พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ระวังเครียดไม่รู้ตัว กล้ามเนื้อเกร็ง-เมื่อยล้า

    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNeE5BPT0=&day=TWpBd09TMHdOQzB4TUE9PQ==

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ สถาบันอริยะจัดโปรโมชั่นให้ลูกๆ พาคุณพ่อ คุณแม่ ไปตรวจโครงสร้างร่างกายฟรี มูลค่า 2,900 บาท พร้อมแพ็กเกจปรับโครงสร้างร่างกาย 3 ครั้ง มูลค่า 9,900 บาท จากปกติ 16,500 บาท ภายในวันที่ 10-15 เม.ย. 2552 โดยโทร.นัดหมายล่วงหน้ากับนักกายภาพ บำบัดที่ 0-2677-7166-7 อริยะเวลเนสเซ็นเตอร์ ชั้น 1 อาคารไลฟ์เซ็นเตอร์ ตึกคิวเฮ้าสŒลุมพินี

    นอกเหนือจากโปรโมชั่นดังกล่าว เพ็ญพิชชากร แสนคำ นักกายภาพบำบัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับโครงสร้างร่างกาย ให้ข้อมูลเรื่องความเครียดที่เกิดขึ้นในช่วงที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองรุมเร้า โดยระบุว่า ความเครียดแบ่งออกได้ 2 ชนิด

    1. Acute stress เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นในทันทีและร่างกายก็จะตอบสนองโดยการแสดงออกมาทันที ซึ่งความเครียดนี้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ เกิดผลกระทบต่อสภาพร่างกายและจิตใจไม่นาน แต่ถ้าบ่อยก็จะส่งผลเป็นความเครียดแบบเรื้อรังได้

    2. Chronic stress เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นซ้ำๆ กับภาวะร่างกายและจิตใจทุกๆวันอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำที่รุมเร้าคนในสังคมปัจจุบัน ความเครียดจากปัญหาการทำงานที่เป็นภาวะที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ความหน้าเบื่อจากการทำงาน จากเพื่อนร่วมงาน จากเจ้านาย แต่ไม่มีทางเลือกและไม่อาจจะแสดงออกมาได้ ฯลฯ <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ความเครียดชนิดนี้จะค่อยๆ บั่นทอนสุขภาพร่างกายและจิตใจอย่างช้าๆ โดยไม่รู้สึกตัวได้ เป็นการฝังลึกลงในจิตใต้สำนึก ทุกครั้งที่เกิดภาวะเครียด โดยเฉพาะความ เครียดเรื้อรังนั้นมีผลโดยตรงต่อการทำงานของร่างกาย ทุกระบบจะทำงานหนักมากขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้

    เมื่อภายใต้จิตสำนึกของคุณเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งเรียกว่า อะดรีนาลิน ผลของฮอร์โมนชนิดนี้กระทบและเป็นผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก เมื่อร่างกายมีการหลั่งจะทำให้หลอดเลือดในร่างกายบีบตัว การไหลเวียนของเลือดไปสู่อวัยวะต่างๆ น้อยลง หัวใจต้องทำงานหนักบีบตัวสูงขึ้น ความดันเพิ่มขึ้น แต่หากมีภาวะไขมันในหลอดเลือดก็อาจเสี่ยงต่อการเป็นเลือดอุดตัน ภาวะขาดเลือดในอวัยวะสำคัญๆ เช่น หัวใจ สมอง เป็นต้น การทำงานของอวัยวะต่างๆ ด้อยประสิทธิภาพลง เช่น หายใจไม่อิ่ม เหนื่อยง่าย กระเพาะอาหารหลั่งกรดออกมามาก ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ท้องผูก ร่างกายขับพิษไม่ได้ ตับและไตก็ต้องทำงานหนักขึ้น สมรรถภาพทางเพศลดลง ปวดเมื่อยตามร่างกาย หงุด หงิด ไม่มีสมาธิ ระบบภายในร่างกายต้องทำงานสูงเกิดการดึงอินซูลินในระบบเลือดมาใช้ กระตุ้นให้กินมาก เกิดโรคอ้วนได้ ฯลฯ

    อาการทางร่างกายที่บ่งบอกได้ง่ายที่สุดคือ อาการของระบบกระดูกกล้ามเนื้อ เมื่อเครียดฮอร์โมนที่เป็นตัวร้ายจะเริ่มคุกคาม ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวมากกว่าปกติ จนรู้สึกเมื่อยล้าในร่างกายอย่างบอกไม่ถูก ไม่กระปรี้กระเปร่า ง่วงนอน หาวบ่อยๆ

    กล้ามเนื้อส่วนที่มีปัญหามากที่สุดก็คือ กล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอ กล้ามเนื้อเหล่านี้จะเป็นมัดเล็กๆ เป็นริ้วๆ เกาะตามขอบของท้าย ทอย เป็นทางผ่านของหลอดเลือดที่เลี้ยงสมอง และเลี้ยงอวัยวะต่างๆ บนศีรษะ บริเวณนี้จะเตือนคุณได้มากที่สุด คุณจะปวดคอ ปวดบ่า บางรายร้าวไปที่หลัง รอบสะบัก หายใจแล้วเสียวในช่องอก มากขึ้นเรื่อยขนาดปวดร้าวขึ้นศีรษะ เหมือนเป็นไมเกรน เนื่องจากกล้ามเนื้อหดตัวมากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ตา ปากอาจกระตุกด้วย

    การดูแลให้ถูกทาง คือทำกล้ามเนื้อให้มีความยืดหยุ่นดี กระดูกควรอยู่ในแนวที่ปกติ เส้นเลือด เส้นประสาทระบบขับสารเสีย ระบบน้ำเหลืองไหลเวียนได้ดี ไม่ใช่แค่การไปคลายที่คออย่างเดียว เพราะกล้ามเนื้อเกี่ยวพันกันอยู่ทุกส่วน ควรปรับสมดุลให้โครงสร้างร่างกาย เพราะถ้าปรับสภาวะให้โครงสร้างสมดุลแล้วระบบเลือด น้ำเหลือง เส้นประสาทจะไหลเวียนได้เต็มที่ มีผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนชนิดดีที่จะทำงานตรงกันข้ามกับอะดรีนาลิน นั่นคือเอ็นดอรŒฟิน ซึ่งเป็นสารสุขให้กับร่างกาย

    หากต้องการดูแลด้วยตนเองก่อน ควรผ่อนคลายด้วยการนวดเบาๆ อบ/ประคบร้อน ไม่ควรทำแรงบริเวณคอ เพราะมีเส้นเลือดและกล้ามเนื้อที่สำคัญมาก หากต้องการรักษาก็ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของระบบกระดูกกล้ามเนื้อจะดีกว่า ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาเพราะจะส่งผลเสียมากขึ้น
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>แนะเทคนิคนวดตัวเอง-ยาสมุนไพร ช่วงขับรถไกลสงกรานต์
    http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000041035
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>10 เมษายน 2552 16:47 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=337 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=337>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพประกอบจากอินเทอร์เนต</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แนะประชาชนที่เดินทางไกลขับรถนานๆ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ อาจเกิดอาการเมื่อยล้า จึงแนะเทคนิคนวดไทยผ่อนคลายได้ด้วยตนเอง ด้วยยาสมุนไพรภูมิปัญญาไทย

    นพ.นรา นาควัฒนานุกล อธิบดีกรมพัฒนาแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ให้สัมภาษณ์ถึงวิธีการป้องกับอาการเมื่อยล้าระหว่างขับรถทางไกลช่วงเทศกาลสงกรานต์ ว่า ช่วงเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี ตามประเพณีไทย เราต้องกลับไปไหว้ขอพรบิดา มารดา ตลอดจนผู้อาวุโสที่บ้าน จึงอาจจะต้องมีการสัญจรในระยะทางใกล้บ้าง ไกลบ้าง หรือบางครอบครัวอาจถือโอกาสวันหยุดยาวพาครอบครัวไปเที่ยวต่างจังหวัด และเมื่อขับรถไกลๆ อาจจะเกิดภาวะเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว เพราะการขับขี่รถยนต์ต้องใช้ประสาทสัมผัสทุกส่วนตลอดเวลา

    นพ.นรา กล่าวต่อว่า ในกรณีดังกล่าวจึงอยากแนะนำให้ภูมิปัญญาไทยที่มีหลากหลายวิธีมาประยุกต์ดูแลตัวเองระหว่างการเดินทาง เพราะบางครั้งเราก็ไม่สามารถพึ่งพาผู้อื่นได้ระหว่างเดินทาง เช่น อาการเป็นตะคริว มึนหรือเวียนศีรษะ ซึ่งอาการเหล่านี้หากเกิดขึ้นสามารถดูแลด้วยตนเองได้

    “อยากให้เตรียมพิมเสนน้ำ ยาหม่อง ยาหอม สำหรับใช้เวลาคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ เมารถ และสมุนไพลประเภทน้ำมันไพล ยาหม่องไพลหรือขมิ้น เพื่อนวดบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ที่สำคัญคือการนวดตัวเองกรณีขับรถนานๆ มีอาการกล้ามเนื้อน่องตึง สามารถนวดตัวเองได้ง่ายๆ ด้วยการยกขาข้างที่ตึงปวดมาพาดไว้บนหน้าขาอีกข้างหนึ่งคล้ายกับการนั่งไขว่ห้างในลักษณะสามเหลี่ยม แล้วใช้นิ้วโป้งกดตามแนวน่องด้านในไล่ไปทั้งขา 5-10 รอบ ทำสลับข้างจนรู้สึกสบาย จะแก้ปัญหาปวดตึงน่องได้”

    อธิบดีกรมพัฒนาแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกล่าวต่ออีกว่า หากผู้สนใจในวิธีการเหล่านี้ ทางกรมพัฒนาแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก ก็ได้จัดบริการประชาชน ด้วยการสอนวิธีการนวดดูแลตัวเอง โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น และมีหนังสือคู่มือฝึกกายบริหารแบบไทยแจกทุกท่านฟรี
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    ความเข้มข้น ไม่สำคัญเท่า ปริมาณ และ คุณภาพครับ ระวังเรื่องติดรสหวานก็พอครับ
     
  4. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113

    สรรพคุณอีกอย่างสามารถรักษาโรคต้อ ตาแดงได้นะครับผมเคยเป็นต้อเนื้อแล้วใช้หยอดตา ไม่เกินอาทิตย์หายไปเลยครับต้อ
    พี่ท่านนี้ท่านอยู่น่านไม่ใช่หรือครับ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เออใช่แล้วน้องกวง อยู่ที่น่าน
    ไม่รู้ว่าจำแพร่ มาจากไหน
    หน้าแตก หมอไม่รับเย็บอีกแล้วครับท่าน

    ขอบใจน้องหมอและน้องกวงครับ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มองธรรมถูกทางมีสุขทุกที่ (7)
    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNd053PT0=&day=TWpBd09TMHdOQzB4TVE9PQ==


    พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.9)



    ตัวอย่างง่ายๆ เห็นกันทั่วไป คือคนเจ็บไข้ ที่มีกำลังใจดี หรือมีเรื่องมีข่าวให้ดีใจ ปลื้มใจ หรือเกิดกำลังใจ แล้วมีอาการฟื้นดีขึ้นทันตา หรือหายวันหายคืน

    ในทางตรงข้าม ผู้ป่วยอีกมากหลาย ทั้งที่โรคก็ยังไม่ทรุดหนักนักหนา แต่เกิดใจเสียขึ้นมา หมดกำลังใจ เลยทรุดหนักลงไปเร็วไวเห็นกับตา เรื่องอย่างนี้ หลายท่านรู้เห็นมา และเล่าได้ดี จึงไม่ต้องบรรยาย

    นักแก้ปัญหา เริ่มด้วยปัญญาที่รู้ทุกข์

    พอมองที่หลักอริยสัจก็เห็นว่า พระพุทธศาสนาเริ่มต้นที่ทุกข์

    บางทีคนภายนอก หรือแม้แต่คนภายในนี่เอง มองว่าพระพุทธศาสนาสอนแต่เรื่องทุกข์ อะไรก็เป็นทุกข์ ชีวิตก็เป็นทุกข์

    บางคนพูดถึงพระพุทธศาสนาว่าเป็น pessimism คือมองโลกแง่ร้าย ตำราฝรั่งหลายเล่มเริ่มเรื่องว่าพระพุทธศาสนามองชีวิตเป็นทุกข์ บอกว่า life หรือ existence เป็น suffering อะไรทำนองนี้ ซึ่งชวนให้เข้าใจผิด

    ตรงนี้ชาวพุทธเองจะต้องชัดเจน

    ก่อนจะชี้แจงอะไร ขอตั้งข้อสังเกตอย่างหนึ่งว่า


    คนพวกที่ไม่ได้เรียนพระพุทธศาสนาในแง่ของตำรับตำราหรือทฤษฎี ถ้าอยู่ๆ เข้ามาเมืองไทย อาจจะได้ภาพของพระพุทธศาสนาที่เขาประทับใจในทางตรงกันข้ามกับพวกที่อ่านหนังสือ

    พวกที่อ่านหนังสืออาจเข้าใจว่า พระพุทธศาสนานี่สอนอะไรต่ออะไรให้มองชีวิตเป็นทุกข์ ไม่สบายเลย แต่พวกที่ไม่ได้อ่านหนังสือ อยู่ๆ เข้ามาเมืองไทย เพียงแต่รู้ว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ พอมาเห็นคนเมืองไทยยิ้มแย้มแจ่มใส อย่างที่เรียกว่าเป็น the land of smile สยามเมืองยิ้ม เลยรู้สึกว่าคนไทยเป็นสุข เคยมีฝรั่งหนุ่มสาวไปหาอาตมาที่วัด ไม่รู้จักกัน ไม่รู้ว่าใครแนะนำไป ถามเขาว่ามาทำไม

    เขาบอกว่าเขาอยากรู้เรื่องพระพุทธศาสนา ก่อนมาไม่ได้สนใจ แต่มาแล้ว ตอนเช้ายืนที่หน้าต่าง มองลงไป เห็นคนไทยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ดูคนไทยมีความสุขดี พุทธศาสนาสอนอะไรทำให้คนไทยมีความสุข

    บางรายถึงขนาดบอกว่า เขาไปเที่ยวตามบ้านนอก ไปเห็นแม้แต่งานศพ สนุกสนานกันจัง (อาจจะมากไปหน่อย!) เมืองฝรั่งไม่เป็นอย่างนี้ เวลามีงานศพ ฝรั่งหน้าตาเคร่งเครียดเหลือเกิน จิตใจไม่สบายเลย นี่เป็นความประทับใจ สำหรับคนที่มาเห็นภาพในชีวิตจริงว่าชาวพุทธมีความสุข ตรงกันข้ามกับเมืองฝรั่งที่มีแต่หน้าตาเคร่งเครียด ยิ้มยาก มีความทุกข์มาก เป็นโรคจิตมาก

    จะโยงอย่างไร ให้สุขกับทุกข์รวมอยู่ในภาพของพระพุทธศาสนาอันเดียวกัน ถ้าจับหลักได้ จะไม่มีปัญหาในเรื่องนี้

    คำตอบอยู่ที่หลักกิจในอริยสัจ หรือหน้าที่ต่ออริยสัจ

    เมื่อพูดถึงอริยสัจสี่ ก็ต้องพูดถึงหน้าที่ต่ออริยสัจด้วย จะรู้อริยสัจอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรู้หน้าที่ต่ออริยสัจและปฏิบัติหน้าที่นั้นให้ถูกต้องจนเสร็จสิ้นด้วย การเรียนอริยสัจโดยไม่รู้หน้าที่ต่ออริยสัจจะทำให้สับสน

    พระพุทธศาสนาสอนอริยสัจสี่ เริ่มด้วยทุกข์

    หน้าที่ต่อทุกข์ ได้แก่ ปริญญา คือ ต้องรู้ทันมัน

    เมื่อมีปัญหา ถ้าเราจะแก้ไข ก็ต้องรู้เข้าใจมันก่อน จึงจะแก้ไขได้ ปัญหาจึงเป็นสิ่งที่เราต้องรู้เข้าใจ ต้องจับจุดปัญหาให้ได้

    นี่คือที่ว่า ทุกข์ เราต้องรู้เท่าทัน แต่เราไม่มีหน้าที่เป็นทุกข์

    ไม่เฉพาะตัวปัญหาเท่านั้น เราจะต้องรู้เข้าใจสิ่งที่เกี่ยวข้องกับปัญหา สิ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของปัญหา คือรู้เท่าทันชีวิตสังขาร หรือรู้เท่าทันโลก

    ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของการรู้ หน้าที่ต่อทุกข์มีอย่างเดียวคือปริญญา พูดง่ายๆ ทุกข์ สำหรับปัญญารู้... จบแค่นี้

    ถ้าใครเอาทุกข์มาเข้าตัว ใครทำตัวให้เป็นทุกข์ แสดงว่าปฏิบัติผิดหลัก ไม่มีที่ไหนพระพุทธเจ้าสอนให้คนเป็นทุกข์ สอนแต่ให้รู้เท่าทันทุกข์ เพื่อจะได้แก้ไขมัน

    ทุกข์ ต้องมองให้เห็น - สุข ต้องมีให้เป็น

    สุขตรงข้ามกับทุกข์ สุขอยู่ในอริยสัจข้อไหน สุขอยู่ในข้อนิโรธ คือในข้อจุดหมาย


    แต่เราไม่นิยมใช้คำว่าสุข เพราะสุขนี้เป็นสัมพัทธ์ตลอด เป็น relative เพราะตราบใดที่มีสุข ก็หมายความว่ายังมีทุกข์แฝง ปน หรือเป็นคู่ชิง เป็นตัวเลือกอยู่ คือยังไม่พ้นทุกข์ ยังไม่ชัดว่าทุกข์หมดหรือยัง แต่ถ้าเมื่อไรทุกข์ไม่มีเหลือ อันนี้จะพูดว่าสุขหรือว่าอะไรก็แล้วแต่ ถ้าพูดว่าสุข ก็พูดเชิงเทียบ คือหมายถึงสุขสมบูรณ์ ไม่มีทุกข์เหลือเลย

    นิโรธนั้น ที่แท้ไม่ใช่แปลแค่ดับทุกข์ เพราะถ้าดับทุกข์ ก็แสดงว่าเรามีทุกข์ จึงต้องดับมัน แล้วก็ต้องคอยดับกันอยู่เรื่อย

    ขอให้สังเกตว่า "นิโรธ" แท้ แปลว่า การไม่เกิดขึ้นแห่งทุกข์
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กตัญญูรู้คุณท่าน
    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNd053PT0=&day=TWpBd09TMHdOQzB4TVE9PQ==


    ธรรมะวันหยุด

    พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.๙) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร วรวิหาร watdevaraj@hotmail.com



    คนดี ย่อมเป็นที่ยกย่องนับถือของคนทั่วไป เพราะอำนาจของความกตัญญูกตเวที ดังพระบาลีที่ว่า "ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี"

    กตัญญู หมายถึง บุคคลผู้รู้คุณของคนอื่น กตเวที หมายถึง บุคคลที่ตอบแทนผู้มีคุณแก่ตน ดังนั้น คำว่า กตัญญูกตเวที จึงหมายถึง บุคคลผู้รู้คุณที่คนอื่นกระทำแล้วและทำตอบแทน

    บุคคลที่มีคุณและสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เรานั้นมีมากมาย ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่ ครูอาจารย์ พระมหากษัตริย์ เป็นต้น

    พ่อแม่ เป็นผู้ให้กำเนิดแก่ลูก เลี้ยงดู ป้องกันและรักษา พ่อแม่ที่เป็นพ่อแม่จริงๆ เมื่อให้กำเนิดลูกแล้วจะไม่ทอดทิ้ง ถึงแม้จะประสบความลำบากยากจน ลำเค็ญสักเพียงใดก็ตาม ก็จะไม่ทอดทิ้งลูก กลับคอยป้องกันภัยอันตรายต่างๆ ไม่ให้เกิดแก่ลูก เมื่อมีเหตุสุดวิสัยที่จะป้องกันได้ เช่น ต้องประสบภัยคือความเจ็บไข้ได้ป่วย พ่อแม่ก็ไม่ทอดทิ้งพยายามทำการรักษา พยาบาลด้วยตัวเองบ้าง หาหมอมารักษาบ้าง บางครั้งพ่อแม่ต้องทำงานหนัก อาบเหงื่อต่างน้ำ ยอมอด ยอมทนเพื่อลูก ต้องการให้ลูกได้ศึกษาเล่าเรียน มีความรู้ ความฉลาดเท่าทันคนอื่น

    พ่อแม่ นอกจากจะให้กำเนิด เลี้ยงดู ป้องกันรักษาลูกแล้ว ท่านทั้งสองยังมีจิตใจที่ประกอบด้วยคุณธรรม คือ พรหมวิหารธรรม 4 ประการ อันได้แก่ เมตตา ความรักใคร่สนิทสนม กรุณา ความปรานีสงสารในเมื่อมีความทุกข์ยากเดือดร้อน มุทิตา พลอยยินดีในความสำเร็จของลูกด้วยความจริงใจ และอุเบกขา ความวางเฉยในเมื่อลูกมีการงานทำ สามารถเลี้ยงตนและครอบครัวได้

    พ่อแม่ได้ทำการเลี้ยงดู จึงต้องเลี้ยงท่านตอบแทน ช่วยทำการงานของท่าน รักษาวงศ์สกุลไว้ ประพฤติตนให้เป็นผู้ควรรับมรดก เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ควรทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ ดังนั้น พ่อแม่จึงเป็นผู้มีคุณแก่ลูกทั้งหลาย

    ครูอาจารย์ เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้ให้ ไม่ว่าจะเป็นระดับไหน ชั้นไหนก็ตาม เรียกว่าท่านสอนให้เรามีความรู้ ความสามารถ ประกอบด้วยคุณธรรม จริยธรรม นำคุณธรรมและจริยธรรมไปใช้เป็นเครื่องมือป้องกันตัวเอง นำความรู้ความสามารถไปใช้เป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพการงาน ครูอาจารย์นับได้ว่า เป็นครูคนที่สองรองจากพ่อแม่

    ครูอาจารย์ ได้ทำการอบรมสั่งสอน จึงต้องทำการต้อนรับด้วยความเต็มใจ เมื่ออยู่ร่วมกับท่าน ต้องเข้าไปคอยอุปัฏฐากรับใช้ เมื่อไม่ได้รับใช้ใกล้ชิดท่าน เวลาท่านมีกิจเรียกใช้ ก็ยินดีรับใช้ เชื่อฟังคำสอนของท่านและตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ดังนั้น ครูอาจารย์จึงเป็นผู้มีคุณแก่ศิษย์ทั้งหลาย

    พระมหากษัตริย์ หมายถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ผู้ทรงเป็นพระประมุขของประเทศ สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์องค์ก่อนๆ ซึ่งได้รักษาเอกราชของประเทศมา ไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของชาติอื่น มอบมรดกคือเอกราชและอธิปไตยไว้ให้แก่พวกเรา แม้ทุกวันนี้พระองค์ทรงเป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจของชนชาติไทย ทรงสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อความสุขของพสกนิกร โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ แม้จะอยู่ในถิ่นทุรกันดารไกลแสนไกลเพียงใด พระองค์ก็เสด็จไปบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ช่วยเหลือและให้กำลังใจเสมอ

    ดังนั้น พระมหากษัตริย์ จึงเป็นผู้มีคุณแก่พสกนิกรทั้งหลาย สมควรที่บุคคลผู้อาศัยอยู่ใต้ร่มพระบารมีต้องประพฤติตนเป็นพลเมืองดี เคารพเชื่อฟังในพระบรมราโชวาทที่ตรัสสอน

    ด้วยเหตุที่พ่อแม่ ครูอาจารย์ และพระมหากษัตริย์ ได้สร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้แก่ลูก จึงนับว่าเป็นผู้มีคุณ และสมควรอย่างยิ่งที่ทุกๆ คนควรที่จะตอบแทนคุณ คือ สร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้แก่ท่านเหล่านั้นบ้าง ตามสมควรแก่ความสามารถและโอกาสอำนวย
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เตือนพระ-เณรรักษาสุขภาพ ระวังฉันอาหารหน้าร้อน

    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNd053PT0=&day=TWpBd09TMHdOQzB4TVE9PQ==

    พระธรรมกิตติเมธี โฆษกมหาเถรสมาคม เปิดเผยว่า ในช่วงระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2552 แม้จะเป็นฤดูร้อน แต่ปรากฏว่ามีสภาพอากาศแปรปรวน บางวันร้อนจัด แต่บางวันมีฝนตกหนัก สภาพอากาศเช่นนี้ส่งผลให้สภาพร่างกายของคนทั่วไป ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยเป็นไข้หวัด อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ไม่เว้นแม้แต่พระภิกษุ-สามเณร ต่างได้รับผลจากสภาพอากาศ ทำให้เกิดเจ็บป่วยอาพาธโดยทั่วกัน ทั้งนี้ พระภิกษุ-สามเณร จำเป็นต้องระวังเรื่องสุขภาพให้มากเป็นพิเศษ ไม่ให้เกิดความเจ็บป่วย เพราะจะกระทบต่อการปฏิบัติศานสนกิจประจำวัน ด้วยพระภิกษุมีความแตกต่างจากฆราวาสในเรื่องของการฉันอาหารเพียงวันละ 2 มื้อ คือ ตอนเช้าและเพล อีกประการหนึ่ง พระภิกษุไม่สามารถประกอบการหุงหาอาหารได้ดังเช่นฆราวาส ต้องออกบิณฑบาตในตอนเช้าโปรดญาติโยมผู้ศรัทธาที่นำอาหารมาถวาย ซึ่งอาหารที่ได้รับจากญาติโยม อาจให้สารอาหารไม่ครบ 5 หมู่ หรือไม่ครบถ้วนตามหลักโภชนาการ ทำให้สภาพร่างกายของพระภิกษุไม่สมบูรณ์ จำเป็นที่จะต้องดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี โดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายที่ไม่ขัดต่อสมณสารูป เช่น การทำโยคะหรือเดินจงกรม เป็นต้น

    โฆษกมส.กล่าวต่อว่า หากมีความจำเป็นต้องเดินทางไปข้างนอก ไม่ว่าจะมีแดดแรงหรือฝนตกหนัก ควรจะพกร่มติดตัวไปด้วย อีกทั้งเมื่อร่างกายเปียกชื้นจากฝน ควรจะรีบถอดผ้าจีวรที่เปียก สรงน้ำ สระผม และเช็ดตัวให้แห้งทันที นอกจากนี้ พระภิกษุจำเป็นต้องระมัดระวังในการฉันภัตตาหารให้มาก ด้วยอาหารในช่วงฤดูร้อน มีโอกาสเสียหรือบูดได้เร็วๆ กว่าปกติ อันเนื่องมาจากเมืองไทยเป็นเมืองร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูร้อน อุณหภูมิเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของเชื้อที่ทำให้เกิดโรคท้องร่วง ดังนั้น อาหารทุกชนิดเมื่อวางทิ้งไว้นาน หากพระภิกษุฉันภัตตาหารอย่างไม่ระมัดระวัง จึงมีโอกาสทำให้เกิดอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้ ดังนั้น ก่อนนำภัตตาหารมาฉัน ควรจะตรวจดูในเบื้องต้น ดมกลิ่นว่าอาหารนั้นบูดหรือไม่ ถ้าไม่แน่ใจ ไม่ควรนำอาหารนั้นมาฉันอย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม ต้องขอความร่วมมือจากญาติโยมที่นำอาหารมาใส่บาตร ควรนำอาหารนั้นปรุงสุกใหม่ทุกวัน และก่อนปรุงอาหารควรล้างมือให้สะอาด ไม่ควรนำอาหารค้างคืนหรือนำอาหารเหลือจากวันก่อนมาใส่บาตร เพื่อป้องกันอาหารบูดเสีย จนส่งผลให้พระภิกษุต้องเจ็บป่วยอาพาธอันเกิดจากโรคทางเดินอาหาร
     
  9. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    555555กะว่าจาแอบบอกหลังไมค์ แล้วก็ลืมทุกทีครับ แต่สูตรทางเพชรบุรี ผสมน้ำร้อน ช่วยบรรเทาปวดท้อง หรือท้องเสียได้ครับ หุ หุ
     
  10. พรสว่าง_2008

    พรสว่าง_2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2008
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +402
    **-**

    ....แต่ที่ได้ไปร่วมงานครั้งนี้ ต้องขอขอบพระคุณพี่หนุ่มครับ ที่ได้ให้โอกาสผมไปร่วมงาน และยังได้สิ่งที่เป็นมงคลดีๆ ได้รู้ ได้เห็น อะไรต่างๆ..มากมายครับ...ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2009
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    เตรียมตัวไว้นะครับ ปลายปีนี้ งานวันคล้ายวันเกิดท่านอาจารย์ประถมครับ

    ผมก็จะจัดอีกเหมือนเดิม เพียงแต่ยังไม่รู้ว่า จะจัดแบบงานสรงน้ำฯ(เดือนเมย.52) หรืองานสรงน้ำฯแบบเรียบง่ายเหมือนปลายปีที่แล้ว

    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE height=34 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-LEFT: 10px">ช็อกโกแลตชาร์จสมอง ช่วยให้หัวแล่นทำคำนวณได้ไวดี





    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=left border=0><TBODY><TR><TD align=middle>
    <TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]


    นักเรียนนักศึกษาที่รู้ตัวว่าอ่อนเลข ถ้ามีโอกาสควรกินช็อกโกแลตเสียก่อน จะเข้าห้องสอบ<O:p</O:p


    <O:p</O:p
    นักวิจัยเดวิด เคนเนดี มหาวิทยาลัยนอร์ธัมเบรีย ของอังกฤษ ได้พบว่าช็อกโกแลตช่วยให้สมองคิดคำนวณและช่วยบำรุงกำลังให้ดีขึ้นได้
    <O:p
    คณะวิจัยได้พบว่าสารประกอบฟลาวานอล ในช็อกโกแลต และกลุ่มสารเคมีที่มีชื่อเรียกว่า โพลีฟีนอลช่วยขับเลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น
    <O:p
    หนังสือพิมพ์รายวัน “เดอะ เดลี เทเลกราฟ” ชื่อดังเมืองน้ำชา รายงานว่า ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนนักศึกษาที่กินช็อกโกแลตระหว่างการดูหนังสืออาจจะได้ประโยชน์และมันยังอาจให้คุณในการทำงานที่ท้าทายสติปัญญาความสามารถด้วย “ในงานยากๆ จำเป็นต้องใช้สติ ปัญญามากในการทำ มันจะให้คุณ” เขากล่าว
    ในการศึกษากับอาสาสมัคร 30 คน ให้แบ่งหมู่กันหมู่ละ 3 คน และนับเลขถอยหลัง ระหว่าง 800 ถึง 999 เมื่อให้กินโกโก้ร้อน ซึ่งมีสารฟลาวานอล เป็นปริมาณ ถ้วยละ 500 มิลลิกรัม ปรากฏว่าพวกเขาสามารถนับได้ถูกต้องและรวดเร็วกว่าปกติ​



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กลการสาดน้ำ ‘สงกรานต์’


    http://www.posttoday.com/lifestyle.php?id=41705

    รายงานโดย :โยธิน อยู่จงดี
    วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2552

    อีกไม่กี่วันเราก็จะได้เล่นน้ำสงกรานต์คลายร้อน ให้สมกับการรอคอยมานานนับปี หรือไม่แน่ว่าวันนี้เด็กๆ หลายๆ คนอาจจะเริ่มใช้ปืนฉีดน้ำไล่ยิงกับเพื่อนๆ แล้วก็เป็นได้


    [​IMG]

    การเล่นน้ำสงกรานต์นับเป็นกุศโลบายคลายร้อนของบรรพบุรุษไทยสมัยก่อน แต่จะว่าไปแล้วการเล่นน้ำสงกรานต์ก็ไม่ได้มีแค่เพียงประเทศไทยเราประเทศเดียว ประเทศเพื่อนบ้านของเราโดยรอบก็มีประเพณีนี้ด้วยเช่นกัน
    เพียงแต่การเล่นน้ำของเรานั้นค่อนข้างเอาจริงเอาจัง ถึงขั้นกลายเป็นสนามรบย่อมๆ กันเลยทีเดียว จากใช้นิ้วดีดน้ำพอจุ๋มจิ๋ม น่ารักน่าเอ็นดู พัฒนามาเป็นการสาดยกขันหรือหลุดมือกลายเป็นสาดทั้งขัน จนราวๆ ปี 2520-2523 ปืนฉีดน้ำเริ่มเป็นที่แพร่หลาย และเป็นที่นิยมของเด็กๆ ด้วยกลไกที่ไม่ซับซ้อน โดยอาศัยหลักการเดียวกันกับสเปรย์ฉีดน้ำ หากเราจะกล่าวโทษสิ่งที่ทำให้วัฒนธรรมการเล่นน้ำอันดีงามแต่โบราณเสื่อมถอย ก็คงต้องโทษเจ้าสิ่งที่เรียกว่าปืนฉีดน้ำอย่างเลี่ยงไม่ได้

    การเลือกปืนฉีดน้ำ
    ต้องออกตัวก่อนครับว่า บทความนี้มีเจตนาให้การเล่นน้ำเป็นอย่างสนุกสนานด้วยกันทุกฝ่าย ดังนั้นการเลือกอาวุธที่เหมาะสมในการเล่นน้ำสงกรานต์ จึงควรเป็นไปตามข้อบังคับของกฎหมาย รวมทั้งมารยาทที่ดีในการเล่นปืนฉีดน้ำด้วยเช่นกัน
    จากการสำรวจตลาดขายปืนฉีดน้ำแหล่งใหญ่อย่างสำเพ็ง และตามศูนย์การค้าต่างๆ พบว่าปืนฉีดน้ำที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคงหนีไม่พ้นปืนฉีดน้ำที่ใช้แรงดันอากาศ ที่มีระยะยิงไกล ต่อเนื่อง ใช้งานได้นานกว่าปืนฉีดน้ำรุ่นเก่าแบบสเปรย์ ข่าวดีก็คือกระบอกฉีดน้ำแรงดันสูงนั้นไม่มีขายให้เห็นอีกแล้วในปีนี้ และจากการสอบถามผู้ค้าของเล่นในสำเพ็งหลายๆ เจ้า บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ปีนี้ยอดขายช่วงต้นสงกรานต์ลดลงประมาณ 2 ใน 10 ส่วน หรือประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์

    [​IMG]

    ปืนฉีดน้ำที่ได้รับความนิยมยังคงเหมือนเดิม ก็คือปืนฉีดน้ำแรงดันอากาศจะขายดีที่สุด ส่วนแบบเก่านั้นมียอดสั่งน้อยมาก ปืนฉีดน้ำที่ดีผู้ค้าส่งปืนฉีดน้ำย่านสำเพ็ง 2-3 เจ้า ให้คำแนะนำใกล้เคียงกันว่ามีแนวในการเลือกอยู่ไม่กี่อย่างเท่านั้น

    1.เลือกขนาดให้เหมาะสมกับคนเล่น ปืนฉีดน้ำมีความจุตั้งแต่ไม่กี่ร้อยซีซี ไปจนถึง 2-3 ลิตร ปืนยิ่งใหญ่ยิ่งมีความจุน้ำมาก แต่ขนาดไม่ได้เกี่ยวกับความแรงในการยิงมากนัก หากเดินเล่นแถวข้าวสารหรือสถานที่สาดน้ำยอดฮิต ความจุสูงแบบสะพายจะช่วยให้คุณยืนระยะยิงน้ำได้นาน แต่ถ้าเล่นประจำจุดชนิดดักซุ่มยิง เลือกขนาดที่คล่องตัวมากที่สุด

    2.ไม่จำเป็นต้องเลือกชนิดแรงเสมอไป แน่นอนว่าทุกคนชอบให้ปืนฉีดน้ำของตัวเองนั้นยิงได้ไกลและแรงกว่า แต่จากการสอบถามผู้ค้า ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ระยะนั้นไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ต่างกันเพียง 1-2 เมตร ขึ้นอยู่กับแรงดันที่เราอัดเข้าไป และการเล่นถ้าแรงเกินไปจะทำให้ผู้อื่นรู้สึกเจ็บ 3.การดูปืนคุณภาพดี จุดสังเกตง่ายๆ จากประสบการณ์ของผู้ขายที่มีลูกค้ามาเคลมของก็คือ รุ่นของปืนฉีดที่มีหลายๆ สีในกระบอกเดียวกันคุณภาพจะไม่ดีเท่าปืนที่มีสีเพียงไม่กี่สี คือ สีตัวถังและตัวปืน คำแนะนำนี้อาจไม่ใช่บรรทัดฐานในการเลือก แต่มีความเป็นไปได้ในคุณภาพของวัสดุที่แตกต่างกันในแต่ละจุด จะมีปัญหาเวลาประกอบ
    จุดที่มีปัญหามากที่สุด คือ ยางรองแหวนกันรั่ว จะแข็งหรือขาดจากการปิดแน่นเกินไป ตัวกระบอกปืนแตกจากการกระแทก และไกยิงเสีย เวลาเล่นไม่ควรอัดอากาศมากเกินไป จะทำให้พลาสติกและยางรองแหวนรั่ว สูบกระบอกเพียง 4-5 ครั้ง พอให้ยิงออกหรือสูบต่อเนื่องระหว่างยิงจะดีกว่า ส่วนปืนฉีดน้ำที่มีร่มกันในตัวบอกได้เลยว่าไม่ได้ช่วยกันน้ำอะไรเลย แถมร่มจะบังเป้าอีกต่างหาก คราวนี้ก็เหลือแต่เลือกกระบอกที่ถูกใจมากที่สุดเท่านั้นก็พอ

    ชัยภูมิสาดน้ำ
    รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง แต่สงครามที่มีมิตรแท้แต่ไม่มีศัตรูถาวร คุณจะไม่มีทางรู้อะไรได้เลย ดังนั้นทำเลจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราได้เปรียบผู้อื่นๆ และต่อไปนี้คือชัยภูมิที่ดี และชัยภูมิที่ไม่ควรไปสู้ ที่เราคัดเลือกมาแล้ว

    หน้าบ้าน
    [​IMG]

    ชัยภูมิที่ดีที่สุดก็คือหน้าบ้านของเราเอง นอกจากจะคุ้นเคยกับสถานที่แล้ว เรายังมีแหล่งน้ำไม่อั้นสำหรับดักเล่นน้ำกับคนอื่นๆ หากสู้ไม่ได้เรายังลากสายยางมาฉีดสู้ได้อีก ชัยภูมินี้กับอาวุธที่มี จึงต่อกรกับบรรดารถกระบะบรรทุกน้ำได้สบายๆ

    ตู้โทรศัพท์สาธารณะ
    ริมถนนทางเท้าเป็นจุดยุทธศาสตร์ ดักสาดน้ำที่สนุกที่สุด แต่ก็เสียเปรียบที่สุดเช่นกัน เราแนะนำให้ใช้จุดที่เป็นตู้โทรศัพท์สาธารณะเป็นจุดซุ่มสาด เพราะอย่างน้อยๆ เวลาเจอรถถังจอดยิง (รถสาดน้ำเคลื่อนที่) จะได้มีที่หลบภัยบ้าง ถามว่าเราสู้รถกระบะได้ไหม ตอบได้เลยว่ายาก
    คนที่อยู่บนกระบะจะอยู่สูงกว่า อย่างน้อยๆ สาดแบบไม่ได้ตั้งใจก็เข้าหัวคนข้างล่างเต็มๆ ยิ่งสาดตอนวิ่งด้วยแล้วโอกาสตอบโต้ยิ่งมีน้อย แถมความแรงของน้ำจะแรงกว่าการสาดปกติอีกด้วย

    บนรถกระบะเคลื่อนที่
    ด้วยชัยภูมิอยู่บนที่สูง และเคลื่อนที่ไปเล่นสนุกตามจุดต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วราวกับรถถังในสนามรบ ทำให้การเล่นบนรถกระบะเป็นเรื่องปกติไปแล้วในการเล่นน้ำสงกรานต์ อย่างไรก็ดี ข้อเสียก็คือมีน้ำจำนวนจำกัด และควรตรวจสอบถนนที่ห้ามรถบรรทุกน้ำสำหรับการเล่นสงกรานต์วิ่งผ่าน ในบริเวณตัวเมืองและฝั่งธนบุรี ส่วนต่างจังหวัดควรสอบถามจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรให้ดีก่อนถูกจับปรับ

    จุดเล่นน้ำที่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง จุดเล่นน้ำที่ไม่ควรไปยุ่ง คือ จุดแรก คือ จุดที่มีการเปิดเพลงเสียงดังของกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการดื่มสุราไปในตัว
    จุดที่ 2 คือ จุดเล่นน้ำใกล้คูระบายน้ำริมถนน สิ่งต้องระวังไม่ได้เป็นเรื่องการเล่นน้ำ แต่เป็นน้ำที่ใช้เล่นไม่มีความสะอาดพอ ส่วนใหญ่แล้วจะตักน้ำในคูมาเล่นกันมากกว่าที่จะเข้าไปหอบน้ำในบ้านออกมาเล่น

    กลศาสตร์น้ำให้สนุก
    การเล่นน้ำที่ดีควรสนุกด้วยกันทั้งสองฝ่าย เราสนุกแต่เขาทุกข์ เพราะไม่อยากเล่นด้วยก็ใช่ที่ สัปดาห์สงกรานต์ไม่ใช่สัปดาห์ปล่อยผี หรือสัปดาห์ที่บ้านเมืองไร้กฎหมาย ใครที่แสดงทีท่าไม่อยากเล่นก็ไม่ควรสาดน้ำ ให้คิดซะว่าเขาเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดแห่งปีที่ไม่ได้เล่นน้ำสงกรานต์ก็ได้ รวมทั้งการให้เกียรติผู้หญิงในการเล่นน้ำก็ควรมีเช่นกัน

    [​IMG]

    1.อย่าใช้ปืนฉีดน้ำ หรือกระบอกฉีดน้ำแรงดันสูง มีผลการทดสอบจาก นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มีการทดสอบการฉีดน้ำใส่แผ่นอะลูมิเนียมฟอยล์ ในระยะประมาณ 1 ฟุต ผลปรากฏว่าแผ่นทะลุเป็นรู จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อดวงตาได้หากถูกฉีดในระยะใกล้
    นพ.อดิศักดิ์ ให้คำแนะนำว่า ปืนฉีดน้ำที่เหมาะสม ควรออกแบบให้มีหลายรูเพื่อลดแรงดันของน้ำลง หรือมีเส้นผ่านศูนย์กลางรูฉีดน้ำไม่เกิน 2 มิลลิเมตร นอกจากนี้ไม่ควรใช้ปืนฉีดน้ำเข้าใบหน้าโดยตรง ไม่ควรสาดน้ำใส่รถมอเตอร์ไซค์ที่กำลังวิ่งอยู่ รวมทั้งคนที่อยู่บนรถเมล์อีกด้วย
    2.การรวมกลุ่มเล่น การรวมกลุ่มเล่นน้ำที่ดีไม่ควรมีเพียงปืนฉีดน้ำเพียงอย่างเดียว ขันน้ำ ยังเป็นอุปกรณ์เล่นน้ำที่ให้ผลดีในระยะประชิด มีแรงประทะแนวกว้าง สามารถหยุดการเคลื่อนที่ หรือตอบโต้ของฝ่ายตรงข้ามได้ดี เปรียบเหมือนปืนลูกซองที่มีอำนาจในการหยุดยั้งในระยะใกล้สูง ในกลุ่มจึงควรมีคนใช้ขันสัก 2 คน เป็นอย่างน้อยเวลาประจัญบาน สาดน้ำแล้วปืนฉีดน้ำยิงตาม อย่างไรก็ไม่รอด
    3.การสาดเป้าหมายเคลื่อนที่ จากการทดสอบการเล่นน้ำด้วยการใช้ขัน และการยิงในระยะประมาณ 5 เมตร หรือประมาณถนน 2 เลน กับเป้าหยุดนิ่ง การยิงด้วยปืนฉีดน้ำถึงเป้าหมายได้เร็วที่สุดไม่เกิน 1 วินาที นับแต่เหนี่ยวไก ส่วนการสาดจะใช้เวลาไม่เกิน 2 วินาที และจะช้ากว่านั้นหากระยะไกลขึ้น
    เท่ากับว่าโอกาสโดนเป้าเคลื่อนที่จะน้อยลงตามความเร็วของวัตถุ หากเราไม่ยิงดักหน้า อย่างไรก็ตาม หากคนไม่เล่นด้วยก็ไม่ควรสาดน้ำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย
    4.ท่าทางการเล่นก็สำคัญ ท่าทางการเล่นก็มีส่วนช่วยป้องกันตัวเองได้ในระดับหนึ่ง โดยการยิงปืนฉีดน้ำ ให้ยกท่อนแขนสูงระดับบังบริเวณสายตา จะช่วยกันน้ำเข้าตา และเพิ่มความแม่นยำได้อีกด้วย
    ส่วนการใช้ขันจะแบ่งเป็น 2 ท่า ก็คือ โยนจากด้านล่าง เหมือนโยนเปตอง จะถูกเป้าหมายได้อย่างแม่นยำมากที่สุด ในขณะที่การสาดด้วยการแกว่งแขนเป็นวงกว้างความแม่นยำจะน้อยจนถึงไม่โดนเลย น้ำจะกระจายเป็นวงแต่ใช้ได้ดีเวลาถูกรุม ส่วนความแรงขึ้นอยู่กับแต่ละคน แต่ยิ่งออกแรงมากความแม่นยิงลดลง แต่แรงปะทะจะเพิ่มขึ้น
    สุดท้ายจะเล่นสงกรานต์ให้สนุกก็ควรคิดถึงคนอื่นให้มาก สงกรานต์เป็นวันของครอบครัว เมาไม่ขับ หลับไม่ซิ่ง เล่นน้ำต้องดูคน อย่าให้ใครมาว่าเราได้ การเล่นสงกรานต์เป็นสงครามน้ำ เป็นช่วงเวลาที่บ้านเมืองไร้กฎหมาย ช่วยกันรักษาประเพณีของเราเอาไว้ให้อยู่ขอบเขต ไม่เลยเถิดจนกลายเป็นปัญหาสังคม จนรัฐบาลต้องออกกฎห้ามปราม ซึ่งควรเป็นเรื่องที่อยู่ในจิตสำนึกของทุกคน แล้วสงกรานต์นี้จะเป็นสงกรานต์ที่มีแต่ความสุขอย่างแน่นอนครับ

    คนดังเล่นสงกรานต์
    เชน-ธนาเวทย์ ลิมปยารยะ หนึ่งหนุ่มแห่งวง ไนซ์ ทู มีท ยู ศิลปินจากค่ายอาร์เอส บอกกับเราว่า เมื่อพูดถึงสงกรานต์เขาจะนึกถึงสีลม เพราะเขาไปทุกปี เป็นแหล่งรวมวัยรุ่น โดยเชนจะประจำอยู่แถวซอยคอนแวนต์มาตลอดเกือบๆ 3 ปี ได้แล้วครับ แม้ว่าที่นี่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงเท่าไหร่ แต่เชนบอกว่ารับรองว่าเป็นแหล่งรวมวัยรุ่นที่ฮอตฮิตไม่แพ้ที่อื่นแน่นอน
    เชนจะไปกับเพื่อนๆ ทิวไผ่งาม ประมาณ 10 คน เมื่อรวมกับที่รออยู่แล้วก็กว่า 20 คน จะเล่นประมาณ 2 วันครับ ส่วนเทคนิคการเล่นสงกรานต์ให้สนุกของหนุ่มเชนก็คือ
    “ผมจะมีพื้นที่ส่วนตัวสำหรับตั้งป้อม โดยมีถังน้ำใหญ่ 1 ถัง เป็นถังน้ำที่แช่น้ำแข็งเพิ่มความเย็นจัดอีก 1 ถัง อันนี้สำหรับหยอดเป็นกรณีพิเศษเพื่อความเร้าใจ เช่น ถ้ามีแก๊งอยากเล่นเข้ามาก็จะตักน้ำเย็นใส่ขวดเล็ก แล้วค่อยๆ เทลงไปที่คอ แค่คิดก็เย็นยะเยือกเกินทนแล้วครับ ส่วนผมราดเล็กน้อยครับ แค่พอสะดุ้งครับ
    อาวุธประจำกายจะเป็นปืนสะพายประจำตัว หาซื้อแถวๆ นั้น มีไว้เป็นพร็อพประกอบให้ดูเครื่องครบมากกว่า เพราะผมเน้นฉีดแบบน้อยๆ พอเป็นธรรมเนียม เพราะจะอันตราย ถ้าเลือกได้ผมจะฉีดเบาๆ ที่ปากครับ เพราะจะทำให้ผู้ถูกยิงมีอาการหน้าหยี ดูน่ารักดี
    แต่ที่สำคัญก็คือ เวลาเล่นเราจะต้องเลือกเป้าหมาย ซึ่งจำเป็นมากครับ ต้องดูให้แน่ใจว่าเขาเต็มใจเล่นไหม ถ้าเป็นพวกตั้งใจเล่นก็จะเต็มที่ ส่วนการเล่นแบบชุดใหญ่ โหดสุดๆ ก็คือ ผมจะเลือกจัดการคนใดคนหนึ่งในกลุ่มของผมเอง โดยจะมีการกระซิบบอกต่อๆ กัน แล้วก็รุมกันเอง แบบสุดๆ โหดมากๆ โดยไม่รู้ตัวครับ เพราะสะใจ และไม่เกิดเรื่องแน่นอนครับ” หนุ่มเชนเล่าถึงการเล่นสงกรานต์อย่างสนุกสนาน แต่ถ้าเพื่อนคนไหนอยู่ในกลุ่มของเขาละก็ ควรระวังโดนรุมให้ดี แต่หลังจากเล่นน้ำแล้ว เชนก็ยังไม่ทิ้งประเพณีอันดีงามด้วยการสละเวลา 1 วัน เป็นวันครอบครัว รวมกันไปรดน้ำดำหัวคุณตาคุณยายเป็นประจำทุกปี
     
  14. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    24. ให้รู้จักบุญ

    การทำบุญทำกุศลนั้น โปรดอย่านึกว่าจะต้องหอบข้าวหอบของไปใส่บาตรที่วัดทุกวัน หรือบุญจะเกิดได้ก็ต้องทอดกฐินสร้างโบสถ์ สร้างศาลา และอื่นๆ อย่างที่เขาโฆษณา ขายบุญกัน ทั้งทางวิทยุ หนังสือพิมพ์ และใบเรี่ยไรกันเกลื่อนกลาด จนรู้สึกว่าจะต้องเป็นภาระที่ต้องบริจาคเมื่อไปวัดหรือสำนักนั้นๆ เป็นประจำ

    บทสวดมนต์ชื่อพระพุทธชัยมงคลคาถา ที่ขึ้นต้นด้วย "พาหุง..." มีอยู่ท่อนหนึ่ง ซึ่งกล่าวถึงพระพุทธเจ้าทรงชนะมารคือกิเลสว่า

    "ทานาทิธัมมวิธินา ชิตวา มุนินโท" แปลว่า

    "พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นจอมปราชญ์ ทรงชนะมารคือกิเลส ด้วยวิธีบำเพ็ญบารมีธรรมคือ ความดี มีการบริจาคทานเป็นต้น"

    พระพุทธเจ้าทรงสอนการทำบุญทำกุศล ด้วยการให้ทาน รักษาศีล และสวดมนต์เจริญสมาธิภาวนา ให้ทานทุกครั้ง ให้ทำลายความโลภ คือกิเลสทุกครั้ง รักษาศีล เจริญภาวนาเพื่อทำลายความโกรธ ความเห็นแก่ตัว ให้ใจสะอาด ใจไม่เศร้าหมอง มองเห็นบาปบุญคุณโทษได้ทุกครั้ง ทำได้ดังนี้ จึงชื่อว่าทำตามพระพุทธเจ้า

    ที่มา : คติธรรมจากหนังสือ 101 ปีหลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ
     
  15. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    ผสม ชาโสมดื่มก็อร่อยดีนะครับ อันนี้สูตรหมอเปิ้ลครับ
     
  16. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    สูตรท่านโด เอาไว้ราดบนแพนเค็กหรือวัฟเฟิล ร้อนๆ อร่อยเหาะเลยครับ หุ หุ
     
  17. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    ถ้าเป็นแพนเค็ก ต้องที่ร้านลิตเติลโฮม อร่อยมากๆ ครับ หุ หุ
     
  18. หม่อง

    หม่อง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2007
    โพสต์:
    363
    ค่าพลัง:
    +943
    สวัสดีครับพี่หนุ่มและทุกท่าน วันนี้ถือโอกาสส่งท้ายปีเก่าเตรียมเข้าปีใหม่ไทยขอร่วมบุญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งด้วยครับ โดยเมื่อเวลา 10.27 น.ได้โอนเงินร่วมบุญด้วย 100 บาทครับ ขอผลบุญนี้จงส่งผลแก่ สรรพสัตว์ทั้งหลายที่มีชีวิต มีจิตวิญญาณ มีการกระทำ มีวิบากแห่งกรรมนายเวร เจ้าของโลกบัญชีจตุโลกบาลทั้ง 4 พระยายามราชและบริวารทั้งหมดทั้งมวล ด้วยเทอญ

    อ้อขอถามพี่หนุ่ม หรือท่านใดก็ได้ครับพอดีผมได้สวดคาถาชินบัญชร อยู่สมำ่ำเสมอถึงแม้ไม่ทุกวัน แต่เท่าที่เคยได้หนังสือสวดมนต์และได้อ่านคาถาชินบัญชรมีอยู่ 2 ท่อนหรือ2 คำครับที่อยากทราบว่าควรใช้คำใดแน่เพราะแต่ละหนังสือหรือที่อ่านมาไม่เหมือนกันคือ
    เกสะโต ปิฏฐิภาคัสมิง และ ชินานานาวะระสังยุตตา บางเล่มเป็น เกสันเต ปิฏฐิภาคัสมิง และชินานาวะระสังยุตตา ครับหรือว่าใช้ได้เหมือนกันครับแต่ที่ผมท่องประจำมาก่อนเป็น เกสะโต ปิฏฐิภาคัสมิง และชินานาวะระสังยุตตา ครับ ไม่ทราบว่าถูกผิดเช่นไรโปรดแนะนำด้วยครับ



     
  19. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    ถ้าสวดเอง ตามความเห็นผม จิตเป็นประธานครับ สวดตามที่ชอบ ที่ถนัดครับ เพราะว่าได้มาจากตำราแล้ว
    อย่างไรก็มีเหตุผลอยู่ครับ ไม่ได้เพี้ยนจนผิดพลาดแบบรับไม่ได้ ผมเองเคยลองเปลี่ยน
    จิตไม่นิ่งเท่าของเดิม ตอนนี้ก็สวดแบบเก่าที่ถนัดครับ
     
  20. หม่อง

    หม่อง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2007
    โพสต์:
    363
    ค่าพลัง:
    +943
    ขอบคุณครับ พอดีผมกลัวจะผิดเพี้ยนความหมายครับเพราะเรื่องคำบาลีแปลไม่เป็นจริงๆครับขอบพระคุณอีกครั้งครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...