พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    สวยมากเลยครับ ว่าแต่ว่า เดี๋ยวนี้ยังมีเหรียญ 1 5 10 สตางค์ อยู่อีกเหรอครับนี่ ผมไม่เคยเห็นเลยครับ
     
  2. พรสว่าง_2008

    พรสว่าง_2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2008
    โพสต์:
    356
    ค่าพลัง:
    +402
    แจ้งพี่หนุ่มครับ วันนี้ 24/02/2552 เวลา 19.2 สถานที่A04376 KTB ค่าหนังสือ 592 บาท ผมโอน 700 บาท (รวมค่าส่งครับ) โมทนาสาธุครับ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เจิ้งเหรินใหม่หลี่ว์ : ชาวเจิ้งซื้อเกือก
    http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9520000021157
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>24 กุมภาพันธ์ 2552 19:29 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=256 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=256>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพประกอบจาก http://www.jpcai.com</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> 郑 (zhèng) อ่านว่า เจิ้ง แปลว่า รัฐเจิ้ง
    人 (rén) อ่านว่า เหริน แปลว่า คน
    买 (mǎi) อ่านว่า ใหม่ แปลว่า ซื้อ
    履 (lǚ) อ่านว่าหลี่ว์ แปลว่ารองเท้าโบราณ ลักษณะคล้ายเกือก


    มีชาวรัฐเจิ้งผู้หนึ่งต้องการหาซื้อรองเท้า โดยก่อนออกไปซื้อ เขาได้วัดขนาดเท้าของตัวเองด้วยไม้วัด และวางไม้วัดขนาดที่ทำเครื่องหมายขนาดเท้าไว้เรียบร้อยเอาไว้บนโต๊ะ แล้วออกจากบ้านไปโดยลืมนำเอาไม้วัดขนาดไปด้วย

    จนกระทั่งถึงร้านขายรองเท้า เลือกหาจนได้คู่ที่พอใจแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าลืมไม้วัดเอาไว้ที่บ้าน เขาจึงยังไม่ตกลงซื้อรองเท้า แต่กลับรีบกลับไปเอาไม้วัดขนาดเท้าที่บ้าน แต่เมื่อเขากลับมาที่ตลาดอีกครั้ง ตลาดก็วาย ร้านรองเท้าปิดไปแล้ว โดยที่เขาไม่ทันได้ซื้อรองเท้าเลยสักคู่

    ผู้สงสัยถามว่า "เหตุใดท่านไม่ใช้เท้าของตัวเองลองใส่รองเท้า แทนที่จะกลับไปเอาไม้วัดขนาดเท้า?"
    ชาวเจิ้งผู้นี้ตอบว่า "ข้าเชื่อมั่นในความเที่ยงตรงของไม้วัดขนาด แต่ไม่เชื่อมั่นในเท้าของตนเอง"

    สุภาษิต "เจิ้งเหรินใหม่หลี่ว์" หรือ "ชาวเจิ้งซื้อเกือก" ใช้เพื่อเปรียบเทียบกับคนที่ดื้อรั้น ยึดถือเพียงหลักเกณฑ์เก่าๆ หรือหลักเกณฑ์ที่ตายตัว โดยไม่ยอมปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับคน งานและสถานการณ์แวดล้อม
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. พระวรากรณ์

    พระวรากรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    278
    ค่าพลัง:
    +109
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พรุ่งนี้ ผมจะจัดส่งพระพิมพ์ที่หลายๆท่านร่วมทำบุญขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิบมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ

    1.คุณแก่วัด
    2.คุณnarin96
    3.คุณพรสว่าง_2008<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1871468", true); </SCRIPT>
    4.คุณbamby
    5.คุณpsombat<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1896487", true); </SCRIPT> (psombat )
    6.คุณjirautes



    โมทนาสาธุครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทึ่ง! สุนัขแสนรู้ เก็บขยะในลำตะคอง

    http://hilight.kapook.com/view/34190

    [​IMG]

    ทึ่งหมาแสนรู้เก็บขยะในลำตะคอง (ข่าวสด)

    ทึ่งหมาแสนรู้เก็บขยะในลำตะคอง (ข่าวสด)

    เมื่อวันที่ 23 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.นครราชสีมา ว่า จากสภาพอากาศที่ร้อนจัด ทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวต่างเดินทางไปเที่ยวคลายร้อน โดยเฉพาะบริเวณน้ำไหลวังเณร หมู่2 ต.มะเกลือเก่า อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของ อ.สูงเนิน มีประชาชนจำนวนมากมาเล่นน้ำเพื่อคลายร้อน และพักผ่อนในช่วงวันหยุด ซึ่งประชาชน และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาพักผ่อนที่นี่ จะได้ชมความแสนรู้ของ "กาหลง" สุนัขเพศเมีย อายุ 4 ปี ซึ่งเป็นสุนัขแสนรู้และคอยพิทักษ์รักษาความสะอาดบริเวณน้ำตก หากพบว่า นักท่องเที่ยวรายใดทิ้งขยะลงแม่น้ำ เจ้ากาหลงจะกระโดดลงน้ำไปเก็บขยะนำขึ้นมาทิ้งทุกครั้ง จนเป็นที่ประทับใจของนักท่องเที่ยว

    นายบู๊ เลิศครบุรี อายุ 57 ปี เจ้าของสุนัขแสนรู้ "กาหลง" และเจ้าของสวนอาหารวังเณร อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา กล่าวว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางมาท่องเที่ยวน้ำตกต้องการมาชมความฉลาดแสนรู้ของสุนัขเพศเมีย "กาหลง" ที่ตนเลี้ยงไว้ เนื่องจากเจ้ากาหลงเป็นสุนัขพิทักษ์ความสะอาด มีพฤติกรรมที่แปลกกว่าสุนัขตัวอื่นๆ เมื่อเห็นเศษขยะลอยมาตามน้ำจะกระโดดลงไปในน้ำเพื่อคาบเศษขยะขึ้นมาไว้บนฝั่งทุกครั้ง สร้างความสนใจให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าในช่วงนี้เจ้ากาหลงจะตั้งท้องได้ 2 เดือน และมีกำหนดคลอดลูกในเดือนหน้าก็ตาม แต่เจ้ากาหลงก็ยังคงที่จะปฏิบัติหน้าที่ตามเก็บเศษขยะที่ลอยมาตามน้ำเหมือนเช่นเคย ทั้งนี้ตนเองอยากจะฝากไปยังนักท่องเที่ยวรวมถึงประชาชนทุกคน ขอให้ดูเจ้ากาหลงเป็นตัวอย่างในการรักษาสิ่งแวดล้อม ไม่ทิ้งขยะลงคูคลอง



    ขอขอบคุณข้อมูลแลภาพประกอบจาก ข่าวสด
    [​IMG]
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาเตือนกัน

    ท่านใดที่ได้รับพระวังหน้าจากผมไป โดยที่ให้สัจจะไว้ว่า จะปฎิบัติสมาธิทุกวัน ขอให้ทำด้วยนะครับ หากท่านทำไม่ได้ โปรดส่งคืนมา เนื่องจากหากท่านไม่ปฎิบัติ เมื่อถึงเวลาที่ท่านมีความตั้งใจที่จะปฎิบัติธรรมอย่างเต็มที่แล้ว ท่านปฎิบัติธรรมไปได้สักระยะ เมื่อถึงเวลาที่จะต้องก้าวสูงขึ้นต่อไปในการปฎิบัติธรรม ท่านไม่สามารถจะไปต่อในธรรมที่สูงขึ้นได้ ท่านจะติดเรื่องของสัจจะที่ให้ไว้นี้

    หากไม่เชื่อผม ก็ไม่เป็นไร ไปพิสูจน์ได้ด้วยตัวของท่านเอง

    โมทนาสาธุครับ
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    อย่าเชื่อ 10 ประการ (กาลามสูตร)
    http://www.buddha4u.org/index.php?op...10--&Itemid=69

    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top>Written by Administrator </TD></TR><TR><TD class=createdate vAlign=top>Monday, 17 November 2008 11:06 </TD></TR><TR><TD vAlign=top>
    กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร

    1.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
    2.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
    3.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
    4.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
    5.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
    6.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
    7.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
    8.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
    9.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
    10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)
    ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น
    สูตรนี้ในบาลีเรียกว่า เกสปุตติสูตร ที่ชื่อกาลามสูตร เพราะทรงแสดงแก่ชนเผ่ากาละมะ แห่งวรรณะกษัตริย์ ที่ชื่อเกสปุตติยสูตร เพราะพวกกาละมะนั้นเป็นชาวเกสปุตตะนิคม ในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผลตามหลัก 10 ข้อ
    ตัวอย่าง
    1.อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ประเภท "เขาว่า" "ได้ยินมาว่า" ทั้งหลาย
    2.อย่าได้ยึดถือถ้อยคำสืบๆกันมา ประเภท "ใครๆว่า" "โบราณว่า" ตามกระแส
    3.อย่าได้ยึดถือโดยความตื่นข่าวว่า เข่าว่าอย่างนี้ ประเภทข่าวลือ ข่าวโคมลอย ทั้งหลาย
    4.อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา อย่าไปตามตำรามากนัก ตำราว่าอย่างนั้น ต้องออกมาเป็นอย่างนั้น เท่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะอย่าลืมว่า ตำราบางเล่ม คนแต่งก็มั่วมาบ้าง เขียนไม่ครบบ้าง ใส่ไข่เอาเองบ้าง คนมีกิเลสไปแก้ไขตำรา คนมีผลประโยขน์ ไม่แก้ไขตำราเท่ากับเราโดนหลอก
    5.อย่าได้ยึดถือโดยนึกเดาเอาเอง เช่น เข้าใจเอาเอง หรือข้อมูลไม่พอ ใจร้อนเดาสุ่มเอา มั่วๆ เอา
    6.อย่าได้ยึดถือโดยการคาดคะเน การคาดการณ์ตามประวัติศาสตร์ ตามสถิติ ความน่าจะเป็น ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพราะเห็นแค่ร้อย อย่าเหมาว่าที่ร้อยเอ็ดจะเป็นไปด้วย
    7.อย่าได้ยึดถือตรึงตามอาการ อย่าเห็นว่าอาการแบบนี้ น่าจะเป็นแบบนี้ ให้คิดเผื่อๆไว้ด้วย เช่น เห็นคนไข้เป็นแบบที่เคยรักษาคนอื่นๆมาก่อน อย่าไปตรึกเอาเองว่าเป็นแบบนั้น เห็นเงาก็จ่ายยาได้ เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าเข้าข้างตนเอง นั่งสมาธิเห็นโน่น เห็นนี้ อย่านึกว่าเป็นจริง เพราะอาจจะเป็นจิตหลอกจิต
    8.อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับทิฐิของตัว อย่าเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่ อะไรที่ตรงกับที่ตนคิดไว้เท่านั้นที่เชื่อได้ คนคิดแบบนี้ ดื้อตายชัก
    9.อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ระวังจะโดนหลอก อย่าลืมว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง 10.อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา การยึดอาจารย์ของตนเองมากไป ก็ไม่ดี ควรทำตาม ทดสอบดู ถ้าผิดพลาดก็ไม่ต้องเชื่อ ถ้าทำแล้วดีขึ้นก็แสดงว่าเชื่อได้
    ที่มา : http://www.easyinsurance4u.com/buddha4u/kalamasutta.htm



    </TD></TR><TR><TD class=modifydate>Last Updated ( Wednesday, 26 November 2008 05:07 ) </TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    หยก 12 นักษัตร อีกหนึ่งงานฝีมือของช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า
    โดยคุณ :::เพชร:::<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_889609", true); </SCRIPT>
    http://palungjit.org/showthread.php?t=80127&page=3
    หยก ๑๒ นักษัตรฝีมือช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า ถ่ายใหม่อีกครั้ง

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    ท่านผู้ที่แกะสลัก เป็นช่างชาวจีนที่ฮ่องเต้( (ประเทศจีน) เป็นผู้ที่มอบช่างช่าวจีนมาประเทศไทย) หากท่านใดที่มีหยกวังหน้า ต้องรำลึกนึกถึงพระคุณของท่านเหล่านี้ด้วย เวลาทำบุญก็อุทิศบุญให้ท่านเหล่านี้ด้วยนะครับ

    .

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ส่วนพระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ จ.ชลบุรี เป็นพิมพ์ที่ได้มาจากวังหน้า มีเยอะครับ หากเราไม่สนใจในการซื้อขายแล้ว มีเยอะ ผมเองมีไม่น้อยกว่า 50 องค์ครับ

    หาได้ไม่ยาก

    ส่วนหลวงพ่อแก้ว วัดปากทะเล เรื่องนั้นเป็นนิยายหลอกเด็ก ไม่มีจริง หากใครบอกว่ามี ให้รู้ไว้ว่า นั่นเขานำนิยายมาเล่าให้ฟัง หุหุหุ

    .

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ส่วนพระสมเด็จก็เช่นกัน มีมากครับ ไม่มากได้อย่างไร ทีมผู้สร้างมีถึง 13 ทีม ทีมผู้สร้างที่สร้างพระสมเด็จมากที่สุด ก็คือทีมช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า(ผมขอเพิ่มช่างสิบหมู่แห่งวังหลวงและวังหลังด้วย)

    ในกลุ่มพระสมเด็จ ก็จะมีชุดที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ ถึงกับสามารถบอกได้ว่า หากนำพระสมเด็จทั่วโลกมารวมกัน ยังไม่สามารถที่จะเทียบกับพระสมเด็จที่มีความพิเศษและโดดเด่นได้
    พระสมเด็จที่มีความพิเศษและโดดเด่น จะมีอยู่ไม่กี่รุ่น ผมยกตัวอย่างให้สัก 3 รุ่น คือ
    1.พระสมเด็จ(top of the top)
    2.พระสมเด็จ (อัศจรรย์โกลาฤกษ์)
    3.พระสมเด็จ อกครุฑอาบน้ำว่าน

    ส่วนโดดเด่นอย่างไร ผมเคยอธิบายไว้แล้วในกระทู้พระวังหน้าฯ อยากรู้และอยากทราบ ตามหาอ่านเองนะครับ ไม่ขออธิบายซ้ำอีก

    เวลาที่ไปอ่านบทความต่างๆ ก็พินิจและวิเคราะห์ถึงหลักความจริง และต้องตรวจสอบด้วย

    เรื่องพระสมเด็จเก๊เอง ก็มีมากเช่นกัน

    ผมจึงต้องย้ำเสมอว่า ต้องตรวจสอบทั้ง รูป(เนื้อหาทรงพิมพ์) และ นาม(พลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิต) ครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo [​IMG]
    อ่ะ ....อ่านอะเจอครับ แต่ถ้าสนใจจะหาจากไหนครับ ขอแล้วท่านปาทานจามอบให้ใช่มั้ยครับ หุ หุ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ส่วนพระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ จ.ชลบุรี เป็นพิมพ์ที่ได้มาจากวังหน้า มีเยอะครับ หากเราไม่สนใจในการซื้อขายแล้ว มีเยอะ ผมเองมีไม่น้อยกว่า 50 องค์ครับ

    หาได้ไม่ยาก

    ส่วนหลวงพ่อแก้ว วัดปากทะเล เรื่องนั้นเป็นนิยายหลอกเด็ก ไม่มีจริง หากใครบอกว่ามี ให้รู้ไว้ว่า นั่นเขานำนิยายมาเล่าให้ฟัง หุหุหุ

    .


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    __________________________________________________



    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ส่วนพระสมเด็จก็เช่นกัน มีมากครับ ไม่มากได้อย่างไร ทีมผู้สร้างมีถึง 13 ทีม ทีมผู้สร้างที่สร้างพระสมเด็จมากที่สุด ก็คือทีมช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า(ผมขอเพิ่มช่างสิบหมู่แห่งวังหลวงและวังหลังด้วย)

    ในกลุ่มพระสมเด็จ ก็จะมีชุดที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ ถึงกับสามารถบอกได้ว่า หากนำพระสมเด็จทั่วโลกมารวมกัน ยังไม่สามารถที่จะเทียบกับพระสมเด็จที่มีความพิเศษและโดดเด่นได้
    พระสมเด็จที่มีความพิเศษและโดดเด่น จะมีอยู่ไม่กี่รุ่น ผมยกตัวอย่างให้สัก 3 รุ่น คือ
    1.พระสมเด็จ(top of the top)
    2.พระสมเด็จ (อัศจรรย์โกลาฤกษ์)
    3.พระสมเด็จ อกครุฑอาบน้ำว่าน

    ส่วนโดดเด่นอย่างไร ผมเคยอธิบายไว้แล้วในกระทู้พระวังหน้าฯ อยากรู้และอยากทราบ ตามหาอ่านเองนะครับ ไม่ขออธิบายซ้ำอีก

    เวลาที่ไปอ่านบทความต่างๆ ก็พินิจและวิเคราะห์ถึงหลักความจริง และต้องตรวจสอบด้วย

    เรื่องพระสมเด็จเก๊เอง ก็มีมากเช่นกัน

    ผมจึงต้องย้ำเสมอว่า ต้องตรวจสอบทั้ง รูป(เนื้อหาทรงพิมพ์) และ นาม(พลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิต) ครับ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    __________________________________________________




    สำหรับท่านที่ร่วมทำบุญกับพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งมาบ่อยๆ และชาวคณะพระวังหน้า ยังไงก็ต้องได้และมีไว้สักการะบูชา แน่นอน เช่น พระสมเด็จ(top of the top)

    แต่ส่วนพวกบัวใต้น้ำ และพวกที่ปรามาสพระวังหน้าฯ ไม่ว่าชาตินี้ หรือชาติไหนๆ อย่าว่าจะได้เห็นองค์จริงเลย แม้แต่รูปก็ยังไม่มีวาสนาและบารมีที่ได้เห็นครับ

    .

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo [​IMG]
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 22 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 19 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">



    </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>nongnooo, :::เพชร:::+, sithiphong+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อุ้ย ....แก๊ง 3เกลอ ครับ หุ หุ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    อ่า 1 ใน 3 แก๊ง 3 เกลอ ว่างมาก อยากจะจัดทัวร์นรกอยู่ครับ
    จัดทัวร์นรกนี่ ให้ไปอยู่น๊านนานเลย

    .

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ความสามารถของแก๊ง 3 เกลอ นอกจากพาคณะไปสวรรค์แล้ว ยังสามารถจัดทัวร์(ไปอยู่)นรกได้ด้วยเนี่ย อืมมมมมมมม ไม่ธรรมดา

    .

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    มาช่วยเชียร์กันหน่อย เชียร์กันหน่อยเอ้าเชียร์กันหน่อย

    ;aa13

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ake7440 [​IMG]
    โอ...เห็น 3 รุ่นนี้แล้วใจสั่นๆ หุหุ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ส่วนพระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ จ.ชลบุรี เป็นพิมพ์ที่ได้มาจากวังหน้า มีเยอะครับ หากเราไม่สนใจในการซื้อขายแล้ว มีเยอะ ผมเองมีไม่น้อยกว่า 50 องค์ครับ

    หาได้ไม่ยาก

    ส่วนหลวงพ่อแก้ว วัดปากทะเล เรื่องนั้นเป็นนิยายหลอกเด็ก ไม่มีจริง หากใครบอกว่ามี ให้รู้ไว้ว่า นั่นเขานำนิยายมาเล่าให้ฟัง หุหุหุ

    .



    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    __________________________________________________



    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ส่วนพระสมเด็จก็เช่นกัน มีมากครับ ไม่มากได้อย่างไร ทีมผู้สร้างมีถึง 13 ทีม ทีมผู้สร้างที่สร้างพระสมเด็จมากที่สุด ก็คือทีมช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า(ผมขอเพิ่มช่างสิบหมู่แห่งวังหลวงและวังหลังด้วย)

    ในกลุ่มพระสมเด็จ ก็จะมีชุดที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ ถึงกับสามารถบอกได้ว่า หากนำพระสมเด็จทั่วโลกมารวมกัน ยังไม่สามารถที่จะเทียบกับพระสมเด็จที่มีความพิเศษและโดดเด่นได้
    พระสมเด็จที่มีความพิเศษและโดดเด่น จะมีอยู่ไม่กี่รุ่น ผมยกตัวอย่างให้สัก 3 รุ่น คือ
    1.พระสมเด็จ(top of the top)
    2.พระสมเด็จ (อัศจรรย์โกลาฤกษ์)
    3.พระสมเด็จ อกครุฑอาบน้ำว่าน

    ส่วนโดดเด่นอย่างไร ผมเคยอธิบายไว้แล้วในกระทู้พระวังหน้าฯ อยากรู้และอยากทราบ ตามหาอ่านเองนะครับ ไม่ขออธิบายซ้ำอีก

    เวลาที่ไปอ่านบทความต่างๆ ก็พินิจและวิเคราะห์ถึงหลักความจริง และต้องตรวจสอบด้วย

    เรื่องพระสมเด็จเก๊เอง ก็มีมากเช่นกัน

    ผมจึงต้องย้ำเสมอว่า ต้องตรวจสอบทั้ง รูป(เนื้อหาทรงพิมพ์) และ นาม(พลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิต) ครับ



    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    __________________________________________________




    สำหรับท่านที่ร่วมทำบุญกับพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งมาบ่อยๆ และชาวคณะพระวังหน้า ยังไงก็ต้องได้และมีไว้สักการะบูชา แน่นอน เช่น พระสมเด็จ(top of the top)

    แต่ส่วนพวกบัวใต้น้ำ และพวกที่ปรามาสพระวังหน้าฯ ไม่ว่าชาตินี้ หรือชาติไหนๆ อย่าว่าจะได้เห็นองค์จริงเลย แม้แต่รูปก็ยังไม่มีวาสนาและบารมีที่ได้เห็นครับ

    .


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo [​IMG]
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 22 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 19 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">





    </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>nongnooo, :::เพชร:::+, sithiphong+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อุ้ย ....แก๊ง 3เกลอ ครับ หุ หุ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    อ่า 1 ใน 3 แก๊ง 3 เกลอ ว่างมาก อยากจะจัดทัวร์นรกอยู่ครับ
    จัดทัวร์นรกนี่ ให้ไปอยู่น๊านนานเลย

    .


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ความสามารถของแก๊ง 3 เกลอ นอกจากพาคณะไปสวรรค์แล้ว ยังสามารถจัดทัวร์(ไปอยู่)นรกได้ด้วยเนี่ย อืมมมมมมมม ไม่ธรรมดา

    .


    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    อ่า พระที่จะนำไป ก็จะเป็นพระกรุพระธาตุพนม(ที่มีพระธาตุพระอรหันต์และลูกปัด) จะนำไปให้สาบานที่วัดพระแก้ว เมื่อสาบานเรียบร้อยแล้วก็เดินไปท่าน้ำ ที่ท่าพระอาทิตย์ก็ได้ ท่าพระจันทร์ก็ได้ แล้วจะให้หักกลาง พร้อมทั้งให้กระทืบ แล้วให้เขวี้ยงทิ้งลงแม่น้ำเจ้าพระยา

    อยากรู้จังว่า จะเก่งเหมือนที่พิมพ์หรือเปล่า หุหุหุ

    .

    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    เมื่อวานนี้ นำเรื่องนี้ไปเล่าให้กับพี่สองท่าน และพี่ใหญ่ (ไปเล่ากันคนละช่วงเวลา) เล่าไปขำไป

    ผมก็เลยบอกว่า ผมจะนำพระสมเด็จ(top of the top) ไปพร้อมกับเสี้ยน(ให้เสี้ยนนำพระสมเด็จ องค์ละ 50 ล้านบาทไปด้วย และไปกันเยอะๆ ) ไปที่วัดพระแก้ว ไปสาบานกันก่อน แล้วนำ พระสมเด็จ(top of the top) ไปหาพระวิปัสนาญาณ สายพระอาจารย์มั่น 5 องค์ แล้วไปถามว่า พระสมเด็จ(top of the top) ที่ผมนำไป กับ พระสมเด็จ ที่เสี้ยนนำไป องค์ไหนดีกว่ากัน โดยพระวิปัสนาญาณทั้ง 5 องค์ บอกมาตรงกัน และพระสมเด็จ(top of the top) แท้หรือไม่ โดยเดิมพันกันด้วย ลูกปืนคนละนัด โดยพระวิปัสนาญาณทั้ง 5 องค์ บอกมาตรงกัน ทั้งพี่ทั้งสองท่านและพี่ใหญ่บอกตรงกันว่า ไม่มีใครกล้าเดิมพันด้วยแน่

    แต่ที่แน่ๆ งานวันสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 5 พระองค์ ,พระธาตุพระอรหันต์ ผมมีแจก(ฟรี)สำหรับทุกๆท่านที่ไปร่วมงานนี้แน่นอนครับ หุหุหุ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ผมเหลือองค์เดียวแล้วครับ ไปตามหาให้เพื่อนๆจนล้าแล้ว ก็หายังไม่มีครับสำหรับแบบนี้ครับ

    แต่หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ยังพอหาได้ครับ

    ก็อย่างที่บอก ดีใจมากที่เสี้ยนเมิน เราจะได้มีสิ่งที่ดีไว้สักการะบูชาและคุ้มครองตนเองครับ

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    สำหรับพระวังหน้า ทุกๆท่านที่ร่วมทำบุญ หรือท่านไหนที่มี แขวนเดี่ยวได้เลยครับ

    ตอนนี้ผมก็แขวนเดี่ยวเช่นกัน ดีมากจริงๆ

    ส่วนพวกเสี้ยน ผมท้าแล้วท้าอีก ไปซะทีสิ วัดพระแก้วไม่น่าจะหายาก ไปง่าย ให้รีบหน่อย ไวๆกันด้วย ไปเมื่อไหร่นัดกันล่วงหน้าได้เลย

    ผมพร้อมทุกวินาที

    ผมจะเตรียมพระวังหน้าไปให้ครบจำนวนคนที่จะไปด้วย มากันให้เยอะๆน๊ะ มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จะได้ไม่เสียเที่ยว ครั้งเดียวให้เยอะที่สุด
     
  11. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
    มาเล่าให้ฟังความคืบหน้าพระเจดีย์

    เมื่อวานส่งอาสาสมัครขับรถไปส่งพระอาจารย์นิลที่พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง(จ.ชัยภูมิ)
    ขนสีฝุ่นประมาณ100กิโล,อาหารเสบียงให้พระและช่างที่ทำงานข้างบนดอย
    พวกข้าวสารข้าวเหนียวประมาณ15 กิโล,ขนมปัง นมข้นหวาน ฯลฯ
    ปกติท่านไปรถทัวร์ค่ะ
    ตอนนี้ เล็บท่านกำลังจะหลุดไปหนึ่งเล็บ (ท่านไม่ใส่รองเท้า)
    เพราะโดนของหนักตกใส่เท้าระหว่างก่อสร้างทำสระโบกขรณี

    วันนี้ 5โมงเย็น นิมนต์พระอาจารย์คุณหนุ่มไปตรวจร่างกาย
    ปรับสภาพร่างกายก่อนกลับขึ้นเขาไปอีกนาน
     
  12. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    โมทนาสาธุครับ
     
  13. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    โมทนาสาธุครับ
    ขอให้พระอาจารย์นิล หายเร็วๆครับ
     
  14. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  15. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    เคยเล่าให้คุณหนุ่มฟังเรื่องไม้เท้าของพระราหุลที่วัดพลับ แล้วคุณหนุ่มไม่เชื่อว่าเป็นของจริง เลยเอารายละเอียดมาลงให้อ่านกันค่ะ

    ตำนานธารพระกร ของสมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน และธารพระกรคู่พระบารมี คู่พระกรรมฐาน เกิดแก่ท่านพระราหุล

    [​IMG]
    เมื่อท่านพระราหุล มีพระชนมายุได้ ๓๑ พรรษา ๑๑ เป็นพระภิกษุผู้เถรแล้ว ขณะเมื่อพระองค์ท่านประทับนั่งบำเพ็ญสมณะธรรม อยู่ ณ ป่าอันธวัน นอกกรุงสาวัตถี

    สมัยนั้นเทวดาตนหนึ่ง นับเนื่องในหมู่พรหม ชั้นสุทธาวาส ได้มาสิงสถิตรอคอยท่านพระราหุลเถรอยู่ที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์สถานที่ตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เทวดาอันนับเนื่อง ในหมู่พรหม ชั้นสุทธาวาส ได้ทราบด้วยใจแห่งตนว่า บารมีวิมุตติธรรม ของท่านพระราหุลเถรแก่กล้าแล้ว สมัยนั้นแล

    ธารพระกร คู่พระบารมีธรรม คู่พระกรรมฐานมัชฌิมา เป็นบุญศิริ ของท่านพระราหุลเถร ได้เกิดขึ้น แก่เต็มที่แล้ว ณ ป่าอันธวัน ในดงไม้ไผ่ยอดตาล

    เทวดา อันนับเนื่องในหมู่พรหม ชั้นสุทธาวาส ที่สิงสถิตรอคอย ท่านพระราหุลเถรอยู่ ณ ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น ได้เข้าไปหา ท่านพระราหุลเถรเจ้า แล้วเผดียงว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นเทพดา สิงสถิตอยู่ ณ ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์สถานที่ตรัสรู้ของพระบรมครู บัดนี้ ธารพระกร คู่พระบารมี คู่พระกรรมฐานมัชฌิมาเป็นบุญศิริ ของท่านพระราหุลเถร ได้เกิดขึ้น แก่กล้าแล้ว ข้าพระองค์ขออาราธนา ท่านพระราหุล ผู้เจริญไปยังดงไม้ไผ่ยอดตาลนำเอาไม้ธารพระกร ที่ดงไผ่ยอดตาล ในป่าอันธวันนั้นเถิด

    ท่านพระราหุลเถร ได้ดำเนินไปที่ดงไผ่ยอดตาลตามคำทูลเชิญนั้น ครั้นแล้วเทวดาตนนั้น แสดงให้ท่านพระราหุลเถรทราบว่าธารพระกรไผ่ยอดตาลอยู่ที่ต้นไผ่ยอดตาลนี้ เป็นต้นที่แก่สูงที่สุดใน ดงนี้

    ขณะนั้นท่านพระราหุลเถร มีความปริวิตกว่า จะตัดต้นไผ่ยอดตาลอย่างไร เพลานั้นเทวดาตนนั้นทราบความปริวิตกของท่านพระราหุลเถรแล้ว จึงดลใจให้ คนตัดฟืนในป่าที่ใกล้กันนั้น มาที่ป่าไผ่ยอดตาลแห่งนี้ ครั้นคนตัดฟืนอันเทวดาดลใจมาถึงที่แห่งนี้แล้ว เห็นท่านพระราหุลเถร ทราบอาการของพระเถรว่า ต้องการ ลำไผ่ยอดตาลนั้น จึงตัดมาถวายท่านพระราหุลเถร ประมาณหนึ่งวาคุต โดยการตัดครั้งเดียว ตัดแล้วเทวดาผู้สิงสถิตประจำต้นไผ่ยอดตาล เจ็ดตนก็มา สิงสถิตประจำอยู่ ที่ไม้ธารพระกรนั้น เพื่อบำเพ็ญอุณหิสวิชยธรรมต่อไป และไม้ธารพระกรไผ่ยอดตาลนี้ได้เป็นไม้ที่ทรงอานุภาพมาก ด้วยอานุภาพแห่งเทวดา และอานุภาพแห่งพระเถรเจ้า

    ครั้นเทวดามาสิงสถิตที่ไม้เท้านี้แล้ว เทวดาจะสมาทานศีลอันหมดจด ประพฤติ
    อุณหิสวิชัยธรรมอันสุจริต ด้วยอานุภาพแห่งการกระทำนั้น เทวดาจะมีความสุขตลอดกาล และ อายุของเทวดานั้นย่อมเจริญ เพราะได้ประพฤติธรรม ปฏิบัติธรรม กับพระสงฆ์องค์นั้น

    เรื่องมีอยู่ว่า ต้นไผ่ยอดตาลนั้น มีลักษณะเหมือนต้นตาลทั้งหมด แต่มีขนาดเล็กโคนต้นเท่าต้นแขน สูงประมาณ เก้าศอก ลำต้นมีลายคล้ายข้อไผ่ สูงชะลูด ใบและก้านใบ เหมือนก้านใบตาล ออกช่อ ดอกผลเหมือนงวงตาล ผลเหมือนผลตาล แต่มีขนาดเล็กกว่า ดอกมีห้ากลีบสีขาวหม่น ต้นไผ่ยอดตาลนี้มีอายุยืนเป็นพันๆปี เป็นไม้เนื้อแข็ง

    ครั้นท่านพระราหุลเถรเจ้า ได้ธารพระกร ไผ่ยอดตาลคู่บารมีแล้ว ก็ดำเนิน
    กลับไปบำเพ็ญสมณะธรรมต่อ ณ ป่าอันธวัน เมืองสาวัตถี ไม้ธารพระกรไผ่ยอดตาลนี้เปรียบด้วย รัตนะเจ็ดประการ ประจำพระองค์ของพระเจ้าจักรพรรดิ หรือเปรียบด้วยเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ของพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนไม้ธารพระกร ไผ่ยอดตาลของ ท่านพระราหุลเถร หรือของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย แสดงถึงบารมีธรรมของพระอริยะเจ้าแต่ละองค์ และนับเป็นบุญศิริ ซึ่งประเสริฐกว่า แก้วเจ็ดประการ ของพระเจ้าจักรพรรดิ หรือเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ของพระราชา หรือของพระเจ้าแผ่นดิน เพราะพระอริยะเจ้าเป็นผู้พ้นจากโลกิยะธรรมทั้งปวง พระอริยะเจ้าที่จะได้ ไม้เท้าเบิกไพร ไผ่ยอดตาล ต้องเป็นผู้มีจักรธรรม ๔ ประการคือ
    .ปฏิรูปเทสวาสะ อยู่ในถิ่นประเทศอันสมควร
    . สัปปุริสูปัสสยะ สมาคมกับคนดี มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น
    . อัตตสัมมาปณิธิ ตั้งตนไว้ชอบ สิ่งสำคัญประการสุดท้ายคือ
    ๔ ปุพเพกตปุญญตา ได้กระทำความดีไว้แต่ปางก่อน จึงจะได้จักรรัตนะ คือไม้เท้าเบิกไพร ไผ่ยอดตาลบุญศิริประกอบพระบารมีธรรมนี้
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  16. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    พระอริยะเจ้า...............พระเจ้าจักรพรรดิ...........พระราชาธิราช
    เครื่องประกอบบารมีธรรม....รัตนะเจ็ดประการ............เบญจราชกกุธภัณฑ์
    . ธารพระกร .................ช้างแก้ว...................พระมหาพิชัยมงกุฏ
    ไผ่ยอดตาล ...................ม้าแก้ว ....................พระแสงขรรค์ชัยศรี
    .................................นางแก้ว .................. ธารพระกร
    .................................ขุนคลังแก้ว ...............วาลวิชนี
    .................................ขุนพลแก้ว .................ฉลองพระบาท
    ..................................จักรแก้ว
    ..................................แก้วมณี

    แก้วหมายถึง ของดี ของเลิศ หรือของมีค่า
    เมื่อท่านพระราหุลเถรเจ้าเข้านิพพานแล้ว ครั้งปฐมสังคายนา ธารพระกรแก้ว ไผ่
    ยอดตาลก็ตกทอดมาถึง พระโกลิกะเถรเจ้า สัทธิวิหาริก ของท่านพระราหุลเถร ในดินแดนชมพูทวีป

    ครั้นถึงทุติยสังคายนา พุทธกาลล่วงแล้วได้ ๑๐๐ ปี ธารพระกร ไผ่ยอดตาลพระ
    ราหุลเถรเจ้า ก็ตกมาถึง พระมัลลิกะเถระเจ้า แห่งชมพูทวีป

    กาลต่อมาธารพระกรไผ่ยอดตาล ของพระราหุลเถรเจ้า ตกทอดมาถึง พระโสนันตะเถรเจ้า สัทธิวิหาริก ของพระมัลลิกเถรเจ้า

    ครั้นถึงตติยสังคายนา พุทธกาลล่วงแล้วได้ ๒๑๘ ปี ธารพระกรของพระราหุล
    เถรเจ้าก็ตกมาถึง พระโมคคัลลีบุตรติสสเถรเจ้า แห่งชมพูทวีป
    กาลต่อมาธารพระกรไผ่ยอดตาล ของพระราหุลเถรเจ้า ตกทอดมาถึงพระมหินทเถร แห่งลังกาทวีป (ประเทศศรีลังกา) พระราชโอรส ของพระเจ้าอโศกมหาราช

    กาลต่อมาธารพระกรไผ่ยอดตาล ของพระราหุลเถรเจ้า
    ตกทอดมาถึง พระจิตตกะเถรเจ้า แห่งลังกาทวีป

    กาลต่อมาธารพระกรไผ่ยอดตาล ของพระราหุลเถรเจ้า
    ตกทอดมาถึง พระอุบาลีเถรเจ้า องค์แรก แห่งลังกาทวีป

    พุทธกาลล่วงแล้วได้ประมาณ ๓๖๐ ปี

    ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าเอฬารทมีฬแห่งลังกาทวีป
    มีคณะสงฆ์ลังกา เดินทางมา ยังดินแดนสุวรรณภูมิสามพระองค์
    คือพระสัญญปะเถรเจ้า๑ พระจิรสะเถรเจ้า๑ พระมัคคีเถรเจ้า ๑ เดินทางโดยทางเรือ

    ครั้งนั้นพระสัญญปะเถรเจ้า เป็นหัวหน้าคณะ และคณะพระสงฆ์ลังกาได้นำไม้
    เท้าไผ่ยอดตาล อันเป็นของพระราหุลเถรเจ้า ซึ่งตกทอดมาจนถึงพระอุบาลีเถรเจ้า แห่งเกาะลังกา
    มามอบถวาย พระราชสามีรามมหาเถรเจ้า (เพชร) โดยพระอุบาลีเถรเจ้า พระมหาเถร แห่งลังกา
    มีบัญชาให้ คณะของพระสัญญปะเถรเจ้า นำมามอบถวายพระราชสามีรามมหาเถรเจ้า (เพชร) ณ วัดท้าวอู่ทอง
    เมืองสุวรรณสังข์ (อู่ทอง) เหตุจะเป็นดินแดนที่รุ่งเรือง ของพระพุทธศาสนาต่อไปในกาลภายหน้า อีกทั้งพระราชสามีรามมหาเถรเจ้า ได้เป็นศิษย์ ศึกษาพระกรรมฐานจากพระอุบาลีเถรเจ้าด้วย

    กาลล่วงถึง สมัยศรีทวารวดี

    พระญาณวิมุตติสุวรรณมหาเถรเจ้า (ไข) พระองค์ท่านทรงไปบำเพ็ญสมณะธรรม ในป่านอกกำแพงเมืองศรีทวารวดี อันเคยเป็นที่ตั้ง วัดท้าวอู่ทอง ซึ่งบัดนี้เป็นป่ารกร้าง เงียบสงบ พระญาณวิมุตติสุวรรณมหาเถรเจ้า (ไข)พระองค์ท่านได้พบ ไม้เท้าเบิกไพร ไผ่ยอดตาล ของพระอุบาลีเถรเจ้า แห่งลังกา ซึ่งได้มอบให้ไว้แก่ พระราชสามีรามมหาเถรเจ้า (เพชร) แห่งวัดท้าวอู่ทอง ในครั้งนั้น ท่านได้พบไม้เท้า ที่ป่าอันเคยเป็นที่ตั้ง วัดท้าวอู่ทอง ท่านได้นำ ไม้เท้าไผ่ยอดตาล กลับมาบูชาไว้ ณ วัดศรีสุวรรณ เมืองศรีทวารวดี เพราะเป็นไม้เท้าเบิกไพร ต้นพระกรรมฐาน

    มัชฌิมา ส่วนพระองค์ท่านเอง ใช้ไม้เท้าเบิกไพร ที่ได้รับสืบทอดมาแต่ครั้ง พระอุตระเถรเจ้า ต่อๆกันมา

    ครั้นถึงปลายสมัยศรีทวารวดี ไม้เท้าไผ่ยอดตาลของท่านพระราหุลเถรเจ้า ก็ตกทอดมาถึง พ่อเจ้าแพร (ผู้ปกครองวัด) แห่งวัดดงตาล เมืองบ้านคูเมือง(สิงห์บุรี)ถึงสมัยสุโขทัย ไม้เท้าไผ่ยอดตาล ของท่านพระราหุลเถรเจ้า ได้ตกทอดมาถึงพระญาณสุวรรณมหาเถรเจ้า (สิงห์) แห่งวัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัย สมัยพระเจ้าประกันติราช

    สมัยพญาลิไท ไม้เท้าไผ่ยอดตาลของท่านพระราหุลเถรเจ้า ได้ประดิษฐานอยู่ ณแท่นบูชา ตรงพระพักตร์ ของพระศรีศากยะมุนี ในพระวิหาร วัดมหาธาตุ


    ครั้นปลายสมัยกรุงสุโขทัย ได้มีบุคคล นำไม้เท้าไผ่ยอดตาล ของท่านพระราหุลเถรเจ้า ออกไปจากวิหารพระศรีศากยะมุนี กาลต่อมาชายผู้นั้นเกิดเสียสติ นำไม้เท้าไปไว้ในป่าเมืองสุโขทัย ณ ถ้ำแห่งหนึ่ง


    ถึงสมัยอโยธยา


    ท่านขรัวตาเฒ่า ชื่น วัดสามไห เมืองอโยธยา ได้รุกขมูลไป ณ ถ้ำแห่งนั้น ในป่าเมืองสุโขทัย ได้พบไม้เท้าไผ่ยอดตาล ของท่านพระราหุลเถรเจ้า เทวดาประจำไม้เท้านั้น ได้บอกเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านทราบ


    สมัยกรุงศรีอยุธยา ไม้เท้าไผ่ยอดตาลของท่านพระราหุลเถรเจ้า ได้ตกทอดมาถึงพระพนรัตน (รอด) แห่งวัดป่าแก้ว กรุงศรีอยุธยา ถึงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาไม้เท้านี้ได้หายสาบสูญไป


    สมัยรัตนโกสินทร์ ไม้เท้าไผ่ยอดตาลของท่านพระราหุลเถรเจ้า ได้ตกทอดมาถึงสมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) วัดราชสิทธาราม กรุงเทพ การไปพบไม้เท้าของท่านนั้น มีเรื่องที่ควรทราบ ดังต่อไปนี้

    ครั้งกรุงศรีอยุธยา ยังเป็นราชธานีอยู่ พระอาจารย์สุก (สมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน) ได้ออกบำเพ็ญธุดงค์ทุกปี ครั้งหนึ่งท่านรอนแรมธุดงค์ มาด้วยวิชชา ถึงป่าเมืองอุตรดิตถ์ เดินทางมุ่งไปสู่ เขตป่าดงพญาเย็น อันเป็นที่พำนัก ของพระอาจารย์ด้วง

    พระอาจารย์ด้วง พระองค์นี้ สมเด็จพระสังฆราช ไก่เถื่อน ทรงเคยพบท่านในสมาธินิมิต ท่านได้บอกให้พระอาจารย์สุก ไปพบท่าน ณ ดงพญาเย็น เมืองอุตรดิตถ์พระองค์ท่านเข้าเขตดงพญาเย็นแล้ว หวลระลึกนึกถึงนามพระอาจารย์ด้วง ได้ดำเนินไปเห็นเป็นป่าทึบ หนาวเย็นมากเต็มไปด้วยหมอกหนา พระอาจารย์สุก ทราบด้วยวารจิตว่า พระอาจารย์ด้วง ท่านพำนักอยู่ในดงพญาเย็นนี้ เพราะเป็นแดนผาสุขวิหารของท่าน

    พระองค์ท่าน ดำเนินไป เห็นร่างพระภิกษุเถรรูปหนึ่ง ยืนถือไม้เท้าสีดำนิลอยู่ทรงเห็นร่างนั้นรางๆ เพราะหมอกหนาทึบมาก จึงดำเนินเข้าไปใกล้ เห็นว่าร่างพระภิกษุเถรรูปนั้นโปร่งใส พระภิกษุอริยะเถราจารย์ ได้กล่าวทักพระอาจารย์สุก ขึ้นก่อนว่ามาถึงแล้วหรือ จากนั้นพระอาจารย์สุก ก็ก้มลงกราบ พระอาจารย์ด้วง

    พระอาจารย์ด้วง สนทนากับพระอาจารย์สุกว่า อิทธิวิธญาณ การย่นระยะทางของท่าน ดีแล้ว สำเร็จแล้ว ให้ใช้ให้เป็นประโยชน์ จำเป็นจึงใช้ และกล่าวต่อไปอีกว่าอย่าไปติดในอิทธิฤทธิ์ อันเป็นโลกิยะธรรม เพราะมันไม่เที่ยง (เวลานั้นพระอาจารย์สุกยังไม่บรรลุโลกุตระธรรม) จะทำให้เกิดทุกข์ จงทำจิตให้เป็นสุข ทุกๆเวลา ให้นึกถึงความสุข คือนึกถึงบุญกุศล นึกถึงการช่วยคน นึกถึงสิ่งอันดีงาม จิตจะเป็นสุขเนืองๆอย่างนี้ ไม่เกาะเกี่ยววัตถุ จะไปสู่พระนิพพาน คำสอนนี้เพื่อเกื้อกูล บุคคลผู้เกิดในภายหลัง จะได้ไม่หลงติดโลกธรรม

    พระอาจารย์สุก เดินทางไปถ้ำ ในป่าดงพญาเย็น ท่านถึงปากถ้ำ จึงเจริญอาโลกสิณ เป็นแสงสว่างนำเข้าไปในถ้ำ เดินไปถึงซอกถ้ำ พบกายทิพย์ของฤาษีอริยะเฝ้าอยู่(เห็นด้วยสมาธิ) พระฤาษีอริยะท่านกล่าวกับพระอาจารย์สุกว่า ผู้สืบทอดของบูรพาจารย์มาถึงแล้ว ท่านจึงชี้ไปที่ไม้เท้าของปารมาจารย์สี่อัน ซึ่งวางอยู่บนแท่น บัดนี้มีผลึกหินปกคลุมอยู่ เนื่องจากน้ำในถ้ำหยดลงมาทับถม กลายเป็นผลึกหินทับถมอยู่ จึงแลดูเหมือนไม้เท้านี้อยู่ในหิน เพราะไม้เท้านี้มีอายุประมาณ ๒๓๐๐ ปีเศษ ไม้เท้าก็จะกลายเป็นหินอยู่แล้ว​

    พระฤาษีอริยาจารย์ที่เฝ้าไม้เท้านี้ ได้บอกให้พระอาจารย์สุก อธิฐาน ดึงไม้เท้า ๔ อันนี้ออกมาจากผลึกหิน พระองค์ท่านก็ดึงออกมาได้ด้วยอธิษฐานบารมีของพระองค์ท่าน ด้วยจะเป็นผู้สืบพระศาสนาต่อไป ในอาณาจักรหน้า พระฤาษีอริยาจารย์กล่าวว่า ในไม้เท้าสี่อันนี้ อันหนึ่งเป็น ธารพระกรไผ่ยอดตาล ของท่านพระราหุลเถรเจ้า ตกทอดมาแต่โบราณกาล ให้พระองค์ท่านเอาไว้ใช้ก่อน ต่อไปท่านจะมีไม้เท้าคู่บารมีของท่านเอง อีก ๓ อันท่านจะพบพระสัทธิวิหาริกคู่บารมี สัทธิวิหาริกองค์ไหนควรครอบครองไม้เท้าเบิกไพร อันไหนให้ท่านมอบให้ไป ต่อมาพระอาจารย์สุก จึงได้ทราบนามของ พระฤาษีอริยาจารย์ว่าคือ พระฤาษีอัปปผลาภะ


    เมื่อพระอาจารย์สุก ได้ไม้เท้ามาแล้ว ท่านก็เอาไม้เท้า๓ อันมัดมากับ รัดประคต​
    อก ส่วนไม้เท้า ไผ่ยอดตาล ของท่านพระราหุลเถรเจ้า ท่านใช้ถือเบิกไพร ย่นระยะทางกลับมา วัดท่าหอย ท่านได้เอาไม้เท้าของสำคัญมาเก็บไว้ โดยไม่มีใครรู้ แล้วท่านก็ออกป่าไปใหม่

    หลังจากพระอาจารย์สุกท่านได้อิทธิวิธญาณแล้ว ปีหนึ่งๆ ท่านออกรุกขมูลหลายครั้ง ไปเร็ว มาเร็ว เมื่อไม่มีเหตุการณ์อะไร ที่วัดท่าหอย หรือเหตุการในป่าที่พระอริยาจารย์เรียกท่านไป ท่านจะไม่ใช้อิทธิวิธญาณ พระองค์ท่านจะเดินไปธรรมดา สะสมบารมี

    เมื่อพระองค์ท่าน กลับมาวัดท่าหอยแล้ว พระภิกษุ สามเณร และบรรดาญาติโยมแลเห็นพระองค์ท่านเป็นเพียงพระ

    พระอาจารย์สุก ท่านไม่ต้องแสวงหาพระอาจารย์ แต่จะมีพระอาจารย์คอยให้ท่านพบ เพราะท่านจะต้องเป็นผู้สืบพระศาสนาต่อไป

    ต่อมาเมื่อพระอาจารย์สุก มาจำพรรษาที่วัดราชสิทธาราม(พลับ) กรุงเทพแล้วท่านได้ใช้ไม้เท้า ไผ่ยอดตาล ของท่านพระราหุลเถรเจ้า ถือประจำกายในวัดเสมอๆ เมื่อพระองค์ท่านสิ้นพระชนม์แล้ว ไม้เท้าเบิกไพร ไผ่ยอดตาลก็ตกมาถึงทายาท พระอาจารย์กรรมฐานของท่าน ดังนี้

    ๑.พระวินัยรักขิต (ฮั่น)​
    ๒.ท่านเจ้าคุณหอไตร (ชิต)
    ๓.พระครูวินัยธรรมกัน
    ๔.พระญาณสังวร (ด้วง)
    ๕.พระญาณสังวร (บุญ)
    ๖.พระญาณโยคาภิรัต (มี)
    ๗.พระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ)
    ๘.พระสังวรานุวงเถร (เอี่ยม)
    ๙.พระสังวรานุวงศ์ (ชุ่ม)
    ๑๐.พระครูสังวรสมาธิวัตร (แป๊ะ)
    ๑๑.พระครูญาณสิทธิ (เชื้อ)
    ๑๒.พระครูปัญญาวุธคุณ (สำอาง ปัญญาวุโธ น.ธ.โท)


    ส่วนใหญ่พระอาจารย์กรรมฐาน รุ่นหลังๆ ไม่ได้ใช้ไม้เท้าไผ่ยอดตาลของพระราหุลเถรเจ้า เพียงประดิษฐานไว้บนแท่นบูชาหน้าพระประธานฯ ปัจจุบันไม้เท้าไผ่ยอดตาลนี้ พระครูสังฆรักษ์วีระ ฐานวีโร ได้เก็บอนุรักษ์ และจัดไว้เป็นพิพิธภัณฑ์ ณ อาคารคณะ ๕ วัดราชสิทธาราม จัดเป็นบริโภคเจดีย์ เพื่อให้สาธุชน กราบไหว้บูชาต่อไป

    กล่าวว่า ไม้เท้าเบิกไพรไผ่ยอดตาล ของพระสาวก แต่ละองค์ ถือเป็นอายุของพระพุทธศาสนา เป็นของสืบทอดต่อๆมา จนกว่าจะสิ้นอายุศาสนา ของพระพุทธโคดม
    พระอาจารย์ด้วง กล่าวต่อไปอีกว่า ต่อไปท่านจะได้พบ พระอริยเถราจารย์อีกหลายพระองค์ จะสอนท่านในรายละเอียด วิธีการของการเข้าสุขสัญญา ลหุสัญญา และชี้นำให้ไปเอาสิ่งของต่างๆ สำหรับพระเถราจารย์ ผู้สืบทอดพระกรรมฐานมัชฌิมา และสืบทอดพระพุทธศาสนา

    พระอาจารย์ด้วง กล่าวต่อไปอีกว่า กรุงศรีอยุธยา อีกไม่นานจะล่มสลาย เป็นไปตามหลัก พระไตรลักษณ์ และท่านจะเป็นผู้สืบทอดพระกรรมฐานมัชฌิมา สืบต่อไปในอาณาจักรหน้า (กรุงรัตนโกสินทร์) ขอให้ท่าน ทบทวนพระกรรมฐาน พระบาลีมูลกัจจายน์ เพราะท่านจะต้องสอนในเรื่องเหล่านี้ บางครั้งพระอาจารย์สุก ไม่เห็นร่างโปร่งใสของท่าน เห็นแต่จีวร และไม้เท้า เนื่องจากท่านเจริญ อากาสกสิณ

    พระอาจารย์ด้วงท่านกล่าวต่อไปว่า ร่างกายและไม้เท้า ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากอิทธิวิธญาณ การเข้าสุขสัญญา ลหุสัญญา ร่างจริงของข้าฯไม่มีแล้ว แต่ข้าฯอธิษฐานกายทิพย์อยู่ไว้คอยท่า ผู้มีบุญมารับช่วง พระกรรมฐานมัชฌิมา และไม้เท้าเบิกไพร ขององค์ต้นพระกรรมฐานนี้ ไม้เท้าของจริงอยู่ที่ถ้ำข้างหน้าโน้น มีกายทิพย์พระฤาษีอริยะเฝ้าอยู่รอผู้มีบุญมารับช่วงเอาไป ในถ้ำนั้นมีไม้เท้าคู่บารมีของ ปารมาจารย์อยู่ถึง ๔ อัน ในถ้ำนั้นมืดมาก ข้าฯ จะสอน อาโลกกสิณให้ เพื่อเป็นแสงสว่างนำทางท่านเข้าไปเอาไม้เท้าในถ้ำ

    เนื่องจากพระอาจารย์สุก ท่านผ่านกสิณ สิบประการมาแล้ว ท่านสามารถในอาโลกกสิณ พระอาจารย์ด้วงจึงสอนวิธีการใช้อาโลกกสิณ เข้าไปในที่มืดต่อมาพระอริยเถราจารย์ (ด้วง) ได้สอนพระอาจารย์สุก ให้เข้า ฌานโลกุดร๑๙โดยให้ตั้งที่นาภี ๑๐ องค์ภาวนา ตั้งที่ระหว่างคิ้ว ๙ องค์ภาวนา ตั้งที่หทัย ๑ องค์ ให้ภาวนาว่า โลกุตตรัง จิตตัง ฌานัง

    พระอริยเถราจารย์ (ด้วง) กล่าวต่อไปว่า ฌานโลกุดรนี้ เป็นที่เกิดแห่งปัญญา เป็นที่บรรลุธรรม เป็นที่สิ้นสุดแห่งวัฏฏะทุกข์ได้ ใช้อธิษฐาน ได้ต่างๆ

    ใครยังไม่เคยกราบของจริง เชิญชวนให้ไปกราบกันนะคะ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2009
  17. dragonlord

    dragonlord เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,541
    อนุโมทนาคะ

     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ช่วยกันส่งแรงใจ แรงบุญ ให้พระอาจารย์นิล และพระอาจารย์ผมด้วยนะครับ ท่านสู้เต็มที่ เหนื่อยแค่ไหนท่านก็สู้ และสู้ไม่ถอยเลย
    พวกเราสามารถนำตัวอย่างที่ท่านกระทำ มาทำตามได้เลย สู้เพื่อตัวเอง(ให้หลุดพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย) และสู้เพื่อพระศาสนาอย่างเต็มที่ และเต็มกำลัง

    เอ่อ คุณแด๋นครับ ก็พระอาจารย์คุณแด๋นด้วยนะครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    ผมเองก็เป็นแบบนี้ครับ ไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆ ต้องพิสูจน์ก่อน และต้องมีผู้ที่รับรอง
    ก็เป็นความเห็นส่วนตัวผมนะครับ

    อย่างที่ผมเคยบอก ทุกเรื่องพุทธศาสนาสามารถพิสูจน์ทุกเรื่องของวิทยาศาสตร์ได้ทุกเรื่อง แต่ในทุกเรื่องของวิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์พุทธศาสนาได้ทุกเรื่องครับ

    ขอขอบคุณที่นำมาให้ได้อ่านกันนะครับ โมทนาสาธุครับ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“พระราชหฤทัยจงรักและภักดี” ควรคู่พระบารมีพระปกเกล้าฯ
    http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9520000020834
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>24 กุมภาพันธ์ 2552 20:06 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>รศ. ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล ถ่ายภาพคู่พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> ด้วยทั้ง 2 พระองค์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงเป็นแบบอย่างแห่งการครองรักอันมั่นคงมาตลอดพระชนม์ชีพ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงถือโอกาสในวาระครบรอบการเสด็จขึ้นครองราชย์ของ ร.7 ซึ่งตรงกับวันที่ 25 ก.พ. จัดบรรยายในหัวข้อ “พระราชหฤทัยจงรักและภักดี” ขึ้นเมื่อวันก่อน

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=297 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=297>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> โดยมี รศ.ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล เป็นวิทยากร ซึ่งคุณชายได้ย้อนเล่าถึง การประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกในรัชสมัยของพระองค์ว่า นับเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์ไทย ทรงทำพิธีสถาปนาสมเด็จพระมเหสีขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชินีในคราวเดียวกัน อันแสดงถึงการถวายพระเกียรติอย่างสูงสุดต่อพระชายาผู้เป็นที่รักยิ่ง ดั่งใจความของคำกล่าวในพิธีสถาปนา ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ตรัสไว้ว่า

    “ทรงประจักษ์แจ้งต่อความซื่อตรง จงรัก ของ ม.จ.รำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ อันมีต่อพระองค์ ที่ได้ทรงตั้งพระราชหฤทัยสนองพระเดชพระคุณ เวลาเมื่อทรงเป็นสุขสำราญ และรักษาพยาบาลในเวลาเมื่อทรงพระประชวร หรือแม้แต่การเสด็จไปประทับทุกพระราชฐานต่างประประเทศ (ซึ่งในกาลก่อนนั้นการเดินทางก็มิได้สะดวกเช่นปัจจุบัน) ม.จ.รำไพพรรณี ก็อุตสาหะเสด็จติดตามไปด้วยทุกหนแห่ง โดยไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก จึงควรนับได้ว่าทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพระองค์มาเป็นนิรันดร จะหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้”

    นอกจากนี้ หากย้อนความไปถึงช่วงที่ทั้ง 2 พระองค์ยังมิได้ดำรงพระยศเป็นพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระบรมราชินี เรื่องราวความรักความผูกพันของ สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา และ ม.จ.รำไพพรรณี ก็เป็นที่ประจักษ์ด้วยว่าทรงใฝ่พระราชหฤทัยจงรักและภักดีต่อกันเรื่อยมา ซึ่งไม่เพียงความรักที่มีให้ แต่ยังเหมาะสมกันด้วยพื้นฐานการเลี้ยงดู ที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง ทรงอุปการะเลี้ยงดู ม.จ.รำไพพรรณี ในฐานะที่ทรงเป็นพระปิตุจฉา (พี่สาวของพระบิดา คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฎ์ ต้นราชสกุล "สวัสดิวัตน์") มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์

    ครั้งนั้นเมื่อ สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ ทรงจบการศึกษาจากประเทศอังกฤษ เสด็จกลับพระนคร และได้พบกับ ม.จ.รำไพพรรณี เห็นในพระจริยวัตรอันงดงาม ทรงบังเกิดปฏิพัทธิ์รักใคร่ และมีหนังสือกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.6) ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต จัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส

    ด้วยทรงให้เหตุผลว่า แต่เดิมนั้น “ทรงรักใคร่ชอบพอกับ ม.จ.รำไพพรรณีฉันท์เด็กและผู้ใหญ่ และสมเด็จแม่ก็ทรงโปรดให้ท่านหญิงมารับใช้ข้าพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ เวลานี้ข้าพระพุทธเจ้า เห็นว่า หญิงรำไพฯ ก็มีพระชันษามากขึ้นแล้ว พอสมควรจะทำการเสกสมรสได้ จึงได้ทำการกราบบังคมทูลสมเด็จแม่ ท่านทรงเห็นด้วย ส่วนเสด็จน้าท่านรับสั่งว่าท่านไม่ทรงเกี่ยวข้อง ด้วยทรงถวายหญิงรำไพฯ ไว้ขาดแก่สมเด็จแม่ตั้งแต่ยังเล็กๆ แล้ว”


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=370 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=370>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> จากความข้างต้นตามหลักฐานที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงไว้เองว่าทรงปฎิพัทธิ์รักใคร่ ก็ทำให้รู้ได้ว่า ถึงแม้ทั้ง 2 พระองค์จะดำรงพระยศเป็นถึงเจ้านายชั้นสูง หากแต่ก็มิอาจทำอะไรตามพระทัยได้ ทุกขั้นตอนแห่งการก่อเกิดความรักของเจ้านายทั้ง 2 พระองค์นั้น นับว่าอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ เป็นการขอแต่งงานด้วยความรัก ซึ่งขณะเดียวกันก็ทำให้ทราบถึงเรื่องของการขออนุญาตคนในครอบครัว และขอความคิดเห็นว่าทรงเห็นด้วยหรือไม่ อย่างไร

    ทำให้รู้ว่าสมัยนั้น เมื่อรักใครและตัดสินใจจะแต่งงานกัน จำเป็นต้องดูเรื่องของผู้หลักผู้ใหญ่ด้วยว่า...ท่านคิดเห็นเป็นเช่นไร เหมือนเป็นการขออนุญาตไปในตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฐานะที่ทรงเป็นเจ้านายด้วย ก็ทรงเป็นแบบอย่างของการปฏิบัติตามกฎมณเฑียรบาล ที่กำหนดไว้ว่า...เจ้านายตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป ต้องกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการที่จะแต่งงาน ซึ่งการกราบบังคมทูลสมเด็จพระเชษฐาธิราชครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการกราบทูลถึงในฐานะคนในครอบครัว และเป็นการขอพระบรมราชานุญาตเท่านั้น แต่ยังเป็นไปอย่างเป็นทางการ เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายด้วย

    จนแม้แต่ในวาระที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตไปแล้ว สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีก็ยังทรงเชิดชูในทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าน้อยผู้รักยิ่งไม่เสื่อมคลาย คุณชายเล่าว่า... จากประสบการณ์ตรงที่เคยมีโอกาสเข้าเฝ้า สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ณ วังศุโขทัย ข้าราชบริพารและผู้เข้าเฝ้าทุกคนจะทราบดีถึงพระราชกิจวัตรประจำวัน ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงปฏิบัติอยู่เสมอ โดยหลังแต่งองค์เสร็จแล้ว ก่อนเสด็จลง สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีจะต้องเสด็จเข้าสู่ห้องพระ ทรงสวดมนต์ และถวายสักการะพระบรมอัฐิ และจะทรงกระทำเช่นเดียวกันนี้ ในเวลาพลบค่ำก่อนเสด็จเข้าห้องบรรทม


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> “ครั้นเมื่อสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเสด็จประทับ ณ วังสวนบ้านแก้ว จ. จันทบุรี ในช่วงบั้นปลายพระชนม์ชีพ ก่อนจะเสด็จประทับ ณ วังศุโขทัยเพื่อรักษาพระอาการประชวร ก็ยังเสด็จกลับมายังพระนคร เป็นประจำทุกปี เพื่อร่วมในพระราชพิธีวันฉัตรมงคล และจะทรงประทับอยู่ต่อจนถึงวันที่ 30 พ.ค. ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระราชสวามี เพื่อประกอบพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายและสักการะพระบรมอัฐิ ณ วังศุโขทัย นอกจากนี้ยังเห็นได้ว่า ในทุกโอกาสที่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อการกุศลทั้งหลาย จะไม่ทรงทำเพื่อพระองค์เอง แต่ทรงโปรดให้เอ่ยพระนามพระราชสวามีอยู่เป็นนิตย์ ทำให้พระราชอุทิศน้อยใหญ่ที่ทรงประกอบพระราชกิจนั้น ล้วนแต่ถวายเป็นพระราชอุทิศให้พระราชสวามีทั้งสิ้น”

    เพียงบางแง่มุมจากเรื่องราวความรักในพระองค์ที่ทรงมีต่อกัน ก็ปรากฏหลายแง่คิดสอนใจให้คนรุ่นหลังรู้จักครองรักได้อย่างมั่นคง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...