พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. dragonlord

    dragonlord เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,541
    ตัวนี้ตอบได้คะ อิอิ

    แต่รอคุณน้องโดจิมาตอบก่อนคะ

    อนุโมทนาด้วยนะคะพี่เหมียว

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2009
  2. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
     
  3. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    [​IMG]

    หมีแพนด้าตัวน้อย
     
  4. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    วันนี้ผมไปทำบุญที่ศาลเจ้าแม่เขาสามมุข ครับ
    ผมขอน้อมอุทิศ กุศลผลบุญ แก่กัลยาณมิตร ทุกท่าน ครับ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969


    อนุโมทนาบุญค่ะ
     
  7. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969

    อนุโมทนาบุญค่ะ
     
  8. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    ดีใจจัง วันนี้คนที่บ้าน ไปอีกรอบ รออีกชั่วโมงกว่า ก็ได้รับเช็คสมใจ ครับ
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ newcomer [​IMG]
    เช็คของคนที่บ้าน ครับ เอาใจช่วยเค้าอยู่ ครับ
    ตอนเย็นก็ไปที่ลานคนเมืองอีกรอบ ก็ยังไม่ได้รับ ครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ยินดีด้วยครับ

    deeja__a
     
  10. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    มีคนตอบถูกหลายคนเลย มาดูกันค่ะ น่ารักน่าเอ็นดู
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์
    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNd053PT0=&day=TWpBd09TMHdNeTB5T0E9PQ==


    คอลัมน์ ธรรมะวันหยุด

    พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.๙) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร วรวิหาร watdevaraj@hotmail.com



    คนเราที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ไม่ได้อยู่โดยลำพังคนเดียว ย่อมมีพ่อแม่พี่น้อง ญาติมิตรสหาย ข้าทาสบริวาร และบุตรภรรยาสามีด้วยกันทั้งนั้น การที่เราจะอยู่ร่วมกับคนเหล่านั้นด้วยความสุข และเป็นที่รักของคนเหล่านั้น นอกจากจะต้องเป็นคนดี มีเมตตากรุณา มีสัมมาคารวะต่อผู้ที่ควรคารวะ พูดวาจาอ่อนหวานแล้ว ยังต้องอาศัยความมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อุดหนุนเจือจานกันเป็นเครื่องผูกใจคนเหล่านั้นด้วย "ผู้ขอบ่อยๆ ย่อมเป็นที่รังเกียจของผู้อื่น ฉันใด ผู้ให้ก็ย่อมเป็นที่รักของผู้อื่น ฉันนั้น"

    ด้วยเหตุนี้ การให้จึงเป็นการผูกน้ำใจผู้อื่นไว้ได้ประการหนึ่ง ปกตินั้นคนเรามักจะมีความตระหนี่หวงแหนอยู่เป็นประจำใจ ยากนักที่จะหยิบยื่นสิ่งใดให้แก่ใครๆ ได้โดยง่าย เพราะฉะนั้น คนที่สามารถหยิบยื่นสิ่งของของตนให้แก่ผู้อื่นได้นั้นนับว่าน่าสรรเสริญอย่างยิ่ง ถ้ารู้จักให้เสียครั้งหนึ่งแล้ว ก็ไม่ยากเลยที่จะให้ในครั้งต่อๆ ไป

    การให้นั้น น้อยคนนักที่จะปฏิบัติได้ถูกต้อง ให้เกิดประโยชน์ ทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ เป็นการให้แบบคนดี ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องการใช้ทรัพย์ ไว้ในอังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต อาทิยสูตรที่ 1 โดยแสดงถึงการใช้ทรัพย์ที่หามาได้โดยสุจริตชอบธรรมไว้ 5 ประการ คือ

    1. บำรุงเลี้ยงตนเอง บิดามารดา บุตรภรรยาและบ่าวไพร่ให้มีความสุข ไม่อดอยาก

    2. เลี้ยงดูมิตรสหายให้อิ่มหนำสำราญ

    3. ป้องกันอันตรายอันเกิดจากไฟไหม้ น้ำท่วม พระราชา โจรผู้ร้าย หรือทายาทผู้ไม่เป็นที่รัก เพื่อให้ตนปลอดภัยจากอันตรายนั้นๆ

    4. ทำพลี คือ บูชา หรือบำรุงในที่ 5 สถาน คือ ญาติพลี บำรุงญาติ อติถิพลี ต้อนรับแขก ปุพเปตพลี ทำบุญอุทิศให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ราชพลี บำรุงราชการ มีการเสียภาษีอากร เป็นต้น และเทวตาพลี ทำบุญแล้วอุทิศให้แก่เทวดา เพราะว่าเทวดาย่อมคุ้มครองรักษาผู้นั้นด้วยคิดว่า คนเหล่านี้แม้ไม่ได้เป็นญาติของเรา เขาก็ยังมีน้ำใจให้ส่วนบุญแก่เรา เราควรอนุเคราะห์เขาตามสมควร

    5. อุปถัมภ์บำรุงสมณชีพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ผู้เว้นจากความประมาท มัวเมา ตั้งอยู่ในขันติโสรัจจะ เป็นผู้หมั่นฝึกฝนตนให้สงบระงับจากกิเลส

    เฉพาะในข้อที่ 5 นี้ ตรัสสอนให้ใช้ทรัพย์ที่หามาได้ให้ทานแก่ผู้มีศีล ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ผู้ปฏิบัติเพื่อความหมดจดจากกิเลส ผู้เป็นทักขิเณยยบุคคล เพราะทานที่ให้แก่ผู้มีศีลมีผลมาก ทำให้เกิดในสวรรค์ ได้รับความสุขอันเป็นทิพย์ นอกจากนั้นผู้ถวายยังอาจบรรลุคุณธรรมชั้นสูงขึ้นไป เนื่องด้วยการประพฤติดีปฏิบัติชอบของท่านเหล่านั้นอีกประการหนึ่งด้วย

    ผู้มีปัญญาย่อมไม่เสียดายทรัพย์ที่หมดเปลืองไปเพราะเหตุเหล่านี้ เพราะว่าท่านได้ใช้ทรัพย์นั้นถูกทางแล้ว เกิดประโยชน์แก่ตนและผู้อื่นแล้ว โดยเฉพาะทรัพย์ คือ บุญที่ท่านถวายไว้ในผู้มีศีลเหล่านั้น ยังสามารถติดตามตนไปในโลกหน้าได้อีกด้วย

    จึงควรที่จะรับรู้เรื่องของทาน ตลอดจนการให้ทานที่ถูกต้องไว้บ้าง เพื่อทานของเราจะได้เป็นทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ธ.ทหารไทยลดดอกเบี้ยเงินฝาก-กู้-ตั๋วแลกเงิน 30มี.ค.นี้
    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1238253618&grpid=03&catid=05


    <STYLE> P { margin: 0px; } </STYLE>ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้สินเชื่อลง ตั้งแต่ 30 มีนาคม เป็นต้นไป เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ



    เงินฝากประจำทั่วไปประเภท 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงเดิม ที่ 0.75 % เงินฝากประจำทั่วไปประเภท 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยลดลงจาก 0.875% ต่อปี เป็น 0.75% ต่อปี เงินฝากประจำ ประเภท 12 เดือน ลดลงจาก 1.15% ต่อปี เป็น 1% ต่อปี เงินฝากประจำประเภท 24 เดือน ลดลง จาก 1.75% ต่อปี เป็น 1.25% ต่อปี และเงินฝากประจำ 36 เดือน ลดลงจาก 1.75% ต่อปี เป็น 1.50% ต่อปี



    สำหรับเงินฝากประจำสบายใจ ประเภท 3 เดือน ควบ 12 เดือน ซึ่งเป็นโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับลูกค้าทั่วไปและสถาบันที่ไม่แสวงหากำไร ฝากได้จนถึง 31 มีนาคม ศกนี้ เท่านั้น อัตราดอกเบี้ยยังคงเดิมคือ ประเภท 3 เดือน อัตราดอกเบี้ย 1.25% ต่อปี และประเภท 12 เดือน 1.60 % ต่อปี



    ธนาคารยังคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภทออมทรัพย์ทั่วไปที่ 0.50% ต่อปี เช่นเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง

    นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในส่วนของตั๋วแลกเงิน (BE) สำหรับเงินตั๋ว 5 แสนบาทขึ้นไป ดังนี้ ประเภท 7 วัน 14 วัน และ 21 วัน ปรับลดลงจาก 1.15% ต่อปี เป็น 1% ต่อปี ประเภท 1 และ 2 เดือน ยังคงไว้ที่ 1.15 % ต่อปี ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนประเภท 3 เดือน ลดลงจาก 1.50% ต่อปี เป็น 1.15% ต่อปี ประเภท 6 เดือน จาก 1.50% ต่อปี เป็น 1.20% ต่อปี ประเภท 12 เดือน จาก 1.75% ต่อปี เป็น 1.35% ต่อปี



    สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท มีการปรับลดลง 0.50% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา หรือ MLR อยู่ที่ 6.25% ต่อปี จากเดิม 6.75% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี หรือ MOR ลดลงเป็น 6.75% ต่อปี จากเดิม 7.25 % ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี หรือ MRR ลดลงเป็น 7% ต่อปี จากเดิมที่อยู่ในระดับ 7.50% ต่อปี



    กรุงไทยลดดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝาก 0.25%
    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1238253729&grpid=03&catid=05


    <STYLE> P { margin: 0px; } </STYLE>ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทลง 0.25% ต่อปี และปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำบางประเภทลง 0.15-0.25% ต่อปี มีผล 27 มีนาคมนี้


    ฝ่ายสื่อสารการตลาดและประชาสัมพันธ์ บมจ.ธนาคารกรุงไทย แจ้งว่า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานให้กับภาคเอกชนช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคมนี้เป็นต้นไป ธนาคารจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทลง 0.25% ต่อปี โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ปรับจาก 6.25% ต่อปี เหลือ 6.00% ต่อปี MOR ปรับจาก 6.50% ต่อปี เหลือ 6.25% ต่อปี และ MRR ปรับจาก 6.75% ต่อปี เหลือ 6.50% ต่อปี


    สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์คงอัตราเดิมที่ 0.50% ต่อปี และคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน สำหรับวงเงินต่ำกว่า 3 ล้านบาทที่ 0.75% ต่อปี เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อผู้ฝากเงินรายย่อย ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำประเภทอื่นๆ ธนาคารปรับลดลงเพียง 0.15-0.25% ต่อปี


    ธนาคารเชื่อว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อของธนาคารลงในครั้งนี้ จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของทางการ
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สองด้านของความเป็นมนุษย์
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act01280352&sectionid=0130&day=2009-03-28
    คอลัมน์ จิตวิวัฒน์

    โดย พระไพศาล วิสาโล www.thaissf.org แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)



    คงไม่มีภาพยนตร์เรื่องใดในปีนี้ที่ได้รับทั้งคำชมและคำประณามมากเท่ากับ The Reader ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลระดับโลกหลายรางวัลรวมทั้งตุ๊กตาทองสำหรับดารานำฝ่ายหญิง แต่ในเวลาเดียวกันก็มีนักวิชาการและนักเขียนมีชื่อหลายคนพากันโจมตีภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับตัวละครฝ่ายหญิงคือ ฮันน่า ชมิตซ์ ซึ่งเป็นอดีตผู้ดูแลค่ายกักกันชาวยิวที่เมืองเอาชวิตซ์อันลือชื่อ

    หนึ่งในบรรดาข้อกล่าวหาที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ สร้างภาพของฮันน่าให้ดูดี ทำให้ผู้ชมรู้สึกเห็นใจกับชะตากรรมของเธอในตอนท้าย ทั้งๆ ที่เธอไม่เพียงมีส่วนร่วมในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่สอง หากยังมีส่วนทำให้นักโทษถึง 300 คน ถูกไฟคลอกตายในโบสถ์ซึ่งใช้เป็นที่คุมขังชั่วคราว โดยเธอไม่ยอมช่วยเหลือคนเหล่านั้นแม้แต่จะเปิดประตูโบสถ์ให้

    ผู้ชมมารู้ภูมิหลังดังกล่าวของเธอเมื่อภาพยนตร์ดำเนินไปได้ครึ่งเรื่องแล้ว เมื่อเธอต้องขึ้นศาลหลังเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านไปแล้วเกือบ 20 ปี แต่ก่อนหน้านั้นผู้ชมรู้แต่ว่าเธอเป็นพนักงานเก็บเงินในรถราง ที่บังเอิญมารู้จักกับเด็กหนุ่มวัย 15 แล้วภายหลังมีสัมพันธ์ฉันชู้สาวทั้งๆ ที่เธอมีอายุมากกว่าถึง 21 ปี

    ภาพของฮันน่าตั้งแต่ต้นเรื่องคือผู้หญิงที่มีน้ำใจ ช่วยเหลือเด็กแปลกหน้าที่ป่วยประหนึ่งพี่สาว (หรือแม่) ไม่มีวี่แววของคนใจร้ายหรือใจหิน แม้ว่าเธอจะมีความโกรธเกรี้ยวก้าวร้าวอยู่บ่อยครั้ง แต่นั่นก็อาจเป็นเพราะความทุกข์บางอย่างที่เธอเก็บงำไว้ในใจ

    การเสนอภาพของเธอไม่ต่างจากผู้หญิงทั่วไป ที่น่าเห็นใจ ทั้งๆ ที่เคยร่วมประกอบอาชญากรรมอันเลวร้ายในอดีต ทำให้หลายคนรับไม่ได้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ (รวมทั้งนวนิยายชื่อเดียวกันซึ่งโด่งดังมากว่าสิบปีแล้ว) ดูเหมือนว่าในสายตาของคนเหล่านั้น ฮันน่าควรมีภาพของ "ผู้ร้าย" ที่น่ารังเกียจตั้งแต่แรกเลย

    ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พฤติกรรมของเธอเมื่อครั้งเป็นผู้คุมนักโทษชาวยิวนั้นเป็นสิ่งที่ผิดจริยธรรมอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่มีพฤติกรรมเช่นนั้นจะต้องเป็นยักษ์มารสถานเดียว คนเหล่านี้ก็มีความเป็นมนุษย์เหมือนอย่างเราๆ ท่านๆ มีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี แต่ความจริงอย่างนี้ยากที่ผู้คนจะยอมรับกันได้

    เมื่อใครสักคนทำสิ่งชั่วร้าย เรามักอดไม่ได้ที่จะวาดภาพคนนั้นว่าเป็นคนเลว หาความดีไม่ได้ หนักกว่านั้นคือไร้ความเป็นมนุษย์ ในทรรศนะของคนเป็นอันมาก ความเป็นมนุษย์นั้นจำกัดไว้เฉพาะกับคนที่มีแต่ความดี แต่คนเช่นนั้นเราจะหาได้จากที่ไหนในโลกแห่งความเป็นจริง เพราะไม่มีใครที่ดีล้วนๆ ถึงจะเป็นคนดีก็มีด้านที่ไม่ดีอยู่ เพราะมนุษย์นั้นมีความอ่อนแอ ที่ทำให้พ่ายแพ้ต่อกิเลสอยู่เนืองๆ กิเลสเหล่านี้เองที่ทำให้คนดีสามารถทำสิ่งไม่ดีอย่างที่เราอาจนึกไม่ถึง

    กิเลสนั้นไม่ได้หมายถึงการโหยหาปรารถนาสิ่งเย้ายวน เช่น ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง อำนาจ หรือเพศรสเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความยึดติดในอุดมการณ์ ความเชื่อ หรือมาตรฐานความถูกต้องในแบบของตน จนหลงคิดไปว่า "กู" คือความถูกต้อง ใครที่คิดหรือทำไม่เหมือนกู ก็แสดงว่าเป็นคนไม่ดี และเมื่อเป็นคนไม่ดีแล้วก็สมควรกำจัดออกไป มี "คนดี" ไม่น้อยที่ถูกครอบงำด้วยความคิดแบบนี้ ผลก็คือกลายเป็นคนลุแก่อำนาจ หนักกว่านั้นก็เป็นเผด็จการและทรราชไป

    คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่า เหมา เจ๋อ ตุง, พอล พต หรือ บิน ลาเดน จัดอยู่ในกลุ่มนี้

    ความจริงอย่างหนึ่งที่เรายอมรับได้ยากก็คือ คนที่สามารถออกคำสั่งให้สังหารคนเป็นแสนหรือเป็นล้านได้นั้น ไม่จำต้องเป็นคนใจคอวิปริตผิดมนุษย์ก็ได้ คนที่ "ปกติ" ก็สามารถทำได้ เมื่อ อดอล์ฟ ไอค์มานน์ ผู้รับผิดชอบแผนการสังหารชาวยิวถึง 6 ล้านคน ได้รับการตรวจสภาพจิตหลังจากถูกจับได้ ผลการวินิจฉัยยืนยันว่าเขาเป็นคน "ปกติ" เหมือนคนทั่วไป ถึงแม้จะพูดไม่ได้ว่าเขาเป็นคนดีก็ตาม

    ในทำนองเดียวกันคงเกินเลยไปที่จะบอกว่าผู้บัญชาการค่ายกักกันชาวยิวเป็นคนดี แต่อย่างน้อยก็พูดได้ว่าคนเหล่านี้มีความเป็นมนุษย์และมีด้านดีหลายด้านไม่ต่างจากเรา

    รูดอล์ฟ เฮิสส์ ผู้บัญชาการค่ายกักกันเอาชวิตส์ ได้ชื่อว่าเป็นคนรักครอบครัว ใจดีกับลูกๆ และมีน้ำใจกับมิตรสหาย

    ส่วน ฟรานซ์ สตังเงล ผู้บัญชาการค่ายกักกันเทรบลิงกาก็เป็นคนสุภาพ พูดเสียงเบาๆ

    ทั้งสองคนหาใช่คนโหดเหี้ยมไม่

    เช่นเดียวกับ ไอค์มานน์ เฮิสส์ เคยเขียนในบันทึกส่วนตัวว่าเขาไม่รู้สึกเกลียดชังชาวยิวเป็นส่วนตัว แต่อะไรเล่าที่ทำให้ทั้งคู่บัญชาการสังหารชาวยิวนับหมื่นนับแสนได้อย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้าน (เฮิสส์เคยกล่าวว่า "ถึงแม้ว่ากำลังทำภารกิจกำจัดชาวยิวอยู่ ผมก็ยังใช้ชีวิตตามปกติ")

    คำตอบก็คือ เพราะเขาเชื่อว่ากำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง คนเหล่านี้ไม่เคยตั้งคำถามกับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ใจจดจ่ออยู่กับการทำงานให้ดีที่สุด

    เมื่อใจจดจ่อเต็มที่อยู่กับงานการ อย่างอื่นก็ไม่อยู่ในความสนใจ รวมทั้งความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ที่เป็นชาวยิว อย่างเดียวที่เฮิสส์และสตังเงลสนใจก็คือ ทำอย่างไรจะกำจัดชาวยิวให้ได้มากที่สุดตามเวลาที่กำหนด

    ใจของเขาจะจดจ่ออยู่กับรายละเอียดเชิงเทคนิค เช่น ตารางเวลารถไฟที่ขนนักโทษมายังค่าย ขนาดและความจุของรถไฟ ชนิดของเตาและวิธีการรมแก๊สพิษ ฯลฯ

    ใจที่หมกมุ่นอยู่กับข้อมูลเหล่านี้ โดยมุ่งที่จะทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ย่อมไม่เหลือที่ว่างให้แก่ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจนักโทษ ยิ่งเขาเก็บตัวอยู่แต่ในสำนักงาน ทำแต่งานบริหาร โดยไม่เคยไปรับรู้หรือเป็นประจักษ์พยานในการสังหารนักโทษเลย เสียงร่ำร้องของคนเหล่านั้นจึงแทบไม่มีโอกาสเข้ามาอยู่ในมโนสำนึกของเขาเลย

    นักโทษเหล่านี้จึงเป็นแค่ตัวเลข หรือมีสถานะไม่ต่างจากวัตถุดิบในโรงงาน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าด้วยวิธีการแบบนี้จะทำให้สตังเงลได้ชื่อว่า "ผู้บัญชาการที่ดีที่สุดในโปแลนด์"

    ใจที่มุ่งแต่ "งาน" จนมองไม่เห็น "คน" สามารถทำให้คนอย่างเราๆ ท่านๆ กลายเป็นคนที่ไร้น้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ โดยเฉพาะหากเขาอยู่ในอาณัติที่เราต้องจัดการให้ได้ นี้คือเหตุผลเดียวกับที่ฮันน่า ไม่ยอมเปิดประตูโบสถ์เพื่อให้นักโทษหนีไฟออกมา

    เธออธิบายต่อศาลอย่างตรงไปตรงมาว่าเธอมีหน้าที่ต้องควบคุมคนเหล่านั้นให้ไปถึงที่หมาย หากเปิดประตูโบสถ์ นักโทษเหล่านั้นก็จะต้องหนีกระจัดพลัดพรายไปหมด

    ฮันน่าไม่มีท่าทีรู้สึกผิดกับการกระทำเช่นนั้น เพราะเธอคิดว่าเธอพยายามทำหน้าที่ของเธอให้ดีที่สุด (แต่กลับอับอายที่ตนเองเป็นคนไม่รู้หนังสือ จนยอมรับโทษหนักเพื่อปกปิดความจริงข้อนี้) ท่าทีอย่างนี้ย่อมทำให้หลายคนอดไม่ได้ที่จะตัดสินว่าเธอเป็นคนใจหินโหดเหี้ยม ดังนั้น จึงรับไม่ได้ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะแสดงด้านดีของเธอออกมาให้ผู้ชมเห็นอกเห็นใจ

    แต่จะว่าไปแล้วนี้คือการเสนอภาพความเป็นจริงของปุถุชนคนหนึ่ง ซึ่งแม้จะทำความเลวร้ายด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม ก็ไม่ได้เลวไปเสียหมด หากยังมีส่วนดีอีกมากมาย ใช่หรือไม่ว่านี้แหละคือความเป็นมนุษย์ที่มีในเราทุกคน

    ผู้คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะมองอะไรเป็นขาว-ดำอย่างชัดเจน ใครที่เป็นคนดีก็ขาวหมด ส่วนคนชั่วก็ดำหมด แต่แท้จริงแล้วขาวกับดำ ดีกับชั่ว ก็ปะปนอยู่ในตัวคนเดียวกัน เมื่อใดก็ตามที่เราเห็นความไม่ดีของใครบางคน แล้วเหมารวมว่าเขาเลวไปหมด เมื่อนั้นก็เป็นการง่ายที่เราจะเห็นเขาเป็นยักษ์มารหรือผีห่าซาตานที่สมควรขจัดออกไปจากโลกนี้ แต่รู้หรือไม่ว่าเพียงแค่คิดเช่นนั้นเราก็กำลังจะกลายเป็นยักษ์มารไปแล้ว

    ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ทุกวันนี้เราไม่ได้เหมาว่าใครบางคนเป็นคนเลวเพียงเพราะเห็นความไม่ดีบางด้านของเขาเท่านั้น หากยังมีแนวโน้มที่จะมองว่าคนที่คิดต่างจากเราก็เป็นคนเลวไปด้วย

    ซึ่งหมายความต่อไปว่าคนเหล่านั้นสมควรถูกขจัดให้สิ้นซาก ใช่หรือไม่ว่านี้คือความคิดที่อยู่เบื้องหลังความขัดแย้งในสังคมไทย โดยเฉพาะระหว่างเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง

    เสื้อเหลืองและเสื้อแดง แม้จะคิดต่างกันในทางการเมือง ก็มีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่เป็นเพราะความยึดติดในความถูกต้องของตนอย่างเหนียวแน่น (ไม่ว่าทางศีลธรรมหรือทางการเมือง) จึงง่ายที่จะมองเห็นคนที่คิดหรือทำต่างจากตนเป็นคนเลวร้าย ชนิดที่หาความดีหรือความเป็นมนุษย์ไม่ได้เลย ดังนั้น จึงพร้อมที่จะใช้วิธีการใดๆ ก็ได้เพื่อขจัดคนเหล่านั้นออกไปจากวงสนทนา จากเวทีการเมือง จากเมืองไทย หรือจากโลกนี้ไปเลย

    อย่ายอมให้สีของเสื้อมาบดบังความเป็นมนุษย์ของเขา ถึงแม้จะมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่ต่างกัน แต่ทั้ง 2 ฝ่ายก็มีหลายอย่างที่เหมือนกัน เช่น ความเป็นคนไทย อยากให้บ้านเมืองมีสันติสุข รักสุขเกลียดทุกข์ มีพ่อแม่และคนรักที่ห่วงใย ฯลฯ จะว่าไปแล้ว สิ่งที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีเหมือนกันนั้น มากกว่าสิ่งที่ต่างกันด้วยซ้ำ การเห็นแต่ความต่าง จนมองข้ามความเหมือน ทำให้เกิดการแบ่งเราแบ่งเขาอย่างชัดเจน และคิดแต่จะเอาชนะซึ่งกันและกัน

    ใจที่หมกมุ่นอยู่กับงานการ อาจทำให้มองไม่เห็นคนได้ ฉันใด ใจที่จดจ่ออยู่กับชัยชนะทางการเมือง ก็ทำให้มองเห็นคนเป็นเบี้ยได้ฉันนั้น

    แต่เมื่อใดก็ตามที่เราถอดเสื้อสีและหัวโขน หันหน้ามาสนทนากันในฐานะบุคคล เราจะเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกันได้ง่ายขึ้น อันที่จริงแม้จะไม่ถอดหัวโขน เพียงแค่มีโอกาสมารู้จักกันตัวต่อตัว แทนที่จะเห็นหรือตอบโต้ผ่านสื่อ ก็สามารถลดอคติ และเห็นด้านดีของกันและกันได้มากขึ้น ยิ่งมีเวลาส่วนตัวอยู่ด้วยกัน หรือทำงานร่วมกัน ก็อาจกลายเป็นเพื่อนกันได้

    เมื่อนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมกับคนทำสัมปทานป่าไม้ในโอเรกอนและแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อกันมาช้านาน มาร่วมกันปลูกต้นไม้ ปกป้องลำธาร ความเป็นมิตรก็เกิดขึ้น และสามารถพูดคุยกันด้วยเหตุผลได้มากขึ้น

    ในปี 2534 ได้มีการนำเอาผู้นำคนผิวดำจากพรรคสภาแอฟริกันแห่งชาติ (ANC ซึ่งมี เนลสัน แมนเดลา เป็นผู้นำ) กับผู้นำพรรคเนชั่นแนลลิสต์ของคนขาวในแอฟริกาใต้ มาสนทนากันในกระท่อมชนบทช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์

    แม้จะมีความระแวงและเกลียดชังกันมาก่อน แต่ในชั่วไม่กี่วันทั้งสองก็เริ่มมีความไว้วางใจและเคารพกันมากขึ้น สัมพันธภาพดังกล่าวมีส่วนสำคัญที่นำไปสู่การเจรจาระหว่างรัฐบาลคนผิวขาวกับพรรคของคนผิวดำ จนกระทั่งมีการโอนถ่ายอำนาจให้คนดำอย่างสันติในที่สุด

    ประสบการณ์ของหลายคนที่มีส่วนร่วมในการสานเสวนาระหว่างเสื้อเหลืองและเสื้อแดงในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ได้ชี้ให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายต่างมีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติเหมือนกัน และไม่ได้เป็นคนเลวร้ายป่าเถื่อนอย่างที่วาดภาพเอาไว้ กิจกรรมดังกล่าวน่าที่จะทำอย่างต่อเนื่องและขยายวงให้กว้างขึ้น แม้คนที่เข้าร่วมได้จะมีจำนวนไม่มากก็ตาม

    แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่สามารถส่งผลได้ยาวไกล

    เราคงไม่สามารถหวังว่าความขัดแย้งระหว่างเสื้อเหลืองกับเสื้อแดงจะหมดสิ้นไปในเร็ววัน เพราะความขัดแย้งของทั้ง 2 ฝ่ายเชื่อมโยงกับความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง ซึ่งต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะคลี่คลายได้ แต่อย่างน้อยทั้ง 2 ฝ่ายก็ควรไม่ควรทำความขัดแย้งทางการเมืองให้กลายเป็นการต่อสู้ระหว่างเทพกับมาร หรือระหว่างธรรมกับอธรรม

    อย่างน้อยก็ควรมองเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกัน อย่าทำลายความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่ายจนมองเห็นเขาเป็นตัวเลวร้ายหรือผีห่าซาตาน ขณะเดียวกันควรใจกว้างเมื่อผู้อื่นเห็นความเป็นมนุษย์หรือความดีของเขาแม้เรายังมองไม่เห็นก็ตาม เพราะนั่นอาจเป็นปัญหาของเรา มิใช่ปัญหาของเขา

    ลองมองให้กว้าง ก็จะพบว่าคนที่สวมเสื้อคนละสีกับเรานั้น มีหลายอย่างที่เหมือนเรา และมีเพียงบางอย่างเท่านั้นที่ต่างจากเรา ลองมองให้ไกลก็จะพบว่าในอดีตเรากับเขาก็เคยเป็นเพื่อนกัน หรือเดินบนเส้นทางเดียวกันมาก่อน และในอนาคตก็อาจร่วมเส้นทางเดียวกันอีก ใช่แต่เท่านั้น ลองมองให้ลึกก็จะพบว่าเขาก็มีความดีด้วยเช่นกัน อาจจะไม่ยิ่งหย่อนกว่าเราเลย

    จริงอยู่เขาอาจทำอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้องหรือเกินเลยไปบ้าง แต่ก็อย่าให้สิ่งนั้นปิดบังสายตาของเราจนมองไม่เห็นความเป็นมนุษย์ของเขา ก่อนจะตัดสินเขา อย่างน้อยเราก็ควรถามตัวเองว่าแน่ใจแล้วหรือว่าเราเองก็ไม่ได้ทำเช่นเดียวกับเขา

    อย่าลืมว่ายิ่งเราเห็นผู้อื่นมีความเป็นมนุษย์น้อยลงเพียงใด ความโกรธเกลียดที่ตามมาจะทำให้ความเป็นมนุษย์ของเราลดน้อยถอยลงเพียงนั้น
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การบำรุงบิดามารดา
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01bud01290352&sectionid=0121&day=2009-03-29
    คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ

    โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>คราวนี้มาว่าถึงการบำรุงบิดามารดา อันนับเป็นสูตรแห่งความสำเร็จในชีวิตประการหนึ่ง

    ได้ยินคำว่า "บำรุง" คงนึกไปถึงการเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี เลี้ยงให้อ้วนท้วนสมบูรณ์อะไรทำนองนั้น ความจริงการบำรุงก็คือ การเลี้ยงดู อ้วนหรือไม่อ้วนไม่เห็นท่านบอกไว้ อย่างผมนี่ผอมโดยกำเนิดอยู่แล้ว ถึงลูกจะเลี้ยงดีปานใดก็คงไม่อ้วนขึ้นมาได้ ถ้าไปกำหนดว่าลูกต้องเลี้ยงพ่อแม่ให้อ้วน ลูกผมแกคงน้อยใจที่ทำไม่ได้

    ความเป็นพ่อแม่เป็นได้สองชั้น คือ เป็นโดยธรรมชาติ แต่งงานมีลูกออกมาก็เป็นพ่อแม่โดยอัตโนมัตินี่อย่างหนึ่ง เป็นโดยคุณธรรม คือให้กำเนิดมาแล้วเลี้ยงลูกให้เจริญเติบโตนี่อีกอย่างหนึ่ง พ่อแม่จึงนับว่ามีบุญต่อลูกถึงสองชั้น

    พระพุทธองค์ตรัสว่า "พ่อแม่เป็นพรหม เป็นเทวดาองค์แรก เป็นอาจารย์คนแรก เป็นผู้ควรบูชาของบุตร" เพราะเหตุใดจึงว่าเช่นนั้น เพราะพ่อแม่เป็นผู้ให้ลูกมีโอกาสลืมตาดูโลก (ทัสเสตาโร)

    ถ้าอุแว้ออกมา พ่อแม่ใจร้ายจับหักคอโยนทิ้งก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นโลกใช่ไหมครับ นี่แลคือเหตุผลประการหนึ่ง

    ประการที่สอง พ่อแม่เป็นผู้เลี้ยงดูลูก อดหลับอดนอน ป้อนน้ำป้อนข้าวตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ทะนุถนอมด้วยความรักสุดชีวิตจิตใจ ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม (โปสกา)

    ประการที่สาม เลี้ยงดูต่อเนื่องมาจนลูกเติบโต คอยปกปักรักษาป้องกันอันตราย ให้การศึกษาเล่าเรียน แต่งงานแต่งการให้เป็นฝั่งเป็นฝา บางรายยังอุปถัมภ์ต่อเนื่องไปจนถึงลูกของลูก (ก็หลานนั่นแหละ) หรือถึงเหลนก็มี (อาปาทกา)

    การบำรุงพ่อแม่ทำอย่างไรจึงจะถูกหลัก พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้เสร็จทำตามเป็นใช้ได้ มีดังนี้ครับ

    -เลี้ยงดูท่าน ไหนๆ ท่านก็เลี้ยงเรามาจนโต เวลาท่านแก่เฒ่ามาก็เลี้ยงท่านตอบ

    -ช่วยกิจการของท่าน เอาเป็นธุระช่วยเหลือกิจการของท่าน ไม่เพิกเฉยดูดาย

    -ดำรงวงศ์สกุล มีครอบครัว มีบุตรสืบสกุลวงศ์ให้ยาวนานหรือพยายามรักษาชื่อเสียงของวงศ์สกุล ไม่นำความเสื่อมเสียมาให้แก่วงศ์สกุล

    -ทำตัวให้เป็นทายาทที่ดี มรดกใดๆ ที่พ่อแม่ภาคภูมิใจมอบให้แก่ลูกไม่เท่ามรดกแห่งความดี ถ้าลูกประพฤติตนเป็นพลเมืองดี ตั้งหน้าทำมาหากินโดยสุจริตชอบธรรม ก็นับว่าทำตนสมเป็นทายาทที่ดีของสกุลวงศ์ มีลูกเช่นนี้พ่อแม่ตายตาหลับ

    -เมื่อท่านตายไป ทำบุญอุทิศให้ ลูกที่ดีไม่เพียงแต่ปรนนิบัติขณะท่านยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ท่านล่วงลับไปแล้วก็แสดงความกตัญญูกตเวทีให้ปรากฏ ด้วยการทำบุญอุทิศให้ ตามหลักศาสนา

    นี่คือการ "ตอบแทน" เล็กๆ น้อยๆ ต่อพ่อแม่ผู้มีพระคุณมหาศาลเท่านั้น บุญคุณอย่างอื่นอาจทดแทนหายกันได้ แต่พระคุณที่พ่อแม่มีต่อลูกไม่มีทางทดแทนได้

    พ่อแม่มีบุญคุณมหาศาลเกินกว่าจะทดแทนให้หมดไปได้ มิใช่พูดลอยๆ นะครับ มีพระพุทธวจนะตรัสไว้ที่หนึ่งว่า ถึงลูกจะมีอายุ 100 ปี แบกพ่อแม่ ป้อนข้าวป้อนน้ำ ให้พ่อแม่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะรด ปรนนิบัติอย่างดีตลอด 100 ปี ก็ไม่สามารถทดแทนคุณของพ่อแม่ได้

    คงไม่มีใครทำอย่างนั้นจริงๆ ดอก สมมุติว่ามีคนทำจริงถึงขนาดนั้น ก็ยังไม่ชื่อว่าได้ตอบแทนคุณพ่อแม่ได้หมด ยกเว้นอย่างเดียวคือ การช่วยพ่อแม่ที่เป็นมิจฉาทิฐิให้กลายเป็นสัมมาทิฐิ หรือโปรดพ่อแม่ให้บรรลุธรรมได้นั่นแหละ จึงจะนับว่าได้ตอบแทนคุณพ่อแม่ได้หมด ดังกรณีพระสารีบุตรเถระ

    พระสารีบุตรนอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นคนมีปัญญามากแล้วยังได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีความกตัญญูเป็นเลิศ ท่านนับถือพระอัสสชิเป็นอาจารย์องค์แรกที่ชักนำให้ท่านเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา รู้ว่าอาจารย์อัสสชิอยู่ ณ ทิศใด เวลาจะนอน ท่านจะหันศีรษะไปทางทิศนั้น เพื่อถวายความเคารพแก่อาจารย์ ท่านทำถึงขนาดนั้นนะครับ

    ที่ท่านทำอย่างนี้ คิดอีกทีท่านคงไม่ทำเพื่อตัวท่านเองเท่านั้น หากทำเพื่ออนุชนรุ่นหลังด้วย หมายความว่า แสดงตัวอย่างให้คนรุ่นหลังได้ปฏิบัติตาม เพื่อเชิดชูคุณธรรมคือความกตัญญูกตเวที ถ้าโลกนี้มีคนที่รู้คุณคนและตอบแทนคุณคนมากเท่าใด ก็จะมีแต่ความดีงามและสงบสุขมากเท่านั้น

    พระสารีบุตรท่านเป็นบุตรพราหมณ์มิจฉาทิฐิ การที่ท่านมาบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า พ่อแม่มิได้เห็นดีเห็นงามด้วยนัก ตอนหลังท่านชักนำน้องชายให้ออกบวชถึงสองคน พ่อแม่ยิ่งไม่พอใจ แต่ไม่รู้จะทัดทานอย่างใด

    จึงหาทางป้องกัน ยังเหลือลูกชายคนเล็กอีกคนชื่อ เรวตะ จึงจับแต่งงานตั้งแต่ 7 ขวบ แต่ก็รั้งเรวตะไม่ได้ แต่คราวนี้มิใช่พี่ชายใหญ่พาไปบวช บุญกุศลเก่าของเรวตะชักพาไปเอง ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งกล่าวอวยพร หันไปพูดกับเจ้าสาวว่า ขอให้หนูอายุยืนเหมือนยายนะจ๊ะ เรวตะถามว่า ยายคนไหน เขาชี้ไปที่ผู้หญิงแก่หง่อมคนหนึ่ง จึงถามประสาเด็กว่า แล้วภรรยาผมต่อไปจะเป็นอย่างนี้หรือ ได้รับคำตอบว่า ใครอยู่จนถึง 100 ปี เป็นอย่างนี้ทุกคน จึงเกิดความกลัวอย่างหนัก หาโอกาสหนีไปบวชในที่สุด

    เข้าใจว่าบิดาพระสารีบุตรเสียชีวิตไปก่อนหน้านั้นแล้ว เพราะตอนที่จัดงานแต่งงานให้เรวตะ น้องชายคนเล็กของท่าน ไม่มีพูดถึงบิดาท่านเลย

    เมื่อพระสารีบุตรจวนจะนิพพาน (ตาย) นึกถึงมารดาว่า ยังเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ จึงกราบทูลลาพระพุทธเจ้ากลับไปเยี่ยมมารดาที่บ้านเกิด เพื่อเทศน์โปรดโยมมารดาครั้งสุดท้าย ไปถึงอาการท่านกำเริบหนักแล้ว ท่านนอนพักอยู่ที่ห้องที่ท่านเกิด มารดาเห็นแสงวูบวาบๆ ตลอดทั้งคืน เช้าขึ้นมาถามพระลูกชายว่าแสงอะไร พระลูกชายบอกว่า เทวดามานมัสการท่าน โยมมารดาพอทราบว่า พระลูกชายของตนใหญ่กว่าเทวดาก็มีความปีติยินดีเป็นล้นพ้น

    พระสารีบุตรรู้ว่า ถึงตอนนี้โยมมารดามีจิตใจเลื่อมใสและเชื่อความสามารถของลูกชายแล้ว (ก่อนนี้ไม่เชื่อเลย พระลูกชายมาหาถึงกับตะเพิดไล่ก็เคยมี) จึงได้แสดงธรรมให้โยมมารดาฟัง เทศน์จบโยมมารดาก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล

    ปลดเปลื้องหนี้ค่าน้ำนม ทดแทนบุญคุณของผู้บังเกิดเกล้าหมดสิ้นแล้ว ท่านก็นิพพาน

    ครับ ลูกที่ทำได้ดังพระสารีบุตรนี้เท่านั้นจึงจะทดแทนพระคุณอันมหาศาลของพ่อแม่ได้
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    'ศิลปะเชียงแสน' (ล้านนา)
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=71766&NewsType=2&Template=1

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE style="WIDTH: 480px"><TBODY><TR><TD vAlign=top>(ต่อจากฉบับวันเสาร์ที่แล้ว) สำหรับ ประวัติศาสตร์อันยาวนานของเมือง เชียงแสน ท่านผู้อ่านที่ “อ่านความจริง...อ่านเดลินิวส์” ก็ได้รับทราบแบบรู้แจ้งเห็นจริงแล้วผู้เขียนจึงขอกล่าวถึงเรื่องราวของ “ศิลปะเมืองเชียงแสน” เป็นลำดับต่อไปเพราะจากหลักฐานทางโบราณคดีทั้งทาง โบราณสถาน และ โบราณวัตถุ ที่ปรากฏอยู่ภายในบริเวณของเมืองเชียงแสนเป็นสิ่งที่สะท้อน และบ่งบอกให้เห็นถึงความเจริญและความยิ่งใหญ่ในอดีตของเมืองเชียงแสนที่มีอายุยืนยาวมากว่า ๗๐๐ ปี ควบคู่กับ อาณาจักรสุโขทัย จากบันทึกในพงศาวดารและตำนานของเมืองเชียงแสนมีรายละเอียด ที่บันทึกไว้ว่าภายในอาณาเขตกำแพงเมืองมีโบราณสถานที่เป็น วัดวาอาราม มากมายถึง ๗๕ แห่ง นอกจากนี้ภายนอกกำแพงเมืองที่เป็นอาณาบริเวณโดยรอบก็มีพระอารามมากมายเช่นกันถึง ๖๖ แห่ง ปัจจุบันโบราณสถานของเมืองเชียงแสนอยู่ในความรับผิดชอบของ สำนักศิลปากรที่ ๘ เชียงใหม่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งกรมศิลปากรเป็นผู้รับผิดชอบดูแลโบราณสถานโบราณวัตถุของเมืองเชียงแสนทั้งหมดตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ซึ่งขณะนั้นยังคงเป็นหน่วย ศิลปากรที่ ๕ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมกันนี้รัฐบาลยังได้จัดตั้ง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสน ขึ้นมาเพื่อดำเนินการเก็บรวบรวมศิลปะโบราณวัตถุที่ได้จากการขุดแต่งโบราณสถาน รวมถึงศิลปะโบราณวัตถุที่รวบรวมได้ในภายหลังเพื่อการเผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ตลอดทั้ง เป็นแหล่งของการศึกษา ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีของเมืองเชียงแสน อันเป็นเมืองที่มี ประวัติความเป็นมาอันยาวนาน

    สำหรับ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสน ปัจจุบันสถานที่อยู่ติดกับ “วัดเจดีย์หลวง” ก่อนถึง ที่ว่าการอำเภอเชียงแสน โดยอยู่ห่างจากฝั่งแม่น้ำโขงประมาณ ๗๐๐ เมตร โดยมีข้อที่น่าสังเกตของวัดเจดีย์หลวงคือเราจะรู้สึกคุ้นหูมากว่าที่ จังหวัดเชียงใหม่ ก็มีวัดเจดีย์หลวงเช่นกันโดยวัดเจดีย์หลวงที่ เมืองเชียงแสน ถูกสร้างขึ้นในสมัยที่ พระเจ้าเชียงใหม่ ปกครองเมืองเชียงแสนถึง ๔ รัชกาล จึงยกระดับความสำคัญของเมืองเชียงแสนให้เป็น เมืองหลวง ของ อาณาจักรล้านนา คือ พระเจ้าแสนภู ผู้สร้างเมืองเชียงแสนแล้วพระราชทานนามเมืองตามพระนามของพระองค์ จากนั้นก็มีทายาทเป็น พระเจ้าคำฟู, พระเจ้าผายู และ พระเจ้ากือนา ก่อนที่จะย้ายกลับไปครองเมืองเชียงใหม่พร้อมกับยกฐานะ เมืองเชียงใหม่เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรล้านนาดุจเดิม (พระเจ้าผายูเสด็จกลับไปครองเมืองเชียงใหม่แล้วยกเมืองเชียงแสน ให้พระโอรสซึ่งก็คือพระเจ้ากือนาปกครองแทนโดยมีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง ครั้นพระเจ้าผายูสวรรคตพระเจ้ากือนาจึงย้ายมาครองเมืองเชียงใหม่ตลอดจนสิ้นรัชกาล)

    ทางด้านวัตถุประสงค์ของการจัดตั้ง พิพิธ ภัณฑสถานแห่งชาติเมืองเชียงแสน ก็เพื่อให้เป็นไปตามโครงการสำรวจขุดค้นและบูรณะโบราณสถานในเขต อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย จึงเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขนาดเล็กแต่ก็เป็นแบบเล็กพริกขี้หนู เนื่องจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติแห่งนี้ได้เก็บรักษาศิลปะวัตถุอันทรงคุณค่า มากมายมหาศาลจึงจัดเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติประเภท แหล่งอนุสรณ์สถาน ซึ่งปัจจุบันพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในลักษณะนี้ กรมศิลปากร ได้ส่งเสริมและจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ในท้องถิ่นเพื่อเก็บรักษาโบราณวัตถุของแต่ละท้องที่ในท้องถิ่นนั้น ๆ เช่น พิพิธ ภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย ที่ทาง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ก็ได้ทำการคืนพระรูปสลักของ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ไปไว้ยัง ปราสาทหิน พิมาย เพื่อให้ท้องถิ่นและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมายเป็นผู้ดูแล นอกจากนี้ก็มี พิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติเจ้าสามพระยา, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดนครศรีธรรมราช ฯลฯ เป็นต้น เพราะวิธีนี้เป็นการให้ความสำคัญกับท้องถิ่นและสถานที่ ที่เป็นแหล่งโบราณสถานที่สำคัญ ๆ ในอดีตโดยเกิดจากแนวความคิดที่เมื่อ กรมศิลปากร เป็นผู้ดำเนินการขุดค้นและขุดแต่งบูรณะโบราณสถานในจังหวัดต่าง ๆ แล้วได้พบศิลปะวัตถุและโบราณวัตถุเป็นจำนวนมากกรมศิลปากรจึงดำเนินการเป็นนโยบายจัดตั้ง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขึ้นมายังบริเวณที่ขุดค้นพบเพื่อให้เป็นสถานที่รวบรวมสงวนรักษาและ จัดแสดงสิ่งที่ค้นพบ จากแหล่งโบราณเพื่อเป็น การเผยแพร่ความรู้ อีกทั้งให้ประชาชนทั่วไปที่สนใจสามารถเดินทางไปชมได้เพื่อการศึกษา จะทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของศิลปวัฒนธรรม พร้อมทั้งประวัติศาสตร์ความเป็นมาและประวัติศาสตร์ศิลปะโบราณคดี ของแต่ละแห่งของอาณา จักรไทยจะได้เห็นคุณค่า พร้อมเกิดความภาคภูมิใจ ในศิลปะความเป็นมาของชนชาติไทยสืบไป

    สำหรับเรื่องราวของศิลปะ “พระพุทธรูปเชียงแสน” นั้นปัจจุบันมีทฤษฎีและบทวิเคราะห์ ใหม่ ๆ เกิดขึ้นแต่ก็ยังคงเค้าลักษณะเดิมอยู่บ้าง ซึ่งก่อนจะกล่าวถึงบทวิเคราะห์ใหม่ ๆ เกี่ยวกับพระพุทธลักษณะผู้เขียนขอกล่าวถึง “พระพุทธรูปเชียงแสน” ตามการศึกษาในรูปแบบเดิม ๆ พอสังเขปเสียก่อน เพื่อเป็นการปูพื้นในการศึกษาและป้องกันการสับสนสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาต่อไป

    การเรียกขานพระพุทธรูปที่มีลักษณะ อวบอ้วน และมีความ งดงาม ตามเอกลักษณ์ของศิลปะประติมากรรมของ ภาคเหนือ ก็มีสาเหตุมาจากการค้นพบพระพุทธรูปในลักษณะนี้ ที่มีทั่วไปในพื้นที่ของภาคเหนือแต่ก็ไม่มีพระพุทธรูปใดที่ค้นพบในภาคเหนือมี พุทธลักษณะงดงามเท่ากับพระพุทธรูปที่พบใน เมืองเชียงแสน หรือหากพบตามที่อื่น ๆ ที่มิใช่เมืองเชียงแสน ก็เป็นที่ประจักษ์ได้เช่นกันว่าพระพุทธรูปองค์ที่มีพุทธลักษณะงดงามนั้น ก็ล้วนแต่มีแหล่งกำเนิดเกิดจากเมืองเชียงแสนทั้งสิ้น ดังนั้นจึงมีการเรียกขานพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามนั้นว่า “พระพุทธรูปเชียงแสน” และยังมีชื่อเรียกขานอีกชื่อหนึ่งว่า “พระพุทธรูปศิลปะล้านนา” โดยคำอธิบายของลักษณะพระพุทธรูปเชียงแสนนี้ ท่านศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ เลขานุการราชบัณฑิตสภานักปราชญ์ทางโบราณคดี และประวัติศาสตร์ศิลป์ของไทยและของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ให้ความเห็นไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ว่า

    “แบบพระพุทธรูปของไทยที่เก่าและสำคัญที่สุดคือแบบช่าง เมืองเชียงแสน แม้พระพุทธรูปแบบนี้จะมีอยู่ในมณฑลพายัพทั่วไป แต่พระพุทธรูปที่พบในบริเวณเมืองเชียงแสนเก่าดูงามกว่า พระพุทธรูปที่ได้จากเมืองอื่น ๆ พิพิธ ภัณฑสถานแห่งชาติ จึงนำชื่อของเมืองเชียงแสนมาใช้เป็นเครื่องหมายจำเพาะพระพุทธรูปแบบนั้น” จากคำอธิบายของ ท่านศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ จึงมีความชัดเจนในเรื่องราวของ พระพุทธรูปเชียงแสน

    โดยทฤษฎีเก่าในเรื่องราวของ พระพุทธรูปเชียงแสน นี้หากอนุโลมกล่าวตามศัพท์แสงของนักเลงพระหรือ นักสะสมพระพุทธรูปเชียงแสนตัวยงจะแบ่ง พระพุทธรูปเชียงแสน ออกเป็น “๓ แบบ” หรือ “๓ รุ่น” คือ รุ่นแรก รุ่นกลาง และ รุ่นหลัง นอกจากนี้ยังมีการจำแนกพระพุทธรูปเชียงแสนออกเป็น “พระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์ ๑” ซึ่งก็คือพระพุทธรูปเชียงแสนยุคแรก “พระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์ ๒” คือพระพุทธรูปเชียงแสนยุคที่สอง “พระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์ ๓” คือพระพุทธรูปเชียงแสนยุคสุดท้ายก่อนที่จะเข้าสู่ ยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคที่ไม่มีศิลปะของพระพุทธรูปเป็นตัวของตัวเอง เพราะมีแต่นำเอาศิลปะแบบเก่ามาสร้างใหม่หรือประยุกต์ ผสมผสานศิลปะทุกยุคปนเปกันไปหมดจึงทำให้ขาดซึ่งความเป็นเอกลักษณ์

    ทางด้าน พระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์ ๑ หรือ พระพุทธรูปเชียงแสนยุคแรก จะมีพระพุทธลักษณะคล้ายกับพระพุทธรูปศิลปะแบบปาละของอินเดีย เพราะยุคนั้นมีการรับเอาศิลปะแบบปาละมาจากอินเดียโดยตรงคือ พระพักตร์กลมอวบอ้วน ไรพระศกเป็นก้นหอย เปลวพระรัศมีเป็นบัวตูม พระวรกายอวบอ้วน ชายจีวรเหนือพระอังสาซ้าย สั้นเสมอพระอุระและรอยพับของผ้าชายจีวรที่เรียกว่า สังฆาฏิ จะมีลักษณะเป็นเขี้ยวตะขาบนิยมสร้างเป็น ปางมารวิชัยขัดสมาธิเพชร ฐานเป็น กลีบบัวคว่ำบัวหงายมีเกสรบัว ส่วนวัสดุที่ใช้หล่อเป็นโลหะสำริด

    อนึ่งพระพุทธรูปในลักษณะแบบ เชียงแสนสิงห์ ๑ นี้ก็มีพระพุทธรูปของ เมืองนครศรีธรรมราช ที่เรียกว่า “พระพุทธสิหิงค์” ซึ่งพระพุทธลักษณะเป็น “ศิลปะขนมต้ม” พระพุทธลักษณะโดยรวมจะใกล้เคียงกับพระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์ ๑ มาก กระทั่งบางคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นช่างสกุลเดียวกันจึงขอให้สังเกตคือ พระพุทธสิหิงค์ จะเห็นความเหมือนและลักษณะของศิลปะ ที่ใกล้เคียงกันอย่างเห็นได้ชัดเจนที่สุดทั้งที่เมืองนครศรีธรรมราช กับเมืองเชียงแสนตั้งอยู่ห่างกันไกลลิบลับเกือบ ๑,๐๐๐ กิโลเมตร เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะศิลปะพระพุทธรูปของทั้งสองเมืองเกิดจาก “ครูช่าง” สกุลเดียวกันคือครูช่างศิลปะแบบปาละจากอินเดีย ได้เข้ามาถ่ายทอดศิลปะพร้อมกันเพียงแต่ต่างสถานที่ จึงทำให้เหมือนกันดังกล่าว (อ่านต่อฉบับวันเสาร์หน้า) ขอขอบคุณ...ภาพประกอบจากหนังสือ “พระพุทธรูป-เทวรูป” และ “พระพุทธรูป สุวรรณภูมิ”.
    "อดิศศวร"

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=message-bold>คอลัมน์ย้อนหลัง</TD></TR><TR><TD><TABLE id=ctl00_ContentPlaceHolder1_ctl00_Popup_news_15_oldcolumn1_dlsOColumn style="WIDTH: 100%; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">'ศิลปะเชียงแสน' (ล้านนา)
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">'ศิลปะเชียงแสน' (ล้านนา)
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">'ศิลปะเชียงแสน' (ล้านนา)
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม 2552
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">'ศิลปะล้านนา (เชียงแสน)'
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">"ศิลปะเชียงแสน"
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">'ศิลปะศรีวิชัย' ในประเทศไทย
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">'ศิลปะศรีวิชัยในประเทศไทย'
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">'ศิลปะศรีวิชัยในประเทศไทย'
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">"ศิลปะศรีวิชัยในประเทศไทย"
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ใส่ใจอาหารแต่ละจานเสริมภูมิต้านทาน...ห่างไกลมะเร็ง
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=194691&NewsType=1&Template=1

    <TABLE style="WIDTH: 480px"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE style="WIDTH: 480px"><TBODY><TR><TD vAlign=top>เอ่ยถึงโรคมะเร็ง คงไม่มีใครอยากเป็น ด้วยความรู้สึกที่ว่า เป็นโรคที่น่ากลัว รักษาไม่หาย ใครเป็นแล้วจะต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคนี้ไปตลอดชีวิต

    ความทุกข์ทรมานจากมะเร็งร้ายนี้ ส่วนหนึ่งมาจากขาดการดูแลและเอาใจใส่ในเรื่องอาหารการกิน แต่ถ้าหากรู้จักกินอย่างถูกหลักจะสามารถช่วยป้องกันการเกิดของโรคร้ายนี้ได้ 30-40 เปอร์เซ็นต์

    นพ.ศักดิ์พิศิษฎ์ นวสิริ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีรักษาและมะเร็งวิทยา โรงพยาบาลวัฒโนสถ ให้ความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการโภชนาการกับการเกิดของโรคมะเร็งให้ฟังว่า ธรรมชาติที่จะเข้าสู่ร่างกาย มีทั้ง น้ำ อาหาร อากาศ ทุกอย่างมีทั้งที่เป็นประโยชน์และที่ทำให้เกิดโรคกับร่างกาย ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าสมัยก่อนคนเราไม่ค่อยเป็นอะไรกันนัก นาน ๆ ทีถึงจะเป็นโรคมะเร็งสักคนหนึ่ง นั่นเป็นเพราะว่าอยู่แบบธรรมชาติ กินแบบธรรมชาติ ไม่มีการปรุงแต่งมากนัก วัตถุดิบค่อนข้างปลอดภัย แต่ในสมัยนี้ อย่าง ไก่ทอด เราไม่ค่อยมั่นใจว่าปลอดภัยหรือไม่ ไม่รู้ว่าเขาเลี้ยงด้วยอะไรหรือ ปรุงด้วยอะไรบ้าง เพราะโดยทั่วไปเนื้อไก่ไม่ได้มีโทษ แต่สิ่งที่ใส่เข้าไปในเนื้อไก่ต่างหากที่อาจเป็นอันตรายหรือก่อเกิดโรคได้

    จริง ๆ แล้วในแหล่งอาหารธรรมชาติที่เจอกันวันนี้จะมี 2 ส่วนด้วยกันที่ทำให้เกิดโทษ อาหารประเภทแรกที่สามารถก่อมะเร็งได้ คือ อาหารที่ราขึ้นได้ง่าย อย่าง ถั่วลิสง กระเทียมแห้ง พริกป่น พริกแห้ง ซึ่งจะสร้างสารอัลฟาท็อกซิน ทำให้มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็น โรคมะเร็งตับ ได้

    ต่อมา คือ พยาธิใบไม้ในตับ มาจากวิถีชีวิตที่ชอบกินปลาดิบ ก้อยดิบ ปลาจ่อม ซึ่งพยาธิใบไม้ตับจะชอบอาศัยอยู่ในอาหารเหล่านี้ แต่ถ้าทำให้สุกจะไม่เป็นอะไรเพราะพยาธิเหล่านี้ จะตายเมื่อโดนความร้อน แต่คนที่ชอบกินแบบสุก ๆ ดิบ ๆ จะได้รับไข่พยาธิเข้าไปฝังตัวในท่อน้ำดีเมื่อผ่านมาในระยะหนึ่งจะกลายเป็น มะเร็งในท่อน้ำดี

    อาหารอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ใช่อาหารธรรมชาติแต่เป็นอาหารที่ปรุงแต่งขึ้น ซึ่งตามหลักโภชนาการแล้ว อาหารหลัก 5 หมู่ เป็นอาหารที่ดีที่สุด ปลอดภัยต่อสุขภาพที่สุด เริ่มตั้งแต่ คาร์ โบไฮเดรต ที่ได้จากพวกแหล่งธรรมชาติ เช่น ข้าวสาลี ข้าว เจ้า ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งอาหารที่ปลอดภัย มาที่ ไขมัน พบว่า ไขมันที่ได้จากน้ำมันพืชจะปลอดภัยกว่าน้ำมันสัตว์ ซึ่ง ส่วนใหญ่ถ้าทานอาหารนอกบ้านจะหลีกเลี่ยงในส่วนนี้ไม่ค่อยได้

    ส่วน โปรตีน อาหารประเภทเนื้อสัตว์ พบว่า ในเด็ก ที่ยังโตไม่เต็มที่สามารถบริโภคโปรตีนได้ในปริมาณมาก ๆ แต่เมื่ออายุประมาณ 20-25 ปีขึ้นไป ควรหลีกเลี่ยงหรือทานโปรตีนน้อยลง เพราะเมื่อเราโตเต็มที่แล้วถ้ายังทานเหมือนเดิม ในสัดส่วนอาหารที่เท่าเดิม เราจะไม่สูงหรือเจริญเติบโตอีกแล้วจะมีแต่พอกไว้แล้วออกด้านข้างแทน

    “วัยเด็กอาจจะทานโปรตีนประมาณ 50-60 เปอร์เซ็นต์ แต่พออายุมากขึ้นจะลดลงเหลือประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเปอร์เซ็นต์ ที่หายไปนั้นจะต้องเสริมด้วย ผัก ผลไม้ จะช่วยทำให้ร่างกายได้วิตามินโดยที่ไม่ต้องไปซื้ออาหารเสริม วิตามินเสริมทั้งหลายมาบริโภคเลย เพราะอาหารหรือวิตามินเสริมเหล่านั้นก็มาจากอาหาร 5 หมู่ นั่นเอง

    ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งต้องลดอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ลดลง เพราะร่างกายมีความต้องการน้อยลงแต่ยังต้องการโปรตีนอยู่ เพียงแต่โปรตีนที่ต้องการไม่ใช่โปรตีนจากเนื้อสัตว์อย่างเดียว อาจจะเปลี่ยนเป็นสัตว์เนื้อขาว เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา และสัตว์น้ำ เพื่อให้เซลล์ผิวหนังอยู่ได้นาน เพราะเซลล์จะมีการซ่อมแซมตัวเอง ซึ่งโปรตีนจะเป็นวัตถุดิบให้กับร่างกายนำไปสร้างเป็นเซลล์ภูมิต้านทานในการต่อสู้ กับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาใน ร่างกาย เช่น เชื้อโรคต่าง ๆ รวมทั้งเป็นส่วนประกอบของ เอนไซม์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่จะใช้สื่อสารระหว่างเซลล์ในการ ควบคุมการทำงานของเซลล์ ในร่างกาย รวมทั้งระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งโปรตีนจะเข้ามาช่วยในส่วนเหล่านี้”

    ในส่วน วิตามินและเกลือแร่ จะอยู่ในผักและผลไม้ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ร่างกายมีเซลล์ที่ไม่แก่ มีความสดชื่น เพราะมีสารอนุมูลอิสระอยู่ในแหล่งผัก ผลไม้ธรรมชาติเหล่านี้ โดยผักที่ มีประโยชน์มากจะอยู่ในผักใบเขียว รวมทั้ง ถั่ว แครอท ตระกูล เบอรี่ทั้งหลาย เช่น สตรอเบอ รี่ ราสเบอรี่ รวมทั้งแอปเปิ้ล มะละกอสุก ฟักทอง ผลไม้ที่สีจัด ๆ เพราะจะมีสารอนุมูลอิสระและมีวิตามินสูง

    อาหารที่ทานกันทุกวันนี้ในท้องตลาดจะมีสิ่งหนึ่งที่ใส่เข้ามา คือ สารปรุงแต่ง ทั้งหลาย ซึ่งของปรุงแต่งจะมีตั้งแต่ น้ำมันหมู น้ำมันพืช ที่นำมาประกอบอาหาร

    สารปรุงแต่งในส่วนที่เรียกว่า หมัก ดองเค็ม ซึ่งเนื้อปลาโดยธรรมชาตินั้นดีมีประโยชน์ แต่เมื่อมีการนำไปปรุงแต่งขึ้น อย่าง ปลาเค็มในกระบวนการหมักจะมีการใส่ สารไนเตรต ที่สามารถเปลี่ยนเป็น สารไนโตร ซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งใน ร่างกายได้ ซึ่งเป็นสารเคมีที่ถูก นำมาใช้เป็นสารกันเสียในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เช่น ปลาช่อนแห้ง เนื้อเค็ม เนื้อกระป๋อง หมูแฮม เบคอน แหนม ซึ่งจะไปก่อมะเร็งในทางเดินอาหารด้านบน บางส่วนจะมีผลต่อมะเร็งโพรงจมูกได้อีกด้วย

    อีกจำพวกหนึ่ง คือ อาหารประเภท ปิ้ง ย่าง ที่มีลักษณะเกรียม ๆ ดำ ๆ ซึ่งจะมี สาร เฮทเทอโรไซคลิกเอมีน ที่ทำให้เกิด โรคมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก แต่สามารถยับยั้งสารนี้ได้เมื่อนำอาหารไปทอดเสร็จแล้ว อย่าง กุนเชียง ไส้กรอก ให้ใช้มะนาวบีบลงบนส่วนที่กรอบ ๆ เกรียม ๆ จะช่วยสกัดกั้นกระบวนการที่จะก่อให้เกิดเป็นสารก่อมะเร็งได้

    รวมถึง อาหารประเภทรมควันต่าง ๆ ซึ่งจะมี สารโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์ บอน ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็งตับ นอกจากนั้นยังรวมไป ถึงอาหารไขมันสูง จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งต่อมลูกหมาก “ซึ่งอาหารที่กล่าวมานั้นนาน ๆ ทานที่ได้ เพราะร่างกายคนเราเหมือนกับ กทม.ที่มาเก็บขยะได้ทัน แต่ถ้าทานบ่อยครั้งร่างกายก็ขับออกได้ไม่ทัน” นพ.ศักดิ์พิศิษฎ์ แนะนำ

    โรคมะเร็งส่วนใหญ่จะเป็นกันเมื่ออายุมากขึ้น เนื่องจากมีการสะสมมาเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่งที่ร่างกายรับไม่ได้ ก็จะแสดงอาการออกมา ถ้ายังบริโภคอาหารที่มีสารก่อมะเร็งต่อจะทำให้อาการทรุดลง คนที่ไม่ได้เป็นก็ยังไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าจะปลอดภัยจากโรคมะเร็ง ทุกคนมีสิทธิเป็นมะเร็งได้ทั้งนั้น เพียงแต่ความต้านทานของแต่ละคนไม่เท่ากัน สิ่งหนึ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ คือ จะต้องระวังและหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นตัวก่อมะเร็งทั้งหลาย
    นพ.ศักดิ์พิศิษฎ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “อย่ากินเพราะอร่อย ทานให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสมกับวัยเพราะความต้องการสารอาหารของแต่ละวัยไม่เท่ากัน โดยกินอาหารให้หลากหลาย อย่ากินอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งมากเป็นประจำ เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ และหลีกเลี่ยงการสะสมสารพิษจากอาหาร

    อาหารปรุงแต่งทุกชนิด ที่เติมเข้าไปให้สีสันน่าทาน รสชาติถูกปากให้ประโยชน์แค่เพียงความอร่อยที่มีแค่บนลิ้นเท่านั้น และถ้ายังสร้างกิเลสไว้บนลิ้นมาก ๆ เราก็จะไม่ได้คุณค่าอะไรจากอาหารจานนั้น เป็นเพียงความรู้สึกที่อร่อยชั่วครู่เดียว สิ่งที่ปรุงแต่งเหล่านั้นอาจเป็นโทษกับร่างกาย อย่าไปหลงกับรูป รสชาติมากเกินไป”

    ถ้าไม่อยากทรมานด้วยโรคมะเร็งร้าย ก่อนทานอะไรคิดสักนิด...แล้วชีวิตจะยืนยาว.

    /////////////////////

    เคล็ดลับสุขภาพดี : ไขปัญหาผื่นคันหน้าร้อนพร้อมวิธีรับมือ

    ถึงช่วงหน้าร้อนทีไร หลายคนมักประสบปัญหาอาการแสบคันกับผดผื่นที่ผุดขึ้นตามร่างกายทุกที แน่นอนยิ่งอากาศร้อนจัด มีเหงื่อชุ่ม ยิ่งคันและแสบมากแบบไม่ต้องบรรยาย สร้างความหงุดหงิดรำคาญใจให้ไม่น้อยทีเดียว คุณทราบหรือไม่ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด?

    รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า ความร้อนอาจทำให้อุณหภูมิใน ร่างกายสูงขึ้น แต่มนุษย์จะมีระบบปรับอุณหภูมิโดยเพิ่มการขยายตัวของหลอดเลือดแดงที่ผิวหนังเพื่อระบายความร้อนออกจากผิว และต่อมเหงื่อสร้างเหงื่อ เมื่อระเหยแห้งก็จะช่วยลดอุณหภูมิลง

    ต่อมเหงื่อมีอยู่ทั่วร่างกายอยู่เหนือชั้นหนังแท้ จะมีมากที่บริเวณรักแร้ ฝ่ามือ และฝ่าเท้า เหงื่อที่ขับออกจะช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้นมีความยืดหยุ่นและช่วยปรับอุณหภูมิในร่างกาย โดยท่อเหงื่อจะคดเคี้ยวในชั้นหนังกำพร้า ถ้ามีการอุดตันของท่อเหงื่อจะเกิดผดได้ สำหรับประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนความชื้นสูงเป็นปัจจัยให้เกิดผดผื่น ในฤดูร้อนจึงพบจำนวนผู้ป่วยสูงมาก

    ผด นั้นเกิดจากความผิดปกติของ ท่อเหงื่อ เมื่อมีเหงื่อเพิ่มขึ้น หนังขี้ไคล ที่บวมอาจทำให้เกิดการอุดตันของท่อ ซึ่ง การอุดตันตามระดับของท่อเหงื่อแบ่งได้ 3 ระดับ คือ 1.การอุดตันในระดับตื้น ลักษณะผื่นเป็นหยดเหงื่อใสค้างใต้ผิวหนัง ชั้นขี้ไคล ไม่มีอาการเมื่อถูตุ่มใสจะแตกออก 2.การอุดตันในระดับลึก เหงื่อออกไม่ได้จึงเซาะเข้าในหนังชั้นกำพร้า เกิดการอักเสบเป็นตุ่มแดง มีอาการคันมาก ในบางรายอาจ มีอาการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนได้ และ 3.การอุดตันลงลึก จะเป็นตุ่มสีปกติ ตุ่มจะใหญ่ขึ้นเมื่อเหงื่อออกมาก พบน้อยมักเป็นในประเทศซึ่งอยู่ในทะเลทรายหรือผู้ป่วยเป็นผดเรื้อรัง

    ลักษณะผดที่พบทั่วไปมักเป็นผื่นแดงเล็กกระจายสม่ำเสมอและเปลี่ยนเป็นตุ่มใส มีฐานเป็นสีแดง ผื่นในเด็กพบบริเวณคอ หน้าขา และรักแร้ ส่วนในผู้ใหญ่พบในบริเวณร่มผ้าที่มีการเสียดสี โดยเฉพาะคอ หนังศีรษะ ลำตัว หน้าอก และข้อพับ ซึ่งจะคันมากเมื่อมีเหงื่อออก

    อย่างไรก็ตามผดผื่นพบมากในทุกชาติและทุกวัย พบกระจายในร่มผ้า โดยเฉพาะบริเวณที่มีเหงื่อออกมาก การใส่เสื้อผ้ารัด แน่นหรือใช้วัสดุหนาหรือพลาสติกที่อากาศไม่ถ่ายเทจะทำให้เกิดการอุดตันของผิวหนังเป็นสาเหตุของการเกิดผดผื่น แต่เมื่อสภาพอากาศปกติผดผื่นจะทุเลาได้เองภายใน 1-2 วัน

    คุณหมอ ยังแนะนำวิธีรับมือจาก ผดผื่นว่า ถ้าอากาศร้อนติดต่อกันนานต้อง อาบน้ำให้บ่อยขึ้น เปิดพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศตามสถานะเหมาะสมและควรสวมใส่เสื้อผ้าที่เบาสบาย ไม่รัดแน่นจนเกินไป แต่ถ้าเป็นผดแล้วควรงดการออกกำลังกายชั่วคราว ส่วนอาการคันให้ใช้ยาทา แป้งน้ำช่วย เมื่อผื่นหายผิวจะกลับสภาพปกติ

    หากทราบถึงปัญหาการเกิดและวิธี รับมือผดผื่นแล้ว ร้อนนี้หวังว่าหลายคนคง จะทุเลาลงจากอาการแสบคันเพราะผดผื่นได้บ้าง รวมทั้งมีสุขภาพจิตที่ดีไม่หงุดหงิดง่ายพร้อมรับลมร้อนท้าแสงแดดในซัมเมอร์นี้อย่างสนุกสนาน.


    ทีมวาไรตี้
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากห้องรับแขก (ดูรายละเอียดส่วนตัวผม)

    29 มีนาคม 2552 12:26 PM
    zeedflower

    ยังไม่เคลียเลยนะครับ ไปบอกว่าจะเหยีบพระธาตุแล้วแตะลงน้ำเอาไงครับ ไม่กลัวบาปกรรมบ้างเหรอครับ อยู่ดีๆๆก็แตะผมออกลูกผู้ชายกล้าทำต้องกล้ารับนะคับ

    zeedflower
    ว่าไงคุณ ..................sithiphong

    zeedflower คุณชาญ...เค้าก็ฟากบอกมานะครับ เกือยลืมอ่ะ sithiphong เค้าบอกว่าเตะเค้าออกทำไมคับ

    zeedflower sithiphong ลูกผู้ชายต้องกล้าทำแล้วก็ต้องกล้ารับนะครับ ผมมาเรียกร้องความเป็นธรรม เพื่อนๆๆครับบุคคลคนนี้ได้ใช้คำพูดจาดูหมิ่นองค์สมเด็จสัมมาสัมพุธเจ้า เค้ากล่วไว้ว่าจะเหยีบยพระธาตุแล้วแตะลงน้ำ เค้ากลัวความจริงที่ผมพูด ก็เลยเตะผมออกจากระบบ ผมมาเรียกร้องความเป็นธรรมครับ ว่าผมผิดตรงไหนเห็นใจผมด้วยนะครับผมรักเวปนี้มาก

    ------------------------------------------

    ถึง คุณzeedflower (และคุณ channarong_wo)

    ไม่ต้องไปที่ห้องรับแขกครับ

    มาที่กระทู้พระวังหน้าได้ตลอดเวลา

    ลองไปอ่านดูว่า ผมทำเมื่อไหร่ สำหรับที่ผมหักพระ หรือเตะพระธาตุ ผมบอกว่าให้คนที่ปรามาสพระวังหน้าเป็นผู้ที่กระทำเนื่องจากเขาไม่เชื่อว่า พระวังหน้ามีจริง และหรือ เป็นพระเก๊ ,พระมือผี

    ส่วนวิธีการจะให้คนที่ปรามาสพระวังหน้ากระทำนั้น ผมจะบอกก่อนว่า นี่คือพระวังหน้า ที่สร้างขึ้นที่วังหน้า เข้าพระราชพิธีพุทธาภิเษกที่วัดบวรสถานสุทธาวาส องค์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) ทั้ง 5 พระองค์และหรือ บางองค์ ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิตก่อนปีพ.ศ.2415 และหรือ ปี พ.ศ.2428 หากคนที่ปรามาสพระวังหน้า เห็นว่าแท้ให้กราบไหว้ แต่ถ้าเห็นว่าปลอม หรือเก๊ ก็ให้หยิบไปหัก และเตะทิ้งน้ำ

    แล้วถ้าผมปรามาสองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และหรือพระอรหันต์ ผมจะจัดงานสรงน้าฯขึ้นมาทำไม และงานสรงน้ำฯ ไม่ยินดีต้อนรับคุณทั้งสองคนด้วย

    ส่วนชมรมพระวังหน้า ผมเองเป็นผู้ที่ตั้งขึ้น หากสมาชิกไม่ชอบผม ด่าหรือว่าผมว่าไม่ดี เพราะฉะนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องมาอยู่ร่วมชมรมเดียวกัน

    คุณทั้งสองคนไปตั้งชมรมใหม่ หากว่ามีใครที่มีแนวคิดเหมือนกับคุณ ก็จะไปอยู่กับคุณเอง

    ผมไม่สนใจว่า คุณจะคิดอย่างไรกับผม แต่ผมจะบอกว่า หลายๆองค์ที่คุณนำมา ก็ไม่ใช่พระวังหน้า แต่จะเป็นพระวังหลวงหรือเก๊ ผมไม่ขอบอกคุณ

    คุณจะรักเว็บนี้มากหรือไม่ก็เป็นเรื่องของคุณ ไม่เกี่ยวกับผม ในเว็บนี้ยังมีพื้นที่อีกมากสำหรับการแสดงความคิดเห็น แต่ผมว่าคุณชื่นชอบพระวังหน้า อยากอยู่ในชมรมพระวังหน้ามากหรือเปล่า เพราะไปที่อื่น ไม่มีใครที่คุยเรื่องนี้

    ส่วนคุณ channarong_wo ก็ไม่ต้องฝากคุณzeedflower มาบอก ให้มาบอกด้วยตัวเองในกระทู้นี้

    ผมเองก็ไม่รู้ว่าคุณzeedflower แอบอ้างชื่อคุณchannarong_wo มาบอกหรือเปล่าอีก

    ประสบการณ์เรื่องพระวังหน้า ผมมีมากกว่าคุณทั้งสองคนเยอะครับ สิ่งที่คุณไม่รู้ ไม่เห็นยังมีอีกมาก เมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมได้รู้ ได้เห็นมา

    ผมเตือนคุณเรื่องหนึ่งที่ผมเห็นได้ชัดก็คือ การอ่านและตีความของคุณ ไปฝึกฝนและเรียนรู้มาใหม่นะครับ

    คำว่า ฟาก ที่คุณพิมพ์มานั้น พิมพ์ผิดนะครับ ต้องเป็น ฝาก

    เป็นอันว่า ผมสรุปเรื่องนี้ว่า ผมไม่ยินดีต้อนรับ ผมไม่สนใจ ผมไม่ง้อ เมื่อคุณมีความคิดที่ไม่ตรงกับผม ก็ไม่จำเป็นต้องมาอยู่ร่วมกัน และไม่จำเป็นต้องไปที่ห้องรับแขกผม ให้มาที่กระทู้พระวังหน้าได้ตลอดเวลา


    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมรู้แต่ว่า ผมมีพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมเด็จพระพุทธสิธีทศพลที่ 1(สมเด็จองค์ปฐม) ,พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม กุกกุสันโธ ,พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม โกนาคมนะ ,พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม พุทธกัสสปะ ,พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมณโคดม ,พระบรมสารีริกธาตุ องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า(ไม่น้อยกว่า 3 พระองค์) ,พระธาตุพระอรหันต์(สมัยพุทธกาล) ไม่น้อยกว่า 35 - 40 องค์ ,พระธาตุหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด (ที่น้อยคนในโลกนี้จะมี) ,พระธาตุสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และพระธาตุพระอรหันต์ (ไม่ทราบพระนาม อีกมาก) ไว้สักการะบูชาที่บ้านผมครับ

    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมนำไปลงในชมรมพระวังหน้า และกระทู้"พระวังหน้า ที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้....." ที่เว็บบอร์ดอกาลิโก http://www.agalico.com/board/showthread.php?p=148916#post148916 หน้าที่ 167
     

แชร์หน้านี้

Loading...