พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    [​IMG]
    'มังคลอุบล' ชนะเลิศการประกวดบัวโลก....อ่านแบบเต็ม ๆ ว่า "มังคลอุบล" อ่านว่า มัง-คละ- อุ-บน
    "มังคลอุบล" ที่กล่าวถึงนี้เคย ได้รับรางวัล Best New Hardy Waterlily 2004 ในการประกวดบัวโลกครั้งที่ 19 ณ สหรัฐอเมริกา
    โดยผู้ส่งเข้าประกวดคือ ผู้ประคบประหงมให้กำเนิดขึ้นมาคือ ผศ.ดร.ณ นพชัย ชาญศิลป์ อาจารย์ประจำภาควิชาพืชศาสตร์
    สถาบันเทคโนโยโลยีราชมงคลวิทยาเขตบางพระ จ.ชลบุรี อาจารย์เล่าให้ฟังว่า..

    "...มันก็คือ"บัวฝรั่ง" ซึ่งก็คือ อุบลชาติประเภทยืนต้นนั่นเอง ที่นิยมเรียกกันว่าบัวฝรั่งเพราะมีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตอบอุ่นหรือเขตหนาว เมื่อถึงฤดูหนาวจะมีการพักตัวทิ้งใบที่ลอยอยู่ผิวน้ำทั้งหมดและสร้างใบเล็ก ๆแข็ง ๆ อยู่ใต้น้ำชะลอกระบวนการทางสรีระทั้งหมดไว้ เมื่อหิมะละลายหรืออากาศอุ่นขึ้นก็จะสร้างใบชนิดลอยน้ำขึ้นมาใหม่และเริ่มต้นออกดอกขยายพันธุ์ต่อไป..."

    บัวฝรั่งมีลำต้นใต้ดินเรียกว่าเหง้า เจริญเติบโตไปกับผิวดิน ใบค่อนข้างเล็ก กลม ขอบใบเรียบ ดอกค่อนข้างป้อม รูปถ้วย
    ลอยผิวน้ำมี 5 สีคือ ขาว ชมพู แดง เหลือง และส้ม ซึ่งสีส้มเป็นสีที่ได้จากการปรับปรุงพันธุ์ภายหลัง ซึ่งทางวิทยาเขตบางพระพยายามศึกษาเทคนิคการผสมพันธุ์บัวฝรั่งจนสำเร็จและสามารถผลิตเมล็ดบัวได้แล้ว

    สำหรับมังคลอุบล เป็นบัวฝรั่งที่แข็งแรงมาก เลี้ยงง่าย ค่อนข้างทนต่อโรคและแมลง ขยายพันธุ์ง่ายออกดอกดก
    ถ้าเป็นฤดูร้อนจะออกดอกดกมาก ถ้าหนาวก็ยังสามารถให้ดอกได้แต่ดอกจะน้อยกว่า มังคลอุบลสามารถปลูกได้ดี
    ในภาชนะที่จำกัด เช่น กะละมังพลาสติก ไปจนถึงสระน้ำขนาดใหญ่

    ปัจจุบัน "มังคลอุบล" หาชมได้ทั่วๆ ไปค่ะ ...มีครบทุกสีน่าจะมีที่ พิพิธภัณฑ์บัว ม.ราชมงคลคลอง 6
    หรือ ที่ลานบัว ในสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ เขตจตุจักร


    <TABLE height=209 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" height=30>มังคลอุบล
    </TD></TR><TR><TD width="100%" height=24><TABLE cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="14%">ชื่อไทย</TD><TD width="36%">มังคลอุบล (มัง-คละ-อุบล)</TD><TD width="10%">สกุล</TD><TD width="40%">hardy waterlil</TD></TR><TR><TD width="14%">ชื่อสามัญ</TD><TD width="36%">mangkala ubol</TD><TD width="10%">ถิ่นกำเนิด</TD><TD width="40%">ประเทศไทย</TD></TR><TR><TD width="14%">ชื่อวิทยาศาสตร์</TD><TD width="36%">nymphaea spp (hybrid)</TD><TD width="10%">ผู้ค้นพบ</TD><TD width="40%">ผศ.ดร. ณ นพชัย ชาญศิลป์</TD></TR><TR><TD width="14%">ชื่ออื่นๆ </TD><TD width="36%">คิงออฟสยาม</TD><TD width="10%">วงศ์</TD><TD width="40%">nymphaeaceae</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD vAlign=center width="100%" height=49>ลักษณะพันธุ์ บัวฝรั่งลูกผสม ดอกสีเหลือง กลีบดอกซ้อนหลายชั้น ฝีมือคนไทย โดย ผศ.ดร. ณ นพชัย ชาญศิลป์ แห่งสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล คลอง6</TD></TR><TR><TD width="100%" height=24>
    <TABLE cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="14%">วิธีปลูก</TD><TD vAlign=top width="86%">1. การปลูกในสระหรือบ่อ : ระดับน้ำ 50 – 80 เซนติเมตร

    2. การปลูกในกระถาง : สามารถปลูกในกระถางที่มีความกว้างไม่น้อยกว่า 30 เซนติเมตร
    การพักตัวของบัว : ไม่พักตัว
    ความกว้างของผิวน้ำ : ปลูกได้ทุกขนาด แคบ , ปานกลาง , กว้าง
    ความลึกของน้ำ : ทุกระดับ
    แสง : รับแดด
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2009
  2. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    การปลูก วิธีที่นิยมปลูกมี 2 วิธี คือ

    1.) การปลูกในปลูกในสระหรือบ่อ

    1.1 สระขนาดใหญ หรือเรียกว่าการทำนาบัว ใช้พื้นที่ขนาด 5-50 ไร่ พื้นที่ที่เหมาะในการปลูกตัวต้องเป็นที่ราบสม่ำเสมอ
    และอยู่ใกล้แหล่งน้ำดินเป็นดินเหนียวการเตรีมพื้นที่คล้ายกับการทำนาดำโดยระบายน้ำออกให้แห้งก่อน แล้วยกคันดินโดยรอบ
    พื้นที่ให้สูง ประมาณ 1-2 เมตร ปรับพื้นที่ให้เรียบจึงไถดะหรือไถพรวน หลังจากนั้นโรยปูนขาวอัตรา 5-10 กิโลกรม/ไร ตาก
    แดดทิ้งไว้ 7-10 วัน แล้วไถแปรอีกครั้ง พร้อมกับเติมปุ๋ยคอกอัตราไร่ละประมาณ 150 กิโลกรัมต่อไร่หลังจากนั้นจึงปักดำบัวโดยใช
    ระยะ 2 x 2 เมตร ในพื้นที่ 1 ไร่ ระยะแรกปลูกบัว ควรรักษาระดับน้ำให้ขังอยู่ในแปลงในระดับที่พอเหมาะคือ ควรลึกประมาณ 30
    เซนติเมตร ในช่วงเดือนแรก หลังจากนั้นปล่อยน้ำเข้าแปลงอีกประมาณ 50-100 เซนติเมตร

    1.2 สระขนาดเล็ก หรือในพื้นที่ที่จำกัด ทำได้โดยวิธีการขุดสระหรือบ่อขนาด 2 x 3 x 1 เมตร (กว้าง x ยาว x ลึก )
    หรือขนาดอื่นที่ใกล้เคียงกันควรเป็นพื้นที่ราบสม่ำเสมอและอยู่ใกล้แหล่งน้ำดินต้องเป็นดินเหนียวการเตรียมดินก็คล้ายกับการ
    ปลูกในสระใหญ่ เพียงแต่ลดอัตราส่วนของปูนขาวและปุ๋ยคอกลงเล็กน้อย คือใช้ปูนขาวโรงพื้นประมาณ 200 กรม ใช้ปุ๋ยคอก 2-5
    กิโลกรัม/สระ ส่วนจำนวนต้นปลูกควรใช้24ต้น/สระกรณีที่อยู่ห่างแหล่งน้ำและดินปลูกไม่เหมาะสมเราสามารถขุดสระหรือบ่อขนาด
    2 x 3 x 1 เมตร (กว้าง x ยาว x ลึก) หรือขนาดอื่นที่ใกล้เคียงกันโดยใช้ปูนซีเมนต์ทำเป็นพื้น เพื่อกักเก็บน้ำแล้วนำดินเหนียว ผสมปุ๋ยคอกเป็นดินปลูกหลังจากนั้นจึงนำต้นบัวมาปลูก24/สระคอยเพิ่มระดับน้ำทีละน้อยตามความเจริญของต้นบัวและคอยเปลี่ยน
    น้ำหรอถ่ายเทเมื่อสังเกตุเห็นว่าน้ำเสื่อมคุณภาพ คือ มีกลิ่นเหม็น หรือสีคล้ำ พันธุ์บัวที่ใช้ปลูกในสระหรือบ่อ ได้แก่ บัวหลวง บัวผัน
    บัวเผื่อน บัวสาย บัวจงกลนี บัวกระด้ง

    2. การปลูกในกระถาง นิยมปลูกกัน 2 ลักษณะ คือ

    2.1 ปลูกโดยใช้กระถาง 2 ใบ วางซ้อนกันโดยใช้ใบใหญ่ 1 ใบ และใบเล็ก 1 ใบ ขนาดกระถางใบใหญ่ มีขนาด 18-24 นิ้ว
    เป็นกระถางทรงสูงสามารถกักเก็บน้ำได้ ส่วนขนาดกระถางใบเล็กมีขนาด 6-8 นิ้ว เป็นกระถางทรงสูงใช้สำหรับใส่ดินปลูกบัว โดยใช้ดินผสมหรือดินเหนียว : ปุ๋ยอินทรีย์อัตรา2:1ผสมดินปลูกหลังจากนั้นก็นำกระถางใบเล็กวางซ้อนในกระถางน้ำใบใหญ่ที่
    เตรียมไว้ แล้วค่อย ๆ ใส่น้ำลงไปในกระถางในระดับที่เหมาะสม กับความต้องการของต้นบัว การปลูกวิธีนี้สามารถเปลี่ยน
    กระถางบัว และเคลื่อนย้ายได้สะดวกเพราะเป็นกระถางเล็ก

    2.2 ปลูกโดยใช้กระถางใบเดียว โดยใช้กระถางทรงสูงขนาด 18-24 นิ้ว ซึ่งสามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ วิธีปลูกก็นำดินปลูกผสมปุ๋ยอินทรีย์ คือใช้ดินผสมหรือดินเหนียว:ปุ๋ยอินทรีย์อัตรา2:1แล้วใส่ดินปลูกลงในกระถางประมาณ1/2ของกระถางจึงนำต้นบัวไปปลูกหลังจาก
    นั้นก็ค่อย ๆ ใส่น้ำลงไปในกระถางระดับเดียวกับขอบกระถาง พันธุ์ที่ใช้ปลูกในกระถางทั้งสองวิธีได้แก่ บัวหลวง บัวผัน บัวเผื่อน
    บัวสาย ถ้าจะให้ต้นมีการเจริญที่ดี และสวยงามควรเปลี่ยนน้ำ เมื่อเห็นว่าสกปรกหรือใส่ปุ๋ยบำรุงด้วยปุ๋ยที่นิยมใช้คือ ปุ๋ยเคมีสูตร
    15-15-15 อัตรา 150-300 กรัม/กระถาง โดยหว่านลงในน้ำ ใส่ 2-3 เดือน/ครั้ง


    การดูแลรักษา

    แสง ต้องการแสงแดดอ่อน จนถึงแสงแดดจัด

    น้ำ ต้องการปริมาณน้ำมาก เพราะเป็นพืชเจริญอยู่ในน้ำ

    ดิน ดินเหนียว ดินนา ดินผสมอินทรีย์

    ปุ๋ย ในระยะแรกก่อนปลูกใช้ปุ๋ยคอก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/กอ ใช้ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 หรือ 16-20-0
    อัตรา 200-300 กรัม/กอ โดยหว่านลงน้ำ ใส่ปีละ 4-5 ครั้ง

    การขยายพันธุ์ การเพาะเมล็ด การแยกกอ

    วิธีที่นิยมและได้ผลดีคือ การแยกกอจากหัวหรือเหง้า

    โรคศัตรู โรครากเน่า เพลี้ยต่าง ๆ

    อาการ ใบและก้านใบเหลือง แห้งเหี่ยว และแคระแกร็น ใบอ่อนหงิกงอ ใบและดอกบัวแคระแกร็น

    การป้องกัน การรักษาความสะอาดดินปลูกและคุณภาพน้ำ หลีกเลี่ยงบริเวณเพลี้ยระบาด

    การกำจัด ทำลายต้นที่เป็นโรคทิ้งแล้วปลูกใหม่ ใชยาโดไม้ที อัตราและคำแนะนำระบุไว้ในฉลาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2009
  3. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    นอกจากมังคลอุบลแล้วยังมีบัวผสมข้ามสายพันธุ์เป็นบัว 2 สายพันธุ์ ชนิดใหม่ของโลกคือ “ธัญกาฬ” และ “รินลอุบล” ที่จะนำเข้าประกวดที่สมาคมบัวโลก (International Water Lily and Water Garden Society-IWGS) ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในอีกไม่นานต่อจากนี้

    [​IMG]

    นายภูรินทร์ อัครกุลธร หัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ กองพัฒนาอาคารสถานที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี เปิดเผยว่า จากที่ มทร.ธัญบุรีได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์บัวขึ้นในปี พ.ศ.2543 ซึ่งเป็นโครงการตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ได้รับข่าวดีเมื่อพบว่า ภายในคูคลองของพิพิธภัณฑ์บัว ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมสายพันธุ์บัวต่างๆ ได้มีบัวผสมข้ามสายพันธุ์เป็นสายพันธุ์บัวชนิดใหม่ 2 สายพันธุ์ และจากการตรวจสอบคุณลักษณะต่างๆ เปรียบเทียบกับสายพันธุ์บัวทั่วโลกไม่พบว่า มีทั้ง 2 สายพันธุ์ดังกล่าว ถือเป็นการค้นพบสายพันธุ์บัวสายพันธุ์ใหม่ของโลกขึ้นที่พิพิธภัณฑ์บัวแห่งนี้
    อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้ตรวจสอบคุณลักษณะแล้ว และได้ตั้งชื่อว่า "ธัญกาฬ" เป็นบัวกลุ่มสายเขตร้อน จะบานในเวลากลางคืน การให้ดอกจะทยอยออกดอกตามกัน จะบานอยู่ 3 วัน อีกชนิดชื่อว่า "รินลอุบล" เป็นบัวลูกผสมเปิด มีกลิ่นหอมเล็กน้อย การให้ดอกทยอยออกตามกัน ดอกดก บาน 3 วัน การขยายพันธุ์ ต้นอ่อน,หัว,เมล็ด
    นายภูรินทร์กล่าวด้วยว่า การพบบัวพันธุ์ใหม่ของโลกในครั้งนี้ถือเป็นการผสมพันธุ์บัวแบบธรรมชาติภายในพิพิธภัณฑ์บัว ต่อไปจะนำสายพันธุ์บัวทั้งสองชนิดนี้ไปยื่นเรื่องขอจดลิขสิทธิ์ที่กรมวิชาการเกษตรให้บรรจุเป็นพืชพันธุ์ใหม่ รวมทั้งจะส่งเข้าร่วมประกวดที่สมาคมบัวโลก (International Water Lily and Water Garden Society) หรือ IWGS ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ภายในปีนี้ด้วย คาดว่าจะเป็นที่ฮือฮาของวงการบัวอย่างแน่นอน สำหรับบัว 2 สายพันธุ์ใหม่ และสายพันธุ์อื่นๆ กว่า 150 พันธุ์ภายในพิพิธภัณฑ์บัว มทร. จะเปิดให้ผู้ที่สนใจเข้าชมได้ฟรี เพื่อให้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้และทำวิจัยต่อไป

     
  4. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
    ขอบคุณและอนุโมทนาบุญคุณ katicatอย่างมากค่ะ
    ย่นระยะการทำงานไปได้มากโข
    จะรีบนำข้อมูลไปถวายท่านทันทีที่ท่านถึงกรุงเทพฯค่ะ
     
  5. dragonlord

    dragonlord เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,541

    อนุโมทนาคะ

    อนุโมทนากับพระอาจารย์นิลด้วยคะ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ผักนึ่งดีกว่าผักต้ม
    http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000027475
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>10 มีนาคม 2552 16:58 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ยามรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน ยามชังแม้น้ำตาลยังว่าขม แต่ยามนี้ "108 เคล็ดกิน" มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังว่า การนำผักไปต้มได้น้ำต้มผักที่ว่าหวานๆ ขมๆ นั้น เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ทำลายคุณสมบัติในการต่อต้านโรคมะเร็งของผักชนิดนั้นๆ ทิ้งไปมากถึง 75% เลยทีเดียว

    มีการวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอร์วิค ประเทศอังกฤษ พบว่าการต้มผักบางชนิด ได้แก่ บล็อคโคลี่ กะหล่ำดอก และกะหล่ำปมนั้น จะทำลายสารที่เป็นคุณกับการต่อต้านโรคมะเร็งลงไปมากถึง 75% โดยในผักประเภทนี้จะมีสารสำคัญชนิดหนึ่งคือ สารกลูโคซิโนเลต ซึ่งมีศักยภาพในการต้านมะเร็งที่สำคัญ โดยจะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ การต้มผักนานๆจะทำให้สารตัวนี้หายไป

    สำหรับวิธีการที่ดีที่สุดที่จะทำให้ผักยังคงคุณค่า นอกจากการกินสดๆแล้วนั้น ก็คือการนึ่ง โดยไม่ควรนึ่งนานเกิน 20 นาที ก็จะช่วยรักษาคุณค่าของผักในการป้องกันโรคมะเร็งไว้ได้ถึง 80% เลยล่ะ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผักต้ม กินพร้อมกับ เสือทอดกรอบ
    และนั่งฟังนวนิยายลมๆแล้งๆหุหุหุ

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เดิมไม่อยากพูด
    บอกนิดนึงว่า กำลังเริ่มโดนไปเรื่อยๆ โดนกระทืบ
    แถมยังไม่รู้ว่า ตัวเองกำลังเริ่มโดนกระทืบ

    แล้วเมื่อถึงเวลาก็จะรู้เองในอีกหลายๆเรื่อง หุหุหุ

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เมื่อเสาหลักของครอบครัว...ตกงาน
    http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9520000027450
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>11 มีนาคม 2552 06:22 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=254 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=254>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ในภาวะที่สภาพเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีแผนลดกำลังการผลิต การขยายตัวทางเศรษฐกิจติดลบ ราคาสินค้าเกษตรย่ำแย่ คงไม่แปลกหากจะส่งผลให้ปัญหาการปลดพนักงาน และอัตราการว่างงานของแรงงานใหม่ที่กำลังจะเข้าสู่ตลาดแรงงานมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น

    ในภาวะเช่นนี้ คงเป็นเรื่องยากหากจะบอกให้ผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวนิ่งนอนใจ โดยเฉพาะคุณพ่อและคุณแม่ที่ต้องทำมาหารายได้เพื่อใช้จ่ายภายในบ้าน ที่ต้องทำงานภายใต้แรงกดดัน และเสี่ยงต่อการถูกปลดออกจากงานมากขึ้น

    คุณวันชัย บุญประชา ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว ให้มุมมองว่า “สภาวะตอนนี้ สมาชิกทุกคนในครอบครัวมีสิทธิตกงานทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ หรือลูก ดังนั้น ถ้าสมาชิกคนใดคนหนึ่งจะต้องออกจากงาน คนอื่นก็ต้องช่วยกันทำงานให้มากขึ้น ที่สำคัญคือการให้กำลังใจกันในครอบครัว เพราะไม่ใช่ความผิดของพ่อ-แม่ที่ต้องถูกปลด อีกทั้งเมื่อไม่มีงานทำ ความเครียดก็จะสูง กำลังใจจากสมาชิกในครอบครัวจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ต้องเห็นใจ ไม่กระแนะกระแหน ไม่พูดประชด เพราะสิ่งเหล่านี้จะบั่นทอนสภาวะของความเป็นครอบครัว”

    “นอกจากนั้น ช่วงนี้เราต้องกลับมาทบทวน และวางแผนเรื่องของรายได้กับค่าใช้จ่าย หรือก็คือ ต้องมีสติในการจัดการรายรับรายจ่ายให้มากขึ้น ถ้ารายได้เราลดลง ค่าใช้จ่ายเราก็ต้องลดลงตาม ผมคิดว่าการส่งเสริมให้ทำบัญชีครัวเรือนในช่วงนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อที่จะได้ทราบว่ารายจ่ายใดบ้างที่สามารถลดลงได้อีก และจะหารายได้เพิ่มจากที่ไหนได้บ้าง”

    “อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญคือการได้กลับมาทบทวนวิถีชีวิตของเรา ว่าจริง ๆ แล้ว เราควรใช้ชีวิตแบบไหน แบบเศรษฐกิจทุนนิยม หรือแบบเศรษฐกิจพอเพียง ถ้าอยู่แบบพอประมาณ มีค่าใช้จ่ายน้อย ให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น ทำกิจกรรมกันมากขึ้น จากที่เคยไปดูหนังก็เปลี่ยนไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะที่ไม่ต้องเสียสตางค์ จากที่เคยรับประทานอาหารแพง ๆ ก็เปลี่ยนมารับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เน้นผักผลไม้ให้มากขึ้น”

    หันมาทางด้านของคุณแม่ผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์จริงที่หัวหน้าครอบครัวต้องหยุดทำงานไปชั่วระยะหนึ่ง โดยคุณลักขณา หะริณสุต ได้เล่าถึงประสบการณ์ดังกล่าวว่า “ครอบครัวของเราจะวางแผนกันไว้ล่วงหน้าว่าแต่งงานแล้วจะเก็บเงินกันอย่างไรบ้าง ขั้นแรกคือต้องไม่เป็นหนี้ ถ้ามีหนี้ก็จะพยายามปลดหนี้ให้เร็วที่สุด จะซื้ออะไรเข้าบ้านก็จะไม่ซื้อเงินผ่อน แม้จะศูนย์เปอร์เซ็นต์ก็ไม่ผ่อน และจะมีการเก็บเงินอย่างเป็นระบบฝากเข้าธนาคาร ดังนั้น ในช่วงที่สามีไม่สามารถทำงานได้ ก็ยังมีดอกเบี้ยจากเงินฝากธนาคารมาเป็นค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียนของลูก ๆ ส่วนเงินเดือนของพี่ก็จะมาจ่ายค่าใช้จ่ายในบ้าน ซึ่งก็มีแค่ค่าน้ำค่าไฟค่าอาหาร อาจกล่าวได้ว่าเราผ่านช่วงนั้นมาได้โดยที่ไม่ทำให้ครอบครัวหรือญาติพี่น้องต้องเดือดร้อน”

    เผชิญหน้าอย่างเข้มแข็ง

    สำหรับแนวทางการเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงนั้น รองศาสตราจารย์ ดร.โสรีช์ โพธิแก้ว รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้คำแนะนำที่น่าสนใจและสามารถปฏิบัติได้จริงว่า

    “เมื่อต้องเผชิญกับการสูญเสีย พลัดพราก เราย่อมหวั่นไหว เกิดความทุกข์ใจ กดดัน ผิดหวัง เศร้า วิตกกังวล ฯลฯ เป็นธรรมดา แนวทางที่จะเผชิญหน้ากับความพลัดพรากสูญเสียนั้นก็คือ ต้องเข้าใจว่าชีวิตมนุษย์มีทั้งกลางวันกลางคืน มันจะมาก็มา มันจะไปก็ไป ต่อให้เราชอบกลางวันแค่ไหนก็ยื้อยุดมันไว้ไม่ได้ ต้องเข้าใจว่าเป็นธรรมชาติ นอกจากนั้นก็ต้องเข้าใจว่าความเปลี่ยนแปลงทำให้เราได้มีโอกาสจัดสมดุลชีวิต สิ่งที่เคยมี เมื่อไม่มี ก็ต้องจัดชีวิตให้เหมาะสม อยู่อย่างเงียบ ๆ สบาย ๆ รอคอยอย่างเข้าใจว่า ชีวิตไม่ได้อยู่ในสภาวะนี้ไปตลอด เหมือนต้นไม้ในฤดูหนาว ใบร่วงโกร๋น แต่พอถึงหน้าฝน ใบก็เขียวชอุ่มเต็มต้นเหมือนเดิม คนที่ประสบปัญหาจึงต้องมีความอดทน ไม่หวาดหวั่น และแสวงหาโอกาสครั้งใหม่ เหล่านี้เป็นคาถาที่ช่วยให้เราเผชิญชีวิตอย่างเข้มแข็งเสมอ”


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> “แก้วน้ำที่เทน้ำทิ้งไปแล้วก็ยังมีอากาศเข้ามาแทนที่ ตราบใดที่เรายังไม่สูญเสียร่างกายไป ยังมีสมองไว้คิด มีจมูกไว้หายใจ ก็ต้องใช้มันให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่” ดร.โสรีช์กล่าวทิ้งท้าย

    มุมมองและทางออกของผู้ที่ (กำลังจะ) ตกงาน

    - สงบจิตใจ อดกลั้นไว้อย่าตำหนิผู้บริหาร เพราะหากคุณต้องการได้งานทำที่ใหม่ Reference ดี ๆ จากออฟฟิศเก่าเป็นสิ่งจำเป็นมาก แต่ถ้าอดใจไม่ไหวจริง ๆ และต้องการระบาย การคุยกับเพื่อนที่ตกงานเหมือนกันน่าจะเป็นทางออกที่สะดวกใจที่สุด

    - หากำลังใจจากครอบครัว แม้การตกงานจะสร้างปัญหาให้ครอบครัวไม่น้อย แต่ถ้าคุณยังมองมันในแง่ดีได้ แม้จะต้องหัวเราะกับลูก ๆ ทั้งน้ำตา แต่เชื่อเถอะว่า ณ ที่แห่งนั้น คุณจะไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว

    - กลับมาคุยกับคู่ชีวิตถึงแผนทางการเงิน ตลอดจนมองหาทางออกเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเงินของครอบครัวไว้ 3 - 4 ทาง พร้อมกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำที่ครอบครัวจะอยู่ได้แม้คุณตกงาน เช่น ในบางครอบครัวอาจใช้จ่ายต่อเดือนประมาณ 15,000 - 20,000 บาท ถ้าพอมีเงินเก็บอยู่ 100,000 บาท รวมกับรายได้ของสมาชิกคนอื่น ๆ โอกาสที่ครอบครัวจะอยู่ได้โดยที่ยังไม่เดือดร้อนก็คือ 5 - 6 เดือน แนวทางนี้จะช่วยลดความกดดันลงได้

    - ใช้ชีวิตกับครอบครัวให้คุ้มค่า ในช่วงเวลานี้ คนที่ตกงานจะมีโอกาสได้อยู่กับครอบครัวมากขึ้น ได้ดูแลลูก ๆ มากขึ้น ได้ฟังความสำเร็จของลูก ๆ จากโรงเรียนมากขึ้น ได้ช่วยเหลืองานบ้านมากขึ้น ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาดี ๆ ที่หาได้ยากหากต้องทำงานประจำ

    คู่ชีวิต..กำลังใจดี ๆ ท่ามกลางวิกฤติ

    - คอยรับฟังเรื่องราวต่าง ๆ ในเวลาที่เขาทุกข์ใจ เพราะคนที่กำลังจะถูกปลดออกจากงาน โดยเฉพาะคนที่เป็นหัวหน้าครอบครัวต้องการกำลังใจจากเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากมากกว่าใคร ๆ

    - มองโลกในแง่ดี เมื่อฟังความทุกข์ที่คู่ชีวิตของตนระบายออกมาแล้ว ไม่ผิดที่บางท่านอาจรู้สึกโกรธแทนคนรักที่ถูกกลั่นแกล้ง หรือกดดันให้ออกจากงาน แต่จะดีกว่าหากลองหามุมมองในแง่บวกจากเรื่องเหล่านั้น ซึ่งจะช่วยให้สบายใจมากขึ้น

    - ไม่ซ้ำเติม หรือใช้ถ้อยคำดูหมิ่น

    - กระตุ้นในเชิงบวกให้ผู้ตกงานเกิดความรู้สึกอยากหางานทำใหม่

    ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ What Smart People do When Losing Their Jobs
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  13. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  14. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    รูปใหญ่มากกกก - _ -"
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เปิดกลโกง โจรกรรมข้อมูล เอทีเอ็ม

    http://hilight.kapook.com/view/34704

    [​IMG]


    [​IMG]



    สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

    ในระยะที่ผ่านมาเกิดปัญหาโจรผู้ร้ายลักลอบติดตั้งเครื่องสกริมเมอร์ไว้กับตู้เอทีเอ็ม เพื่อโจรกรรมข้อมูลไปใช้ในการปลอมแปลงบัตรเอทีเอ็มและบัตรเครดิต นำไปกดเงินสดออกจากบัญชีของประชาชนจำนวนมาก แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพยายามหาทางแก้ไขและป้องกัน แต่ก็ยังทำได้อย่างยากลำบาก อย่างไรก็ตาม วันนี้กระปุกดอทคอมมีวิธีการป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมาฝากกันค่ะ...

    คนร้ายที่มีพฤติการณ์ในการลักลอบโจรกรรมข้อมูลบัตรเอทีเอ็มและบัตรเครดิต มักจะทำงานกันเป็นขบวนการ มีเครือข่ายอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก โดยมีทั้งในกลุ่มประเทศเอเชียและยุโรป ซึ่งมีมากที่สุดคือในประเทศมาเลเซีย ทั้งนี้ คนร้ายจะนำเครื่องสกริมเมอร์มาติดตั้งไว้ตามตู้เอทีเอ็มต่างๆ เพื่อดูดข้อมูลจากบัตรแล้วนำข้อมูลนั้นไปปลอมแปลงบัตรใบใหม่ แล้วนำไปใช้ในการกดเงินสด ขณะที่บัตรเครดิตจะมีปัญหามากกว่าบัตรเอทีเอ็ม เพราะนอกจากคนร้ายจะนำไปใช้ในการกดเงินสดแล้วก็จะนำไปใช้รูดซื้อสินค้าด้วย

    ขณะเดียวกัน ผู้ใช้บริการตู้เอทีเอ็มจะต้องระมัดระวัง ก่อนใช้บริการทุกครั้งจะต้องสังเกตให้รอบคอบว่าตู้เอทีเอ็มที่เลือกใช้มีสิ่งแปลกปลอมหรือไม่ และทุกครั้งที่จะกดระหัสบัตรก็ให้ใช้มือบัง สังเกตให้ดีว่ามีใครจ้องมองดูอยู่หรือไม่ ส่วนกรณีบัตรเครดิตก็ต้องระวังทุกครั้งที่นำไปใช้ต้องสังเกตอย่างใกล้ชิด หากนำบัตรไปใช้รูดซื้อสินค้าก็ต้องสังเกตไม่ให้คลาดสายตา

    สำหรับการกดรหัสบัตรเอทีเอ็มนั้น ข้อมูลจะมี 2 ชุด อยู่ตรงแถบแม่เหล็ก ดังนั้น ลูกค้าที่ใช้บริการต้องระมัดระวังรหัส 4 ตัว เวลากดบัตรต้องใช้มือซ้ายบังเพื่อป้องกันการแอบดู หรือการแอบดูโดยกล้องวงจรปิด ถ้าเขาไม่รู้รหัสก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าไม่แน่ใจว่ามีคนแอบดูหรือไม่ก็เปลี่ยนรหัสบ่อยๆ ส่วนการใช้กล้องเล็กนั้น มิจฉาชีพจะติดเหนือเครื่องเป็นรูเล็กๆ เท่าปลายเข็ม ถ้าเอามือบังก็จะมองไม่เห็น

    อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าคนร้ายพัฒนารูปแบบและวิธีการอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระทำความผิดให้ได้ทำให้ป้องกันได้ยาก ส่วนวิธีการสังเกตว่าเครื่องเอทีเอ็มเครื่องไหนติดตั้งเครื่องป้องกันการดูดข้อมูลแล้วหรือไม่นั้น ให้สังเกตไฟกะพริบ หากเห็นมีไฟสีเขียวกะพริบตรงช่องเสียบบัตรก็แสดงว่า เครื่องเอทีเอ็มดังกล่าวได้ติดตั้งเครื่องป้องกันไว้แล้ว ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรขอให้สบายใจได้ว่า หากถูกโจรกรรมข้อมูลจากบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเครดิตไป ความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดทางธนาคารจะเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนกลุ่มมิจฉาชีพที่หลอกลวงทางโทรศัพท์ให้ไปกดเงินที่เอทีเอ็ม ซึ่งไม่มีใครสามารถสั่งให้เราทำการใดที่ตู้เอทีเอ็มได้ ธนาคารทุกธนาคารไม่มีนโยบายสั่งการให้ลูกค้าไปทำธุรกรรมใดๆ ที่ตู้เอทีเอ็ม
    สำหรับการเตรียมพร้อมก่อนกดเอทีเอ็ม เรามีข้อแนะนำ สรุปได้ดังนี้

    เดี๋ยวนี้นอกจากต้องระวังตัวจะถูกแอบดูรหัสเอทีเอ็มในขณะกดเงินแล้ว ยังต้องระวังตัวเองไม่ให้ถูกทำร้ายในขณะที่คุณกำลังกดเงินด้วย เหมือนกรณีของชายผู้โชคร้ายรายหนึ่งที่กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งหลังเขาถูกโจรเอทีเอ็มซะน่วม เพราะไม่ยอมบอกรหัสกดเงินแต่โดยดี แล้วคุณล่ะมีวิธีป้องกันตัวยังไงหากจะไปใช้บริการตู้เอทีเอ็ม
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    Baby in Car ตำแหน่งที่นั่งทารกที่ปลอดภัยสุด
    http://women.kapook.com/baby00010/

    [​IMG]

    นักวิทยาศาสตร์ของโรงพยาบาลเด็ก มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ศึกษาพบใหม่ว่า ควรจะติดเก้าอี้เด็กสำหรับเด็กอ่อนที่อายุยังไม่ถึง 3 ขวบดี เอาไว้ที่ตรงกลางของเก้าอี้ข้างหลัง

    จากการศึกษาข้อมูลอุบัติเหตุรถยนต์จากรัฐต่างๆ 16 รัฐด้วยกัน พบว่าเด็กที่นั่งอยู่ในเก้าอี้สำหรับเด็กที่ติดไว้ตรงกลาง ของเก้าอี้หลังจะแคล้วคลาดเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ยิ่งกว่าติดเก้าอี้เด็กไว้ข้างใดข้างหนึ่ง มากถึง 43% แต่น่าเสียดายว่า นักวิจัยไมเคิล เจ. คอลแลน กับคณะ ได้พบว่า รู้สึกน่าเสียดายว่ามีเด็กที่นั่งเก้าอี้เด็กติดอยู่ตรงกลางในรถที่เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งนำมาศึกษา เพียงแค่ 28% เท่านั้น อาจจะเนื่องจากการติดที่นั่งตรงตำแหน่งนั้น ทำได้ยากกว่าตรงที่อื่น นอกจากนั้นมันยังไปเกะกะ เมื่อมีคนอื่นนั่งข้างหลังอยู่ด้วย แต่ตามข้อมูลที่พบแล้ว ตำแหน่งนั้นเป็นตำแหน่งที่จะติดเก้าอี้เด็กไว้ ซึ่งเด็กและเด็กอ่อนจะได้รับความปลอดภัยมากที่สุด
    สิ่งไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้ทุกเสี้ยววินาที หากคุณมีลูกเล็กหรือเด็กน้อยร่วมทางไปด้วย จึงต้องระวังความปลอดภัยและอันตรายเป็นพิเศษ มีเคล็ด (ไม่) ลับดูแลลูกน้อยให้ปลอดภัยเมื่อโดยสารรถยนต์มาฝากค่ะ
    ใส่ใจจริงจังให้เด็กน้อยนั่งเก้าอี้นิรภัย


    วิธีโดยสารรถยนต์ที่ปลอดภัยของเด็กอายุระหว่าง 0-10 ปีนั้น ต้องใช้เก้าอี้นิรภัยสำหรับเด็ก (Child Seat) ควรฝึกลูกให้นั่งในเก้าอี้นิรภัยเป็นประจำจนติดเป็นนิสัยจะช่วยเรื่องความปลอดภัยทั้งตัวเด็กเองและคนขับ
    ตำแหน่งที่เหมาะสมของเก้าอี้นิรภัย


    ติดตั้งไว้ที่เบาะหลังของรถเท่านั้น ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเด็ก แต่ถ้าไม่มีเก้าอี้นิรภัยต้องให้เด็กโดยสารเฉพาะเบาะหลัง ค่อนไปทางใดทางหนึ่ง (ซ้ายหรือขวา)ห้ามให้เด็กเก้าอี้ด้านหน้าหรือคาดเข็มขัดนิรภัยของผู้ใหญ่ เพราะอุปกรณ์นิรภัยที่ออกแบบมากับรถนั้นเหมาะสำหรับสรีระของผู้ใหญ่ จึงไม่สามารถป้องกันผู้โดยสารที่มีรุปร่างเล็ก จนอาจได้รับบาดเจ็บจากถุงลมนิรภัย หรือหลุดลอยไปนอกตัวรถได้ จะเป็นอันตรายต่อเด็กถึงชีวิตเมื่อเกิดอุบัติเหตุรุนแรง

    ปัจจุบันนี้มีเก้าอี้นั่งเด็กถึงสี่แบบ เพื่อที่เหมาะกับวัยและน้ำหนักตัวต่างกันไป ได้แก่ เปลเด็กอ่อนในรถ (Infant Car Bed) ที่นั่งเด็กอ่อนจนถึงหนึ่งปีชนิดหันไปทางหลังรถ (Rear-Facing Infant Seat) ที่นั่งเด็ก 1- 5 ปี ชนิดหันไปทางหน้ารถ (Forward-Facing Child Seat) และที่นั่งเสริม (Booster Seat) สำหรับเด็ก 5-10ปี

    สำหรับครอบครัวที่มีรถยนต์ส่วนตัว หรือครอบครัวที่เดินทางบ่อยๆ เก้าอี้สำหรับเด็กอ่อนนั้นก็มีความจำเป็นสำหรับความปลอดภัยของลูกน้อยเหมือนกันนะคะ บางครอบครัวอาจจะเห็นว่าไม่จำเป็นเพราะเราอุ้มลูกนั่งบนรถก็ได้ หรืออีกไม่นานลูกก็โตแล้ว กระปุกเบบี๋เป็นห่วงความปลอดภัยของทุกครอบครัวนะคะ เรื่องอุบัติเหตุป้องกันได้ถ้าเราไม่ประมาทค่ะ ฝากเก้าอี้เด็กในรถยนต์ไว้เป็นทางเลือกก็แล้วกันค่ะ

    ข้อมูลจาก: นิตยสารลิซ่า 7/5/08
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เทคนิคการเชิญแขกมางานแต่งงาน
    http://women.kapook.com/wedding00030/

    [​IMG]
    เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก idosugar.com
    ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าการเทียบเชิญแขกให้มาร่วมเป็นสักขีพยานในงานแต่งงาน ก็เป็นอีกเรื่องที่มักจะทำให้ตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเองเป็นกังวล เพราะเกรงว่าแขกจะมาน้อย หรือเกรงว่าแขกจะมามากจนขนาดของสถานที่จะไม่พอ อาหารไม่พอ วันนี้กระปุกเวดดิ้งจึงขอนำเทคนิคง่ายๆ ในการเชิญแขกมาฝากกันค่ะ เผื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะใช้เป็นแนวทาง
    1. ลิสต์รายชื่อแขกทั้งหมดที่จะเชิญ
    ก่อนอื่นเราควรจดรายชื่อแขกทั้งหมด โดยการให้ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ ของฝ่ายเจ้าบ่าวเจ้าสาว รวมทั้งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเอง เขียนรายชื่อแขกของตัวเองออกมา เพื่อความสะดวกอาจแยกออกเป็นกลุ่มๆ เช่น ญาติฝ่ายเจ้าสาว-ฝ่ายเจ้าบ่าว แขกผู้ใหญ่ของทางคุณพ่อ-คุณแม่ เพื่อนบ้าน เพื่อนที่ทำงาน เพื่อนสมัยเรียนประถม, มัธยม สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งในการจดรายชื่อแนะนำให้ใส่ลำดับที่ด้วยค่ะ ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกในการนับจำนวน
    2. ควรเชิญใครบ้าง…?
    เจ้าบ่าวเจ้าสาวบางคู่ขี้เกรงใจ จึงมักเกิดคำถามว่า จะเป็นการรบกวนหรือเปล่า ในแขกบางรายที่อยู่ไกล หรือไม่สนิทนัก ข้อนี้ขอแนะนำให้คิดง่ายๆ ว่า เชิญทุกคนที่เรารู้สึกดีกับเค้า แล้วเค้ามีไมตรีกับเรา ไม่ต้องกังวลนะคะว่าจะเป็นการรบกวน เพราะการส่งการ์ดเชิญ หมายถึงการที่เรา หรือผู้ใหญ่ของเรา ยินดีอยากให้เค้าได้มาร่วมเป็นเกียรติในงานแต่งงาน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญช่วงหนึ่งในชีวิตของทุกๆ คน
    3. จำนวนแขก ต้องสอดคล้องกับงบประมาณ
    เพราะการ์ดเชิญ 1 ใบ สามารถเชิญแขกมากกว่า 1 ท่าน เช่น เชิญเป็นคู่ หรือเชิญทั้งครอบครัวที่อาจจะมีสมาชิกได้ถึง 4 ท่าน ดังนั้น จึงต้องคำนวณค่าใช้จ่ายในส่วนต่างๆ ให้สอดคล้องกับจำนวนของแขกที่มาร่วมงานด้วย เช่น ค่าอาหาร และค่าสถานที่ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในส่วนของการ์ดแต่งงานและของชำร่วย
    4. การ์ดและซอง
    การสั่งพิมพ์การ์ดควรสั่งมากกว่าจำนวนที่กะไว้ซักประมาณ 5 % เพื่อสำรองไว้ในแขกบางรายที่เราอาจพลาดหลงลืมไป เราจะได้มอบการ์ดให้เขาได้ทันท่วงที และในส่วนของซอง ขอให้เผื่อซองมากกว่าจำนวนการ์ดไปอีก เพราะมักจะเกิดเหตุการณ์เขียนหรือพิมพ์ชื่อแขกผิดอยู่เป็นประจำ
    5. ข้อควรระวัง
    ++ อย่าแจกการ์ดก่อนวันงานนานเกินไป เพราะนอกจากจะทำให้แขกลืมวันงานของคุณ แล้วยังพลอยทำให้ความตื่นเต้น และความอยากมาร่วมแสดงความยินดีลดน้อยลงไปด้วย ดังนั้น ควรจะเริ่มแจกการ์ดก่อนวันงานประมาณ 6-8 สัปดาห์ โดยเราอาจจะมีการกล่าวเชิญด้วยปากเปล่าก่อนหน้านี้ก็ได้
    ++ แขกที่อยู่ต่างจังหวัด คุณควรส่งการ์ดทางไปรษณีย์ และอย่าลืมแนบคำ “ขออภัยที่มิได้เรียนเชิญ ด้วยตนเอง” ไปด้วย พร้อมทั้งควรโทรศัพท์เช็คซ้ำ ก่อนวันงาน ประมาณ 2-3 สัปดาห์
    ++ แนบแผนที่จัดงานไว้ในการ์ดด้วย เพื่ออำนวยความสะดวก และแขกจะได้ไม่หลงทาง หรือเข้าผิดงาน คงไม่ดีแน่ ถ้าแขกที่ตั้งใจมางานของเราต้องเสียเวลาในการตามหาสถานที่จัดงาน
    ท้ายสุด…เจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องไม่ลืมที่จะเชิญแขกคนสำคัญด้วยตัวเองนะคะ โดยเฉพาะแขกผู้ใหญ่ทั้งหลายที่เป็นคนสำคัญของงาน
    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    thaiweddingmall.com
     
  18. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    อืม...ช่วงนี้พี่ๆหายหน้าหายตาไปไหนกันหมดครับนี่
     
  19. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    สงสัยกำลังวางแผนไปเอาพระที่บ้านพี่หนุ่มกันครับ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงเปลี่ยนเครื่องทรงถวายพระแก้วมรกต
    http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9520000028060
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>11 มีนาคม 2552 21:01 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    วันนี้ (11 มี.ค.) เวลา 15.10 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูหนาว เป็นเครื่องทรงฤดูร้อน ถวายพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง ในโอกาสนี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา และ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เสด็จฯในการนี้ด้วย

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    <CENTER>[​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...