดียตอนใต้ แปลว่า ตัด หรือขาด คือตัดปี หรือขาดปี หมายถึงการสิ้นปีนั่นเอง ตามปกติการกำหนดวันตรุษหรือวันสิ้นปีจะถือหลักทางจันทรคติ (วิธีนับวันและเดือนโดยถือเอาการเดินของดวงจันทร์เป็นหลัก) คือวันแรม 15 ค่ำ เดือน 4

    ส่วนคำว่าสงกรานต์ เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า ก้าวขึ้น หรือการเคลื่อนที่ ย้ายที่ หมายถึง เวลาที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนจากราศีหนึ่งไปสู่อีกราศีหนึ่งทุกๆ เดือน เรียกว่า สงกรานต์เดือน ยกเว้นเมื่อย้ายจากราศีมีนสู่ราศีเมษ ซึ่งเป็นสงกรานต์ปี จะเรียกชื่อพิเศษว่า "มหาสงกรานต์" จึงเป็นวันขึ้นปีใหม่ โดยวิธีนับทางสุริยคติ (วิธีนับวันและเดือนโดยถือกำหนดตำแหน่งดวงอาทิตย์เป็นหลัก)

    ดังนั้น การกำหนดนับวันสงกรานต์จึงตกอยู่ในระหว่างวันที่ 13, 14 และ 15 เมษายน

    ซึ่งทั้ง 3 วันจะมีชื่อเรียกเฉพาะดังนี้ คือ วันที่ 13 เมษายน เรียกว่า มหาสงกรานต์ หมายถึง การที่ดวงอาทิตย์ก้าวขึ้นสู่ราศีเมษอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ผ่านการเข้าสู่ราศีอื่นๆ แล้วครบ 12 เดือน <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    วันที่ 14 เมษายน เรียกว่า วันเนา หมายถึง การที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนเข้าอยู่ราศีเมษประจำที่เรียบร้อยแล้ว

    วันที่ 15 เมษายน เรียกว่า วันเถลิงศก หรือวันขึ้นศก คือ วันที่เริ่มเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ การที่กำหนดให้อยู่ในวันนี้นั้นเพื่อให้แน่ใจได้ว่าดวงอาทิตย์โคจรขาดจากราศีมีนขึ้นอยู่ราศีเมษแน่นอนแล้ว อย่างน้อย 1 องศา

    ก่อนถึงวันสงกรานต์นั้น ส่วนใหญ่จะมีการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ เพื่อความเป็นสิริมงคล และต้อนรับชีวิตใหม่ที่จะเริ่มต้นในวันปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง อาทิ การทำความสะอาดบ้านเรือนที่อยู่อาศัย การเตรียมเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ไปทำบุญ และผ้าสำหรับไปไหว้ผู้ใหญ่เพื่อรดน้ำ ขอพร

    การเตรียมอาหารไปทำบุญ ทั้งของคาว ของหวานที่พิเศษ ได้แก่ การเตรียมขนมที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของวันตรุษและวันสงกรานต์ นั่นคือ ข้าวเหนียวแดงสำหรับวันตรุษ และขนมกวนหรือกาละเมสำหรับวันสงกรานต์

    และเมื่อถึงวันสงกรานต์ทุกคนก็จะยิ้มแย้มแจ่มใสทำจิตใจให้เบิกบาน เพื่อทำบุญตักบาตรตอนเช้า ทำบุญอัฐิ ซึ่งอาจจะทำตอนไหนก็ได้ เช่น หลังจากพระภิกษุสามเณรฉันเพลแล้ว หรือจะนิมนต์พระมาสวดมนต์ ฉันเพลที่บ้าน แล้วบังสุกุลก็ได้ หรืออาจจะนิมนต์พระไปยังสถานที่เก็บหรือบรรจุอัฐิ หากไม่มีให้เขียนชื่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้วลงในกระดาษแผ่นนั้นเสีย เช่นเดียวกับการเผาศพ การสรงน้ำพระ อาจจะสรงน้ำพระภิกษุสามเณร หรือสรงน้ำพระพุทธรูปก็ได้

    การปล่อยนก ปล่อยปลา เป็นการทำบุญทำทานอีกรูปแบบหนึ่ง โดยปล่อยให้ไปสู่อิสระ การรดน้ำผู้ใหญ่ หรือการรดน้ำขอพร เป็นการแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ของครอบครัว หรือผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ การรดน้ำผู้ใหญ่อาจจะรดน้ำหรือรดเฉพาะที่ฝ่ามือก็ได้ ดังนั้น จึงควรมีผ้านุ่งห่มไปมอบให้ด้วย เพื่อจะได้ผลัดเปลี่ยนหลังจากเสร็จสิ้นพิธีแล้ว <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    การเล่นรดน้ำ หลังจากเสร็จพิธีการต่างๆ แล้วเป็นการเล่นรดน้ำเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างญาติมิตร โดยการใช้น้ำสะอาดผสมน้ำอบหรือน้ำหอม หรือจะใช้น้ำอบก็ได้ รดกันเบาๆ ด้วยความสุภาพ การเล่นรื่นเริงต่างๆ สุดแล้วแต่ความนิยมของท้องถิ่นนั้น

    ประเพณีปฏิบัติเหล่านี้อาจจะมีความแตกต่างกันออกไปบ้างตามแต่ละท้องถิ่น การจะยึดถือปฏิบัติอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความต้องการของชุมชนเป็นสำคัญ

    เทศกาลสงกรานต์นอกจากจะเป็นวันขึ้นปีใหม่ของคนไทยแล้ว ยังถือเป็นวันสำคัญของคนไทยอีก คือ วันผู้สูงอายุแห่งชาติและวันครอบครัว

    วันผู้สูงอายุแห่งชาติ คือ วันสำหรับผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป คณะรัฐมนตรีได้ลงมติเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2525 อนุมัติให้วันที่ 13 เมษายน ของทุกปีเป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติ โดยได้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับผู้สูงอายุทั้งด้านสุขภาพอนามัย การศึกษา สังคมวัฒนธรรม ความมั่นคงทางรายได้ การทำงาน และด้านสวัสดิการสังคม นอกจากนี้ ยังให้มีการจัดกิจกรรมสำหรับผู้สูงอายุทุกปี อาทิ การกราบขอพรและการมอบของขวัญให้แก่ผู้สูงอายุ เป็นต้น

    วันครอบครัว จะตรงกับวันที่ 14 เมษายนของทุกปี เป็นวันที่ต้องการให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของครอบครัวให้มากขึ้น ดังนั้น เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2532 คณะรัฐมนตรี ซึ่งมีพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบและอนุมัติให้วันที่ 14 เมษายนของทุกปีเป็นวันแห่งครอบ ครัว ซึ่งตรงกับวันสงกรานต์ของไทย ด้วยเหตุผลว่าในวันนี้เป็นวันที่สมาชิกในครอบครัวมีโอกาสพบปะกันได้โดยสะดวก

    จะเห็นได้ว่าเทศกาลสงกรานต์เป็นประเพณีที่ได้ยึดถือปฏิบัติกันมาเนิ่นนาน ที่มีความงดงาม อ่อนโยน เอื้ออาทร และเต็มไปด้วยบรรยากาศของความกตัญญู ความเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งทุกคนจะหาโอกาสกลับบ้านไปหาพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ รดน้ำขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลในการเริ่มต้นปีใหม่ เป็นกำลังใจกันและกันในการดำรงชีวิต

    เป็นวันแห่งการแสดงความกตัญญู โดยการปรนนิบัติต่อพ่อแม่ ผู้มีพระคุณที่มีชีวิตอยู่ และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และยังเป็นวันที่ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ได้ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน เพื่อสานสัมพันธ์กันภายในครอบครัว

    เป็นความงดงามที่บ่งบอกถึงคุณลักษณะของความเป็นไทยได้อย่างแท้จริง....



    นางสงกรานต์ ทรงนามว่า "โคราคะเทวี" ทรงพาหุรัด ทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้วมุกดาหาร ภักษาหารน้ำมัน พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จไสยาสน์หลับเนตรมาเหนือหลังพยัคฆะ (มีเสือเป็นพาหนะ)
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หน้าที่ 'นางสังขาร' สงกรานต์ชาวไท
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=196111&NewsType=1&Template=1

    หน้าที่ 'นางสังขาร' สงกรานต์ชาวไท

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ประเพณีสงกรานต์ของชนเผ่าไท ถ่ายทอดให้ความรู้แก่ผู้สนใจในโครงการสัมมนาทางวิชาการนานาชาติเรื่อง “ประเพณีสงกรานต์ของชนเผ่าไท” ซึ่งสำนักพิพิธภัณฑ์และวัฒนธรรมการเกษตร จัดร่วมกับภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ สำนักพิพิธภัณฑ์และวัฒนธรรมการเกษตร โดยศ.ดร.หงี่ยอด เว็งเก็น นักวิชาการเชื้อสายไทคำหยางแห่งรัฐอัสสัม สาธารณรัฐอินเดีย กล่าวว่า ชาวไทคำหยาง, ชาวไทพาเก, ชาวไทคำตี่, ชาวไทอ้ายตอน และชาวไทตุรง เรียกเทศกาลสงกรานต์ว่า “ปอยแซงเก็น” หรือ “ปอยโซนนัม” เป็นพิธีทางศาสนาพุทธ และ เทศกาลเฉลิมฉลอง หรือ “ปานิบิฮู” ในวันที่ 13-15 เม.ย.ของทุกปี
    วันแรกชาวไทคำหยาง สวดมนต์บูชาพระพุทธรูปในวัด แล้วรอฤกษ์ดี ช่วยพระสงฆ์อัญเชิญพระพุทธรูปจากวัดไปยัง “คยอง พระ” วัดที่สร้างขึ้นชั่วคราว จากนั้นนั่งรอบคยอง พระ เพื่อสวดมนต์อีกครั้ง แล้วสรงน้ำพระ (โซน พระ) อย่างน้อย 3 ครั้ง และรดน้ำพระเจดีย์ (โซน ก็องมู) และรดต้นโพธิ์ ในระหว่างโซนนัม หนุ่มสาวเล่นประพรมน้ำสนุกสนาน ยามค่ำคืนแสงเทียนสาดส่องให้ คยอง พระ สว่างไสว พ่อเฒ่าและแม่เฒ่าล้อมวงสนทนาธรรม ภายในพระวิหาร ส่วนวันที่2 พิธีการเหมือนกับวันแรก
    ครั้นวันที่3 สวดมนต์รอบคยองพระแล้วอัญเชิญพระพุทธรูปกลับไปยังวัดเดิม วันถัดมาชาวบ้านเข้าวัดเพื่อสวดมนต์อีกครั้ง ก่อนสิ้นสุดพิธีปอยแซงเก็นของชาวไทคำหยาง ชาวบ้านร่วมเฉลิมฉลองงานกันอย่างรื่นเริง ผู้สูงวัยอวยพรลูกหลานที่มากราบไหว้ ให้โชคดีมีชัย
    “ส่วนใหญ่พิธีการของชาวคำหยางคล้ายกับชาวไทพาเก หากต่างเรื่องการฟ้อนรำ ระหว่างอันเชิญพระพุทธรูป, ชาวไทยคำหยางผสมน้ำอบกับน้ำนมวัวสรงน้ำพระ แต่ชาวไทพาเกนิยมใช้น้ำเปล่า และช่วงเย็นวันที่3 ชาวไทพาเก จัด “เจทิ หมง” ตรงมุมด้านขวาของหมู่บ้าน เพื่อความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งชาวไทคำหยางไม่มี”

    ส่วนอาณาจักรล้านช้าง อ.แก้วสิริ เอเวอร์ริ่งแฮม ผู้จัดการเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของชนเผ่า เปิดเผยว่า วันสงกรานต์ของหลวงพระบาง วันแรกเรียก “วันสงขารล่อง” ชาวหลวงพระบางจับจ่ายซื้อของและธง เพื่อไปปักกองเจดีย์ทราย ริมแม่น้ำโขง ตกเย็นลอยกระทง บรรจุกล้วย ขิง ข้าวดำ ข้าวแดง ดอกไม้ ธูป เทียนฯ แล้วอธิษฐานให้หมดทุกข์โศก ช่วงเช้าวันที่2 “วันเนา” แห่รูปหุ่นเชิดปู่เยอ ย่าเยอและสิงห์แก้ว สิงห์คำ ช่วงบ่ายขบวนแห่นำโดยปู่เยอ ย่าเยอ ผู้เฒ่าผู้แก่ หัวหน้าหมู่บ้านแต่ละหมู่บ้าน ขบวนพระสงฆ์ “นางสังขาร” หรือนางสงกรานต์ของเมืองไทย (นางวอ) ขี่สัตว์พาหนะบนรถแห่ ปู่เยอ ย่าเยอฟ้อนรำ อวยพรลูกหลาน
    วันที่3 “วันสังขารขึ้น” ทำข้าวเหนียวนึ่งและนมลูกกวาด แล้วเดินขึ้นภูษี ภูเขาสูงกลางเมืองหลวงพระบาง ระหว่างทางวางข้าวเหนียวและขนมตามหัวเสาบันไดจนถึงองค์พระธาตุ วิธีการนี้เรียกว่าเป็นการตักบาตรภูษี ช่วงบ่ายจัดขบวนแห่นางสังขารและอัญเชิญศีรษะท้าวกบิลพรหมจากวัดเชียงทองไปยังวัดวิชุน สรงน้ำพระที่วัดวิชุน วันถัดมามีการแห่พระบาง พระพุทธรูปคู่เมืองหลวงพระบาง อัญเชิญให้ชาวเมืองสรงน้ำปีละครั้ง และประดิษฐานอยู่ที่วัดใหม่ 3 วัน 3 คืน แล้วอัญเชิญกลับหอพิพิธภัณฑ์เหมือนเดิม
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทำอย่างไรดี... เมื่อเทคโนโลยี "เปียกน้ำ"

    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01epe01130452&sectionid=0147&day=2009-04-13

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>เทศกาลสงกรานต์ช่วงนี้ กระเป๋าถือ กระเป๋าพกพาทั้งหลาย ไม่ควรพกติดอุปกรณ์เทคโนโลยีทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์เคลื่อนที่ เครื่องเล่น MP3 - MP4 แฟลชไดร์ฟหรือทรัมป์ไดร์ฟ ตามแต่จะเรียก หากจำเป็นต้องใช้ ก็ควรพกพา โดยใส่ไว้ในวัสดุกันน้ำ..

    แต่อย่างว่า..อุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้ ทั้งจากความประมาทเลินเล่อหรือไม่ก็ตาม !!

    เมื่ออุปกรณ์มัลติมีเดียต้องเปียกน้ำ หรือเกิดความชื้น จำเป็นต้องบริหารจัดการ "แก้ปัญหา" ดังกล่าว เริ่มที่ "โทรศัพท์มือถือ" ปัจจัยจำเป็นที่ประชากร มีพกติดตัวอย่างน้อยหนึ่งเครื่องต่อคน หากมือถือเปียกน้ำแล้วไซร้..ถ้ามือถือยังไม่ดับ ก็ให้รีบปิดเครื่องทันที แต่ถ้าเครื่องดับ ลำดับที่ต้องทำเร่งด่วน ให้เปิดฝาถอดแบตเตอรี่ออกจากเครื่องโดยด่วน รวมถึงซิมการ์ด เมมโมรี่การ์ด เอสดีการ์ด ป้องกันไม่ให้ชิ้นส่วนเกิดการช็อร์ตขึ้น จากนั้นเร่งมือเช็คเครื่องในส่วนต่างๆ ทั้งซอกมุมให้แห้ง วางไว้ในที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อให้ความชื้นระบายออกได้เร็ว อีกวิธีที่ดี เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านมาเนิ่นนาน คือชิ้นส่วนมือถือไปซุกไว้ในถุงหรือถังข้าวสาร ใช้ผ้าห่อไว้ด้วยก็ดี ป้องกันผงข้าวสารหลุดเข้าตัวเครื่องมือถือ เพื่อให้ข้าวสารดูดความชื้นจากมือถือ <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ข้อพึงระวัง ห้ามตากแดด ห้ามใช้ไดร์เป่าผมเป่าให้แห้งเป็นอันขาด

    ทิ้งไว้สักระยะ จนคาดว่าเครื่องโทรศัพท์แห้งดี ก็ให้ทดสอบนำแบตเตอรี่ใส่เครื่องแล้วเปิดใช้ หากมือถือติดก็แสดงว่าใช้งานได้ ถ้าไม่ติด หนีไม่พ้นต้องใช้บริการศูนย์โทรศัพท์มือถือเช็คเครื่องให้ อ้อ...ขั้นตอนที่นำเครื่องไปเช็คที่ศูนย์บริการ...มีเสียงเตือนจากผู้มีประสบการณ์ฝากมาด้วยว่า ให้ระวังข้อมูลที่มีการดาวน์โหลดไว้ในชิป หรือตัวมือถือ ประเภทคลิปต่างๆ ที่หลุดออกมาเผยแพร่ก็เกิดจากความบกพร่องตรงจุดนี้ล่ะตัวดี

    แต่ถ้าเป็นเครื่องเล่นเอ็มพี 3 เอ็มพี 4 ส่วนใหญ่มีหน้ากากและถุงหรือซองใส่ พึงระวังเช่นกัน หากเครื่องเล่นเอ็มพีตกน้ำ หรือถูกความชื้น โอกาสที่จะถอดเป็นชิ้นส่วน เช่นเดียวกับโทรศัพท์มือถือทำไม่ได้เลย เมื่อถอดออกเท่ากับทำลายเอ็มพีชิ้นนั้นแล้ว วิธีดีที่สุด คือ ส่งไปให้ศูนย์บริการดูแล <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    แต่ถ้าเป็นแฟลชไดร์ฟ หรือ แฟลชดิสก์ (flash disk) คีย์ไดรฟ์ (key drive) จัมป์ไดรฟ์ (jump drive) ดาต้าคีย์ (data key) ดาต้าสติ๊ก (data stick) ทราเวลไดรฟ์ (travel drive) ทัมบ์ไดรฟ์ (thumb drive) ทัมบ์คีย์ (thumb key) เพนไดรฟ์ (pen drive) ฟิงเกอร์ไดรฟ์ (finger drive) เมโมรีไดรฟ์ (memory drive) ยูเอสบีไดรฟ์ (usb drive) ยูเอสบีคีย์ (usb key) แฮนดีไดรฟ์ (handy drive) ตามแต่ละยีห้อจะเรียกขานกัน

    ในที่นี้เรียกแฟลชไดร์ฟ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูล เป็นเหมือนหน่วยความจำ ปัจจุบันถูกออกแบบหลากหลายรูปแบบ บางรุ่นบางตัว ทำหน้าที่ทั้งเก็บข้อมูล เป็นเครื่องเล่นเอ็มพี 3 แล้วเครื่องประดับ พกพาไปไหนมาไหนอย่างภาคภูมิใจ อุปกรณ์ข้างต้น หากเปียกน้ำ หรือเกิดความชื้นขึ้นมา วิธีที่ดีและต้องทำอย่างรวดเร็ว คือเช็ดให้แห้ง นำไปฝังกลบไว้ในถุงหรือถังข้าวสาร เพื่อดูว่าเปียกชื้นแล้วทำให้แห้งได้แค่ไหน นำมาใช้งานต่อได้หรือไม่

    เทคโนโลยีอีกชิ้นคือ กล้องดิจิตอล อันนี้แนะนำชัดเจนว่า ถ้าไม่ใช่รุ่นกันน้ำ ขอให้โปรดระวังเป็นพิเศษ เพราะความสามารถในการแกะออกเป็นชิ้นๆ ย่อมทำไม่ได้เหมือนมือถือ ด้วยคู่มือที่มาพร้อมกับตัวเครื่อง มีข้อระวังในการใช้ เตือนไว้อยู่แล้วว่า "อย่าให้ตก (กระแทก) - ไม่ควรให้ถูกน้ำ - ไม่ให้ควรอยู่ในพื้นที่อุณหภูมิสูง" เพราะมีผลต่อแผงชิปและการประมวลผลการทำงานของเครื่อง

    หากเกิดอุบัติเหตุตกน้ำ หรือเปียกชื้น ขั้นตอนแรก ให้ใช้วิธีเดียวกับอุปกรณ์อื่นข้างต้น คือเช็คและทำให้ชิ้นส่วนด้านนอกแห้งโดยเร็วที่สุด จากนั้นนำไปผึ่งให้แห้ง ก่อนส่งไปให้ศูนย์บริการดูแล ที่สำคัญ ระวังการเปิดปิดอุปกรณ์ในช่วงที่ยังไม่มั่นใจที่จะนำมาใช้งาน

    เทศกาลสงกรานต์ หรือช่วงเวลาไหนๆ ก็ตาม เทคโนโลยีกลายเป็นอุปกรณ์พกติดตัวไปไหนไปด้วยกันเหมือนเงาตามตัว ..จึงควรใส่ใจระมัดระวัง เพราะถ้ารุ่นไหน แบบใดราคาแพงๆ เกิดประมาทขึ้นมา...จะมาร้องอพิโธ่..อพิถัง เสียดายเปล่าๆ
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สุขภาพจิตในครอบครัว เรื่องที่ยังต้องศึกษาหาความรู้ (อีกมาก)
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act01130452&sectionid=0130&day=2009-04-13

    โดย นพ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย จิตแพทย์ทั่วไปโรงพยาบาลมนารมย์




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เดือนเมษายนของทุกปี เป็นเดือนที่มีความสำคัญต่อคนไทยทุกคน เพราะนอกจากจะเป็นเดือนที่มีวันหยุดยาวในเทศกาลรื่นเริง คือเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของคนไทยแล้ว ยังเป็นช่วงเวลาที่ภาครัฐส่งเสริมให้เป็นวันครอบครัวและวันผู้สูงอายุ เพราะเป็นเทศกาลที่คนไทยส่วนใหญ่จะเดินทางกลับบ้านเกิด สมาชิกครอบครัวได้มีโอกาสอยู่พร้อมหน้าทั้งพ่อแม่ พี่น้อง ปู่ย่า ตายาย ลุงป้า น้า อา และมิตรสหาย

    เทศกาลนี้เป็นเทศกาลแห่งความสุข แต่หลายครั้งที่จบลงด้วยความทุกข์ ความเศร้า เสียใจ ที่เกิดจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปในอุบัติเหตุการจราจร ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความประมาท

    ดังนั้น เรื่องของการครอง "สติ" จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน

    เทศกาลสงกรานต์ในปัจจุบัน อาจจะแตกต่างจากในอดีตไปบ้าง ในแง่ของความงดงามของวัฒนธรรมที่ลดน้อยถอยลง ความสุภาพนิ่มนวลของผู้คนที่ปฏิบัติต่อกัน การแต่งกายที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งการใช้สุรายาเมา ทำให้เกิดการแสดงออกที่ไม่สมควร บางครั้งถึงขั้นผิดกฎหมาย

    ความเสื่อมด้านวัฒนธรรมของผู้คนในสังคม มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยประกอบกัน ซึ่งเป็นไปได้ว่าเริ่มต้นมาจาก การเปลี่ยนแปลงประเทศจากสังคมเกษตรกรรมไปเป็นสังคมอุตสาหกรรม

    ในสังคมเกษตรมักใช้แรงงานของคนในครอบครัวและเพื่อนบ้าน มีชีวิตชุมชน อบอุ่นใกล้ชิด ชีวิตไม่เร่งรีบ ผู้คนมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปันแก่กันและกัน

    ในขณะที่ชีวิตในสังคมอุตสาหกรรมเป็นชีวิตที่เร่งรีบต้องการประสิทธิภาพสูงสุดเต็มไปด้วยการแข่งขัน ใครอ่อนแอจะถูกคัดออก เป็นสังคมที่ขาดความอบอุ่น หาคนมีน้ำใจต่อกันได้ยาก

    ในสังคมอุตสาหกรรม ผู้คนมีเวลาให้กันน้อยลง ลักษณะการอยู่แบบตัวใครตัวมันมีมากขึ้น ชีวิตชุมชนขาดหายไป ทำให้ภูมิคุ้มกันของสังคมขาดหายไปด้วย สิ่งไม่ดีเข้าสู่ชุมชนได้ง่าย อาทิ ยาเสพติด การลักขโมย จี้ปล้น ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินต่ำ ไม่ค่อยมีใครสนใจใคร

    นอกจากสังคมอุตสาหกรรมแล้ว สังคมบริโภคนิยมซึ่งใช้กิจกรรมการตลาด กระตุ้นการบริโภคของผู้คนในสังคมให้ยึดติดวัตถุ ร่วมกับการไหลบ่าเข้ามาของวัฒนธรรมตะวันตก ขณะที่วัฒนธรรมไทยขาดการดูแลเอาใจใส่ ส่งเสริมอนุรักษ์อย่างจริงจัง จึงทำให้เยาวชนไทยในปัจจุบัน เป็นคนไร้ราก ขาดความภูมิใจในวัฒนธรรม ขาดความรู้ ความเข้าใจถึงคุณค่าของวัฒนธรรมไทย

    รวมถึงค่านิยมทางเพศและค่านิยมการมีครอบครัวที่เปลี่ยนจากเดิม

    จากลักษณะสังคมที่ผู้คนห่างเหินกันในปัจจุบัน ทำให้สถาบันครอบครัวไทย ที่เป็นหน่วยพื้นฐานและเป็นหน่วยที่สำคัญที่สุดของสังคมอ่อนแอลงอย่างมาก เด็กและคนชราค่อนข้างเหงาและว้าเหว่ ขาดคนดูแลเอาใจใส่ใกล้ชิด

    สังคมไทยกำลังเผชิญกับปัญหาคนรุ่นใหม่ที่ขาดความมั่นคงทางจิตใจ ขาดความอดทนรอคอย และความสามารถในการแก้ปัญหาในชีวิตต่ำลง ผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากขึ้นอยู่กับความเหงา และมีปัญหาโรคซึมเศร้ามากขึ้น

    ขณะนี้ประเทศไทยต้องประสบกับวิกฤตทางเศรษฐกิจที่รุนแรง เช่น ปัจจุบัน และคาดว่าน่าจะใช้เวลาหลายปีกว่าจะฟื้นตัวเป็นปกติได้ หลังเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยอาจไม่ได้กลับไปทำงานที่เดิมอีก เพราะถูกเลิกจ้าง ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ลำบาก และสำคัญที่แต่ละคนต้องใช้กำลังใจอย่างสูง เพื่อมิให้เกิดความท้อแท้ ตั้งสติ แก้ไขปัญหาไปทีละเปลาะ ทีละขั้น ทีละตอน เพื่อที่จะนำนาวาชีวิตของตนเองและครอบครัวให้ฝ่าวิกฤตไปให้ได้

    ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้สังคมไทยเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีประโยชน์อย่างสูง ถ้าคนไทยนำไปถือปฏิบัติ การกินใช้อย่างประหยัด กินอยู่อย่างพอเพียง จะช่วยให้แต่ละคนดำเนินชีวิตรอดผ่านวิกฤตไปได้ และมีเวลาให้แก่กันและกันมากขึ้น ทั้งในครอบครัวและชุมชน

    ครอบครัวที่แข็งแรงจะช่วยให้ทุกคนฝ่าวิกฤตในชีวิตไปได้ ในอดีตคนในครอบครัวมีเวลาให้กันมาก มีความใกล้ชิดเข้าอกเข้าใจกันดี สิ่งยั่วยุจากภายนอกก็มีไม่มาก ทำให้ปัญหาครอบครัวและสังคมไม่รุนแรงมากนัก ต่างกับปัจจุบัน สถาบันครอบครัวอ่อนแอลง

    นอกจากนี้ สถาบันการศึกษาพัฒนาคนและสถาบันศาสนาที่เป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวทางใจของผู้คนในสังคมก็อ่อนแอลงเช่นกัน ทำให้ปัญหาครอบครัวและปัญหาสังคมรุนแรงกว่าในอดีต แนวทางแก้ไขปัญหาที่สำคัญ เร่งด่วน และเริ่มต้นได้เลย คือการทำครอบครัวให้แข็งแรง โดยการให้เวลาแก่กัน มีกิจกรรมร่วมกัน โดยไม่ต้องใช้เงินทองมากมาย

    อาทิ การออกกำลังกายในสวนสาธารณะ การจ่ายตลาด ทำกับข้าวร่วมกัน ทำความสะอาดบ้านร่วมกัน ทำบุญตักบาตรร่วมกัน การมีเวลาทำกิจกรรมร่วมกัน จะช่วยเพิ่มความใกล้ชิด ความสัมพันธ์ ความเข้าใจกันและโอกาสให้กำลังใจแก่กันและกัน

    นอกจากการให้เวลาแก่กันแล้ว สมาชิกครอบครัวก็ควรเพิ่มเติมความรู้ ความเขาใจทางด้านจิตวิทยาของคนวัยต่างๆ เพื่อจะช่วยให้การพูดคุยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันทำได้ดียิ่งขึ้น

    บางคนอาจจะคิดว่า เรื่องครอบครัวทำไมต้องศึกษาหาความรู้ด้วย เราก็เติบโตมาในครอบครัวเห็นมาตั้งแต่เด็ก ทำไมจะไม่รู้จักว่าควรจะทำตัวอย่างไร

    ในความเป็นจริงก็คือ ถ้าเราต้องการผลลัพธ์ของครอบครัวให้ออกมาดี บรรยากาศดี การมีความรู้ที่ถูกต้องจะช่วยให้การดูแลและแก้ไขปัญหาได้ดีกว่า เพราะครอบครัวแต่ละครอบครัว และแต่ละช่วงเวลาเป็นโจทย์คนละข้อ ต้องการวิธีการจัดการที่แตกต่างกัน

    ครอบครัวที่มีลูกเล็ก ครอบครัวที่มีลูกเป็นเด็กโต เด็กวัยรุ่น ครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ มีปัญหาสุขภาพ ปัญหาสมองเสื่อมหรือซึมเศร้า ก็ต้องการวิธีการดูแลที่แตกต่างกัน เด็กคือหน่อไม้อ่อนที่กำลังเติบโต หากดูแลให้ดีก็จะเป็นสมาชิกที่ดี มีคุณภาพของครอบครัวและสังคม ขณะที่พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย เป็นผู้สูงอายุ เป็นผู้มีพระคุณ การได้มีโอกาสแสดงความกตัญญูกตเวที ดูแลท่านให้มีความสุข ไม่ว้าเหว่ เหงาใจ ได้รับความอบอุ่นจากลูกหลานก็เป็นความงามอย่างหนึ่งของวัฒนธรรมไทยของเรา

    ที่จริงการดูแลเอาใจใส่ครอบครัวและผู้สูงอายุ ควรทำทุกวันไม่ใช่แต่เฉพาะช่วงสงกรานต์ แต่สำหรับใครที่อาจหลงลืมไปบ้างจะใช้โอกาสช่วงสงกรานต์ปีนี้เป็นจุดเริ่มต้นหันกลับมาเอาใจใส่ครอบครัวและผู้สูงอายุ ก็จะเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่ง เริ่มต้นลงมือปฏิบัติตั้งแต่บัดนี้ ก่อนที่จะเกิดความสูญเสียในครอบครัวที่สายเกินแก้หรือก่อนที่จะไม่มีโอกาสตอบแทนผู้มีพระคุณให้มีความสุขในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่

    ถ้าทุกคนปฏิบัติได้ เราคงจะได้เห็นครอบครัวไทย ชุมชนไทย และสังคมไทยที่แข็งแรง และมีแต่ความเข้าใจกันกลับคืนมาเช่นกันกับในอดีต
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กลิ่นอายไทยๆ "เครื่องดอกไม้พวงแขวน"
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01lad03130452&sectionid=0115&day=2009-04-13


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    ฉัตรเก้าชั้น


    </TD></TR></TBODY></TABLE>ร่วมสืบสานตำนานงานหัตถศิลป์โบราณอันทรงคุณค่าในประเทศไทย ห้างสรรพสินค้าเซนจึงจัดนิทรรศการ "เครื่องดอกไม้พวงแขวน" เพื่อความเป็นสิริมงคลต้อนรับสงกรานต์ ในงาน "เซน บีอิ้ง ไทย"

    นางนวลพรรณ โอสถานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ เล่าว่า เครื่องดอกไม้พวงแขวนชนิดต่างๆ เป็นสิ่งที่มีคุณค่า ควรแก่การชื่นชมและสนับสนุน จึงได้จัดนิทรรศการขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคล <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    ระย้าทรงเครื่อง


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สำหรับประวัติของงานหัตถศิลป์โบราณ ที่เรียกว่า "เครื่องดอกไม้พวงแขวน" ดั้งเดิมมีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่เมื่อเสียกรุงลงในครานั้น การช่างดอกไม้สดก็พลอยเสื่อมจนเกือบจะสาบสูญสิ้นไป เมื่อคนไทยจัดตั้งบ้านเมืองเป็นเอกราช สร้างกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานี ได้ฟื้นฟูศิลปวิทยาการต่างๆ โดยเจ้าคุณตานี ธิดาเจ้าพระยามหาเสนา (บุนนาค) เจ้าจอมในรัชกาลที่ 1 ช่างดอกไม้สดที่มีชื่อเสียงยิ่งในสมัยนั้น ได้ฝึกหัดและถ่ายทอดวิชาแก่ธิดาและนัดดาในกรมหมื่นสุรินทรรักษณ์เป็นช่างดอกไม้สดสืบมาจนถึงรัชกาลที่ 5 <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    พวงแก้ว


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ไปสัมผัสบรรยากาศแบบไทยๆ กันได้ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 27 เมษายน ณ ลานโปรโมชั่น ชั่น 1 ศูนย์สรรพสินค้าเซน
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อสายๆวันนี้ กุ้งมังกอน บุกมาที่ฐานทัพผมครับ

    มาสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 5 พระองค์ ,พระธาตุพระอรหันต์ ,พระธาตุพระอุปคุตเถระเจ้า ,พระธาตุหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด และพระธาตุสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีครับ

    มาไล่เลี่ยกันกับพี่ที่ทำงานผม

    มาบุกฐานทัพผม แล้วก็ได้พระสมเด็จ(top of the top) ,พระสมเด็จ (เนื้อปูนสอ) และพระสมเด็จ (เนื้อปัญจสิริ) แถมได้พระสมเด็จ (เนื้อปัญจสิริ) ยุคแรกไปด้วย

    .
     
  10. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ท่านกุ้งนี่ประมาทไม่ได้เลยนะครับ หุ หุ
     
  11. หม่อง

    หม่อง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2007
    โพสต์:
    363
    ค่าพลัง:
    +943
    ได้รับคำตอบแล้วครับผม ขอบพระคุณครับ
     
  12. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    วันนี้โทรไปได้คุยกับคุณลุงจิ๋ว เพื่อสอบถามอาการของท่านอาจารย์ปู่ประถม
    คุณลุงบอกว่าอาการต่อมลูกหมากโตของคุณปู่ดีขึ้นแล้ว ก็ทำให้รู้สึกดีใจ จึงนำมาโพส
    เพื่อแจ้งพี่ๆที่ได้ทราบอาการของคุณปู่ร่วมกัน ว่าอาการท่านบรรเทาขึ้นครับ
     
  13. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    ชวนสวดพาหุง 9จบ 3ทุ่มคืน12-14เม.ย.นี้ครับ
    เพื่อนบอกมา เพื่ออุทิศแด่พระสยามเทวาธิราชและศาลหลักเมืองครับ

    http://larndham.net/index.php?showtopic=33669&st=0
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ชวนกิน "ขนมหวานจีน" เย็นชื่นใจ
    http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000040482
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>13 เมษายน 2552 16:38 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เฉาก๊วย กินคลายร้อน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ขนมหวานจีนดั้งเดิม ถือเป็นอีกหนึ่งของจีนดับร้อนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะ“เฉาก๊วย”นั้นคนไทยคุ้นเคยกันดี เพราะสามารถหากินได้ทั่วไป นอกจากนี้ก็ยังมีขนมหวานจีนอีก 2 อย่าง ที่แม้ชื่ออาจจะไม่ค่อยคุ้นหูใครหลายๆคน แต่ว่ารสชาติความอร่อยนั้น ยากที่จะปฏิเสธยิ่งนัก

    ดับร้อน ผ่อนคลายกับ "เฉาก๊วย"

    "เฉาก๊วย" เป็นขนมที่ทำจาก "ต้นเฉาก๊วย" ซึ่งเป็นพืชชนิดหนึ่ง ตระกูลเดียวกันกับ ใบสะระแหน่ ,ใบกะเพรา,ใบโหระพา ในเมืองไทยหาต้นเฉาก๊วยดูได้ยาก เพราะสภาพอากาศและดินไม่เอื้อต่อการปลูก

    เฉาก๊วย มีสรรพคุณแก้ร้อนในกระหายน้ำ เหมาะกับสภาพภูมิอากาศร้อนแบบบ้านเราเป็นอย่างยิ่ง สำหรับร้านเฉาก๊วยเจ้าแรกที่จะพาไปรู้จัก คือ ร้าน"เฉาก๊วยดอนเมือง" ร้านนี้ตั้งอยู่หลังร้านเจ๊เล้ง ดอนเมือง 40/74-76 แขวงหลักสี่ เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ ร้านเปิดบริการตั้งแต่เวลา 09.00-19.00 น. สนใจติดต่อ โทร. 0-2565-2653, 0-2531-8081

    ตามติดอีกแห่งกับ "เฉาก๊วย คุณวี" ย่านบ่อนไก่ ที่มีจุดเด่น คือเหนียว นุ่ม หนุบ หนับแล้ว ยังจะมี พุทรา รากบัว แป๊ะก๊วย ถั่วแดง และลูกชิด เป็นเครื่องประกอบด้วย เพื่อสร้าง "หน้าตา" ให้ขนมน่าทานมากขึ้นไปอีก ร้านเปิดทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 10.00-15.00 น. โทร. 08-6569-4800

    ร่นเฉาก๊วยรถเข็นที่โดดเด่นอีกแห่งหนึ่งต้องยกให้ ร้าน "เฉาก๊วยเฮฮา" ตั้งอยู่ริมทางเท้าย่านสยามและมีสาชาตามห้างใหญ่ๆทั่วไป เฉาก๊วยที่นี่พิเศษตรงที่นอกจากเหนียมนุ่ม น้ำเชื่อมรสชาติยัง ไม่ซ้ำใคร เพราะเป็นสูตรแบบชาวจีนไหหลำ สนใจติดต่อ "เฉาก๊วย เฮฮา" โทร.08-7501-7766

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>บ๊วยเกี๊ยชวนกิน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เฉาก๊วยอีกร้านที่จะแนะนำให้รู้จักครั้งนี้ คือร้าน "อาคุงสูตรโบราณ"ร้านจะอยู่ระหว่างท่าพระจันทร์กับท่าช้าง ขายเต้าฮวยเป็นหลัก แต่ก็มีเมนูอื่นๆในเลือกหลายเมนู เช่น เฉาก๊วยปาท่องโก๋ เฉาก๊วยเต้าฮวย ร้าน"อาคุงสูตรโบราณ" เปิดทุกวัน เวลา 11.00-19.00 น. โทร. 08-1775-2540

    "บ๊วยเกี้ย-เช็งซิมอี๊" อร่อย ชื่นใจ

    ใครไม่อยากกินเฉาก๊วยก็ยังมีของหวานอย่างอื่นมาแนะนำอย่าง"บ๊วยเกี้ยสูตรไหหลำ เจ๊น้อย" ร้านเล็กๆที่ตั้งอยู่ใน ซ.เจริญกรุง 67 "โบ๊กเกี้ย" "โบ๊ะเกี๊ย" หรือ"บ๊วยเกี้ย" คือ ชื่อเรียกของขนมหวานชนิดหนึ่งของคนจีนไหหลำ เป็นขนมหวานที่หากินได้ยากในบ้านเรา

    เป็นการนำเอาแป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวเจ้ามาผสมกวนให้เข้ากัน แล้วก็ผสมกับแป้งมันอีกที นวดจนให้แป้งเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาปั้นด้วยมือทุกตัว ปั้นให้มีลักษณะเป็นตัวยาวๆ ปลายแหลมทั้ง 2 ข้าง แล้วนำไปต้มในน้ำเดือดให้ตัวบ๊วยเกี้ยสุกเป็นสีขาวใส

    เครื่องของบ๊วยเกี้ยร้านนี้ใส่หลายอย่าง ทั้งมันเชื่อม ถั่วแดงต้ม แปะก๊วยเม็ดนุ่มสีเหลือง และถั่วลิสงที่คั่วเองแบบสดใหม่ ร้าน"บ๊วยเกี้ยสูตรไหหลำ เจ๊น้อย" เปิดทุกวัน เวลา 12.00-22.00 น. โทร.0-2211-4812, 08-7823-1884

    อีกร้านที่ขายของหวานๆเย็นๆที่จะไม่เอ่ยถึงไม่ได้คือร้าน "เช็งซิมอี๊" ตรงถ.ตรอกจันทร์สะพาน 3 "เช็งซิมอี๊" มีความหมายว่า กินแล้วชื่นใจ สบายใจ ที่นี่มีเครื่องหวานเย็นมากมายกว่า 40 อย่าง "เช็งซิมอี๊"เปิดทุกวัน เวลา 12.00-24.00 น.โทร. 0-2212-4262, 08-9922-3180, 08-6090-1361

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันสงกรานต์

    http://hilight.kapook.com/view/35848

    [​IMG]


    วันสงกรานต์ (เดลินิวส์)

    ช่วงนี้ก็เข้าเทศกาลสงกรานต์กันแล้ว วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีความรู้เกี่ยวกับวันสงกรานต์มาบอก...

    สมัยโบราณถือวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ เนื่องจากประเทศที่อยู่ในแถบร้อนถือว่าช่วงเวลาเริ่มต้นฤดูร้อนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ด้วยการว่างจากการทำเกษตร อีกทั้งอากาศที่หนาวเย็นก็ผ่านพ้นไปแล้ว ในฤดูหนาวนั้นเป็นช่วงที่ทุกๆ อย่างนั้นหยุดนิ่งไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ก็หยุดผลิดอกออกผล สัตว์ทั้งหลาย ก็หยุดนิ่งนอนจำศีล ด้วยอากาศที่หนาวเย็นนั้นไม่สะดวกในการใช้ชีวิต หรือการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั่นเองความหมายของวันสงกรานต์

    คำว่า วันสงกรานต์ มาจากภาษาสันสกฤตแปลว่า ก้าวขึ้น หรือ ผ่าน เคลื่อนย้าย การเคลื่อนย้ายของพระอาทิตย์จากราศีหนึ่งเข้าไปอีกราศีหนึ่ง เช่น เคลื่อนจากราศีพฤษภไปสู่ราศีเมถุน อันเป็นเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นทุกเดือน เรียกว่าสงกรานต์เดือน ยกเว้นว่าพระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษเมื่อใดก็ตาม จะเรียกชื่อเป็นพิเศษว่า มหาสงกรานต์ อันหมายถึงการก้าวขึ้นครั้งใหญ่ซึ่งนับเป็นครั้งสำคัญ เพราะถือว่าวันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามคติพราหมณ์ โดยเป็นการนับทางสุริยคติ ตรงกับวันที่ 13-15 เมษายน ซึ่งแต่ละวันจะมีชื่อเรียกเฉพาะ ดังนี้

    วันที่ 13 เมษายน เรียกว่า วันมหาสงกรานต์ หมายถึงวันที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษอีกครั้ง หลังจากผ่านเข้าสู่ราศีเมษอีกครั้ง หลังจากผ่านเข้าสู่ราศีอื่นๆ จนครบ 12 เดือน

    วันที่ 14 เมษายน เรียกว่า วันเนา แปลว่า วันอยู่หมายถึงวันพระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษอันเป็นราศีตั้งต้นปี เข้าทางเรียบร้อย

    วันที่ 15 เมษายน เรียกว่า วันเถลิงศก ถือเป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ การกำหนดให้อยู่ในวันนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่าดวงอาทิตย์โคจรจากราศีมีนเข้าสู่ ราศีเมษแล้วอย่าง 1 องศา

    ทั้งสามวันนี้ ถ้าหากตามประกาศสงกรานต์ และการคำนวณตามหลักโหราศาสตร์จริงๆ ก็จะมีการคลาดเคลื่อนไม่ตรงกันบ้าง เช่น วันมหาสงกรานต์ อาจจะเป็นวันที่ 14 เมษายน แทนที่จะเป็นวันที่ 13 เมษายน แต่เพื่อให้จดจำได้ง่าย จึงกำหนดเรียกตามที่กล่าวข้างต้น

    สงกรานต์ปีนี้ ก็ขอให้ผู้อ่านทุกท่านเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน แต่ก็อย่าลืมระมัดระวังความปลอดภัยกันด้วย








    ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์
    [​IMG]
    ภาพประกอบโดย glitter.kapook.com


    -----------------------------------------------------------

    ตำนานนางสงกรานต์

    http://hilight.kapook.com/view/21050

    [​IMG]
    ตามจารึกที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กล่าวตามพระบาลีฝ่ายรามัญว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเศรษฐีคนหนึ่งรวยทรัพย์แต่อาภัพบุตร ตั้งบ้านอยู่ใกล้กับนักเลงสุราที่มีบุตรสองคน วันหนึ่งนักเลงสุราต่อว่าเศรษฐีจนกระทั่งเศรษฐีน้อยใจ จึงได้บวงสรวงพระอาทิตย์ พระจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐานอยู่กว่าสามปีก็ไร้วี่แววที่จะมีบุตร ​

    อยู่มาวันหนึ่งพอถึงช่วงที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ เศรษฐีได้พาบริวารไปยังต้นไทรริมน้ำ พอถึงก็ได้เอาข้าวสารลงล้างในน้ำเจ็ดครั้ง แล้วหุงบูชาอธิษฐานขอบุตรกับรุกขเทวดาในต้นไทรนั้น รุกขเทวดาเห็นใจเศรษฐีจึงเหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ไม่ช้าพระอินทร์ก็มีเมตตาประทานให้เทพบุตรองค์หนึ่งนาม "ธรรมบาล" ลงไปปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี ไม่ช้าก็คลอดออกมา เศรษฐีตั้งชื่อให้กุมารน้อยนี้ว่า ธรรมบาลกุมาร และได้ปลูกปราสาทไว้ใต้ต้นไทรให้กุมารนี้อยู่อาศัย

    ต่อมาเมื่อธรรมบาลกุมารโตขึ้นก็ได้เรียนรู้ซึ่งภาษานก และเรียนไตรเภทจบเมื่ออายุได้เจ็ดขวบ เขาได้เป็นอาจารย์บอกมงคลต่างๆ แก่คนทั้งหลาย อยู่มาวันหนึ่งท้าวกบิลพรหมได้ลงมาถามปัญหากับธรรมบาลกุมาร 3 ข้อ ถ้าธรรมบาลกุมารตอบได้ก็จะตัดเศียรบูชา แต่ถ้าตอบไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย ท้าวกบิลพรหมถามธรรมบาลกุมารว่า ตอนเช้าศรีอยู่ที่ไหน ตอนเที่ยงศรีอยู่ที่ไหน และตอนค่ำศรีอยู่ที่ไหน ทันใดนั้นธรรมบาลกุมารจึงขอผัดผ่อนกับท้าวกบิลพรหมเป็นเวลา 7 วัน ​

    ทางธรรมบาลกุมารก็พยายามคิดค้นหาคำตอบ ล่วงเข้าวันที่ 6 ธรรมบาลกุมารก็ลงจากปราสาทมานอนอยู่ใต้ต้นตาล เขาคิดว่าขอตายในที่ลับยังดีกว่าไปตายด้วยอาญาท้าวกบิลพรหม บังเอิญบนต้นไม้มีนกอินทรี 2 ตัว ผัวเมียเกาะทำรังอยู่ นางนกอินทรีถามสามีว่าพรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารแห่งใด สามีตอบนางนกว่าเราจะไปกินศพธรรมบาลกุมาร ซึ่งท้าวกบิลพรหมจะฆ่าเสียด้วยแก้ปัญหาไม่ได้ นางนกจึงถามว่าคำถามที่ท้าวกบิลพรหมถามคืออะไร สามีก็เล่าให้ฟัง ซึ่งนางนกก็ไม่สามารถตอบได้ สามีจึงเฉลยว่า ตอนเช้าศรีจะอยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุกๆ เช้า ตอนเที่ยงศรีจะอยู่ที่อก คนจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก ส่วนตอนเย็นศรีจะอยู่ที่เท้า คนจึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน ธรรมบาลกุมารก็ได้ทราบเรื่องที่นกอินทรีคุยกันตลอด จึงจดจำไว้ ​

    ครั้นรุ่งขึ้นท้าวกบิลพรหมก็มาตามสัญญาที่ให้ไว้ทุกประการ ธรรมบาลกุมารจึงนำคำตอบที่ได้ยินจากนกไปตอบกับท้าวกบิลพรหม ท้าวกบิลพรหมจึงตรัสเรียกธิดาทั้งเจ็ดอันเป็นบาทบาจาริกาพระอินทร์มาประชุมพร้อมกัน แล้วบอกว่าเราจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร ถ้าจะตั้งไว้ยังแผ่นดินไฟก็จะไหม้โลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศฝนก็จะแล้ง ถ้าจะทิ้งในมหาสมุทรน้ำก็จะแห้ง จึงให้ธิดาทั้งเจ็ดนำพานมารองรับแล้วก็ตัดเศียรให้นางทุงษะ ผู้เป็นธิดาองค์โต จากนั้นนางทุงษะก็อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมเวียนขวารอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วเก็บรักษาไว้ในถ้ำคันธุลี ในเขาไกรลาศ

    จากนั้นมาทุกๆ 1 ปี ธิดาของท้าวกบิลพรหมทั้ง 7 ก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาทำหน้าที่อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมแห่ไปรอบเขาพระสุเมรุ เป็นเวลา 60 นาที แล้วประดิษฐานตามเดิม ​

    ในแต่ละปีนางสงกรานต์แต่ละนางจะทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันตามวันมหาสงกรานต์ ดังนี้
    [​IMG] ถ้าวันอาทิตย์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม ทุงษะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราช ภักษาหารอุทุมพร (ผลมะเดื่อ) พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จมาบนหลังครุฑ ​

    [​IMG] ถ้าวันจันทร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม โคราคะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้วมุกดา ภักษาหารเตลัง (น้ำมัน) พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังพยัคฆ์ (เสือ) ​

    [​IMG] ถ้าวันอังคารเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม รากษสเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกบัวหลวง อาภรณ์แก้วโมรา ภักษาหารโลหิต พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จมาบนหลังวราหะ (หมู) ​

    [​IMG] ถ้าวันพุธเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม มณฑาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจำปา อาภรณ์แก้วไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย พระหัตถ์ขวาทรงเข็ม พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังคัทรภะ (ลา) ​

    [​IMG] ถ้าวันพฤหัสบดีเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กิริณีเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่วงา พระหัตถ์ขวาทรงขอช้าง พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จมาบนหลังคชสาร (ช้าง) ​

    [​IMG] ถ้าวันศุกร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กิมิทาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จมาบนหลังมหิงสา (ควาย) ​

    [​IMG] ถ้าวันเสาร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม มโหธรเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทรายพระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จมาบนหลังมยุรา (นกยูง) ​

    สำหรับความเชื่อทางล้านนานั้นจะมีว่า...

    [​IMG] วันอาทิตย์ ชื่อ นางแพงศรี ​

    [​IMG] วันจันทร์ ชื่อ นางมโนรา ​

    [​IMG] วันอังคาร ชื่อ นางรากษสเทวี ​

    [​IMG] วันพุธ ชื่อ นางมันทะ ​

    [​IMG] วันพฤหัส ชื่อ นางัญญาเทพ ​

    [​IMG] วันศุกร์ ชื่อ นางริญโท ​

    [​IMG] วันเสาร์ ชื่อ นางสามาเทวี ​




    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เว็บคลังปัญญาไทย
    [​IMG]
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แม่แมว สอน ลูกหมา จับหนู

    http://hilight.kapook.com/view/35855


    [​IMG]

    แม่แมวสอนลูกหมาจับหนู (ไทยรัฐ)

    นังเหมียวตัวหนึ่งในจีนสร้างความน่าทึ่ง เมื่อมันรับเอาลูกสุนัขกำพร้าเป็นลูกบุญธรรมด้วยรักและเอ็นดู แถมสอนกลวิธีไล่ล่าจับหนูให้อีกต่างหาก

    น.ส.เสิ่น บอกเครือข่ายข่าวยาซิน เนตเวิร์ก ว่า เธอเลี้ยงสัตว์เพศเมียไว้สองตัว สุนัขชื่อ "เหมา เหมา" กับแมวชื่อ "ทอม" เติบโตมาด้วยกันเป็นสหายซี้กัน สัตว์เลี้ยงทั้งสองตั้งท้อง ทอมตกลูกสามตัว ส่วนนังตูบ เหมา เหมา เสียชีวิตหลังคลอดลูกสองตัวเมื่อเดือนก่อน​

    "ทีแรกเราไม่กล้าเอาลูกสุนัขใส่ตะกร้าที่ ทอมกับลูกนอน เพียงแค่จัดเบาะให้สองโฮ่งน้อยอยู่ข้างๆตะกร้า โดยไม่มีใครคาดคิด...ลูกสุนัขตะเกียกตะกายคลานเข้าตะกร้าและแย่งดูดดื่มกินนมจากเต้าแม่ทอมกับลูกเหมียวน้อย ปรากฏว่าทอมให้ลูกหมาดูดนมและช่วยเลียทำความสะอาดขนลูกหมาอย่างทะนุถนอม ทุกบ่อยทอมให้ลูกหมากินนมก่อนลูกตัว" อาหมวยเสิ่นเล่า

    หมวยสาวงามชาวเมืองอุรุมชีบอกว่า น่าอัศจรรย์ ยิ่งกว่านั้นคือ ทุกๆวันทอมจะเพียรฝึกฝน "กลยุทธ์จับหนู" ให้ตูบน้อย สอนกระโดดขึ้นโซฟา แอบซุ่มโป่งตรงมุมห้อง พอลูกหมาผ่านมาก็กระโจนเข้าตะครุบ (เบาๆ)​

    แต่น่าเสียดาย...ลูกศิษย์มิอาจทำตามครูได้ เพราะผิดธรรมชาติสัตว์เล็บงาม อย่างเก่ง ก็แค่กัดแทะโซฟาเล่นเท่านั้น​


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทยรัฐ
    [​IMG]
    โดย : ดอย ดอกฝิ่น
    ภาพประกอบจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ (ไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล)​
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อย่ามัวแต่รำกันอยู่เลย คนที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมา ให้เก่งๆหน่อย ไปเจอกันที่วัดพระแก้วได้ทันที

    ผมจะเตรียมพระวังหน้า ที่แก๊งบัวใต้น้ำบอกว่าเป็นพระเก๊ มือผีให้พอกับจำนวนคนที่จะไป

    แล้วก็กล้าๆไปหน่อย

    บุคคลใช้ชื่อในเว็บไซด์พลังจิตชื่อ sithiphong กับบุคคลใช้ชื่อในเว็บพลังจิตชื่อ.... ขอตั้งจิต,ตั้งสัจจะและสาบานต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ ,เทพเทวาทั้ง 16 ชั้นฟ้า และพยามัจจุราชเจ้า ว่า " พระพิมพ์และหรือวัตถุมงคลต่างๆที่บุคคลในเว็บพลังจิตชื่อsithiphong นำมามอบให้กับผู้ที่ทำบุญร่วมกับบุคคลในเว็บพลังจิตชื่อsithiphong เป็นพระกรุวังหน้า(กรุวัดพระแก้ว กรุงเทพฯ) จริงและหรือแท้ และหรือบางรุ่นที่สร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ.2428 หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) อธิษฐานจิต และหรือบางรุ่นที่สร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ.2415 สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิต และหรือสร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ.2428 " ขอให้บุคคลใช้ชื่อในเว็บไซด์พลังจิตชื่อ sithiphong จงประสบกับความสำเร็จตลอดกาล และขอให้บุคคลใช้ชื่อในเว็บไซด์พลังจิตชื่อ.... จงประสบกับความวิบัติตลอดกาลและต่อไปถ้ายังคงเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ ขอให้เกิดในยุคที่ไม่มีพระพุทธศาสนาและเป็นยุคที่มีภัยภิบัติตลอดกาล แต่ถ้า" พระพิมพ์และหรือวัตถุมงคลต่างๆที่บุคคลในเว็บพลังจิตชื่อsithiphong นำมามอบให้กับผู้ที่ทำบุญร่วมกับบุคคลในเว็บพลังจิตชื่อsithiphong เป็นพระกรุวังหน้า(กรุวัดพระแก้ว กรุงเทพฯ) ไม่จริงและหรือเก๊ " ขอให้บุคคลใช้ชื่อในเว็บไซด์พลังจิตชื่อ sithiphong จงประสบกับความวิบัติตลอดกาลและต่อไปถ้ายังคงเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ ขอให้เกิดในยุคที่ไม่มีพระพุทธศาสนาและเป็นยุคที่มีภัยภิบัติตลอดกาล และขอให้บุคคลใช้ชื่อในเว็บไซด์พลังจิตชื่อ.... จงประสบกับความสำเร็จตลอดกาล การตั้งจิต ,ตั้งสัจจะและสาบานในครั้งนี้ ขอให้ผลเกิดโดยเร็วที่สุดและผลเกิดโดยฉับพลันทันใด การถอนคำที่ตั้งจิต,ตั้งสัจจะและสาบานดังกล่าวนี้ ต้องให้อีกฝ่ายยินยอมให้ถอนคำที่ตั้งจิต,ตั้งสัจจะและสาบานนี้ จึงจะมีผลในการถอนคำที่ตั้งจิต,ตั้งสัจจะและสาบาน แต่หากอีกฝ่ายไม่ยินยอมให้ถอนคำที่ตั้งจิต,ตั้งสัจจะและสาบาน ก็ให้มีผลตลอดกาล และทุกๆคนไม่มีเวรกรรมและไม่เป็นเจ้ากรรมนายเวรซึ่งกันและกันตลอดไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2009
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กล้าๆหน่อย ให้เร็วไวด้วย

    หากได้รับการอบรมสั่งสอนมา นัดได้เลย ไปเจอกันที่วัดพระแก้ว แล้วผมจะนำพระวังหน้า(ของแท้ๆ) ไปวางไว้ด้านหน้าแล้วสาบานกัน ตามคำสาบานด้านบน เมื่อสาบานเรียบร้อยแล้ว ก็ไปที่ท่าช้าง หรือท่าพระอาทิตย์ หรือท่าพระจันทร์ แล้วไปหักพระ แล้วเตะทิ้งลงน้ำ

    เรื่องอื่นๆเช่น เรื่องมาตรฐาน หรืออื่นๆไว้คุยกันทีหลัง ไปสาบานกันก่อน แต่ถ้าไม่กล้าไปสาบาน ก็เข้าใจได้ว่า คนที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนมา มันก็เป็นเช่นนี้เอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2009
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

แชร์หน้านี้

Loading...