พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เกือบลืม

    ผมอัญเชิญพระพุทธรูป (ทรงรัตนะโกสินทร์) ที่เป็นปางนั่งอุ้มบาตร หน้าตัก 9 นิ้ว ให้สรงน้ำกันด้วย คงไม่มีที่ไหนแน่นอนที่เขาจะอัญเชิญพระพุทธรูปที่เป็นทรงรัตนะออกมาให้สรงน้ำกันแน่นอน

    แต่ผมอัญเชิญไปแน่นอน เพื่อให้ทุกๆท่านที่ไปร่วมงาน จะได้มีโอกาสสรงน้ำกันครับ

    .
     
  2. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เรื่องทาน ศีล ภาวนา นี้เมื่อคืนผมเพิ่งได้รับความกระจ่าง...

    ครูสมาธิหลักสูตรหลวงพ่อวิริยังค์ได้แนะนำเรื่องของอาการต่อต้านสมาธิตอนหนึ่งในหัวข้อเรื่องความกระวนกระวาย ตอนหนึ่งได้กล่าวถึง เรื่องทาน ศีล ภาวนา ไม่มีใครสามารถกระทำแทนเราได้ ผมมาพิจารณาเรื่องของศีล และภาวนาซึ่งชัดเจนมากว่าทำแทนกันไม่ได้แน่นอน อยากได้ต้องทำเอง

    ส่วนทานนี้ พบเจอบ่อยมากที่เราทำแทนคนนั้นคนนี้ โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้เรื่อง หรือรู้เรื่องจะกล่าวคำอนุโมทนา หรือไม่ก็ตาม เพราะการให้ทานนั้น จุดประสงค์คือเพื่อลดความตะหนี่ในใจ ลดการเก็บสะสม หากเราทำทานแทนคนนั้นคนนี้ เขาเองก็ยังไม่สามารถลดความตะหนี่ในใจเองได้ หากเห็นว่ายังคงเกิดความเสียดายอยู่...

     
  3. gnip

    gnip สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +14
    เห็นแบบนี้เหมือนกันค่ะ
    นึกว่าเน็ต(เต่า)ที่บ้านล่มซะอีก
    เป็นบ่อยนะคะ
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คำแนะนำของพี่ใหญ่ บอกเสมอว่า ใครหิวข้าว ต้องกินเอง ไม่มีใครกินข้าวแทนได้

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เคยพาใครไปพระนิพพานได้เลย ต้องทำเอง ทำตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ครับ

    เรื่องทาน ถ้าคุณเพชรจะทำต่อก็ไม่มีปัญหานะครับ โดยนำพระวังหน้ามอบให้ผมอีก ผมก็ยินดีรับไว้ ขอบคุณล่วงหน้าครับคุณเพชร
     
  5. gnip

    gnip สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +14
    โดยส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกันมากกว่านะคะ อาจจะตอบแบบกว้างไปเลยทำให้เข้าใจผิด

    เป็นเรื่องธรรมดาค่ะถ้าหากว่าเข้ามาเป็นครั้งแรกแล้วเจอคำตอบแบบนี้
    แต่อยากให้ย้อนกลับไปดูถึงที่มาที่ไปกระทู้อาจยาวแต่จะทำให้เข้าใจอะไรได้ดีขึ้นนะคะ

    ถ้าหากท่านเจ้าของกระทู้ต้องการสมาชิกเยอะๆๆๆ คิดว่าคงไม่ตอบแบบนี้หรอกค่ะ

    อันนี้อย่าเอาอารมณ์ไปจับค่ะ ลองค่อยๆอ่านและพิจารณาด้วยปัญญาจะดีกว่านะคะ

    ที่เข้ามาเขียนไม่ได้เข้ามาเชียร์แต่ไม่อยากให้มีความรู้สึกแบบนี้บนกระทู้เลย

    ใจเย็นๆๆ นะคะ ช่วงนี้หน้าร้อน



     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับท่านที่ไปร่วมงาน มาย้ำอีกรอบว่า ผมมีแจก(ฟรี ไม่มีเงื่อนไขใดๆ) พระสมเด็จ (ไม่น้อยกว่า 3 องค์) ให้กับทุกๆท่าน

    พระสมเด็จที่ผมแจกนั้น มีตามนี้ครับ

    1.พระสมเด็จ(top of the top)
    พระสมเด็จรุ่นนี้ ผมยืนยันได้ว่า ให้นำพระสมเด็จที่มีอยู่ทั่วโลกมารวมกัน แล้วมาเทียบพลังอิทธิคุณกับพระสมเด็จ(top of the top) 1 องค์ พระสมเด็จที่มีอยู่ทั่วโลกมารวมกัน ไม่สามารถสู้พลังอิทธิคุณของพระสมเด็จ(top of the top) 1 องค์ได้เลย เนื่องจาก ในพระราชพิธีพุทธาภิเษกหลวงที่วัดบวรสถานสุทธาวาส สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านได้อาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม กุกกุสันโธ และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม กุกกุสันโธ มีพระเมตตาอธิษฐานจิตพระสมเด็จ(top of the top) ครับ

    2.พระสมเด็จ (เนื้อปัญจสิริ)
    พระสมเด็จรุ่นนี้ เป็นรุ่นที่สร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ.2415 องค์ผู้อธิษฐานจิตคือ หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า (หลวงปู่อิเกสาโร หรือหลวงปู่โพรงโพ หรือหลวงปู่เดินหน หรือ ฯลฯ) และสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อธิษฐานจิต

    3.พระสมเด็จ (เนื้อปูนสอ)
    พระสมเด็จรุ่นนี้ เป็นรุ่นที่สร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ.2415 องค์ผู้อธิษฐานจิตคือ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี

    หากสมาชิกชาววังหน้าท่านใดที่ไม่ได้ไป กว่าที่ผมจะแจกอีก ผมยังไม่ทราบว่า ผมจะเห็นควรแจกอีกเมื่อไหร่นะครับ และท่านที่ไปงานจะได้รับแจกเพียงท่านละ 1 องค์(ต่อ 1 รุ่น) เท่านั้นครับ สรุปก็คือ ท่านที่ไปงานจะได้รับแจก 3 องค์(1.พระสมเด็จ(top of the top) 2.พระสมเด็จ (เนื้อปัญจสิริ) 3.พระสมเด็จ (เนื้อปูนสอ) ) เท่านั้นครับ

    ส่วนพระสมเด็จ (เนื้อปูนสอ) หากแจกไม่หมด ผมจะมอบให้กับพี่ใหญ่ ในการแจกท่านที่ร่วมทำบุญกับทุนนิธิท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ตามที่ผมกับทุกๆท่านที่ได้ร่วมทำบุญในบุญพระสมเด็จตกลงกันไว้ครับ

    ห้ามพลาดนะครับ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ พลาดแล้ว อาจจะต้องรอกันปีหน้า( พ.ศ.2553) เชียวครับ

     
  7. gnip

    gnip สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +14
    การทำทานแทนคนนั้นคนนี้ แบบนี้เจอบ่อยมากค่ะ เลยอยากถามคุณเพชรว่าผลของทานจะเป็นอย่างไร ในกรณีรู้ กับไม่รู้

    โมทนาบุญกับคำตอบด้วยค่ะ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กลับมาจากอบรมและถูกสอบแล้วนิสัยก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่เลย

    แต่ว่าหน้าร้อนก็ถูก ผมยังไม่ได้ไปฉีดยาเลยครับ ต้องหาเวลาว่างๆไปฉีดยาซะหน่อยแล้ว หรือว่าน้องหมอจะเอายามาบริการฉีดให้พี่หน่อยครับ
     
  9. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ในเรื่องของการนั่งสมาธิแล้วหลับ จัดเป็นถีนมิทธะ (ดูความหมายข้างล่าง) ผมคิดว่าทุกคนคงเคยผ่านมาบ้าง และบางท่านรวมทั้งผมด้วยก็มักจะเข้าใจไปเองก่อนหน้านี้ว่า นั่นคือการหลับในสมาธิน่าจะดี แท้จริงแล้วคือการเข้าภวังค์นั่นเอง แต่การเข้าภวังค์มี ๒ แบบคือ เข้าภวังค์แบบไม่รู้ตัว ไม่มีสติ และแบบเข้าภวังค์แบบรู้ตัว และมีสติกำกับ แบบหลังนี่จะได้พลังจิต ต่างจากแบบแรกมากซึ่งไม่ได้พลังจิต การเรียนสมาธิเพื่อจุดประสงค์แรกคือหากจะเข้าภวังค์ต้องรู้ตัว และมีสติ

    ผมได้ทดลองปฏิบัติมาร่วม ๒ เดือนแล้ว พบว่าการเดินจงกรมเป็นอุบายแก้ถีนมิทธะ อย่างหนึ่งซึ่งได้ลองปฏิบัติตามที่ปรากฎในโมคคัลลานสูตร ก็ได้ผลคือแก้ความง่วง และอีกทั้งยังเป็นสมาธิแบบตื้น รู้ตัวตลอดเวลา เห็นการเดินจงกรมกลับไปมาอย่างนี้นึกว่าธรรมดา แต่แท้จริงแล้วเกิดพลังจิตมากช่วงนี้ อีกทั้งเมื่อเริ่มนั่งสมาธิจะเกิดความสงบอย่างรวดเร็ว จิตรวมตัวยังฐานของจิตเร็วมาก เมื่อเกิดความฟุ้งซ่านคิดโน่นคิดนี่ซึ่งเป็นลักษณะธรรมชาติของจิต ก็จะแก้ด้วยการบริกรรมเร็วขึ้นไม่ให้เกิดมีช่องว่างของจิตให้อารมณ์ฟุ้งเกิดขึ้น

    ก็นำมาบอกเล่าให้เพื่อนๆคณะพระวังหน้าได้ทดลองดูกันตามจริตของแต่ละท่าน เช้านี้ผมได้ลองทำความเข้าใจในเรื่องของสติปัฏฐาน ๔ จากเดิมที่อ่านผ่านๆกลับพิจารณาถึง"กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม" ซึ่งปกติการพิจารณาเพียงระดับกาย เวทนา จิต และธรรมนั้นก็ยากหรือไม่อยาก หรือไม่ชอบพิจารณาอยู่แล้ว แต่นี่ต้องพิจารณาซ้อนลงไปอีก พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเมตตาแนะนำว่า หากท่านใดปรารถนาที่จะได้ ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว ต้องปฏิบัติด้วยการทำสติปัฏฐาน ๔ หากทรงอารมณ์ตามที่หลวงพ่อท่านแนะนำได้ก็จะมีความสุขแบบสุขวิปัสสโกได้ แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถดัดแปลงขึ้นไปสู่วิชชาสาม อภิญญาหก ปฏิสัมภิทาญาณก็สามารถทำได้

    -------------------------------------------------------------
    ถีนมิทธะ (อ่านว่า ถีนะมิดทะ; บาลี ถีนมิทฺธ) แปลว่า ความหดหู่และเคลิบเคลิ้ม (ถีนะ ความหดหู่ มิทธะ ความเคลิบเคลิ้ม) หมายถึง อาการที่จิตเกิดความห่อเหี่ยว ท้อแท้ หมดหวัง และเศร้าซึม ง่วงเหงา หาวนอน เป็นเหตุให้เกิดความหมดอาลัย ความเกียจคร้าน ไม่กระตือรือร้น ปล่อยปละละเลยไปตามยถากรรม จัดเป็น นิวรณ์ คือเครื่องปิดกั้นขัดขวางมิให้บรรลุถึงความดีและปิดกั้นความดีมิให้เข้าถึงจิต
    ถีนมิทธะ เกิดจาก อรติ คือ ความไม่ยินดี ความเกียจคร้าน และความเมาอาหาร คืออิ่มเกินไป แก้ได้ด้วยอนุสติ คือระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย เป็นต้น
    ถีนมิทธะ เป็นหนึ่งในนิวรณ์5 (กามฉันทะ ,พยาบาท ,ถีนมิทธะ ,อุทธัจจกุกกุจจะ ,วิจิกิจฉา) อันเป็นสิ่งกั้นจิตไม่ให้ก้าวหน้าในคุณธรรม ทำให้จิตเศร้าหมอง และทำปัญญาให้อ่อนกำลัง

    <TABLE class=toc id=toc summary=เนื้อหา><TBODY><TR><TD>เนื้อหา

    [ซ่อน]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><SCRIPT type=text/javascript>//<![CDATA[ if (window.showTocToggle) { var tocShowText = "แสดง"; var tocHideText = "ซ่อน"; showTocToggle(); } //]]></SCRIPT>

    [แก้] เหตุให้ละความง่วงได้


    โมคคัลลานสูตร(ในพระไตรปิฏก)บรรยายเหตุให้ละความง่วงได้ ไว้มีดังนี้
    • เมื่อเธอมีสัญญาอย่างไรอยู่ความง่วงนั้นย่อมครอบงำได้ เธอพึงทำไว้ในใจซึ่งสัญญานั้นให้มาก (ในพระไตรปิฎก อักษรโรมัน เพิ่มคำว่า มา ซึ่งแปลว่า อย่า ในประโยคหลัง)
    • ถ้าเธอยังละไม่ได้ แต่นั้นเธอพึงตรึกตรองพิจารณา ถึงธรรมตามที่ตนได้สดับแล้ว ได้เรียนมาแล้วด้วยใจ
    • ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นเธอพึงสาธยายธรรมตามที่ตนได้สดับมาแล้ว ได้เรียนมาแล้วโดยพิสดาร
    • ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นเธอพึงยอนช่องหูทั้งสองข้าง เอามือลูบตัว
    • ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นเธอพึงลุกขึ้นยืน เอาน้ำล้างตา เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาวนักษัตรฤกษ์
    • ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นเธอพึงทำในใจถึงอาโลกสัญญา (ทำจิตอันมีแสงสว่างให้เกิด นึกถึงแสงสว่าง)
    • ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นเธอพึงอธิษฐานจงกรม กำหนดหมายเดินกลับไปกลับมา สำรวมอินทรีย์ มีใจไม่คิดไปในภายนอก
    • ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นเธอพึงสำเร็จสีหไสยา คือ นอนตะแคงเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะ ทำความหมายในอันจะลุกขึ้น พอตื่นแล้วพึงรีบลุกขึ้นด้วยตั้งใจว่า เราจักไม่ประกอบ ความสุขในการนอน ความสุขในการเอนข้าง ความสุขในการเคลิ้มหลับ
    [แก้] ถีนเจตสิกและมิทธเจตสิก

    ในพระอภิธรรมได้บรรยาย ถีนมิทธะ ในลักษณะของเจตสิก (คือ ธรรมชาติที่อาศัยจิตเกิด) โดยแบ่งเป็น ถีนเจตสิก และ มิทธเจตสิก
    ถีนเจตสิก

    ถีนเจตสิก คือ ธรรมชาติที่ทำให้จิตหดหู่ ท้อถอยจากอารมณ์ ได้แก่สภาพที่ จิตคลายลงจากอำนาจ ความขะมักเขม้นต่ออารมณ์ มีลักษณะดังนี้
    • มีการไม่อุตสาหะ เป็นลักษณะ
    • มีการทำลายความเพียร เป็นกิจ
    • มีความท้อถอย เป็นผล
    • มีการกระทำใจต่ออารมณ์อย่างไม่แยบคาย (อโยนิโสมนสิการ) เป็นเหตุใกล้
    มิทธเจตสิก

    มิทธเจตสิก คือ ความโงกง่วง ได้แก่ สภาพที่ทำให้จิตเซื่องซึม ท้อถอยจากอารมณ์ มีลักษณะ
    • มีความไม่ควรแก่การงาน เป็นลักษณะ
    • มีการกั้น กำบังสัมปยุตตธรรม เป็นกิจ
    • มีความท้อถอย หรือ การโงกง่วง เป็นผล
    • มีการกระทำใจต่ออารมณ์อย่างไม่แยบคาย (อโยนิโสมนสิการ) เป็นเหตุใกล้
    ถีนเจตสิก มีหน้าที่ ทำให้จิตที่เกิดพร้อมกับตน ท้อถอยจากอารมณ์ ส่วน มิทธเจตสิก มีหน้าที่ ทำให้เจตสิกที่เกิดพร้อมกับตน ท้อถอยจากอารมณ์
    สำหรับ วิตก(วิตกเจตสิก) อันเป็นหนึ่งในองค์ฌาน เป็นปรปักษ์กับ ถีนมิทธะ (ถีนเจตสิก และ มิทธเจตสิก)

    [แก้] อาหารของถีนมิทธะ

    ร่างกายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ แม้ฉันใด ถีนมิทธะ ก็มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน
    อาหารของถีนมิทธะในที่นี้ หมายถึง ปัจจัยอันนำมาซึ่งผลคือ จิตเกิดความห่อเหี่ยว และเศร้าซึม ง่วงเหงา

    สิ่งที่เป็นอาหารให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือถีนมิทธะที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น ได้แก่ การมีอยู่ของสิ่งเหล่านี้ หรือ การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (อโยนิโสมนสิการ) ในสิ่งเหล่านี้ คือ
    1. ความไม่ยินดี ในที่อันสงัด หรือในธรรมทั้งหลายอันเป็นกุศล
    2. ความเกียจคร้าน (อ้างว่า ร้อนนัก หนาวนัก หิวกระหายนัก เป็นต้น)
    3. ความบิดกายด้วยอำนาจกิเลส (บิดร่างกาย เอียงไปมา รู้สึกไม่สบาย ด้วยอำนาจกิเลส)
    4. ความเมาอาหาร เช่น รับประทานมากไป อาหารย่อยยาก หรือร่างกายอ้วนเนื่องจากรับประทานมาก
    5. ความที่ใจหดหู่ ความไม่ควรแก่การงานของจิตเนื่องจากใจหดหู่ ท้อแท้
    [แก้] อ้างอิง

    [แก้] ดูเพิ่ม

    <!-- NewPP limit reportPreprocessor node count: 64/1000000Post-expand include size: 6019/2048000 bytesTemplate argument size: 557/2048000 bytesExpensive parser function count: 0/500--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:55683-0!1!0!!th!2 and timestamp 20090323120851 -->ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/ถีนมิทธะ".
    หมวดหมู่: กิเลส | อภิธานศัพท์พุทธศาสนา
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมไม่เคยต้องการที่จะได้สมาชิกคณะพระวังหน้าเป็นจำนวนเยอะๆครับ ผมเจอมาเยอะครับ เจอคนก็เยอะ เจอมนุษย์ก็มาก เจอคนปนมนุษย์ก็แยะ กว่าที่ผมจะคัดกลั่นกรองผู้ที่ต้องการเข้ามาในคณะพระวังหน้า ก็ใช้เวลาพอสมควร

    ผมไม่สนใจว่า ใครจะเข้ามาหรือไม่ อย่างไร กว่าที่ผมจะมาถึงทุกวันนี้ กว่าเพื่อนๆผมจะมาถึงทุกวันนี้ ผ่านเรื่องราวต่างๆมากมาย ลำบากกันมาก็เยอะ บางครั้งผมต้องโดดงาน เพื่อนผมทิ้งผบทบ.ให้เดินทางไปและกลับโรงพยาบาลคนเดียว และอีกหลายๆเรื่อง ผมและพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ จึงได้รักกันทั้งๆที่ได้พบเจอกันบนเว็บพลังจิต

    ทำไมผมถึงไม่ลงรูปพระวังหน้า จริงๆเวลาที่นัดพบกันในแต่ละเดือน ผมก็ได้นำไปเกือบทุกครั้ง นำไปศึกษากัน องค์ความรู้ใหม่ๆ มีเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ในบางเรื่องก็คิดกันไม่ออกเช่นกัน

    ผมโชคดีที่มีครูบาอาจารย์ ที่ "รู้จริง" และตรวจสอบได้ทั้ง "รูป (เนื้อหาทรงพิมพ์)" และ "นาม (พลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิต)" จึงได้มีโอกาสเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยพบ ไม่เคยเห็นกันมาก่อน ไม่เคยรู้ว่า ใช่พระวังหน้า

    ผมมีแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ถ้าผมต้องการสมาชิกเยอะๆ ง่ายครับ ไม่ยาก ยิ่งถ้าผมอยากดังก็ยิ่งง่าย ผมหลบอยู่ตลอดเวลา เพราะรู้ว่า หากมีสมาชิกเยอะๆ และอยากดัง ผมจะยิ่งไม่มีเวลาให้กับครอบครัวผม ไม่มีเวลาให้กับตัวผมเอง และในการศึกษาค้นคว้าเรื่องพระวังหน้า เพียงแค่นี้ ผมก็ยังไม่มีเวลาให้ครอบครัวผมและครอบครัวผบทบ.ผมเลย ยังไม่ต้องพูดถึงผบทบ.ผมครับ เพราะว่า ผมก็ไม่มีเวลาให้ผบทบ.ผมเช่นกัน

    .
     
  11. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    สงสัยมีอาการดื้อยา ครับ
     
  12. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ถามสั้น แต่ต้องอธิบายมากครับ หลวงพ่อวิริยังค์ท่านมีอัจฉริยภาพพิเศษอยู่ข้อหนึ่ง ในหลายๆข้อที่ผมยังไม่รู้คือ ความสามารถด้านการย่อ และขยาย หนังสือหลายหน้าแต่ท่านย่อเหลือความเข้าใจเพียงไม่กี่บรรทัด แต่บางคำท่านขยายความออกเป็นบทๆ เช่นคำว่า"บริกรรม" เราหรือก็คิดว่ามันคงเหมือนสวดมนต์ แต่หลวงพ่อท่านบอกว่าบริกรรมคือไม่ให้เสียงออกมา หากออกเสียงเขาเรียกว่าพูด และหากออกเสียง และบทยาวๆคือสวดมนต์ อันนี้มันคล้ายข้อตกลง หรือนิยามที่ใช้ในการสอบอารมณ์ว่าเราทำถูก หรือทำไม่ถูก...

    การทำทานแทนกันนั้น ก็มีมานานแล้วตามความหวังดีที่ผู้ทำทานแทนกับผู้ที่ผู้ทำทานแทนให้ แต่ผู้ที่ผู้ทำทานแทนให้จะรู้ตัว หรือไม่รู้ตัว ต้องว่ากันทีละส่วน

    หากรู้ตัว และกล่าวอนุโมทนา กับไม่กล่าวอนุโมทนา ก็มีความหมายต่างกันกับการทำทานแทน กล่าวคือการกล่าวคำอนุโทนาคือการยินดี การยอมรับในความดีที่กระทำ หากไม่กล่าวคำอนุโมทนาก็อาจจะเป็นเพราะไม่รู้ว่าต้องกล่าว แต่ใจยินดีก็เป็นได้ หรือไม่ยินดีเลยก็เป็นได้ เรียกว่า ทานไม่ปรารถนาจะทำ เธอทำให้ฉันเอง ฉันไม่รู้เรื่อง เงินเธอ ไม่ใช่เงินฉัน การจะยินดีด้วยใจจึงยังไม่เกิด เรียกว่า กายไม่ทำทาน วาจาไม่กล่าวออกมา อีกทั้งใจก็ไม่นึกยินดีด้วยแบบนี้ ทานนี้ยังไงก็ยังเป็นของผู้ให้ทานเองอยู่ เอาใจเป็นที่ตั้ง เพราะท้ายสุดเราต้องเอาใจ(ในที่นี้ใจกับจิตคือสิ่งเดียวกัน)ไปเท่านั้นเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตมาเยือน

    หากผู้ที่ผู้ทำทานแทนให้นั้น ยินดี แต่ให้เงินกลับตามกำลังใจนั้น เช่น ผู้ทำทานทำทานให้ ๑๐๐ บาท แล้วมาบอกกับผู้ที่ผู้ทำทานแทนให้ แต่ผู้ที่ผู้ทำทานแทนให้รู้สึกว่า ๑๐๐ บาท มากเกินไป อยากทำเพียง ๑๐ บาท พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีท่านเคยบอกว่า ๒ คนนี้มีกำลังใจเท่ากันในทานแล้ว แต่หากกล่าวกันถึงอานิสงค์ จะได้ผลที่ต่างกันในความเหมือน คือ หากผลของทานนั้นได้ทิพยสมบัติ จะได้เกิดในชั้นเดียวกันตามกำลังใจคือกำลังบุญ แต่ขนาดของวิมานต่างกัน ผู้ให้ทานมากวิมานจะใหญ่กว่าผู้ให้ทานน้อย

    หากผู้ที่ผู้ทำทานแทนให้นั้น ยินดี แต่ไม่ได้ให้เงินกลับตามกำลังใจนั้น เช่น ผู้ทำทานทำทานให้ ๑๐๐ บาท แล้วมาบอกกับผู้ที่ผู้ทำทานแทนให้ แต่ผู้ที่ผู้ทำทานแทนให้รู้สึกว่า ๑๐๐ บาท ไม่น่าทำ ไม่อยากทำ แบบนี้ทานไม่ได้ เพราะความรู้สึกตะหนี่ในใจยังมีอยู่ ยังเกิดความเสียดายอยู่ แบบนี้ผลของทานไม่สมบูรณ์ ท่านจะเกิดได้อย่างไร กลายเป็นว่าทานไม่เกิด ความรู้สึกยินดีในทานของผู้อื่นก็ยิ่งไม่เกิด

    ก็ขอตอบแต่เพียงเท่านี้ครับ เพราะอธิบายมากเกินไป จะสร้างความงุนงงครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2009
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ในชมรมพระวังหน้า(พลังจิต) ผมเองยังเคยตัดชื่อสมาชิกออกไปเลยครับ

    ส่วนเรื่องของคณะพระวังหน้า ผมบอกได้ว่า ยังมีพระพิมพ์และวัตถุมงคลต่างๆที่คนส่วนใหญ่(ที่ชอบพระวังหน้า) ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น อีกมาก
    ผมไม่ง้อด้วยว่า จะมีโอกาสได้เผยแพร่หรือไม่ ท่านใดก็ตามที่มีพระพิมพ์และวัตถุมงคลของวังหน้าที่เป็นชุดพิเศษ ส่วนใหญ่( 99.99%) จะเก็บกันเงียบ ไม่ว่าจะเป็นคุณnongnooo ,คุณเพชร หรือท่านอื่นๆก็ตาม

    หากมี "วาสนา" และ "บารมี" ต่อกัน ต้องไปพบ ได้เห็น ได้เจอกันสักวัน
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ่า ถ้าอย่างนั้นสงสัยว่า ต้องเปลี่ยนยาแน่เลย

    น้องหมอครับ เปลี่ยนยาให้ด้วยนะครับ พี่ดื้อยาแล้วครับ

    rabbit_scary
     
  15. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    มีพาดพิง เลยต้องมาตอบว่า ผมไม่รู้ ผมไม่เห็น ผมไม่ทราบ ผมไม่รู้อะไรเลยจริงๆ
     
  16. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137

    ผมว่า ที่ไป "อบรม" ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ นี่น่าจะเสียเปล่า แบบนี้ ต้องเปลี่ยนจาก "อบและรม" เป็น "เผา" แทนแบบนี้จะได้ผลกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2009
  17. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    2. อุปมาศีล สมาธิ ปัญญา
    <O:p
    ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับหลวงน้าสายหยุด ท่านได้เมตตาเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า

    หลวงพ่อเคยเปรียบธรรมะของพระพุทธเจ้าเหมือนแกงส้ม แกงส้มนั้นมี 3 รส คือ
    เปรี้ยว เค็มและเผ็ด ซึ่งมีความหมายดังนี้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    รสเปรี้ยว หมายถึง ศีล ความเปรี้ยวจะกัดกร่อนความสกปรกออกได้ฉันใด
    ศีลก็จะขัดเกลาความหยาบออกจากกาย วาจา ใจ ได้ฉันนั้น<O:p</O:p
    <O:p
    รสเค็ม หมายถึง สมาธิ ความเค็มสามารถรักษาอาหารต่างๆ ไม่ให้เน่าเสียได้ฉันใด
    สมาธิก็สามารถรักษาจิตของเราให้ตั้งมั่นอยู่ในคุณความดีได้ฉันนั้น

    รสเผ็ด หมายถึง ปัญญา ความเผ็ดร้อนโลดแล่นไป เปรียบได้ดั่งปัญญา
    ที่สามารถก่อให้เกิดความแจ้งชัด ขจัดความไม่รู้
    เปลี่ยนจากของคว่ำเป็นของหงาย จากมืดเป็นสว่างได้ ฉันนั้น

    ที่มา : คติธรรมจากหนังสือ 101 ปีหลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ
     
  18. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    555 รอบนี้มาแบบนิ่มๆ เล่นเอาผมฮาตอนท้าย
     
  19. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    555 ฉีดยาแก้ปวดละกันนะครับ จะได้หายเหนื่อยบ้าง
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เอ่อ อบ และ รม พอร้อนๆครับ

    แต่ถ้า เผา ร้อนมากจริงๆครับ
    ไม่สงสารกันมั่งเหรอครับ
    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...