พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เริ่มต้นด้วย"การสังเกต"
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01fun03120452&sectionid=0140&day=2009-04-12

    คอลัมน์ แทงก์ความคิด

    โดย นฤตย์ เสกธีระ max@matichon.co.th



    ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ไทย

    วันสงกรานต์...ครับ

    เทศกาลสงกรานต์มีตำนานเล่าขานว่า กาลครั้งหนึ่งมีเศรษฐีคนหนึ่ง รวยแต่ไม่มีลูก

    เศรษฐีคนนี้อาศัยอยู่ข้างบ้านยาจก

    ยาจกคนนี้ ปากเสีย ชอบพูดจาดูถูกเศรษฐีเรื่องไม่มีลูกอยู่บ่อยๆ

    กระทั่งท่านเศรษฐีรู้สึกมีปมด้อย จึงทำพิธีบวงสรวงขอลูกจากพระผู้เป็นเจ้า

    จนในที่สุด พระอินทร์ส่ง "ธรรมบาลกุมารเทวบุตร" จุติลงมาเกิดเป็นลูกท่านเศรษฐี

    ธรรมบาลกุมารพอเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นเด็กฉลาด เรียนวิชาอาคมครบถ้วน

    แม้แต่ภาษานกก็สามารถฟังรู้เรื่อง !

    ชื่อเสียงของธรรมบาลกุมารดังกระฉ่อน จนท้าวกบิลพรหมต้องการลองของ

    ท้าวกบิลพรหมเสด็จลงมาเยือนโลกมนุษย์ แล้วตั้งคำถาม 3 ข้อถามธรรมบาลกุมาร

    พร้อมทั้งวางเดิมพัน

    ถ้าธรรมบาลกุมารสามารถตอบคำถามทั้ง 3 ข้อได้ภายใน 7 วัน

    ท้าวกบิลพรหมจะตัดเศียรบูชาธรรมบาล

    แต่ถ้าไม่สามารถตอบคำถามได้

    ธรรมบาลต้องบั่นศีรษะตัวเองออกมา

    ธรรมบาลกุมารรับคำท้า แต่คิดอย่างไร คิดอย่างไร ก็หาคำตอบไม่ได้

    กระทั่งวันสุดท้าย

    บังเอิญที่ธรรมบาลกุมารได้ยิน "นก" พูดจากัน

    และเฉลยคำตอบทั้ง 3 ข้อ จนธรรมบาลกุมารสามารถนำคำเฉลยไปตอบคำถามท้าวกบิลพรหมได้

    เมื่อธรรมบาลกุมารสามารถตอบคำถามได้ ท่านท้าวฯก็ต้องทำตามสัญญา

    แต่มาติดปัญหาตรงที่ เศียรของท่านท้าวฯเมื่อหลุดจากร่างแล้วห้ามให้ไปตกอยู่ในที่ใด

    หากตกถึงพื้นดิน โลกก็จะลุกเป็นไฟ

    หากตกลงในน้ำ น้ำก็จะแห้งเหือดหมดโลก

    หากโยนขึ้นในอากาศ ฝนก็จะไม่ตกต้องตามฤดูกาล

    ที่สุด ท้าวกบิลพรหมได้เรียกลูกสาวของตัวเองมาหารือ

    แล้วบอกว่าหลังจากตัดเศียรออกแล้ว ให้ลูกสาวเอาพานมาคอยรองรับ

    จากนั้นให้นำไปแห่รอบเขาพระสุเมรุก่อนจะเอาไปเก็บไว้ในถ้ำ

    และให้ทำเช่นเดียวกันนี้ทุกๆ เดือนเมษายนของทุกปี

    เทศกาลสงกรานต์จึงมีกันในเดือนเมษายน

    ขณะเดียวกันลูกสาวของท่านท้าวฯมีด้วยกัน 7 คน

    เราจึงมีนางสงกรานต์รวม 7 คนกันไงครับ

    ฟังตำนานเรื่องเทศกาลสงกรานต์แล้วรู้สึกสนุกดีไหม

    ทีแรกนึกว่าธรรมบาลกุมารจะโชคร้าย แต่บังเอิญที่มี "นก" เป็นตัวช่วย

    ทำให้รอดชีวิตมาได้

    ฟังแล้วน่าอิจฉาธรรมบาลกุมารที่มีวิชาฟังภาษานก

    ส่วนพวกเรามนุษย์นอกตำนาน ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ไม่มีทางฟังภาษานกได้รู้เรื่อง

    แต่แม้จะฟังภาษานกไม่ได้ มนุษย์ก็มีความสามารถทางอื่น ที่ทำให้รับรู้ "ข้อมูลข่าวสาร" จากสิ่งที่มนุษย์ฟังไม่รู้เรื่อง

    พวกเราเรียกความสามารถดังกล่าวว่า "การสังเกต" ครับ

    มนุษย์โลกคนใดรู้จักสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัวจนค้นพบ "ข้อมูลข่าวสาร" จากธรรมชาติ

    มนุษย์ผู้นั้นก็มีโอกาสรุ่งเรืองละครับ

    อย่าง "ไอแซก นิวตัน" สังเกตเห็น ผลแอปเปิ้ลหล่นลงมาจากต้น แล้วสงสัยว่า สิ่งที่ทำให้ผลแอปเปิ้ลหล่นลงมา น่าจะเป็นสิ่งเดียวกันกับสิ่งที่ทำให้พระจันทร์อยู่ใกล้โลก

    จนในที่สุดเขาก็ค้นพบ แรงโน้มถ่วงของโลก

    หรืออย่าง "ชาลส์ ดาร์วิน" แพทย์ผู้เดินทางไปถึงเกาะกาลาปากอส สังเกตสัตว์และพืชบนเกาะแห่งนั้น จนกระทั่งสรุปเป็นทฤษฎี

    เรียกว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการ

    อธิบายความเป็นมาของมนุษย์ สัตว์ และพืชบนโลกใบนี้ได้อย่างน่าทึ่ง

    นอกจากนักวิทยาศาสตร์ทั้ง 2 ท่านนี้แล้ว ยังมีปรากฏการณ์อื่นๆ ในโลกอีกมากที่เกิดขึ้นจากการสังเกต

    ไม่ว่าจะเป็นการกำเนิดเครื่องจักรไอน้ำ การรู้จักกระแสไฟฟ้า และอื่นๆ อีกมากมาย

    ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากการสังเกตทั้งนั้น

    จนอาจเรียกได้ว่า การสังเกตเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา

    ดังนั้น ใครที่อยากเริ่มต้นในการพัฒนา ไม่ว่าจะพัฒนาองค์กร พัฒนาผู้อื่น หรือพัฒนาตัวเอง

    ลองหันมาใช้วิธีการสังเกตเป็นจุดเริ่มต้นก็ไม่เลวนะครับ

    เพราะสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวเรา สามารถให้ "ข้อมูลข่าวสาร" สำคัญๆ เพื่อการพัฒนาแก่เราได้

    อย่างน้อยที่สุด การเฝ้าสังเกตบุคคลที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน เปรียบเทียบกับบุคคลที่ทำงานล้มเหลว

    ก็ทำให้เราพบเหตุปัจจัยแห่งความสำเร็จและล้มเหลว

    อย่างน้อยที่สุด การเฝ้าสังเกตบุคคลที่มีความสุขในชีวิต เปรียบเทียบกับบุคคลที่มีความทุกข์

    ย่อมทำให้เรามองเห็นเหตุปัจจัยแห่งความสุขและความทุกข์นั้น

    คนเราเมื่อมีรู้เหตุปัจจัยแห่งความสำเร็จ

    รู้เหตุปัจจัยแห่งความสุข

    เราก็เริ่มมี "วิธีทำ" สำหรับชีวิต

    คนที่พบ "วิธีทำ" เพื่อนำไปสู่เป้าหมาย ย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิต

    ดังนั้น ใครที่อยากใช้เทศกาลสงกรานต์ ปีใหม่ไทย เป็นจุดเริ่มต้นเพื่อพัฒนาชีวิต

    ลองเริ่มต้นด้วย "การสังเกต" ดูสิครับ...อาจจะช่วยท่านได้

    สวัสดี
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเลือกซื้อระบบกันขโมย
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=72425&NewsType=2&Template=1

    <TABLE style="WIDTH: 480px"><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD><TD vAlign=top>วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีการเลือกซื้อระบบกันขโมยมาฝาก...
    1. สำหรับในประเทศไทย ควรเลือกซื้อรุ่นที่มีราคาตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป
    2. เลือกเครื่องกันขโมย รุ่นที่ ไฟสำรองหมดแล้ว คีย์โค้ด ที่ได้ ลงทะเบียนไว้กับตัวเครื่องแล้วไม่หาย ไม่งั้นพอมีปัญหาที เรื่องใหญ่เลย
    3. เลือกอุปกรณ์กันขโมย ที่ใช้ Lithium battery อย่าไปหลงเชื่อยี่ห้อที่ใช้แล้วบอกว่า ระบบประหยัดพลังงานชนิดพิเศษ……ทำให้มีอายุแบตยาวนานถึง…เด็ดขาด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของแบต, ความถี่ของการใช้ ซึ่งเอาจริง ๆ จาก 1-2 ปี ที่บอกไว้ ก็ใช้ได้น้อยกว่า 1 ปีทุกที
    4. สำหรับบ้าน 2 ชั้น หรือมีคนอยู่เยอะ ให้เลือกยี่ห้อที่มี wireless keypad ไว้ด้วย เพราะไม่อย่างนั้น รีโมทหายขึ้นมาที เป็นเรื่องแน่ ๆ สำหรับคนที่ไม่รู้ keypad คืออุปกรณ์ต่อพ่วงเครื่องกันขโมย (ทำหน้าที่เหมือนเป็น รีโมทควบคุมปกติ แต่จะติดกับผนัง) ทำหน้าที่ สำหรับเปิด-ปิด ระบบ ส่วนใหญ่จะเป็นแบบ 1 ทาง คือใช้ส่งข้อมูลอย่างเดียว สำหรับรุ่นที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาหน่อยก็จะเป็นชนิด 2 ทาง คือเป็นทั้งเครื่องรับ-ส่ง สัญญาณ โดยเราจะสามารถตรวจสถานะภาพของเครื่องกันขโมย ผ่าน keypad ได้
    5. บ้านที่เลี้ยงน้องหมา ก็ให้เลือก PIR รุ่นที่สามารถ bypass สัญญาณสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆได้ หรือเรียกง่าย ๆว่าไม่จับสัตว์เลี้ยง แต่ก็ไม่ควรเลือกรุ่นที่ไม่ตรวจจับสัตว์ที่มีน้ำหนักมาก ๆ ด้วยเช่นกัน
    ใครกำลังมองหาเลือกซื้อระบบกันขโมย ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE height=34 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-LEFT: 10px">
    ลักษณะกบฏศึก

    http://www.thairath.co.th/news.php?section=specialsunday03&content=132454

    [12 เม.ย. 52 - 16:16]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=left border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    บันทึกเรื่องการปกครองของไทยสมัยอยุธยา และต้นรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเรียบเรียงจากคำสอนของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช พ.ศ.2516 <O:p</O:p
    <O:p

    สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อัญเชิญมาจัดพิมพ์เป็นหนังสือ เมื่อ พ.ศ.2549... ความตอนหนึ่ง กล่าวถึงกฎในการรบพุ่ง...ว่า<O:p</O:p
    <O:p
    ในแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ แม้อยู่ในระยะการสงคราม และไทยเป็นฝ่ายแพ้ ก็ยังมีการเคารพกันในด้านการทูต ข้าศึกยังมีการถวายพระเกียรติ ปลูกพลับพลานั่งที่เสมอกัน<O:p</O:p
    <O:p
    ตอนสมัยสมเด็จพระมหินทราธิราช พม่าก็ได้เชิญเสด็จไปอย่างไม่หมิ่นพระเกียรติ<O:p</O:p
    <O:p
    มีการรักษาวินัยอย่างรุนแรง ตามกฎหมายลักษณะกบฏศึก ซึ่งใช้ในระหว่างไม่มีศึกด้วย <O:p</O:p
    <O:p
    การพยายามทรยศต่อกษัตริย์ ทั้งกายวาจาใจ การนำสายลับ (ข้าศึก) เข้าประเทศ การเอาระเบียบต่างๆไปบอกข้าศึก การให้เสบียงแก่ข้าศึก เมื่อทราบว่าผู้อื่นทำผิดกฎหมายแล้วไม่ไปแจ้ง<O:p</O:p
    <O:p
    ความผิดเหล่านี้ แม้ไม่ได้เกิดขึ้นในยามสงคราม มีโทษถึงตายทั้งสิ้น
    <O:p
    เมื่อถึงยามสงคราม มีทัพศึกจริงๆ ก็มีกฎที่ต้องรักษาอย่างเคร่งครัด <O:p</O:p
    <O:p
    หัวเมืองใดถูกข้าศึกตี ให้เจ้าเมืองพยายามรักษาบ้านเมืองไว้ให้มั่น ถ้ารักษาเมืองไว้ได้ จึงจะมีความดีความชอบ ถ้ารักษาเมืองไว้ไม่ได้ โทษถึงตาย ถ้ารักษาเมืองไว้ไม่ได้ แต่ได้พยายามเตรียมสู้และสู้จนสุดความสามารถ ไม่ถือว่าผิด<O:p</O:p
    <O:p
    ถ้าแม่ทัพไปราชการ ไม่มารบเมื่อถึงคราวศึก ถ้าศึกมาแล้วหนีเข้าด้วยกับข้าศึก โทษถึงตาย หนีข้าศึกในสนาม โทษถึงตาย เมื่อเข้าสู้กับข้าศึก ถ้าทหารช้างไม่เอาช้างตามผู้บังคับบัญชาให้ทัน โทษถึงตาย ปล่อยให้ข้าศึกเอาช้างม้าไปได้ โทษถึงตาย <O:p</O:p
    <O:p
    หลับยาม โทษถึงตาย ลักกระสุนดินของหลวง โทษถึงตาย ฯลฯ<O:p</O:p
    <O:p

    แม้มีโทษหนักมากมายถึงเพียงนี้ แต่ถ้าทำสงครามชนะบำเหน็จก็มาก การเลื่อนยศตำแหน่งก็มาก พลทหารได้เป็นนายทหารอยู่บ่อยๆ คือได้เป็น ขุน หลวง พระ ฯลฯ โดยไม่ได้คำนึงถึงชาติตระกูล แต่ถือฝีมือเป็นสำคัญ...<O:p</O:p
    <O:p
    ในภายหลัง การทหารเสื่อมโทรมลงไปมาก ฝรั่งจดไว้ว่า ในตอนปลายกรุงศรีอยุธยา กรมในอาสา 6 เหล่า มีทหารไม่ถึง 100 คน ต้องเกณฑ์ทหารหัวเมือง ซึ่งไม่เคยรบพุ่งมาสมทบ อาวุธก็ลดน้อยลงไป ทหาร 4-5 คน ใช้ปืนกระบอกเดียว ทั้งกองทัพมีปืนอยู่เพียง 5-6 กระบอก<O:p</O:p
    <O:p
    เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะสาเหตุหลายประการ <O:p</O:p
    <O:p
    ในสมัยหลังบ้านเมืองว่างจากศึกสงคราม อาวุธก็ไม่เป็นสิ่งจำเป็น ต้องการแต่เงินเก็บค่ารับราชการแทนตัว ไม่ไว้ใจกันเอง จึงไม่ให้ใครคุมทหาร (ตั้งแต่หลังสมเด็จพระเพทราชา)<O:p</O:p
    <O:p
    เสบียงอาหารขาดแคลน สมัยปลายกรุงศรีอยุธยา เสบียงจ่ายไม่พอ ดังนั้น เมื่อจะยกไปไหนนอกจากนายทหารพลทหาร ยังมีขบวนซึ่งไม่เกี่ยวกับทหารไปตามมากมาย มีลูกเมียพ่อค้าแม่ค้าตามไปขายของ ตั้งร้านไปตลอดทาง
    <O:p
    คนดีๆถูกฆ่าตายไปมาก เพราะแย่งอำนาจและสงสัยกัน <O:p</O:p
    <O:p

    คนที่เหลือ ที่ดีก็กลัวไม่กล้าแสดงตัว<O:p</O:p
    <O:p

    ระบบราชการตอนปลายกรุงศรีอยุธยา มีเรื่องจุกจิกมาก มีการปันส่วนกระสุนดินดำ การยิงปืนใหญ่นั้นจะต้องได้รับอนุญาต<O:p</O:p
    <O:p
    ระบบภาษีอากรกดขี่ราษฎรเดือดร้อน จนไม่เห็นประโยชน์ของผู้ปกครอง ลักษณะเช่นนี้ มีในประเทศที่เสื่อมโทรมต่างๆ เช่น เมื่ออังกฤษตีเมืองพม่าได้แล้ว จับพระเจ้าสีป่อลงเรือไป ชาวบ้านที่ยืนดูก็แสดงอาการเฉยๆ<O:p</O:p
    <O:p
    ความเชื่อถือวิทยาอาคม ทำให้การสงครามยุทธวิธีวิปลาสคลาดเคลื่อน ตำราพิชัยสงครามของสมเด็จพระนเรศวร มีการต่อเติมไปในทางด้านวิทยาคมเสียหมด<O:p</O:p
    <O:p
    และความรู้สึก เชื่อเจ้าเข้าผีว่า สามารถป้องกันกรุงได้ เชื่อว่ากรุงศรีอยุธยาไม่มีวันมีใครมาตีแตกได้.<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    O บาราย O<O:p</O:p


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  4. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    ทุกวันนี้เรื่องนี้ถูกหยิบขึ้นมาพูดกันบ่อยมาก ก็หวังว่าคนไทยทั้งหลายจะหันหน้ามาสามัคคีกันเสียทีครับ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การงานไม่อากูล
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01bud01120452&sectionid=0121&day=2009-04-12

    คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ

    โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>สูตรสำเร็จในชีวิตที่ผมจะกล่าวในอาทิตย์นี้คือ การงานไม่อากูลครับ คำนี้เป็นคำพระแท้ๆ ชาวบ้านฟังไม่รู้เรื่องแน่ถ้าไม่อธิบาย การงานไม่อากูลก็คือการทำงานมิให้คั่งค้างนั่นแหละครับ

    คนที่จะเจริญก้าวหน้าประสบความสำเร็จในชีวิตนอกจากจะเลือกคบคนดี มีการศึกษาเล่าเรียนดี มีระเบียบวินัย ยกย่องคนควรยกย่อง ตลอดถึงปฏิบัติต่อลูกเมียดีแล้ว ยังขึ้นอยู่กับเงื่อนไขปัจจัยอีกข้อหนึ่งคือ การทำงาน

    ผู้รู้ท่านหนึ่งเปรียบการทำงานดุจคนขับรถ รถมันจะใหม่เอี่ยมเครื่องเคราดี ยี่ห้อโก้เก๋ทันสมัยอย่างไร ถ้าคนไม่ขับเคลื่อนที่ มันก็เศษเหล็กธรรมดา ไม่ต่างจากขอนไม้ท่อนหนึ่งนั่นเอง

    นั่งบนขอนไม้กับนั่งในรถหรูคันนั้น ได้ผลเท่ากันคือไปไม่ถึงที่หมาย

    การที่จะไปถึงที่หมายได้ ก็ต้องสตาร์ตเครื่องแล้วก็ขับไป ฉันใดก็ฉันนั้น คนเราเกิดมาแล้วนั่งนอนอยู่เฉยๆ งานการไม่ทำ นอกจากจะไม่เจริญแล้ว จะพาลเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตเอา เพราะฉะนั้น อยากเจริญต้องทำงานและทำงานให้มีประสิทธิภาพ มิใช่สักแต่ว่าทำ

    วิธีการทำงานมีอยู่ 2 แบบ คือ ทำแบบมงคลกับทำแบบอัปมงคล ทำแบบมงคล คือทำแล้วเจริญ มีหลักอยู่สั้นๆ 3 หลัก คือ ทำดี - ทำเต็มที่ - ทำให้เสร็จ ทำแบบอัปมงคลมีหลักสั้นเหมือนกันคือ ทำค้าง - ทำย่อหย่อน - ทำเสีย

    งานอากูลก็คืองานค้างนั่นแหละครับ เป็นนิสัยของคนทำงานประเภทหนึ่ง (รวมผมด้วยบางครั้ง) มักไม่ชอบทำอะไรให้เสร็จทั้งที่ควรให้เสร็จ ทำได้หน่อยหนึ่งให้ทิ้งไว้ก่อน ผัดผ่อนไปเรื่อย "พรุ่งนี้ยังมีเวลา เอาไว้แค่นี้ก่อน" อะไรอย่างนี้เป็นต้น เหมือนคนแก่ฟันไม่ดี เคี้ยวอาหารให้ละเอียดไม่ได้ พอจวนจะละเอียดก็กะล่อมกะแล่มกลืนเข้าไป กินก็เท่ากับไม่ได้กิน เผลอๆ อาหารที่กลืนเข้าไปไม่ย่อยหรือย่อยยาก เป็นโทษแก่ร่างกายอีก

    ลักษณะคนที่ทำงานคั่งค้างที่เห็นได้ชัดเจนอีกอย่างหนึ่งคือชอบจับจด ทำงาน ก ได้หน่อยหนึ่งเบื่อ หันไปจับงาน ข ไปได้หน่อยหนึ่งหันไปจับงาน ค เลยไม่เสร็จสักอย่าง บางท่านคิดว่าคนเช่นนี้เป็นนักริเริ่มเริ่มงาน หรือวางแผนเก่ง หามิได้ อย่างนี้เขาเรียกว่า คนจับจดต่างหาก

    งานค้างเป็นอัปมงคลก็เพราะก่อผลเสียให้ทั้งร่างกายและใจ คิดไม่ดีไม่เห็น ทางกายเห็นได้ชัดๆ คือทำให้เปลืองแรง ต้องลงแรงถึงสองครั้งเป็นอย่างน้อย แทนที่จะเป็นครั้งเดียว ยกตัวอย่างเช่น ชาวนาไถนาไว้แล้วไม่ปักดำ ทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ ต้องมาเสียแรงงานไปครั้งหนึ่งแล้ว พอถึงเวลาจะปักดำจริงๆ ต้องมาไถใหม่อีก เปลืองแรงไปครั้งที่สอง

    เรื่องที่เราทิ้งค้างไว้ พอถึงเวลาจะทำให้เสร็จจริงๆ ก็ต้องนำมาดูย้อนต้นใหม่อีก เพราะลืมไปแล้วว่าเรื่องเดิมเป็นอย่างไร นี่แหละครับที่ว่าเปลืองแรง

    แล้วเปลืองใจล่ะเป็นอย่างไร งานที่ทิ้งค้างไว้อย่างนั้นแหละพอมีคนถามถึงหรือนึกขึ้นมาได้เมื่อไหร่ ใจหายวาบทุกที ยิ่งเป็นงานที่เขากำหนดเวลาแน่นอนว่า ไม่เกินวันนั้นวันนี้ด้วยแล้วมัวแต่เอ้อระเหยอยู่ นึกขึ้นมาได้เหลืออีกสองสามวันจะครบกำหนดต้องตาลีตาเหลือกรีบๆ ทำลวกๆ พอให้เสร็จ ผลก็กลายเป็นว่าทำอย่างย่อหย่อน ทำเสีย รู้ถึงไหนอายถึงนั่น

    ถ้าไม่อยากเสียคน ก็อย่าทำงานให้คั่งค้างอากูลนะครับ (บรรทัดนี้เตือนผู้เขียนเองด้วย)

    อย่างที่กล่าวมาแล้วนั้นว่า คนทำงานคั่งค้างจะต้องได้รับผลเสียทั้งทางกายและทางใจ ทางกายนั้นต้องเปลืองแรงถึงสองครั้ง ทางใจนั้นเล่าเวลานึกถึงงานที่คั่งค้างเมื่อใดใจหายวาบเมื่อนั้น เสียสุขภาพจิตไม่น้อย

    คนจะทำงานไม่ให้อากูลคั่งค้างจะต้องมีอิทธิบาท 4 ประจำใจ คือ

    ฉันทะ แปลกันว่าความพอใจ ยังไม่สื่อความหมายเท่าที่ควร ถ้าจะให้เข้าใจง่ายต้องแปลว่า ความรักงาน หรือเต็มใจทำ คนเราลงได้รักอะไรแล้ว ย่อมเต็มใจทำให้ทุกอย่าง นึกถึงสมัยยังหนุ่มยังสาวก็แล้วกัน (สำหรับท่านที่ชราภาพแล้ว) คนรักชอบอะไร ต้องการอะไร ก็ยังอุตส่าห์หามาประเคนให้ด้วยความเต็มใจ ฉันใดก็ฉันนั้น การทำงานก็ไม่แตกต่างกัน เราต้องมีความรัก เพียงแต่แปรความ "รักคน" มาเป็น "รักงาน" แล้วเราก็ทุ่มเทให้กับงานได้อย่างดี

    วิริยะ พากเพียรพยายามหรือแข็งใจทำ แข็งใจในที่นี้มิใช่ฝืนใจทำแบบซังกะตาย หากหมายถึงทำงานด้วยความเข้มแข็ง กล้าสู้ กล้าบุก ไม่ว่างานจะใหญ่โตหรือลำบากแค่ไหน พยายามเต็มที่ไม่คำนึงถึงความเหนื่อยยาก

    จิตตะ ตั้งใจทำ หมายถึง คิดถึงงานที่เริ่มไว้ตลอดเวลา เอาใจจดจ่ออยู่ที่งานนั้น คิดเปรียบเทียบง่ายๆ เวลาเรารักใครสักคนเราจะคิดถึงแต่คนที่เรารัก คนที่รักกันคิดถึงกันย่อมไม่มีวันจะทอดทิ้งกันแน่นอน นอกเสียแต่จะหมดรักกันเท่านั้น ฉันใด คนที่คิดถึงงานตลอดเวลา ย่อมไม่ทิ้งงาน มีแต่จะคิดหาทางปรับปรุงแก้ไขให้งานก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ฉันนั้น

    วิมังสา เข้าใจทำ อันนี้หมายถึง ทำงานด้วยการใช้ปัญญาทำอย่างฉลาด คนเราถึงจะรักงานเพียงใด เอาใจจดจ่ออยู่กับงานเพียงใด ถ้าขาดปัญญาความรู้ ความเข้าใจแล้ว แทนที่งานจะสำเร็จอาจไม่สำเร็จ หรือก่อทุกข์โทษให้ก็ได้ ว่ากันว่า คนโง่ขยันนั้นอันตรายยิ่งกว่าอะไรเสียอีก เพราะแกจะขยันสร้างปัญหาให้แก่ตัวเองและคนอื่นดังตัวอย่างต่อไปนี้

    บุรุษคนหนึ่งเลี้ยงลิงไว้ฝูงหนึ่ง วันหนึ่งเขาจะไปธุระต่างเมือง สั่งให้หัวหน้าลิงช่วยดูแลสวนผลไม้ที่เพิ่งปลูกใหม่ๆ เจ้านายหายไปสามสี่วันต้นไม้ในสวนตายเรียบ ไม่ใช่เพราะลิงมันขี้เกียจทำตามเจ้านายสั่ง มันทำอย่างขะมักเขม้นทีเดียว มันสั่งให้ลูกน้องช่วยกันตักน้ำมารดต้นไม้ทุกเช้า ขณะรดน้ำมันสั่งให้ลูกน้องถอนต้นไม้มาดูทุกครั้งว่า รากมันชุ่มน้ำหรือยัง ถ้ายังให้ราดน้ำลงไป ถ้ารากชุ่มแล้วจึงยัดลงหลุมกลบดินใหม่ ทำอย่างนี้ทุกวันแล้วอย่างนี้มันจะเหลืออะไร เจ้านายกลับมาเห็นต้นไม้ตายเกลี้ยงสวน แทบลมจับ นี่แหละโทษของการใช้ลิง โง่แต่ขยันรดน้ำต้นไม้

    ที่สำนักงานแห่งหนึ่งผู้บริหารก็โง่ ผู้ช่วยงานก็โง่แต่ขยันขันแข็งทำงาน บางทีเซ็นสั่งงานไปทั้งที่ไม่รู้ว่าให้เขาทำอะไร พอเขาถามว่า จะให้เขาทำอะไรก็ตอบไม่ได้ เรื่องเล็กๆ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนแก้ไม่ไหว เพราะพวกเขาขยันสร้างเงื่อนปมเสียจริง จนผู้บริหารระดับสูงบ่นปวดศีรษะ ต้องมาช่วยแก้ไขปัญหาให้ไม่รู้จบสิ้น เวรกรรมจริงๆ คือเป็นกรรมของหน่วยงานที่มีผู้บริหารเวรๆ อย่างนั้น นี่คือโทษของการเอาคนโง่มาบริหารงาน

    สรุปแล้ว คุณสมบัติของผู้ที่จะทำงานมิให้อากูล คั่งค้าง จะต้องมีความเต็มใจทำ แข็งใจทำ ตั้งใจทำและเข้าใจทำ ใช้สูตรนี้สูตรเดียวการงานทุกอย่างไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก รับรองประสบความสำเร็จแน่นอน
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]

    น้ำผึ้งหลวง ที่เพื่อนท่านนึง(ที่อยู่จ.น่าน) ให้ผมมาครับ ขอขอบคุณอีกครั้งนะครับ

    [​IMG]

    น้ำผึ้งป่า(เดือน 5) ที่พระอาจารย์ผมให้ผมมาปีกว่าแล้ว ยังทานไม่หมด(ผมเสียดาย)
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับรูปพระบูชา (เนื้อหินเขียวโขง) ไม่ทราบว่า พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทราบหรือไม่ว่า องค์ไหนพิมพ์สุโขทัย และองค์ไหนพิมพ์อู่ทอง ส่วนพิมพ์เชียงแสน มีความแตกต่างกันอยู่แล้ว

    [​IMG]

    ตอนลงบอร์ดได้เลยนะครับ

    องค์ซ้าย ทรงพิมพ์ ................
    องค์ขวา ทรงพิมพ์ ................

    แต่ส่วนคำตอบ ผมจะส่งให้ทาง email และผมไม่อนุญาตให้ส่ง mail ต่อนะครับ
    ส่วนท่านใดยังไม่เคยได้ส่ง email ให้ผม ส่งมาให้ผมทาง pm ด้วยนะครับ

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1-2.JPG
      1-2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      50.3 KB
      เปิดดู:
      2,107
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  10. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    องค์ซ้ายอู่ทอง องค์ขวา สุโขทัย ตอบถูกได้ 2 องค์เลยเปล่าครับพี่ หุหุ
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    สำหรับรูปพระบูชา (เนื้อหินเขียวโขง) ไม่ทราบว่า พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทราบหรือไม่ว่า องค์ไหนพิมพ์สุโขทัย และองค์ไหนพิมพ์อู่ทอง ส่วนพิมพ์เชียงแสน มีความแตกต่างกันอยู่แล้ว

    [​IMG]

    ตอนลงบอร์ดได้เลยนะครับ

    องค์ซ้าย ทรงพิมพ์ ................
    องค์ขวา ทรงพิมพ์ ................

    แต่ส่วนคำตอบ ผมจะส่งให้ทาง email และผมไม่อนุญาตให้ส่ง mail ต่อนะครับ
    ส่วนท่านใดยังไม่เคยได้ส่ง email ให้ผม ส่งมาให้ผมทาง pm ด้วยนะครับ

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ไว้เฉลยผ่าน email นะครับ

    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปคู่วันสงกรานต์
    http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000041075
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>12 เมษายน 2552 14:46 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>พระพุทธสิหิงค์ กรุงเทพฯ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เมื่อถึงวันสงกรานต์ครั้งใด กิจกรรมอย่างหนึ่งที่จะมีขึ้นทุกครั้งก็คือการอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองใน 3 พื้นที่ออกมาให้ประชาชนได้สรงน้ำ สักการบูชา ขอพร เพื่อความเป็นสิริมงคล

    สำหรับพระพุทธสิหิงค์นั้น หลายๆคนคงเคยได้สักการะบูชา หรืออาจจะเคยได้มีโอกาสสรงน้ำท่าน แต่อาจไม่ทราบถึงความเป็นมาของท่านมาก่อน ซึ่งมีคำกล่าวกันว่า นอกจากพระพุทธชินราชที่จังหวัดพิษณุโลกแล้ว จะหาพระพุทธรูปโบราณที่มีอยู่ในประเทศไทยที่มีความงดงามเทียบกับพระพุทธสิหิงค์นั้นไม่มีเลย แสดงให้เห็นว่าพระพุทธรูปองค์นี้ย่อมต้องมีความงดงามเป็นอันมาก และความเป็นมาของท่านนั้นก็มีความน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

    ตำนานของพระพุทธสิหิงค์นี้ มีผู้เรียบเรียงไว้หลายคน เช่น พระโพธิรังษี ปราชญ์เชียงใหม่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ และหลวงวิจิตรวาทการ โดยได้เล่าประวัติไว้ว่า พระพุทธสิหิงค์นั้นสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 700 โดยพระมหากษัตริย์ลังกา 3 พระองค์ พร้อมกับพระอรหันต์ในเกาะลังกา
    เล่ากันว่า ในการสร้างนั้น ผู้สร้างตั้งใจจะให้พระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธรูปที่เหมือนองค์พระพุทธเจ้าจริงๆ จึงให้พญานาคที่เคยเห็นพระพุทธองค์แปลงกายมาเป็นแบบให้ ในขณะหล่อนั้น ช่างหล่อคนหนึ่งทำไม่ถูกพระทัยเจ้าองค์หนึ่ง จึงถูกหวดด้วยไม้ถูกนิ้วของช่างบาดเจ็บ ครั้นพอหล่อพระพุทธสิหิงค์เสร็จเรียบร้อย ปรากฏว่านิ้วของพระพุทธสิหิงค์มีรอยชำรุดไปนิ้วหนึ่งเช่นกัน

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>พระพุทธสิหิงค์ เชียงใหม่</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> พระพุทธสิหิงค์ประดิษฐานอยู่ที่กรุงลังกาเป็นเวลาถึง 1,150 ปี และเมื่อถึงสมัยสุโขทัย พ่อขุนรามคำแหงได้ทราบถึงลักษณะที่งดงามของพระพุทธสิหิงค์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยานครศรีธรรมราชแต่งทูตเชิญพระราชสาสน์ไปขอประทานมาจากพระเจ้ากรุงลังกา พระพุทธสิหิงค์จึงได้มาประดิษฐานที่กรุงสุโขทัยเป็นเวลา 70 ปี

    หลังจากนั้นพระพุทธสิหิงค์ก็ได้ย้ายไปประดิษฐานตามที่ต่างๆ ในอาณาจักรไทย ไม่ว่าจะเป็นที่เมืองพิษณุโลก กรุงศรีอยุธยา เมืองกำแพงเพชร เมืองเชียงราย เมืองเชียงใหม่ จนเมื่อสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระพุทธสิหิงค์ได้มาประดิษฐานยังกรุงเทพเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2338 และได้ประดิษฐานอยู่ที่ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์มาจนทุกวันนี้ หากจะนับเวลาตั้งแต่เมื่อครั้งที่อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์จากกรุงลงกามายังสุโขทัย จนมาประดิษฐานอยู่ในกรุงเทพปัจจุบันนี้ก็เป็นเวลาถึง 698 ปี ทีเดียว

    ในประเทศไทย มีพระพุทธรูปที่มีนามว่าพระพุทธสิหิงค์อยู่ 3 องค์ด้วยกัน คือ

    พระพุทธสิหิงค์ ในพระพุทไธสวรรค์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หล่อด้วยโลหะสัมฤทธิ์ ซึ่งก็คือองค์ที่กล่าวถึงข้างต้น

    พระพุทธสิหิงค์ ในวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร หล่อด้วยสัมฤทธิ์ลงรักปิดทอง เป็นศิลปะเชียงแสนยุคแรก

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>พระพุทธสิหิงค์ นครศรีธรรมราช </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> พระพุทธสิหิงค์ ในหอพระสิหิงค์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร มีพระพักตร์กลม อมยิ้มเล็กน้อย หล่อด้วยสัมฤทธิ์

    สำหรับธรรมเนียมปฏิบัติที่มีการอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาให้ประชาชนได้สักการะและสรงน้ำบริเวณท้องสนามหลวงนั้น ได้เริ่มมีขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2477 ในสมัยที่พระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี และธรรมเนียมประเพณีนั้นก็ได้ปฏิบัติกันต่อมาจนถึงทุกวันนี้

    พระโพธิรังษี ปราชญ์เชียงใหม่ ได้กล่าวไว้ว่า “พระพุทธสิหิงค์เสด็จประทับอยู่ในที่ใดๆ ย่อมทรงทำให้พระพุทธศาสนารุ่งเรืองดังดวงประทีป เหมือนหนึ่งว่าพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่” ส่วนหลวงวิจิตรวาทการกล่าวไว้ว่า “อานุภาพแห่งพระพุทธสิหิงค์สามารถบำบัดความทุกข์ร้อนในใจให้เหือดหาย ผู้ที่หมดมานะ ท้อถอย เมื่อได้มาสักการะ ดวงจิตที่เหี่ยวแห้งก็จะกลับสดชื่นและมีความเข้มแข็งขึ้น จิตที่หวาดกลัวก็กลับกล้าหาญ ดวงจิตที่เกียจคร้านก็จะมีวิริยะ ผู้หมดหวังก็จะมีกำลังใจขึ้นใหม่”

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>รวมฮิต รวมมิตร "ของกิน" คลายร้อน
    http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000040460
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>12 เมษายน 2552 14:46 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ข้าวแช่เมนูโบราณกินคลายร้อน</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> คงจะยังไม่ช้าเกินไปที่ "ตระเวนกิน"จะเอื้อนเอ่ย "สวัสดีปีใหม่ไทย" หลายคนคงจะได้ไปเที่ยวเล่นสาดน้ำสงกรานต์กันมาอย่างสนุกสนานให้หายคลายร้อนกันไปอย่างชื่นฉ่ำอุราในช่วงหน้าร้อนนี้ แต่ถ้าใครไม่ชอบออกไปเล่นน้ำให้ตัวเปียก แต่กลับชอบเรื่องกิน ชอบสรรหาของกินใส่กระเพาะให้อิ่มท้องเสียมากกว่า

    ขอบอกว่ามื้อนี้จะได้สมใจปาก เพราะเราได้ทำการวบรวมเอาของกินน่าสนใจที่เหมาะแก่การกินในหน้าร้อน เพื่อให้เย็นกายพร้อมเย็นใจ แถมอิ่มสบายท้องมานำเสนอให้ทุกคนได้เลือกไปลองลิ้มรสชาติกันแบบตามใจชอบ

    "ข้าวแช่" เมนูโบราณกินคู่หน้าร้อน

    อันที่จริงช่วงหน้าร้อนแบบนี้ ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การกิน "ข้าวแช่" เป็นอย่างยิ่ง ที่กินแล้วช่วยให้ชื่นฉ่ำคอ เย็นกาย สบายท้อง ชื่นใจกับกลิ่นหอมๆ ของดอกมะลิลอย กินกับเครื่องเคียงสารพัดอย่าง ที่กินแล้วช่วยให้อิ่มท้องแถมกินแล้วช่วยคลายร้อนได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว

    ว่ากันว่าข้าวแช่เป็นอาหารโบราณ ที่มาจากชาวมอญที่ทำกันในวันสงกรานต์เพื่อถวายพระและนำไปให้ผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคารพนับถือ และต่อมาข้าวแช่ได้เข้าไปเป็นอาหารในวัง เป็นที่นิยมกันสืบทอดมาตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 5 จึงเรียกกันว่า "ข้าวแช่ชาววัง" และนิยมกินกันในช่วงหน้าร้อนมาจนถึงปัจจุบันนี้

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ลิ้มรสข้าวแช่เย็นๆ กับเครื่องเคียงสารพัดอย่าง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> และการกินข้าวแช่ก็มีข้อแนะนำกันสักนิด คือ อย่าตักกับข้าวที่เป็นเครื่องเคียงต่างๆ มาใส่ในชามข้าวแช่ ควรตักเครื่องเคียงกินเป็นคำเสียก่อนแล้วค่อยตักข้าวกินตาม เพราะไม่อย่างนั้นไขมันจากเครื่องเคียงจะลอยเป็นแผ่นอยู่บนข้าว ดูไม่น่ากิน ถึงตรงนี้ถ้าใครสนใจอยากจะคลายร้อน แบบอิ่มๆ ด้วยข้าวแช่ เราก็มีร้านที่ขายข้าวแช่มานำเสนออยู่ร้าน เชิญเลือกกันได้เลยว่าอยากจะไปกินที่ร้านไหน"ร้านท่านผู้หญิงสุลัภฯ" ตั้งอยู่ที่ หน้าโรงภาพยนตร์ศรีย่านรามา ถ.นครไชยศรี อ.ดุสิต กทม. (มีเฉพาะฤดูร้อน) โทร. 0-2241-4441 เมนู "ท่านหญิง" ตั้งอยู่ที่ 10 ถ.ประมวญ บางรัก กทม. อยู่ตรงข้าม ร.ร.กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เปิดทุกวัน 11.30-22.00 น.โทร. 0-2236-4361, 0-2235-0371 "ตำหนักแม่สาย" ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 32/13-15 ซ.สุขุมวิท 21 (ซอยวีรทศ) ถ.อโศก แขวงคลองเตย เขตวัฒนา กทม. เปิดทุกวันยกเว้นวันอาทิตย์ 11:00 - 22:00 โทร. 0-2258-3700, 0-2259-2232 "ร้านสงวนศรี" ตั้งอยู่ที่ 59/1 ถ.วิทยุ อ.ปทุมวัน กรุงเทพฯ เปิด 09.00-17.00น. โทร. 0-2251-9378

    "ร้านหลายรส" ตั้งอยู่ที่ 122 ถ.พระราม 6 คลองประปา สามเสน กรุงเทพฯ เปิด 10.00 - 22.00 น. โทร. 0-2279-2895 "ห้องอาหารดรรชนี" ตั้งอยู่ที่ 18/2-4 เชิงสะพานวันชาติ ถ.ประชาธิปไตย อ.พระนคร กทม. เปิด 11.00-19.00น. โทร. 0-2281-9332 และ "ร้านเซเว่น สไปเซส" ตั้งอยู่ที่ ชั้น2 เวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ถ.ราชดำริ กทม. เปิด 10.00-21.00 น. โทร.0-2255-9669 เรียกว่าสะดวกที่ไหนก็เลือกไปกินกันได้ตามสบาย

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>หอมหวานมันกับข้าวเหนียวมะม่วง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> หอมหวานมันกับ "ข้าวเหนียวมะม่วง"

    เมื่อฤดูร้อนมาถึง อีกหนึ่งของกินไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ "ข้าวเหนียวมะม่วง" ซึ่งกลายเป็นของกินคู่หน้าร้อนที่ชวนกินไปเสียแล้ว เพราะเมื่อยามที่ได้กินมะม่วงสุกหอม กับข้าวเหนียวมูนนุ่มๆ ราดน้ำกะทิหอมหวานมัน เป็นอะไรที่เลิศลิ้นเสียเหลือเกิน

    แล้วการกินข้าวเหนียวมะม่วงให้อร่อยนั้น นอกจากจะต้องมีข้าวเหนียวมูนที่อร่อยหอมหวานมุนนุ่มลิ้นแล้ว การเลือกมะม่วงที่นำมากินคู่กับข้าวเหนียวนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งมะม่วงที่นิยมนำมากินนั้นก็มีอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ "มะม่วงอกร่อง" ลักษณะมีขนาดผลค่อนข้างเล็ก รูปทรงผลค่อนข้างแบน ตรงส่วนท้องเป็นทางยาวจนเห็นได้ชัด มีเสี้ยนน้อย เมื่อแก่จัดผลสุกเต็มที่ จะมีผิวของเปลือกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง มีกลิ่นหอม เนื้อมะม่วงจะสีเหลืองเนียนละเอียด รสหวานจัด และอีกพันธุ์คือ "มะม่วงน้ำดอกไม้" มีลักษณะผลขนาดใหญ่ ผลอ้วนเกือบกลม หัวใหญ่ปลายแหลม ผลค่อนข้างยาว เนื้อมาก เมล็ดเล็ก มีผิวบาง เมื่อผลสุกจะมีผิวสีเหลือง มีกลิ่นหอม เนื้อละเอียดมีเสี้ยนน้อย รสหวานนุ่มกินอร่อยลิ้น

    เรียกว่าหน้าร้อนที่มาถึงนี้หากใครกำลังมองหาร้านขายข้าวเหนียวมะม่วงรสเลิศลิ้มลองอยู่ล่ะก็ เรามีร้านเจ้าเด็ดเจ้าดังมาแนะนำให้ไปชิมกันอยู่หลายร้าน ดังนี้ "ร้านข้าวเหนียว นายแว่น" ตั้งอยู่ที่ 9/14 ปากทางเข้าบางขุนนนท์ ถ.บางกอกน้อย-ตลิ่งชัน กทม. เปิดขายตั้งแต่เดือนก.พ. ไปจนถึงประมาณต้นเดือน ก.ค. ขายจันทร์-ศุกร์ 08.30-21.00 น. เสาร์-อาทิตย์ 08.00-21.00 น. โทร. 0-2433-2011

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ข้าวเหนียวมะม่วงสักจานไหม</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> "ร้านลูกสาว ก.พานิช" ที่ตั้ง เลขที่ 250/5 ถ.สามเสน แขวงเทเวศร์ เขตบางขุนพรหม กทม. เปิดทุกวัน เวลา 10.00 18.00 โทร. 0-2281-7838 "ข้าวเหนียวมูนร้านหนึ่ง" ตั้งอยู่ที่ 191/307 ซ.โชคชัย 4 ถ.ลาดพร้าว กทม. โทร. 0-2539-9166, 0-2538-8152, 0-2538-8189 "ร้านข้าวเหนียวมะม่วง ช.ศรแก้ว" ตั้งอยู่ที่ 23/500 ถ.โชคชัย4 ซ. 54 ทางเข้าหมู่บ้าน ต.รวมโชค ลาดพร้าว กทม. โทร.0-2931-0000, 0-2931-0005

    "ร้านข้าวเหนียวมะม่วงบุญทรัพย์" ตั้งอยู่ที่ ปากซอยตลาดหลวง บางรัก ริมถนนเจริญกรุง เปิดทุกวัน 08.00-20.00 น. โทร. 0-2234-4086 "ร้านแม่วารี" ที่ตั้ง เลขที่ 1 ซ.ทองหล่อ (สุขุมวิท 55 ) ถ.สุขุมวิท เขตคลองเตย กทม. เปิดขายทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง โทร. 0-2392-4804, 0-2714-0419 "ร้านข้าวเหนียวมะม่วงแม่เก่ง" ตั้งอยู่ในร้านรุ่งสินพานิช ปากซอยทางเข้าหมู่บ้านรวมโชค ซอยโชคชัย4 /54 ถ.ลาดพร้าว ติดกับร้านถ่ายรูปโกดัก เปิดทุกวัน 05.30-21.00 น. โทร 0-9881-2349, 0-2538-3331

    "ร้านก. พานิช" ตั้งอยู่ที่ 431-433 เยื้องปากซอยแพร่งภูธร ถ.บ้านตะนาว กทม. ร้านอยู่ริมถนน เปิดทุกวัน 07.30-19.30 น. โทร. 0-2221-3554 และ"ร้านข้าวเหนียวมูนแม่ประไพศรี" มีหลายสาขาด้วยกัน จ. นนทบุรี ตั้งอยู่ที่ 80/200 หมู่ 4 ซ.ศรีพรสวรรค์ สวนใหญ่ จ.นนทบุรี เปิดทุกวัน 04.00-20.00 น. โทร. 0-2527-1407 ตลาดอตก. (จตุจักร) เป็นแผงร้านตั้งอยู่ตรงทางขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน เปิดทุกวัน 08.00-19.00 น. โทร. 0-2271-3315 เมืองทองธานี ตั้งอยู่ที่ตลาดรวมใจ เมืองทองธานี เปิดทุกวัน 08.00-19.00 น. โทร. 0-1913-0656 นอกจากนี้ก็ยังมีขายที่ห้างบิ๊กซีทั้ง 8 สาขา คือ สาขาติวานนท์, รัตนาธิเบศร์, แจ้งวัฒนะ, ลาดพร้าว, สะพานความ, งามวงศ์วาน, ราชดำริ, หัวหมาก เปิดทุกวัน ปิดเปิดตามเวลาของห้างฯ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>อร่อยชื่นใจกับไอศกรีมหวานเย็น</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> "ไอศกรีม" หวานเย็น คลายร้อนชื่นใจ

    "ไอศกรีม" หรือ "ไอติม" เป็นของกินเย็นๆ หน้าร้อน ที่ไม่ว่าเด็กหรือว่าผู้ใหญ่ หากเห็นไอศกรีมเป็นไม่ได้ต้องวิ่งเข้าหาไอศกรีมกินกันให้อร่อยคลายร้อนเป็นทุกรายไป หลายคนที่ชอบกินไอศกรีมจะรู้กันบ้างหรือเปล่าว่าไอศกรีมนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร?? เราไปสืบเสาะหาข้อมูลได้ความมาว่า

    "ไอศกรีม" (Ice Cream) คนทั่วไปมักคิดว่ามีถิ่นกำเนิดมาจากตะวันตก แต่จริง ๆ แล้วกำเนิดในประเทศจีนนี่เอง เกิดจากการนำหิมะบนยอดเขามาผสมกับนํ้าผลไม้ และกินในขณะที่หิมะยังไม่ทันละลายดี จนปลายศตวรรษที่ 13 มาร์โคโปโลเดินทางไปจีนและชื่นชอบ จึงนำสูตรกลับไปอิตาลีและมีการเติมนมลงไปกลายเป็นสูตรของเขาโดยเฉพาะ และแพร่หลายไปในอิตาลี ฝรั่งเศสและข้ามไปอังกฤษ คนอิตาลีถือว่าตนเองเป็นต้นตำรับไอศกรีมแบบที่นำมาปั่นให้เย็นจนแข็ง เรียกว่าเจลาติน (Gelatin) แล้วแพร่หลายไปในฝรั่งเศสช่วงศตวรรษที่ 16 ข้ามไปอเมริกา ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 กลายเป็นที่ชื่นชอบของคนอเมริกันมาก

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ไอศกรีมเย็นๆ หลากรสชาติ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> สำหรับในเมืองไทยไอศกรีมเข้ามาช่วงไหนไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่คาดว่าคงมาหลังสมัย ร.5 ซึ่งมีการผลิตนํ้าแข็งกินเอง ไอศกรีมตอนนั้น ทำจากนํ้าหวานหรือนํ้าผลไม้นำไปปั่นเย็นจนแข็ง ไม่มีนมหรือครีมผสมด้วย เรียกว่า "ไอติม" ใช้แรงคนในการปั่น

    นั่นคือความเป็นมาของไอศกรีมพอสังเขป ส่วนถ้าใครเกิดอยากกกินไอศกรีมหวานๆ เย็นๆ ขึ้นมตอนนี้ เราก็มีร้านไอศกรีมเจ้าเด็ดมาแนะนำให้เลือกไปลิ้มรสกัน ใครสะดวกที่ไหนก็เลือกไปกันได้ตามชอบ ไม่ว่าจะเป็นไอศกรีมแบบไทยๆ หลากรสชาติ ที่ร้าน "ไอส์เบิร์ก" ตั้งอยู่ที่1/9 ถ.เทศา ซอย 2 ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม เปิดทุกวันคู่ เวลา 14.00 – 21.00 น. เบอร์โทร. 0-3424-1607, 08-9122-5162

    มากินไอศกรีมโอมเมดที่ "Scoop Me" ตั้งอยู่ที่ 309/5 ถ.จันทร์ วัดพระยาไกร บางคอแหลม กทม. เปิดทุกวัน เวลา 09.00-20.00 น. โทร.0-2211-4535 หรือแวะมากินไอติมโบราณแบบไทยๆ ที่ร้าน “ไอติมโบราณ” ตั้งอยู่ตรงข้ามตลาดน้ำคลองลัดมะยม ถ.บางระมาด แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กทม. เปิดทุกวันเวลา 08.00-17.00 น. โทร.08-9215-2659 (ตลาดน้ำคลองลัดมะยมเปิดเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์) และมากินไอศกรีมโฮมเมดไทยๆ เน้นคุณภาพที่ร้าน "ทิพย์รส" ตั้งอยู่ที่ ถ.มหาไชย ซ.สำราญราษฎร กทม. ตรงประตูผี อยู่ถัดจากร้านผัดไททิพย์สมัย เปิดทุกวัน 19.00-01.00 น. และมีอีกหนึ่งสาขาอยู่ที่เตาปูน โทร. 08-1985-2970

    แต่ถ้าชอบกินไอศกรีมสไตล์อิตาเลียนเจลาโตโฮมเมดต้องมาที่ "คอฟฟี่ แอนด์ โคนส์" (Coffee & Cones) ตั้งอยู่ที่ 23 ซ.อารีย์ ถ.พหลโยธิน 7 สามเสนใน พญาไท กทม. เปิดทุกวัน เวลา 08.00-21.00 น. โทร. 0-2279-0872, 08-9486-3806 หรือมาชิมไอศกรีมค็อกเทล ที่ "Amaltery" ตั้งอยู่ที่Central World ชั้น 7 โทร. 0-2613-1710 และ ที่ Erawan Bangkok โทร. 0-2252-0232 เปิดปิดตามเวลาของห้าง และมากินไอศกรีมผัดที่ "ไอซ์สโตน" ตั้งอยู่ที่ บริเวณชั้น G อาคารยูไนเต็ด เซ็นเตอร์ เปิดวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 10.00-19.30 น. วันเสาร์เปิด 10.00-17.00 น. โทร. 0-2233-3344

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ลอดช่องสิงคโปร์</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> "ลอดช่อง" ลองแล้วจะรัก

    ของหวานที่มีชื่อเสียงและเอกลักษณ์เฉพาะตัวอีกอย่างหนึ่งต้อง "ลอดช่อง"งานนี้เราไม่เกี่ยงร้านว่าจะเป็นลอดช่องไทยหรือลอดช่องสิงคโปร์ขอเพียงอร่อยดับร้อนเป็นใช้ได้

    ก่อนอื่นขอพาไปรู้จักความแตกต่างของลอดช่องสองประเภทนี้ก่อน ลอดช่องสิงคโปร์นั้น แท้จริงแล้วต้นกำเนิดไม่ได้มาจากประเทศสิงคโปร์ แต่ต้นกำเนิดอยู่ในประเทศไทยนี่เอง แตกต่างจากลอดช่องไทยตรงที่ ใช้แป้งมันสำปะหลังมาปั้น และนวดให้เหนียว รับประทานกับกะทิสด และน้ำเชื่อม น้ำแข็งป่น คำว่า สิงคโปร์ มาจาก บริเวณที่ตั้งร้านนี้ ที่เป็นเจ้าแรก ในการทำ "ลอดช่องสิงคโปร์"

    เพราะเมื่อประมาณ 60 ปีก่อน ร้านนี้บังเอิญไปตั้งอยู่บริเวณ หน้าโรงภาพยนต์สิงคโปร์ (เดิม) หรือโรงหนังเฉลิมบุรี บนถนนเยาวราช และเมื่อลูกค้าจะไปทาน ก็มักจะเรียกว่า "ไปทานลอดช่องหน้าโรงหนังสิงคโปร์" สุดท้ายก็เรียกให้สั้นลงว่า "ลอดช่องสิงคโปร์" แทน

    ส่วนลอดช่องไทยเก่าแก่ขนาดพบข้อความปรากฏอยู่บนศิลาจารึก เอ่ยถึงชื่อขนมไทยไว้ 4 ชนิดนั่นก็คือ เม็ดแมงลัก ลอดช่อง ข้าวตอกและข้าวเหนียว ซึ่งจะตักใส่มาในถ้วยโดยมีน้ำกะทิแยกมาไว้เติมต่างหาก ใครอยากกินอะไรก็เลือกตักตามนั้น

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ลอดช่องไทย</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> บางตำราสันนิษฐานว่าอาจเกิดในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประมาณปี พ.ศ.2215-2220เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว หลังจากนวดข้าวหรือช่วยกันทำงานต่างๆ เสร็จแล้วพวกผู้หญิงจะเตรียมขนมทั้ง 4 ชนิดนี้ไว้เลี้ยงหลังเลิกงานอยู่เสมอ จนเรียกการเลี้ยงขนมแบบนี้ว่า ประเพณี 4 ถ้วย ขนมไทย ทั้ง 4 ชนิดนี้จะมีส่วนผสมหลักอยู่เพียง 3 อย่าง คือ แป้งข้าวเจ้า กะทิและน้ำตาลเท่านั้น ขนมของคนไทยในยุคต่อๆ มาก็ยังคงมีส่วนผสมทั้ง 3 ส่วนนี้ประกอบอยู่ด้วยเสมอ

    ร่ายยาวถึงประวัติลอดช่อแล้วก็ต้องพาไปรู้จักร้านลอดช่อง ขอเริ่มที่ร้าน "ลอดช่องสิงคโปร์" ตั้งอยู่ที่ 680-682 ถ.เจริญกรุง สามแยกหมอมี แขวง/เขต สัมพันธวงศ์ กทม. เจ้าแรกตำนานความอร่อยที่มีมายาวนานกว่า 60 ปี บนถนนเยาวราช สูตรของขนมลอดช่องสิงคโปร์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะการใช้กะทิ แบบเข้มข้น เพื่อให้ได้ความหอม มัน ที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด เทศกาลสงกรานต์จะหยุดร้านวันที่ 11 – 20 เม.ย. นี้ โทร. 0-2221-5794, 08-1651-4444 และมีอีก 1 สาขาตรงสี่แยกสะพานควาย ใกล้ห้างบิ๊กซี โทร. 0-2278-1299เปิดทุกวันไม่เว้นวันหยุด สนใจติดต่อโทร. 0-2221-5794

    ลอดช่องร้านต่อมาที่จะพาไปรู้จัก คือ "ลอดช่องโบราณ" ย่านบางลำพูขายมาเกือบสิบปีการันตีคุณภาพ พิเศษที่อบน้ำกะทิด้วยควันเทียนเพิ่มความหอม ร้านตั้งอยู่ข้างเคเอฟซีบางลำพู เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ตั้งแต่เวลา10.00-16.30น.โทร.0-2280-7111,0-2629-5744-5

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    วันนี้เห็นรูปภิกษุ 2 รูป ห่มจีวร สีแดงแป๊ด คือผมตกยุคน่ะครับ ไม่ทราบพี่ๆทราบที่มาไหมครับ
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เตือนกินส้มตำยันน้ำแข็งเสี่ยงท้องร่วงรับสงกรานต์
    http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000041521
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>12 เมษายน 2552 16:09 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> สาธารณสุขเตือนกินอาหาร 8 ชนิดอาทิ ขนมจีน- ส้มตำ- ลาบ-ก้อย-ยำ-พล่า-น้ำแข็ง เสี่ยงเจอโรคท้องร่วง ขณะที่สถิติผู้ป่วยรอบ 1 ปีผ่านมามีกว่า 1 ล้านราย

    นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงฤดูร้อน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังในการกินอาหารและน้ำดื่มให้มากกว่าปกติ เพราะเป็นช่วงที่อุณหภูมิเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์และพาหะนำโรค โดยเฉพาะในอาหาร 8 ชนิดที่ต้องใส่ใจความสะอาด เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคระบบทางเดินอาหาร เช่น อุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษ โรคอหิวาต์และไข้ไทฟอยด์ ได้แก่ 1.อาหารปรุงด้วยกะทิ 2.ขนมจีน 3.อาหารทะเลสด 4. อาหารปรุงสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบ ก้อย ยำ พล่า 5.อาหารถุง/กล่อง/ห่อ 6.ส้มตำ 7.อาหารค้างคืน และ 8.น้ำดื่มและน้ำแข็ง

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> จากการวิเคราะห์สถิติโรคอุจจาระร่วงในปีที่ผ่านมาซึ่งมีกว่า 1 ล้านราย เสียชีวิต 56 ราย มักจะเกิดในผู้สูงอายุได้ประมาณร้อยละ 10 และเกิดในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ประมาณร้อยละ 38 ในรอบ 3เดือนของปี 2552 มีรายงานป่วยแล้วกว่า 30,000 ราย เสียชีวิต 23 ราย กลุ่มที่ป่วยมากที่สุดเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี พบได้ถึง 1 ใน 3 ของผู้ป่วยทั้งหมด เนื่องจากเด็กวัยนี้นอกจากจะมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำแล้ว ยังดูแลตัวเองไม่ได้ กินและหยิบอาหารเข้าปากแบบไร้เดียงสา โอกาสติดเชื้อจึงเกิดขึ้นง่าย ดังนั้น พ่อแม่ควรต้องดูแลเด็กใกล้ชิด ในการป้องกันไม่ให้ป่วย ขอแนะนำประชาชนยึดหลักปฏิบัติให้เป็นนิสัยคือ “กินอาหารร้อน ใช้ช้อนกลาง และต้องล้างมือเป็นประจำ” จะทำให้ทุกคนพ้นจากโรคระบบทางเดินอาหาร
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จะเลือกถวายจีวรสีใด
    โดย อาจารย์ธรรมจักร สิงห์ทอง

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8919

    จีวร ถือว่าเป็นธงชัย หรือเครื่องหมายของพระอรหันต์ มีหลักฐานปรากฏในพระคัมภีร์อุบาลีเถราปทาน ว่า

    “บุคคลเห็นผ้ากาสาวพัสตร์ที่ (แม้) เปื้อนอุจจาระที่ถูกทิ้งไว้ตามถนนหนทาง ก็ควรประนมมือไหว้ผ้านั้น อันเป็นธงชัยของพระอริยเจ้า ด้วยเศียรเกล้า”

    ในฉัททันตชาดก ติงสนิบาต กล่าวว่า “พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาช้างฉัททันต์ กำลังจะเดินตรงเข้าไปทำร้ายนายพรานป่าใจบาป ผู้คิดจะฆ่าตน แต่พอมองเห็นจีวรที่นายพรานชูให้เห็นกลับคิดได้ว่า ผู้มีธงชัยหรือเครื่องหมายแห่งพระอรหันต์ ไม่ควรถูกฆ่า จึงไม่ได้ทำร้าย และให้อภัยแก่นายพรานปล่อยให้รอดไป...”

    ในคัมภีร์สมันตปาสาทิกา กล่าวว่า “สมัยที่พระพุทธองค์ยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ พระธนิยะได้ตัดไม้เป็นสมบัติของหลวงจำนวนมาก มีความผิดตามกฎหมายบ้านเมืองโทษฐานถึงขั้นประหารชีวิต แต่พระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์ผู้ครองกรุงราชคฤห์ ก็ทรงมีรับสั่งให้พระราชทานอภัยโทษ เพราะทรงเห็นแก่จีวร (ผ้าเหลือง) ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องหมายของพระอรหันต์นั่นเอง”

    [​IMG]

    กำเนิดแบบตัด-เย็บจีวร

    วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จถึงทักขิณาคิรีชนบท พร้อมด้วยพระภิกษุจำนวนหนึ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็นท้องนาของชาวมคธแล้ว มีรับสั่งกับพระอานนท์ว่า “อานนท์ เธอสามารถออกแบบตัดเย็บจีวรให้มีรูปร่างอย่างนี้ได้หรือไม่”

    พระอานนท์กราบทูลว่า “สามารถทำได้พระเจ้าข้า” หลังจากนั้นพระอานนท์ได้ออกแบบทำจีวรให้มีรูปร่างตามพุทธประสงค์ถวาย คือมีลักษณะคล้ายผืนนาที่มีคันนาคั่นเป็นระยะๆ พระพุทธองค์ตรัสสรรเสริญว่า “พระอานนท์เป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถเข้าใจคำสั่งของเราได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ถูกต้อง และชัดเจน”

    ที่พระพุทธองค์มีรับสั่งให้ออกแบบจีวรเช่นนั้น เพราะมีพระประสงค์ ๓ ประการ คือ

    ๑. ผ้าที่มีราคาแพงๆ หากตัดเป็นชิ้นๆ จะทำให้ผ้าราคาตก แทบไม่มีใครต้องการ

    ๒. เมื่อนำเศษผ้าที่ตัดแล้วมาเย็บติดกัน จะทำให้เกิดรอยตะเข็บ มีตำหนิขาดความสวยงาม

    ๓. ยิ่งนำไปย้อมเปลี่ยนสีพร้อมทั้งทำเครื่องหมาย (ทำพินทุ ใช้ปากกาหรือดินสอทำเป็นจุดที่ผ้าจีวร) ทำให้สีของผ้าเศร้าหมอง ไม่มีค่าไม่มีราคา ไม่เป็นที่ต้องการของใคร ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าสนใจ ไม่มีประโยชน์สำหรับใครๆ โจรผู้ร้ายไม่แย่งชิง แบบจีวรที่ถูกกำหนดตัดเย็บมาแต่โบราณ จึงถือเป็นแบบอย่างใช้มาจนถึงปัจจุบัน

    สีของจีวร แต่เดิมพระภิกษุใช้มูลโค (โคมัย) หรือดินแดงย้อมจีวร ทำให้สีของจีวรเป็นสีคล้ำไม่เหมาะสม มีการทักท้วงกันขึ้น จึงนำความกราบบังคมทูลให้พระองค์ทรงทราบ พระพุทธเจ้ามีดำรัสว่า

    “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำย้อม ๖ ชนิดสำหรับย้อมจีวร คือ น้ำย้อมจากรากไม้ น้ำย้อมจากต้นไม้ น้ำย้อมจากเปลือกไม้ น้ำย้อมจากใบไม้ น้ำย้อมจากดอกไม้ และน้ำย้อมจากผลไม้”

    เมื่อย้อมเสร็จแล้วจีวรจะออกมาเป็นสีกรัก สีเหลืองหม่น หรือสีเหลืองเจือแดงเข้มเหมือนย้อมด้วยแก่นขนุน แต่ทรงห้ามไม่ให้ภิกษุย้อมจีวรด้วย ขมิ้น ฝาง แกแล มะหาด เปลือกโลท เปลือกคล้า ใบมะเกลือ คราม ดอกทองกวาว ฯลฯ

    สีจีวรที่ต้องห้าม คือ

    ๑. สีเขียวคราม สีเหมือนดอกผักตบชวา

    ๒. สีเหลือง สีเหมือนดอกกรรณิการ์

    ๓. สีแดง สีเหมือนชบา

    ๔. สีหงสบาท (สีเหมือนเท้าหงส์) สีแดงกับเหลืองปนกัน

    ๕. สีดำ สีเหมือนลูกประคำดีควาย

    ๖. สีแดงเข้ม สีเหมือนหลังตะขาบ

    ๗. สีแดงกลายๆ แดงผสมคล้ายใบไม้แก่ๆ ใกล้ร่วง (เหมือนสีดอกบัว)

    มีบางแห่งระบุว่าสีต้องห้าม คือ สีดำ สีคราม สีเหลือง สีแดง สีบานเย็น สีแสด และ สีชมพู ถ้าจีวรมีสีตรงตามนี้ ให้ภิกษุย้อมใหม่ ถ้าทำลายสีเดิมไม่ออกก็ให้นำไปใช้เป็นผ้าปูลาดสำหรับรองนั่ง หรือใช้งานอื่นๆ หรือใช้ซับในระหว่างจีวรสองชั้นก็ได้

    [​IMG]

    สีจีวรที่พระพุทธเจ้าและพระอัครสาวกใช้

    การที่จะยืนยันว่าพระพุทธเจ้าทรงใช้จีวรสีใดย่อมเป็นการยากที่จะระบุให้ชัดเจนได้ เนื่องจากไม่เคยมีใครได้พบเห็นพระพุทธองค์ด้วยตัวเอง แต่สามารถประเมินได้จากหลักฐานพระคัมภีร์ในหลายแห่งที่พอเปรียบเทียบได้ คือ

    ๑. พระผู้มีพระภาคเจ้า (พระพุทธเจ้า) ทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาซึ่งมีสีดุจทอง ออกจากระหว่างบังสุกุลจีวรอันมีสีแดง

    ๒. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนุ่งผ้าสองชั้นที่ย้อมดีแล้ว ทรงห่มจีวรมหาบังสุกุล ได้ขนาดสุตตประมาณ ปานผ้ารัตตกัมพล (ผ้าสีแดง)

    ๓. พระผู้มีพระภาค ทรงห่มบังสุกุลจีวรอันประเสริฐสีแดง มีสีคล้ายสียอดอ่อนของต้นไทร

    สีจีวรของพระอัครสาวกมีหลักฐานปรากฏว่า ๑. แม้พระมหาเถระทั้งหลาย มีพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ เป็นต้น ห่มบังสุกุลจีวร มีสีแดงเหมือนเมฆ ๒. พระมหาเถระทั้งหลาย มีพระมหากัสสปะ เป็นต้น ห่มบังสุกุลจีวรมีสีแดงเหมือนเมฆ

    สีจีวรของพระเถระผู้ใหญ่ในสมัยพุทธกาล ก็เหมือนกับสีจีวรของพระพุทธเจ้า คือ สีแดง ตรงตามพระบรมพุทธานุญาต คือ สีเหลืองเจือแดงเข้ม ที่ใช้ย้อมด้วยแก่นขนุน คือสีกรักนั่นเอง

    สีจีวรของพระสงฆ์ไทยปัจจุบัน ในสมัยพุทธกาล แม้พระภิกษุสงฆ์จะย้อมจีวรด้วยสีธรรมชาติแท้ๆ แต่ก็เชื่อว่าสีคงจะไม่ออกมาเป็นมาตรฐานเดียวกันหมดแน่นอน คงจะมีผิดเพี้ยนแตกต่างกันไปบ้าง แม้ในยุคปัจจุบันก็มีการใช้สีจีวรต่างๆ แต่พอแยกออกได้ ๒ สี คือ สีเหลืองเจือแดงเข้ม และ สีกรักสีเหลืองหม่น

    วัดใดจะใช้จีวรสีไหนก็ได้ ไม่มีข้อห้าม เพราะถือว่าถูกต้องตรงตามพระบรมพุทธานุญาตทั้ง ๒ สี แต่ถ้าเป็นพระภิกษุสามเณรที่ยู่ในวัดเดียวกัน ก็น่าจะใช้จีวรสีเดียวกัน ส่วนสีที่นิยมในพระราชพิธีในพระบรมมหาราชวัง (วัดพระแก้ว) นิยมใช้สีกรัก หรือสีเหลืองหม่น เป็นมาตรฐานเดียวกัน ตลอดจนผ้าไตรที่ทางฝ่ายพระราชพิธีจัดเตรียมไว้ถวายพระด้วย ทั้งนี้ เพื่อความสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย และปฏิบัติมาจนถึงปัจจุบัน

    ผู้มีจิตศรัทธาต้องการถวายผ้าจีวรแก่พระสงฆ์ควรทราบ

    ๑. ข้อควรปฏิบัติ คือ จะเลือกซื้อจีวรแบบไหนสีใดไปถวายพระวัดใด ต้องคำนึงถึงคุณภาพของผ้า ที่พระท่านสามารถใช้สอยได้อย่างเหมาะสม อีกอย่างหนึ่งคือ ต้องเลือกสีให้ถูกต้องตรงตามความนิยมของแต่ละวัด เช่น วัดบวรนิเวศ ใช้สีกรักหรือเหลืองหม่น วัดสระเกศ ใช้สีเหลืองเจือแดงเข้ม เป็นต้น

    ๒. จุดประสงค์การถวายผ้าจีวร เพื่อให้พระภิกษุหมดภาระในการแสวงหาผ้านุ่งห่ม ไม่ต้องกังวลใจ มีเวลาปฏิบัติธรรมอย่างเพียงพอ และเป็นการช่วยให้พระภิกษุมีผ้านุ่งห่ม ป้องกันเหลือบยุง บำบัดความหนาว ป้องกันความร้อน ป้องกันไม่ให้ป่วยไข้เพราะร้อนและหนาวเกินไป และรักษาสุขภาพอนามัยคือใช้ชายจีวรกรองน้ำดื่มเมื่อถึงคราวจำเป็น

    ๓. อานิสงส์การถวายจีวร ผู้ถวายต้องตั้งเจตนาบริจาคให้เป็นทานบารมีที่บริสุทธิ์จริงๆ ไม่ให้เกิดการเสียดาย จึงบังเกิดเป็นบุญมหาศาล แยกได้ดังนี้

    (๑) สามารถตัดบาปออกไปจากจิตใจได้เด็ดขาด

    (๒) กำจัดกิเลสขวางโลก คือ ความโลภ ความตระหนี่ถี่เหนียว ให้บรรเทาเบาบางจนจางหายไปในที่สุด

    (๓) ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นสุขสดใสใจเบิกบาน

    (๔) เกิดความภาคภูมิใจที่มั่นคงอยู่ในบุญกุศล

    (๕) พ้นจากความยากจน ความลำบากขัดสนทุกภพทุกชาติ

    (๖) มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยปัจจัย ๔ ทุกภพทุกชาติ

    (๗) เกิดชาติใดภพใดจะเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ผิวพรรณผุดผ่องแจ่มใส

    (๘) ทำให้บังเกิดความอิ่มบุญ เย็นใจตลอดเวลาทุกครั้งที่นึกถึง

    คำถวายจีวร

    อิมานิ มะยัง ภันเต จีวะรานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิมานิ จีวะรานิ สะปะริวารานิ ปฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ

    หรือจะกล่าวเฉพาะคำแปลก็ได้ คือ ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายจีวร พร้อมทั้งของบริวารเหล่านี้ แก่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์ โปรดรับจีวร พร้อมทั้งของบริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญ



    .....................................................

    คัดลอกมาจาก ::
    นสพ.คม ชัด ลึก คอลัมน์ พระเครื่อง คม ชัด ลึก
    ฉบับวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ.2547
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ถนนข้าวสารเริ่มคึกคัก หลังนักท่องเที่ยวเริ่มเล่นน้ำ

    http://hilight.kapook.com/view/35806


    [​IMG]

    ถนนข้าวสารเริ่มคึกคัก หลังนักท่องเที่ยวเริ่มเล่นน้ำ (ไทยรัฐ)

    ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศบนถนนข้าวสาร ในวันนี้ (12 เมษยน) ว่า เริ่มมีการเล่นน้ำสงกรานต์กันแล้ว โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติได้จับกลุ่มเล่นน้ำสงกรานต์กันเป็นระยะ ตั้งแต่บริเวณ สน.ชนะสงคราม เรื่อยไปจนเข้าสู่ถนนข้าวสาร นอกจากนี้ ยังมีการตั้งเวทีกลางบนถนนข้าวสาร เพื่อใช้ในการเปิดงานมหาสงกรานต์บนถนนข้าวสาร ที่จัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 15 เมษายน

    ด้าน สน.ชนะสงครามได้จัดเตรียมกำลังตำรวจ ทั้งในและนอกเครื่องแบบ เพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลรักษาความปลอดภัย ให้กับนักท่องเที่ยว ที่เข้ามาเล่นน้ำในถนนข้าวสาร อีกทั้งยังตั้งจุดตรวจรับเรื่องแจ้งเหตุจากนักท่องเที่ยว ที่บริเวณด้านข้างของ สน.ชนะสงครามด้วย ​




    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ไทยรัฐ
    [​IMG]

    --------------------------------------------------------------

    ส่วนรูปที่อยู่ด้านล่าง ผมไปบางลำภูมาเมื่อสายๆ กลับเมื่อเที่ยงๆ ผมถ่ายรูปผู้มาเล่นสงกรานต์กันครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เซฟตัวไว้ยามเดินทางไกล

    http://hilight.kapook.com/view/35790


    [​IMG]



    เซฟตัวไว้ยามเดินทางไกล (ลิซ่า)

    เข้าเดือนเมษายนแล้ว เชื่อว่าหลายคนคงมีโปรแกรมเดินทางไกลเพื่อพักผ่อน ไม่ก็กลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัว แต่ถ้าคุณต้องเดินทางคนเดียว ไม่ว่าจะโดยสารรถทัวร์หรือรถไฟอย่าเผลอซะล่าใจปล่อยเนื้อตัวตามสบาย หมั่นสังเกตคนนั่งใกล้ไม่ว่าจะเพศไหนก็อย่าไว้ใจ รวมถึงสิ่งผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทางเอาไว้บ้าง

    [​IMG] เลือกเดินทางในเวลากลางวันจะปลอดภัยกว่ากลางคืน และหากมีใครอาสาพักไปส่งบ้าน โดยบอกว่าเป็นคนบ้านเดียวกันก็อย่างไว้ใจ เพราะคุณอาจไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางก็ได้

    [​IMG] แต่งตัวให้รัดกุมและเหมาะสม ไม่ควรใส่เสื้อรัดโชว์สัดส่วนคว้านลึกโชว์อก รวมถึงกระโปรงสั้น เพราะจะเป็นเป้าล่อใจพวกฉวยโอกาส เผลอๆ จะถูกเหมาว่าเป็นการเชิญชวนให้ท่าโดยไม่รู้ตัว

    [​IMG] ระวังการตีสนิทของคนแปลกหน้า ทำทีเป็นชวนคุยให้ตายใจแล้วซื้อขนมนมเนย เครื่องดื่ม หรือแม้แต่ผ้าเย็น กระดาษทิชชูมาให้เพราะคุณอาจโดนมอมยาที่เจืออยู่ในของเหล่านี้ ทำให้สะลึมสะลือไม่ได้สติ แล้วถูกล่วงเกินทางเพศได้

    [​IMG] เก็บทรัพย์สินมีค่าให้มิดชิด ทางที่ดีอย่าพกของมีค่าเครื่องประดับราคาแพง หรือเงินสดติดตัวไปมากนัก เพราะยามคุณผล็อยหลับอาจโดนปล้อนเงียบชนิดจับมือใครดมก็ไม่ได้

    [​IMG] พกนกหวีดหรืออุปกรณ์ที่พอป้องกันตัวได้ หากคุณโดยสารรถไฟบนตู้นอน เพราะเวลากลางคืน หากเกิดเหตุร้ายคุณจะได้ขอความช่วยเหลือด้วยนกหวีด หรือมีอุปกรณ์ไว้ป้องกันตัวบ้าง

    [​IMG] ห้องน้ำบนรถถือเป็นจุดเสี่ยงสำหรับสาวๆ เพราะเคยมีคดีข่มขืนเกิดขึ้นแล้ว คุณจึงไม่ควรประมาทเป็นอันขาด ควรจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง

    [​IMG] อย่ารับฝากของใดๆ จากคนแปลกหน้า ไม่ว่าหญิงหรือชายเพราะอาจเป็นสิ่งผิดกฎหมาย หากเกิดการตรวจค้นจากเจ้าหน้าที่คุณอาจต้องกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปกับเขาด้วย

    [​IMG] ก่อนขึ้นรถหัดสังเกตพนักงานขับรถ และเด็กรถว่าอยู่ในสภาพที่พร้อมเดินทางมั้ย ประตูหนีไฟอยู่ช่วงไหนของตัวรถ และระหว่างนั่งรถอย่ามัวชมวิวจนเพลิน หัดสังเกตความเร็วรถ ลักษณะการับ รวมถึงกลิ่นต่างๆ หากเกิดอุบัติเหตุหรือไฟไหม้รถ คุณจะได้ตั้งสติ หาทางหนีทีไล่ได้ทัน

    ที่สำคัญแนะนำให้คุณพักผ่อนอย่างเต็มที่ก่อนเดินทาง เพราะอย่างน้อยๆ เมื่ออยู่บนรถไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น การมีร่างกายที่พร้อมสติครบถ้วน จะช่วยให้คุณดูแลตัวเองได้ดีเป็นเท่าตัว

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa
    [​IMG]
    นิตยสาร Lisa ฉบับวันพุธที่ 1 เมษายน 2552
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก news.com.au
     
  19. prawangna

    prawangna Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +33
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์คืออะไร
    http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9520000040563
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>10 เมษายน 2552 02:34 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> ออมอุ่นใจกับกองทุนประกันสังคม
    วิน พรหมแพทย์, CFA, win@sso.go.th

    นอกจากสำนักงานประกันสังคมจะนำเงินออมของท่านไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ หุ้นกู้เอกชน และหุ้นสามัญ เป็นส่วนใหญ่แล้ว สำนักงานประกันสังคมยังได้นำเงินออมของท่านไปกระจายลงทุนในหลักทรัพย์อื่นๆ เพื่อสร้างดอกผลและทำให้เงินงอกเงย

    ในตอนนี้เราจะมาทำความรู้จักกับหลักทรัพย์อีกกลุ่มหนึ่งที่กองทุนประกันสังคมมีเงินลงทุนอยู่ คือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีสัดส่วนน้อย เพียงประมาณ 0.5% ของเงินลงทุน แต่คาดว่าจะค่อยๆ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นในอนาคต

    ผมขอเรียนให้ท่านทราบเพิ่มเติมว่า การที่กองทุนประกันสังคมมีเงินลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ แทนที่จะเป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยตรง เพราะในขณะนี้การลงทุนของกองทุนยังทำในนาม “สำนักงานประกันสังคม” ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการ หากหน่วยงานราชการซื้ออาคารหรือที่ดิน ก็จะตกเป็นของแผ่นดินแทนที่จะเป็นของกองทุนประกันสังคม ดังนั้น กองทุนประกันสังคมในขณะนี้จึงยังไม่มีการลงทุนโดยตรงในอาคารหรือที่ดิน เป็นแต่เพียงการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับนักลงทุนรายอื่นๆ เพื่อสร้างรายได้จากค่าเช่า โดยทั่วไปการลงทุนประเภทนี้จะได้รับผลตอบแทนในรูปของ “เงินปันผล” ในอัตราประมาณ 7.0 – 9.0% ต่อปี

    กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์คืออะไร
    กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อรวบรวมเงินของนักลงทุนหลายๆ ราย นำไปลงทุนในอสังหาทรัพย์ที่มีรายได้ประจำในรูปค่าเช่า เช่น อาคารสำนักงาน เซอร์วิส อพาร์ทเมนท์ โรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม เป็นต้น โดยรายได้ที่เกิดขึ้นจากอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวจะถูกส่งต่อไปให้ผู้ลงทุน ในรูปเงินปันผล โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลประโยชน์ในรูปของเงินปันผลจากรายได้ที่เกิดจากการดำเนินงานของอสังหาริมทรัพย์นั้น รวมทั้งอาจจะได้รับกำไรจากส่วนต่างราคา (capital gain) ที่อาจเกิดขึ้นจากการขายหน่วยลงทุนในตลาดหลักทรัพย์

    กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มีลักษณะเฉพาะ ดังนี้
    - เป็นกองทุนปิดและต้องจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
    - มีเงินลงทุนของโครงการไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท
    - ต้องมีรายได้ประจำจากการให้บุคคลอื่นใช้อสังหาริมทรัพย์ของกองทุนรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของรายได้ทั้งหมดของกองทุนรวม
    - ต้องจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของกำไรสุทธิประจำปี

    ความเป็นมาของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
    กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จัดเป็นสินค้าการลงทุนชนิดใหม่ในประเทศไทย เพราะเพิ่งมีกฎหมายที่เอื้อให้จัดตั้งกองทุนในปี พ.ศ. 2546 และก็มีกองทุนเสนอขายในปีนั้นเป็นครั้งแรก แต่การลงทุนในกลุ่มนี้ก็เติบโตเร็วมาก ปัจจุบันมีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ออกมาขายในประเทศไทยแล้วจำนวน 17 กองทุน มีมูลค่ากองทุนรวมกว่า 60,000 ล้านบาท

    อย่างไรก็ดี กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นสินค้าการลงทุนที่มีมานานแล้วในต่างประเทศ โดยมักใช้ชื่อว่า Real Estate Investment Trust หรือ REIT ประเทศแรกที่มีกฎหมายรองรับการจัดตั้งกองทุนแบบ REIT คือ สหรัฐอเมริกา โดยมีกฎหมายจัดตั้งตั้งแต่ปี 1960 ปัจจุบันประเทศที่มีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์มีจำนวน 18 ประเทศ ในจำนวนนี้เป็นประเทศในเอเชียรวม 7 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น ไทย เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง และมาเลเซีย

    ผลตอบแทนจากการลงทุน
    1. ผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) เนื่องจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อนำเงินไปลงทุนในอสังหาทรัพย์ที่มีรายได้ประจำในรูปค่าเช่า เช่น อาคารสำนักงาน เซอร์วิส อพาร์ทเมนท์ เป็นต้น โดยรายได้ที่เกิดขึ้นจากอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวจะถูกส่งต่อไปให้ผู้ลงทุนในรูปเงินปันผล โดยทั่วไปนักลงทุนไทยจะได้รับเงินปันผลจากการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในระดับ 7.0 – 9.0% ต่อปี สูงกว่าดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลซึ่งที่ผ่านมาอยู่ในระดับ 3.0 – 4.0% ต่อปี

    นอกจากนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเงินปันผลสูงกว่าดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลแล้ว ยังมีแนวโน้มว่าผลตอบแทนดังกล่าวจะปรับเพิ่มขึ้นในระยะยาวอีกด้วย ทั้งนี้ ดังที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่ารายได้ของกองทุนมาจากค่าเช่า ซึ่งโดยทั่วไปค่าเช่าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ค่าเช่าอพาร์ทเม้นท์ ค่าเช่าพื้นที่ร้านค้า ค่าเช่าอาคารสำนักงาน ฯลฯ มักจะปรับเพิ่มขึ้นเมื่อมีการต่อสัญญาเช่า และมักจะสะท้อนอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว ดังนั้น ผลตอบแทนเงินปันผลจากการลงทุนในกองทุนประเภทนี้จึงมักจะปรับเพิ่มขึ้นในระยะยาวตามภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งจะช่วยรักษามูลค่าเงินลงทุนที่แท้จริงของนักลงทุน ต่างจากดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวซึ่งเมื่อท่านซื้อพันธบัตรแล้ว ท่านจะได้รับผลตอบแทนเป็นคูปองที่คงที่ตลอดอายุพันธบัตร

    2. ผลตอบแทนจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้น (Capital Gain) นอกจากผลตอบแทนจากค่าเช่าแล้ว ในกรณีที่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นำเงินไปลงทุนในกรรมสิทธิ์อาคารและที่ดิน หากเวลาผ่านไปมูลค่าอาคารและที่ดินปรับตัวเพิ่มขึ้น มูลค่าหน่วยลงทุนซึ่งวัดเป็นมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (Net Asset Value หรือ NAV per unit) ก็อาจจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ราคาซื้อขายหน่วยลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ก็อาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้น นักลงทุนสามารถขายหน่วยลงทุนในราคาสูงกว่าที่ซื้อมา ได้กำไรจากการขายอีกด้วย

    ความเสี่ยงจากการลงทุน
    1. ความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่อง โดยทั่วไป “อสังหาริมทรัพย์” เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ ไม่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้เร็วเหมือนพันธบัตรหรือหุ้น การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จึงมีสภาพคล่องต่ำไปด้วย หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดแล้วกองทุนจะต้องขายสินทรัพย์เพื่อนำเงินสดมาคืนนักลงทุน กระบวนการขายสินทรัพย์เพื่อนำเงินมาคืนน่าจะใช้เวลานานมาก นอกจากนี้ ถึงแม้ว่านักลงทุนสามารถนำหน่วยลงทุนไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ แต่ที่ผ่านมาการซื้อขายหน่วยลงทุนก็มีสภาพคล่องต่ำเช่นกัน การลงทุนในกองทุนประเภทนี้จึงเหมาะกับนักลงทุนระยะยาวเท่านั้น

    ทั้งนี้ กองทุนประกันสังคมจัดเป็นกองทุนระยะยาว เพราะเงินลงทุนส่วนใหญ่เป็นเงินออมของท่านผู้ประกันตนที่เตรียมไว้รอจ่ายเป็นบำนาญเมื่อเกษียณ จึงสามารถยอมรับความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและสามารถลงทุนในระยะยาวได้

    2. ความเสี่ยงที่ราคาหน่วยลงทุนอาจลดต่ำลงจากราคาซื้อ ด้วยเหตุที่การซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มีสภาพคล่องต่ำ ทำให้ราคาซื้อขายโดยทั่วไปมักจะต่ำกว่าราคาพาร์ที่ 10 บาทเพื่อสะท้อนการขาดสภาพคล่อง นอกจากนี้ ราคาซื้อขายหน่วยลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มักจะต่ำกว่ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วยของกองทุน จึงมีความเสี่ยงที่ราคาหน่วยลงทุนที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะต่ำกว่าราคาที่นักลงทุนซื้อมาในตอนแรก

    3. ความเสี่ยงที่กองทุนจะไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดไว้ เนื่องจากรายได้หลักของกองทุนมาจากค่าเช่า จึงมีความเสี่ยงที่หากภาวะเศรษฐกิจซบเซา จำนวนผู้เช่าอาจจะลดลงหรือผู้เช่าไม่สามารถชำระค่าเช่าตามสัญญาได้ นอกจากนี้ กองทุนยังต้องรับความเสี่ยงโดยทั่วไป อันเกิดจากภาวะเศรษฐกิจ ราคาอสังหาริมทรัพย์ การวางผังเมือง การเวนคืนที่ดิน การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากรและการโยกย้ายของชุมชน ความเสี่ยงทางการเมือง ภัยธรรมชาติ การก่อวินาศกรรม ภาระภาษี ความเสี่ยงเกี่ยวกับใบอนุญาต รวมทั้งความเสี่ยงที่ผลตอบแทนจะลดลงชั่วคราวในขณะที่มีการปรับปรุงซ่อมแซมอาคาร

    อยากลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ต้องทำอย่างไร
    สำหรับท่านที่สนใจจะแบ่งเงินออมส่วนหนึ่งไปลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ท่านจะได้รับประโยชน์ตรงที่สามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากนัก เช่น ท่านสามารถใช้เงินลงทุนเพียง 10,000 บาทเพื่อซื้อหน่วยลงทุนกองทุนที่ลงทุนในเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ท่านก็จะได้รับส่วนแบ่งค่าเช่าจากเงินลงทุนนั้นๆ แต่หากต้องลงทุนโดยตรง ท่านอาจจะต้องใช้เงินลงทุนหลายล้านบาทเพื่อซื้อ

    อพาร์ทเม้นท์ 1 ยูนิตไว้ให้เช่า ยิ่งไปกว่านั้น หากท่านมีเงินลงทุนมาก ท่านสามารถกระจายเงินลงทุนไปซื้อหน่วยของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หลายๆ ประเภท เช่น อาคารสำนักงาน เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุน

    นอกจากนี้ ท่านยังประหยัดเวลาในการบริหารจัดการ โดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์และผู้จัดการกองทุนในการจัดหาผู้เช่า แทนที่ท่านจะต้องคอยจัดหาผู้เช่าด้วยตนเอง

    อย่างไรก็ดี ก่อนการลงทุนทุกครั้ง ผมขอแนะนำให้ท่านศึกษาข้อมูลโครงการกองทุนรวมและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง โดยศึกษาจากหนังสือชี้ชวนอย่างละเอียด ทั้งในเรื่องของนโยบายการลงทุน รายละเอียดของอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนรวมจะลงทุน บริษัทจัดการ นโยบายการจ่ายเงินปันผล ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ นอกจากนี้ท่านควรศึกษาถึงปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อภาวะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เช่น การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ภาวะอัตรา ดอกเบี้ย วัฏจักรของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. หม่อง

    หม่อง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2007
    โพสต์:
    363
    ค่าพลัง:
    +943
    ไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้ามาบ่อยครับ พอดีเข้ามาติดตามข่าวสารบ้านเมืองด้วย เลยลบข่าวความวุ่นวายมาเว็บพลังจิต เจอรูปพระพุทธที่พี่หนุ่มโพสถามเลยขออาราธนาบารมีพระองค์ท่านทั้ง2องค์ ขอให้ประเทศไทยผ่านพ้นปัญหาขณะนี้ไปสู่ความสุขสวัสดีโดยเร็ว ไร้ซึ่งการเสียเลือดเนื้อของทุกๆฝ่ายด้วยเทอญสาธุ


    และขอร่วมทดสอบตอบด้วยคนนะครับ องค์ซ้าย ทรงพิมพ์ อู่ทององค์ขวา ทรงพิมพ์ สุโขทัยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...