พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    โอ้...พี่หนุ่มยังไม่นอนอีกหรือครับ โมทนาสาธุด้วยครับ
     
  2. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    มีโอกาสนำภาพสถานที่เรียนธรรม ปฏิบัติธรรมที่เป็น"สัปปายะ"มากๆ คือที่บ้านปิยธรรม สาขาที่ ๑๔ ของวัดธรรมมงคล มาให้ชมกัน...

    พาชมสถานที่ครับ
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->บรรยากาศก็เหมาะสมกับการที่จะมาเรียนและปฏิบัติธรรม
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดย่อ</LEGEND>[​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    </FIELDSET>
     
  3. dragonlord

    dragonlord เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,541
    มองไม่เห็นรูปคะคุณพี่เพชร เอ หรือเป็นที่คอมอุ้มคนเดียว
     
  4. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    อนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  5. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  6. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    link ไปที่เวปบอร์ดที่ต้องสมัครสมาชิกก่อนจึงจะดูรูปได้ครับ จึงทำให้รูปไม่ขึ้นครับ
     
  7. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    หุหุ ว่าจะนำมาลงพอดีครับ เพิ่งอ่านเมื่อกี้เอง แข่งน้อยกว่า 1 นัด แต่นำ 7 แต้มครับ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มองไม่เห็นเหมือนกันครับ

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>อาหารอินทรีย์ ซื้ออย่างไรไม่ถูกตุ๋น
    http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000024972
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>5 มีนาคม 2552 07:24 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ปัจจุบัน อาหารอินทรีย์ที่ผลิตขึ้นภายใต้กระบวนการธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมีในทุกขั้นตอนการผลิต กำลังเป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้นในหมู่ผู้รักสุขภาพทั้งหลายในประเทศไทย ซึ่งแม้จะไม่ใช่เรื่องยากในการซื้อหา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไปหาซื้อได้ตามตลาดสดทั่วไป ซ้ำร้ายบางครั้งยังไปเจอการต้นตุ๋นหลอกลวงจากพ่อค้าแม่ขายที่เห็นแก่ได้อีกต่างหาก

    ทั้งนี้ มาตรฐานของมาตรฐานอาหารอินทรีย์ในประเทศไทยมีอยู่ 2 องค์กรหลัก ที่ให้การรับรอง นั่นคือ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ หรือที่ถูกเรียกย่อๆ อย่างติดปากว่า “มกอช.” สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งรับรองด้วยตราของ “มกอช. และ “ม.ก.ท.” หรือ “มูลนิธิมาตรฐานเกษตรอินทรีย์” ที่ดำเนินการภายใต้ตราที่ได้ลิขสิทธิ์จากไอโฟม (IFOAM-International Federation of Organic Agriculture Movements) หรือสมาพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=260 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=260>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ตราสัญลักษณ์การรับรองผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ของ “ม.ก.ท.” </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> นาถฤดี นครวาจา ผู้จัดการสำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ อธิบายถึงคำจำกัดความง่ายๆ ของเกษตรอินทรีย์ ว่า คือการเกษตรที่ไม่ใช้สารเคมีในทุกๆ ขั้นการผลิต เช่น ถ้าเป็นพืชผักผลไม้ ก็จะดูแลตั้งแต่เรื่องดิน ปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช โดยไม่ให้ใช้สารเคมี แต่ให้ปลูกและดูแลแบบวิถีธรรมชาติ

    “ขณะนี้มีผลิตภัณฑ์จำพวกพืชผักผลไม้ที่ได้การรับรองไปอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นข้าว ผัก ผลไม้ สมุนไพร รวมไปถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ อย่างน้ำผึ้ง ซึ่งเราก็ได้ออกไปรับรองไปประมาณ 70 รายการ และใน 70 รายการนั้น มีอยู่ 20 รายที่เราให้การรับรองแบบกลุ่ม ส่วนใหญ่แล้วพวกนี้จะเป็นกลุ่มเกษตรกรอินทรีย์ เป็นชุมชน ซึ่งจะมีการบริหารจัดการกันเอง เราก็มีหน้าที่เข้าไปตรวจสอบเขาอีกทีว่า การจัดการเป็นระบบหรือไม่ ได้มาตรฐานหรือเปล่า”

    “เราจะมีการสุ่มตรวจมาตรฐานของสมาชิกอยู่ตลอด ถ้ามีปัญหาก็อาจจะมีการดำเนินการลงโทษตามสมควร เรื่องของการลงโทษเราก็มีเป็นระดับ เริ่มจากการตักเตือนด้วยวาจา แต่ถ้ายังไม่ปฏิบัติตามก็อาจจะเป็นการทำหนังสือตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร หรือระงับการรับรองผลิตภัณฑ์นั้นๆ เป็นการชั่วคราว แต่หากยังไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดอีกก็จะระงับการรับรองแบบถาวร”

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>1. ตราสัญลักษณ์การรับรองผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ของ “ม.ก.ท.” </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> นาถฤดี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า นอกจากพืช ผัก ผลไม้แล้ว สัตว์ก็สามารถเลี้ยงตามวิถีเกษตรอินทรีย์ได้ แต่ขณะนี้ผู้บริโภคมีทางเลือกไม่มากนัก เนื่องจากต้องไปหาซื้อตามซูเปอร์มาร์เก็ตหรือตามห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแต่เนื้อสัตว์นำเข้าจากต่างประเทศที่มีราคาค่อนข้างสูงและหาซื้อได้ยาก อย่างไรก็ตาม ในอีกไม่นานนักคนไทยก็จะมีทางเลือกมากขึ้น โดยขณะนี้มีการเลี้ยงวัวและเลี้ยงหมู เพื่อนำเนื้อมาทำเป็นอาหารในรูปแบบของเกษตรอินทรีย์ในไทยแล้ว โดยวัวเนื้อเป็นของสหกรณ์กำแพงแสนและหมูเป็นหมูอินทรีย์ของหมู่บ้านทับไทย ซึ่งเป็นสมาชิกของกองทุนข้าวสุรินทร์

    “กรรมวิธีการดูแลเนื้อสัตว์แบบเกษตรอินทรีย์ซับซ้อนกว่าการดูแลพืช ผัก ผลไม้ โดยเฉพาะอาหารที่ให้สัตว์กิน เราต้องให้อาหารที่เป็นอาหารอินทรีย์แก่สัตว์ที่เราจะเลี้ยงให้เป็นสัตว์อินทรีย์ ซึ่งวัวเนื้อจะเป็นโจทย์ที่ง่ายที่สุดเพราะกินหญ้าอย่างเดียว ก็ดูแลหญ้าที่เขากินให้เป็นหญ้าอินทรีย์ เลี้ยงด้วยปุ๋ยธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องอาหารแล้ว ม.ก.ท.ได้กำหนดให้มีการนำวัวออกมาเดินออกกำลังกาย เพื่อให้วิถีการเลี้ยงเป็นไปตามธรรมชาติมากที่สุด ต้องได้ออกมาเดินเล็มหญ้า และต้องมีแปลงหญ้า 1 ไร่ ต่อวัว 1 ตัว”

    สำหรับกรณีสัตว์ป่วย ควรเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะให้น้อยที่สุด หากป่วยไม่มาก จะแนะนำให้ผู้เลี้ยงใช้ยาสมุนไพรแทน แต่หากจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะจริงๆ อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกินปีละ 2 ครั้ง หากมากกว่านั้น ก็จำเป็นจะต้องนำสัตว์ตัวนั้นออกจากระบบการเลี้ยงแบบเกษตรอินทรีย์ไป และในการทำเครื่องหมาย ก็ห้ามใช้วิธีรุนแรง อย่างสมัยก่อนจะมีการขลิบหู ตอกตราด้วยเหล็กร้อนๆ เพราะถือเป็นการทรมานสัตว์อย่างหนึ่ง ส่วนการฆ่าเพื่อนำเนื้อมาเป็นอาหาร ม.ก.ท.ไม่อนุญาตให้ฆ่าแบบเจ็บปวด ห้ามใช้ไฟฟ้าช็อต ต้องฆ่าแบบการุณยฆาต คือไม่ให้สัตว์ที่ถูกฆ่าเจ็บปวดมาก ต้องทำให้สัตว์ทรมานน้อยที่สุด และใช้ระยะเวลาในการฆ่าน้อย

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ส่วนหมูค่อนข้างยากกว่าวัว เพราะต้องกินอาหารหลายอย่าง เช่น พวกรำ ข้าวโพด หยวกกล้วย ซึ่งสามารถจะใช้อาหารแบบปกติได้ประมาณ 50% ของอาหารที่ให้หมูทั้งหมด และอีก 50% จะต้องเป็นรำ ข้าวโพด และหยวกกล้วยที่ได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ คือหมูอินทรีย์จะต้องได้อาหารอินทรีย์เข้าไปไม่ต่ำกว่า 50% ของอาหารที่มันกินทั้งหมด และเรื่องการพื้นที่การเลี้ยงนั้น หมู 1 ตัว ควรจะต้องมีพื้นที่ในคอกไม่ต่ำกว่า 13 ตารางเมตร ส่วนเรื่องการควบคุมการใช้ยาก็เหมือนกับวัว และห้ามตัดเขี้ยวและตัดหู รวมไปถึงต้องฆ่าอย่างการุณยฆาตเช่นกัน

    นาถฤดี ให้ข้อมูลถึงสถานการณ์ล่าสุดของการผลิตเนื้อสัตว์อินทรีย์ของ 2 ชุมชนดังกล่าวว่า ขณะนี้สินค้ารุ่นแรกได้ออกมาแล้ว แต่เป็นสินค้าที่ถูกเรียกว่า “สินค้าในระยะปรับเปลี่ยน” ซึ่งถือว่า “ยังไม่นิ่ง” และยังไม่สามารถออกใบรับรองให้ได้ และจะออกใบรับรองในสินค้ารุ่นที่ 2 อันเป็นหลักปฏิบัติของการควบคุมคุณภาพสากล ซึ่งหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงและผิดพลาด สินค้ารุ่นที่ 2 ของวัวและหมูอนามัย ที่ได้สิทธิ์การติดตรา “ม.ก.ท.” อย่างเต็มภาคภูมิ จะออกสู่ท้องตลาดในช่วงปลายปีนี้ ให้ผู้รักสุขภาพได้เลือกซื้อเลือกชิมกัน

    “ส่วนไข่ไก่และวัวนมนั้น เรากำลังอยู่ระหว่างการพัฒนามาตรฐาน และเมื่อเสร็จกระบวนการนี้ ก็จะเข้าสู่การผลิตรุ่นแรกให้เป็นผลิตภัณฑ์ระยะปรับเปลี่ยน เพื่อจะนำไปสู่การผลิตนมและไข่แบบเกษตรอินทรีย์เต็มขั้นที่ได้รับการรับรอง ซึ่งคาดว่า ผู้บริโภคน่ารับประทานจะนมและไข่ไก่อินทรีย์ในอีกประมาณ 1-2 ปีข้างหน้า โดยไข่ไก่ เราได้หารือกับอุดมชัยฟาร์มที่จังหวัดสระบุรี และวัวนมที่ฟาร์มแดรี่โฮมของสระบุรีเช่นกัน ซึ่งทั้ง 2 แห่งนี้ก็ผลิตนมและไข่แบบอินทรีย์ของตัวเองมานานแล้ว” นาถฤดี อธิบายพร้อมให้คำแนะนำว่า สำหรับผู้บริโภคที่สนใจจะเลือกซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ได้มาตรฐานม.ก.ท. สามารถเข้าไปตรวจสอบรายชื่อผู้ผลิตและประเภทสินค้าได้ที่ http://www.actorganic-cert.or.th

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ถึงตรงนี้ คุณแม่บ้านทั้งมือฉมัง และมือสมัครเล่นอาจจะขมวดคิ้วนิ่วหน้า พร้อมตั้งคำถามในใจว่า หากไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่มีสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองล่ะ? มีวิธีเลือกสินค้าเกษตรที่มีอยู่แถวๆ บ้านอย่างไรให้ปลอดสารพิษและดีต่อสุขภาพที่สุด

    ครูหน่อย หรือ “พอทิพย์ เพชรโปรี” เจ้าของร้าน Help Me ผู้จำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ อดีตครุศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาฯ และอดีตผู้บริหาร ร.ร.วรรณสว่างจิต ระบุว่า ยังมีเกษตรกรรายย่อยอีกไม่น้อยที่ปลูกผักอินทรีย์แบบกิจการเล็กๆ ที่ไม่ได้ขอรับการรับรอง และมีบ้างที่ขอรับรองและอยู่ในระยะปรับเปลี่ยน ซึ่งผู้บริโภคสามารถสังเกตง่ายๆ คือผักอินทรีย์จะไม่สวยมากนัก และจะไม่ใหญ่มาก อย่างกะเพรา โหระพา ถ้าใบหนา ใบใหญ่ ก้านยาว ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผักไม่อินทรีย์ เป็นผักที่ปลูกและบำรุงด้วยสารเคมี ถ้าเป็นกะเพราะ โหระพา ที่ปลูกแบบอินทรีย์ ต้นจะไม่ยาว ใบจะไม่ใหญ่ และใบเป็นฝอยๆ

    ส่วนตะไคร้ให้ลองเอาเล็บจิก ถ้าแข็งแสดงว่าเป็นตะไคร้ไม่อินทรีย์ เพราะตะไคร้อินทรีย์เมื่อเอาเล็บจิกจะนิ่ม และสำหรับสะระแหน่ ไม่ควรเลือกที่ก้านอวบใหญ่และยาว ให้เลือกแบบก้านไม่ยาวและใบขนาดย่อมๆ ผักชีใบเลื่อย หากเพาะแบบอินทรีย์ ไม่กวนจะยาวเกินหนึ่งคืบ

    แต่ที่ครูหน่อยบอกว่าค่อนข้างจะหายากสักหน่อย คือ กลุ่ม “ผักจีน” จำพวก คะน้า ปวยเล้ง ไชเท้า ที่ส่วนใหญ่จะปลูกด้วยสารเคมีเกือบทั้งหมด ผู้บริโภคก็ยากที่จะหลีกเลี่ยง ซึ่งหากจำเป็นต้องรับประทานก็ควรนำไปล้างด้วยน้ำผสมผงถ่าน น้ำเกลือ และน้ำล้างผักชีวภาพก่อน ซึ่งกระบวนการล้างดังกล่าวก็พอจะช่วยล้างสารเคมีออกไปได้บ้าง แต่ไม่ทั้งหมด

    สุดท้าย ครูหน่อย ได้ทิ้งท้ายอย่างน่าคิดว่า ผู้บริโภคที่สามารถเลือกได้ในการบริโภคผักอินทรีย์ อยากให้บริโภคกันมากๆ เพื่อเป็นการสนับสนุนเกษตรกรวิถีอินทรีย์ ซึ่งนั่นหมายถึงสุขภาพที่ดีของผู้ปลูกและผู้บริโภค รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมบริเวณที่มีการเพาะปลูกด้วย ถ้าใช้สารเคมี ดิน น้ำ อากาศ ทุกอย่างต้องปนเปื้อน แล้วถ้าหากเราปล่อยให้มันถูกปนเปื้อนมากๆ เข้าสุดท้ายมันก็กลับสู่ผู้บริโภคอยู่ดี
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เจาะปมปัญหา หลังใช้กฎลดรุนแรง

    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNeE5BPT0=&day=TWpBd09TMHdNeTB3TlE9PQ==

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>งานวิจัยล่าสุดว่าด้วยเรื่องความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งจะเป็นแนวทางสำหรับการแก้ไขปัญหา นำเสนอโดยรศ.บุญเสริม หุตะแพทย์ อาจารย์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัย เรื่อง "ทัศนคติและบทบาทของทีมสหวิชาชีพต่อการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว" ศึกษาจากทีมสหวิชาชีพ ที่ประกอบด้วยกลุ่มแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข กลุ่มตำรวจ ผู้พิพากษา อัยการ ทนายความ กลุ่มนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา ผู้นำชุมชนและกลุ่มครู พนักงานปกครอง สื่อ เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

    การศึกษาชิ้นนี้เป็นวิจัยเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถามในกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ 796 คน และวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึกในกลุ่มตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวน ทั้งหญิงและชาย ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 18 คน ผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวทั้งผู้ใหญ่และเด็ก 15 คน และทีมสหวิชาชีพในโรงพยาบาล 15 คน ระหว่างเดือนมิถุนายน 2550?เมษายน 2551

    กลุ่มตัวอย่างเห็นว่า พ.ร.บ..คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวปี 2550 มีประโยชน์ ใช้เป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือและคุ้มครองผู้เสียหายได้ ช่วยให้ผู้ถูกกระทำได้รับความยุติธรรม ทำให้คดีครอบครัวยอมความกันได้ และช่วยรักษาสภาพครอบครัวไว้ แต่ยังมีจุดบกพร่องที่การใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ผู้ปฏิบัติงานยังขาดการทำความเข้าใจข้อกฎหมายและการนำไปใช้ ทีมสหวิชาชีพบางกลุ่มยังไม่เข้าใจปัญหาความรุนแรงในครอบครัว โดยยังเห็นว่าปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องส่วนตัว ผู้หญิงเป็นต้นเหตุของปัญหา การเอาผิดกับผู้ชายที่ล่วงละเมิดทางเพศจะทำให้ครอบครัวของผู้ถูกกระทำเดือดร้อน <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    "พนักงานสอบสวนบางคนยังคงเห็นว่าปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างสามีภรรยา ผู้ถูกกระทำจึงต้องการให้ใช้กฎหมายบังคับเพื่อลงโทษ หรืออบรมเปลี่ยนนิสัยผู้ชายที่ทำร้ายผู้หญิง เพราะคิดว่าการไกล่เกลี่ยไม่ช่วยให้ปัญหายุติ แต่จะยิ่งทำให้ผู้ถูกกระทำไม่ปลอดภัย"

    ส่วนบทบาท กระบวนการและขั้นตอนให้บริการของบุคลากรในศูนย์พึ่งได้ของโรงพยาบาล เป็นที่พึงพอใจของผู้ถูกกระทำที่ไปใช้บริการ โดยนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยาให้คำแนะนำถึงการใช้พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวพ.ศ.2550 ทำให้ผู้รับบริการเห็นว่าเป็นที่พึ่งได้จริง แต่ผู้ถูกกระทำเห็นว่าตำรวจยังไม่ได้ช่วยเหลืออย่างทันที ไม่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ถูกกระทำ มีทัศนคติเชิงลบต่อปัญหา และพนักงานสอบสวนยังไม่ได้ใช้พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติ

    งานวิจัยพบด้วยว่า ระบบการช่วยเหลือผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวยังไม่คล่องตัว ขาดการเชื่อมโยงสู่ระดับท้องถิ่น เนื่องจากแกนนำยังขาดความรู้ความเข้าใจ และขาดทักษะการให้ความช่วยเหลือ ไม่มีความรู้เรื่องกฎหมาย และบางแห่งยังไม่สนใจปัญหานี้

    สำหรับปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการทำงานของทีมสหวิชาชีพ ได้แก่ มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารบ่อย การทำงานไม่ต่อเนื่อง ขาดหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพ ระบบการบริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จยังมีปัญหา มีข้อจำกัดเรื่องการเบิกจ่ายค่าบริการช่วยเหลือ หลักการและแนวปฏิบัติของบางหน่วยงานยังไม่ชัดเจน และมีข้อจำกัดด้านบุคลากร คือ ผู้ปฏิบัติงานมีความเสี่ยงอันตราย มีบุคลากรไม่เพียงพอ ขาดบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะ บุคลากรยังขาดทักษะการทำงาน ทีมสหวิชาชีพขาดการบูรณาการ ยังต่างคนต่างทำ ขาดการสนับสนุนทรัพยากรที่ชัดเจน และหน่วยงานบางแห่งยังขาดความพร้อมในการบริการ

    ส่วนปัจจัยที่จะสนับสนุนความสำเร็จในการทำงานของกลุ่มสหวิชาชีพ ได้แก่ บุคลากรมีทัศนคติเชิงบวกต่อการช่วยเหลือผู้ถูกกระทำ เข้าใจปัญหา รู้บทบาทหน้าที่ของตนเองและผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี มีการสนับสนุนจากฝ่ายบริหาร เช่น การกำหนดนโยบาย สนับสนุนการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ และให้การสนับสนุนทรัพยากร

    "ทีมผู้วิจัยเห็นว่าควรมีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงที่จะบูรณาการการทำงานของทีมสหวิชาชีพ อีกทั้งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์รณรงค์การยุติความรุนแรงในครอบครัวอย่างต่อเนื่อง และควรเน้นทำงานเชิงป้องกันโดยผสมผสานการทำงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน มีการกำหนดโครงสร้างการทำงานที่ชัดเจน กำหนดบทบาทว่าใครทำอะไรบ้าง และควรเพิ่มแรงจูงใจในการทำงาน ที่สำคัญมีการขยายเครือข่ายสู่ชุมชนท้องถิ่นให้ช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น

    ผลการวิจัยและข้อเสนอแนะต่างๆ จะนำเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปประกอบในการปรับการทำงาน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของทีมสหวิชาชีพ" รศ.บุญเสริมกล่าว
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตุ๋นคืนเงินภาษี

    http://hilight.kapook.com/view/34492


    [​IMG]

    ภัยร้ายรายวัน : ตุ๋นคืนเงินภาษี (เดลินิวส์)

    แก๊งหลอกลวงคืนภาษีรุกหนัก! หลอกต้มตุ๋นประชาชนไปแล้วกว่าหมื่นรายในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ทำรายได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ด้วยการอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากร โทรศัพท์เข้าไปแจ้งความประสงค์จะคืนเงินภาษีให้

    แก๊งมิจฉาชีพอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากร ใช้วิธีการโทรศัพท์ไปหาเหยื่ออ้างว่าเป็นคอลเซ็นเตอร์ของกรมสรรพากร แจ้งสิทธิได้รับคืนเงินภาษีผ่านการออนไลน์ โดยใช้การอัดเทปตอบรับอัตโนมัติ จากนั้นทำทีให้กดหมายเลขเพื่อติดต่อแผนกต่างๆ ของกรมสรรพากร และกดหมายเลขภายในเพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ ทั้งมีการขอตรวจสอบเลขบัตรประจำตัวประชาชน ตรวจสอบชื่อ นามสกุล และเสียงปลายสายตอบกลับมาว่า ท่านมีสิทธิได้รับเงินภาษีคืน โดยยอดเงินคืนภาษีส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับหลักหมื่นบาท

    ผู้ประสบเหตุรายหนึ่ง เผย แก็งมิจฉาชีพหลอกให้เหยื่อไปที่ตู้เอทีเอ็ม เพื่อตรวจสอบยอดบัญชีว่ามีเงิน 12,000 บาทเข้ามาหรือยัง แต่พอไม่พบว่ามีเงินเข้ามาก็สั่งให้กดตัวเลขตามที่บอกอ้างว่าเป็นรหัส พอหน้าจอเอทีเอ็มเปลี่ยนเป็นเมนูภาษาอังกฤษแก๊งมิจฉาชีพบอกว่าถูกต้อง ก่อนจะให้กดเลขรหัสตามอีกครั้ง โดยอ้างว่าเพื่อเชื่อมต่อข้อมูล กับทางกรมสรรพากร ซึ่งกดอยู่หลายครั้งจนสับสนพอบอกว่ายุ่งยากเกินไปไม่ขอทำแล้วให้ส่งเช็คมาวันหลัง แก๊งมิจฉาชีพเห็นท่าไม่ดีจึงรีบแจ้งเหยื่อว่าต้องการจะเร่งคืนเงินภาษี จึงขอความร่วมมือ พร้อมสั่งให้รีบทำรายการใหม่อีกรอบด้วยความเกรงใจ เลยกดตัวเลขต่อจนเสร็จ แต่เหยื่อมาสงสัยตรงเลขชุดสุดท้ายที่ใกล้เคียงกับยอดเงินในบัญชี เลยรีบตรวจสอบยอดเงินทันทีพบเงินสูญหายไปแล้วหลายแสนบาท

    ทั้งนี้กรมสรรพากรได้ออกมายืนยันว่า ทางกรมสรรพากรไม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่โทรศัพท์ไปสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เสียภาษีเพิ่มเติม เนื่องจากทางกรมสรรพากรมีข้อมูลของผู้เสียภาษีอยู่ในฐานข้อมูลแล้ว โดยเฉพาะการคืนเงินนั้น กรมสรรพากร จะคืนให้เป็นเช็คธนาคาร ที่ระบุชื่อ-นามสกุล ของผู้ขอคืนและส่งไปให้ทางไปรษณีย์ตามภูมิลำเนาที่ผู้ขอคืนแจ้งไว้เท่านั้น

    เบื้องต้นกรมสรรพากรทราบมาว่า หมายเลขโทรศัพท์ 12 หลัก เป็นโทรศัพท์จากต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศเกาหลีที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ ณ ขณะนี้ และจะเรียกเก็บเงินปลายทาง ซึ่งเรื่องนี้ กสท. ได้มีอีเมลแจ้งเตือนให้ทราบแล้ว คือไม่ให้รับสาย กรณีเป็นเลขหมายที่ผิดปกติ และการคืนเงินภาษีอากร กรมสรรพากรจะจ่ายคืนเป็นเช็คธนาคาร กรุงไทย จำกัดเท่านั้น เพื่อให้ผู้รับคืนเงินภาษีนำเข้าบัญชีธนาคารของตนเองต่อไป ตัวอย่างหมายเลขโทรศัพท์ที่ควรระวัง 0-2617-3000, 0-2694-0861, 0-19-8862-0145, 0-159-7693-8447, 0-277-8899-6600 อนึ่งหมายเลขโทรศัพท์เหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ ขอให้ท่านพึงระวัง เมื่อมีโทรศัพท์เรียกเข้าด้วยหมายเลขที่ไม่คุ้นเคยแจ้ง "เรื่องคืนภาษี" อย่าได้หลงเชื่อให้ "ข้อมูลส่วนบุคคล" กับบุคคลเหล่านั้น มิฉะนั้นความเสียหายอาจเกิดแก่ตัวท่านเอง

    หากพบหรือทราบเบาะแสของมิจฉาชีพกลุ่มนี้ กรุณาแจ้งข้อมูลได้ที่ สรรพากร Call Center : 0-2272-8000 หรือ หน่วยบริการภาษี กรมสรรพากร ทุกแห่งทั่วประเทศ




    ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์
    [​IMG]
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=70742&NewsType=2&Template=1
    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บันได 5 ขั้นสู่ความสำเร็จ
    http://women.kapook.com/work00163-2/

    [​IMG]
    บันได 5 ขั้นสู่ความสำเร็จ (ลิซ่า)
    ใครก็ทราบดีว่าปีนี้เป็นปีแห่งการแข่งขันที่จะต้องมุมานะให้มากขึ้นกว่า เดิม เพราะเศรษฐกิจและคู่แข่งไม่คอยท่า เราจะต้องปรับกระบวนตัวเองเพื่อช่วยให้งานประสบความสำเร็จตลอดทั้งปี

    [​IMG]คิดให้ใหญ่ ทำให้เล็ก</PRE>คุณรู้มั้ยว่าการคิดใหญ่เป็นเรื่องของจินตนาการ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการทำงานอย่างแท้จริง คุณสามารถคิดอะไรได้มากมาย แต่ว่าจุดสำคัญคือการเริ่มต้นและลงมือทำ โดยการทำงานนั้นต้องลงรายละเอียดให้ลึกที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ว่าจะต้องไม่ทำให้งานนั้นๆ เยิ่นเย้อจนกลายเป็นอุปสรรคในการทำงานไป
    เมื่อทำงานในจุดเล็กอย่างรอบคอบบวกกับการคิดการใหญ่ สิ่งเหล่านี้จะเติบโตควบคู่ไปเป็นกลยุทธ์ที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จได้ อย่างมากมาย

    [​IMG]ระดมสมอง เพิ่มทางเลือกใหม่</PRE>การทำงานเป็นทีมคือแรงขับสำคัญของการทำงานของคนยุคนี้ โดยเฉพาะการ Brainstrom ให้คนในฝ่ายมาช่วยกันคิดเกี่ยวกับปัญหาการทำงาน แลกเปลี่ยนความรู้กัน ทำให้บรรยากาศไม่เครียดและยอมรับฟังความคิดเห็นของคนในทุกตำแหน่ง เพราะคุณอาจจะมองเห็นวิธีแก้ปัญหา หรือการตั้งเป้าหมายใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยทำมาก่อนก็ได้
    คุณอาจจะลองระบบการทำงานใหม่โดยที่ทั้ง ทีมยอมรับร่วมกันในที่ประชุมและ กลับมาประชุมเพื่อดูผลของวิธีใหม่นี้อีกสักรอบ ก็จะทำให้มองเห้นปัญหาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดีกว่าแต่ละคนก้มหน้าก้มตาทำงานจนไม่ได้มองเห็นทางเลือกที่ง่ายขึ้นเลย

    [​IMG]เปิดกว้างด้วยการอ่าน</PRE>คุณจะต้องทำตัวไม่หยุดนิ่งด้วยการอ่านองค์ความรู้ต่างๆ ที่มาจากหลากหลายสื่อ ไม่ว่าจะเป็นอินเตอร์เนต หนังสือ หรือเข้างานสัมนาต่างๆ ก็จะทำให้คุณเปิดกว้างกับความรู้และประสบการณ์ต่างๆ และสามารถนำมาพัฒนาตัวเองและการทำงานได้ เพิ่มศักยภาพให้ทีมของคุณมีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณสามารถยกระดับคนในฝ่ายให้มีความรู้แบบคุณได้เช่นกัน นอกจากนี้ ข้อมูลและกระแสบ้านเมืองยังเป็นสิ่งสำคัญที่คุณและคู่แข่งจะ ต้องตามติดเพื่อทำกลยุทธ์ใหม่ๆต่อสู้และรับมือซึ่งกันและกันในปีหน้านี้

    [​IMG]หาทางพัฒนาทักษะใหม่ๆ</PRE>แม้ว่าคุณทำงานบัญชีอยู่ก็ควรจะไปเรียนโปรแกรมบัญชีขั้นสูงเพิ่มเติม หรือทำงานด้านการตลาดคุณก็สามารถไปเรียนด้านบริหารบุคคลเพิ่มเติมก็ได้เพราะ ทักษะเหล่านี้เป็นพื้นฐานติดตัวคุณไปอีกนานและสามารถเข้ากับการทำงานได้ อย่างดี เป็นตัวต่อยอดให้คุณก้าวไปสู่ตำแหน่งสำคัญๆได้เสมอแม้ทักษะเหล่านี้คุณอาจจะ ไม่ได้ใช้ในทันที แต่คุณก็จะสามารถบอกเล่าและเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทได้ว่า สิ่งที่คุณเรียนรู้มานั้นให้ประโยชน์กับการทำงานอย่างไรบ้าง ทุกบริษัทต้องการคนที่รู้เรื่องสิ่งอื่นๆนอกเหนือจากงานที่ทำ หรือมีทักษะหลายด้านนั่นเอง

    [​IMG]ทำงานแบบมืออาชีพ</PRE>การทำงานแบบมืออาชีพคือการรู้คอนเซ็ปต์งานทั้งหมดไม่เฉพาะแต่งานที่ตัว เองทำ เท่านั้น ต้องเรียนรู้การเปลี่ยนแปลง ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าและสามารถจัดการได้อย่างรวดเร็วคุณอาจจะต้องปรับ บุคลิกให้มีความใส่ใจแต่ไม่ถึงขั้นก้าวก่ายงานที่คนอื่นทำ ซึ่งหากเกิดปัญหาระหว่างการทำงานคุณสามารถช่วยทำต่อไปได้ โดยไม่ต้องเสียเวลารอคอย
    นอกจากนั้นการทำงานอย่างมืออาชีพยัง เกี่ยวกับความใจกว้างยอมรับข้อผิด พลาดที่เกิดขึ้นกับตัวเองน้อมรับและปรับปรุงโดยไม่ให้เกิดขึ้นอีก เพียงเท่านี้การประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ก็คงไม่ยากอย่างที่คุณคิด

    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก Lisa

    [​IMG]</PRE>
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แปรงฟันให้ถูก
    http://women.kapook.com/baby00214/


    [​IMG]</PRE>จากกรณีแปรงสีฟันทั้งอันผลุบลงคอสาววัย 20 ปี ต้องหามส่งโรงพยาบาลให้หมอคีบออกมาได้ปลอดภัย ทำให้คนจำนวนไม่น้อยสงสัยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร?
    การแปรงฟัน ถือเป็นหนึ่งในสุขลักษณะที่ดี ทันตแพทย์แนะนำว่าควรต้องมีการแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หรือทุกครั้งหลังอาหาร เพื่อป้องกันฟันผุและโรคภายในช่องปาก
    แม้ว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน แต่หลายๆ คนก็ยังใช้แปรงสีฟันอย่างไม่ถูกวิธี ซึ่งทำให้ช่องปากไม่สะอาด มีแบคทีเรียสะสม ทำให้เกิดโรคช่องปาก ไม่ว่าจะเป็นฟันผุ หินปูนเกาะทำให้เหงือกร่นจนทำลายกระดูกใต้ฐานฟัน หรือรำมะนาด จนถึงเหตุการณ์ไม่คาดคิดอย่างแปรงสีฟันหลุดเข้าไปในช่องทางเดินอาหาร
    ท.พ.สุธา เจียรมณีโชติชัย ผู้อำนวยการกองทันตสาธารณสุข อธิบายว่า การแปรงฟันที่ถูกวิธีทำได้อย่างง่ายๆ แค่ปรับเปลี่ยนตำแหน่งและวิธีขยับมือเท่านั้น
    ลักษณะท่าทางในการแปรง ฟันไม่ควรเงยหน้าขึ้น เพราะช่องทางเดินอาหารจะเปิดออก หากประกอบกับใส่ยาสีฟันมากจนเกิดฟองจำนวนมาก ทำให้โอกาสที่แปรงสีฟันจะหลุดเข้าไปในหลอดอาหารเกิดขึ้นได้
    มุมของการแปรงฟัน จึงควรก้มหน้าลงนิดหน่อย
    การวางมุมแปรงสีฟัน ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่ง เพราะหากวางไม่ถูกวิธีช่องปากจะไม่สะอาดและเกิดการสะสมของหินปูนจำนวนมากได้
    การวางที่ถูกวิธี คือวางแปรงให้ขนานกับผิวฟัน จรดขนแปรงตรงบริเวณคอฟัน ซึ่งเป็นจุดต่อระหว่างตัวฟันและขอบเหงือก
    บริเวณคอฟันและตำแหน่งของฟันหน้าด้านล่างที่ติดกับลิ้น เป็นตำแหน่งที่มักเกิดคราบหินปูนสะสมจำนวนมาก เพราะดูแลได้ไม่ดีพอ จึงต้องปรับเปลี่ยนตำแหน่งแปรงโดยวางแปรงขนาน ส่วนด้านหน้าให้วางเป็นแนวขวางแล้วแปรงทีละซี่
    การแปรงควรค่อยๆ ขยับขนแปรงไปทีละนิด มักพบว่าหลายๆ คนแปรงโดยการลากแปรงยาวๆ ซึ่งนอกจากไม่สะอาดขึ้นยังทำลายเหงือกด้วย
    การใส่ยาสีฟัน ควรบีบยาสีฟันประมาณครึ่งเซนติเมตรเท่านั้น เพื่อจะได้มีปริมาณฟองที่พอสมควรอยู่ในปาก หากรู้สึกว่ามีฟองมากเกินไประหว่างแปรงฟันควรบ้วนฟองออกบ้าง
    เพราะหากมีฟองมากเกินไป ประกอบกับมีการเงยหน้าอาจทำให้เกิดการลื่นจนแปรงหลุดมือ จนกระแทกเหงือก กระพุ้งแก้ม หรือหลุดเข้าไปในทางเดินอาหารได้
    การแปรงลิ้น เป็นสิ่งที่จำเป็น หากใช้แปรงสีฟันควรบ้วนฟองออกก่อนเพื่อไม่ให้เกิดการอาเจียน หรือใช้ที่ครูดลิ้น จะลดการเกิดอาการอยากอาเจียนได้
    สำหรับในเด็กเล็ก ผู้ปกครองควรดูแลอย่างใกล้ชิดจนถึงประมาณ 6-7 ขวบ เพราะกล้ามเนื้อของเด็กไม่แข็งแรงพอที่จะควบคุมแปรงสีฟันได้ดี ทำให้แปรงฟันได้ไม่สะอาด
    การใส่ยาสีฟันให้เด็ก ให้เพียงแตะๆ ยาสีฟันพอให้ขนแปรงชื้นเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องบีบเนื้อยาสีฟันลงไป และไม่ควรให้กลืนยาสีฟัน เพราะเด็กจะได้รับฟลูออไรด์มากเกิน ทำให้เกิดฟันตกกระ
    นอกจากการแปรงฟันอย่างถูกวิธี บางครั้งอาจต้องใช้ไหมขัดฟันเพื่อทำความสะอาดบริเวณซอกฟันที่เข้าไม่ถึง
    ส่วนการใช้น้ำยาบ้วนปาก สำหรับคนทั่วๆ ไปไม่มีความจำเป็นต้องใช้ แต่หากจะใช้ก็ได้เพราะไม่มีอันตรายอะไร เพียงแต่ทันตแพทย์ไม่แนะนำ
    ทำให้ครบและถูกต้อง ช่องปากก็สะอาดแล้ว และไม่อันตรายด้วย

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก ข่าวสด

    [​IMG]</PRE>คอลัมน์ คอลัมน์ที่13
    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
     
  15. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ต้องลอง save ก่อน แล้ว ค่อย post
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2009
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    อาจารย์ประดิษฐ์เจ้าของสถานที่เป็นสถาปนิกออกแบบเอง ทั้งสวยงาม ทั้งสัปปายะ และใช้ประโยชน์ได้อย่างลงตัวทีเดียว อย่างพื้นที่บริเวณที่ใช้เดินจงกรม ปกติทั่วไปจะกำหนดจุดเดิน เอาสติกเกอร์ หรือทาสี แต่อาจารย์ท่านใช้พื้นไม้โทนสีต่างกันเป็นทั้งเลนเดินจงกรมที่กำหนดขอบเขตเอาไว้ชัดเจน การมีฉากม่านเลื่อนกั้นบริเวณให้เป็นส่วนตัว รวมทั้งการให้แสงสีก็มีส่วนช่วยเรื่องการทำสมาธิ ที่เราเรียกว่าบรรยากาศนั่นเอง..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไปชมกันนะครับ

    คลิป ตีสิบ ระลึกชาติ คน 2 ภพ ชนัย ชูมาลัยวงศ์ (224 คน กำลังดูอยู่) ([​IMG] 12)
    WebSnow
    http://palungjit.org/showthread.php?t=177229

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR vAlign=bottom><TD>[​IMG]</TD><TD></TD><TD width="100%">PaLungJit.com > พุทธศาสนา > กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ </TD></TR><TR><TD class=navbar style="FONT-SIZE: 10pt; PADDING-TOP: 1px" colSpan=3>[​IMG] คลิป ตีสิบ ระลึกชาติ คน 2 ภพ ชนัย ชูมาลัยวงศ์</TD></TR></TBODY></TABLE>


    แล้วอย่าลืม "เล่นลม" กันนะครับ
    ที่สำคัญ อย่าไปทำกรรมไม่ดี เพิ่มขึ้นอีก

    กรรม

    สวรรค์
    มนุษย์ หรือ คน
    นรก

    พิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง

    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]

    [​IMG]

    ขอกราบนมัสการองค์พระอรหันต์ครับ
    กราบ กราบ กราบ กราบ กราบ
    sithiphong
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1-888.JPG
      1-888.JPG
      ขนาดไฟล์:
      52.7 KB
      เปิดดู:
      1,315
    • 1-999.JPG
      1-999.JPG
      ขนาดไฟล์:
      49.8 KB
      เปิดดู:
      1,152
  20. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    โมทนาบุญอาจารย์ประดิษฐ์ด้วยค่ะ ขอบคุณคุณเพชรด้วยนะคะ เกือบได้ไปเรียนแล้วค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...