รักษาศีล5แล้วสมาธิไม่เกิด

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อ_เอกวัฒน์, 23 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. อ_เอกวัฒน์

    อ_เอกวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    279
    ค่าพลัง:
    +270
    กราบเรียนถึงสมาชิกทั้งหลายที่มีประสบการณ์ทุกท่าน
    เนื่องด้วยกระผมรักษาศีลและเจริญสมาธิ แต่จิตกระผมไม่เคยสงบเลย นั่งแล้วรู้ตัวตลอดจะคิดก็รู้ไม่สงบก็รู้ ไม่ว่าจะเจริญธรรมบทใดมาเป็นหลัดยึดก็มิเคยได้รู้ว่าตัวเองสงบเลย
    แถบยังมีอาการวูบลงคล้ายๆภวังในตัวตอสมัยเด็กๆๆที่สร้างไว้ยาเป็นเพื่อนเล่นเกิดขึ้นมาบ่อยๆๆถ้าจิตหดหู่หรือเหมอลอยน่ะครับ
    กระผมสนใจธรรมสมัยเด็กๆ ตอนเดินเล่นแถวทะเลที่ได้ยิน พุธธังสรนัง ฯ
    ก็เริ่มหาหนังสือมาทำเองเรื่อยๆๆอ่านเว็บธรรมะแล้วลองหาวิธีแก้ไขไปจิตก็ไม่สงบบางครั้งอาจจะสงบก็ไม่เกิดปิติอะไรเลยแม้ขั้นแรกก็เคยเกิดเลยในขั้นของปิติ น้ำตาไหล ฯก็ไม่มี
    อาจเป็นกรรมเก่าหรือไม่ที่มาค่อยก้นมิให้เกิดสภาวธรรมน่ะครับ
    ขอความกรุณาท่านสมาชิกทุกท่านช่วยไขปัญหาของกระผมด้วยน่ะครับ
    ทุกวันนี้ก็พยายามสวดมนรักษาศีลนั่งสมาธิทำทุกวันเพื่อให้พ้นทุกข์ อย่างไรช่วยแนะนำหนทางด้วยน่ะครับ
    ซึ่งกระผมตั้งจิตขอให้ถึงโสดาปฎิผลในชาตินี้ของตายน่ะครับจะได้เกิดมาเป็นคนท้งทีน่ะครับไม่เสียชาติเกิดน่ะครับ
     
  2. อ_เอกวัฒน์

    อ_เอกวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    279
    ค่าพลัง:
    +270
    กราบเรียนถึงสมาชิกทั้งหลายที่มีประสบการณ์ทุกท่าน
    เนื่องด้วยกระผมรักษาศีลและเจริญสมาธิ แต่จิตกระผมไม่เคยสงบเลย นั่งแล้วรู้ตัวตลอดจะคิดก็รู้ไม่สงบก็รู้ ไม่ว่าจะเจริญธรรมบทใดมาเป็นหลัดยึดก็มิเคยได้รู้ว่าตัวเองสงบเลย
    แถบยังมีอาการวูบลงคล้ายๆภวังในตัวตอสมัยเด็กๆๆที่สร้างไว้ยาเป็นเพื่อนเล่นเกิดขึ้นมาบ่อยๆๆถ้าจิตหดหู่หรือเหมอลอยน่ะครับ
    กระผมสนใจธรรมสมัยเด็กๆ ตอนเดินเล่นแถวทะเลที่ได้ยิน พุธธังสรนัง ฯ
    ก็เริ่มหาหนังสือมาทำเองเรื่อยๆๆอ่านเว็บธรรมะแล้วลองหาวิธีแก้ไขไปจิตก็ไม่สงบบางครั้งอาจจะสงบก็ไม่เกิดปิติอะไรเลยแม้ขั้นแรกก็เคยเกิดเลยในขั้นของปิติ น้ำตาไหล ฯก็ไม่มี
    อาจเป็นกรรมเก่าหรือไม่ที่มาค่อยก้นมิให้เกิดสภาวธรรมน่ะครับ
    ขอความกรุณาท่านสมาชิกทุกท่านช่วยไขปัญหาของกระผมด้วยน่ะครับ
    ทุกวันนี้ก็พยายามนั่งทำทุกวันเพื่อให้ผลทุก
    ซึ่งกระผมตั้งจิตขอให้ถึงโสดาปฎิผลในชาตินี้ของตายน่ะครับ
     
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ขั้นแรกครับ

    การตั้งเป้าหมาย ให้ปรับนิดเดียวพอ คือ อย่าตั้งที่โสดาปฏิผล ให้เปลี่ยนเป็น
    โสดาปฏิมรรค แทน

    กล่าวเทียบง่ายๆ คือ อย่ามุ่งหวังที่ผล ให้มุ่งหวังที่การกระทำ เป็นหลัก เช่น
    หากเราต้องการมีทรัพย์ เราก็ต้องไม่มุ่งไปที่เม็ดเงิน มันจะทำจิตเราให้ติดข่าย
    วัตถุประสงค์เป็นหลักเสียก่อน แต่ถ้าเราปรับมาที่วิธีการหาทรัพย์ เราจะมีความ
    เพียรอัตโนมัติทันที จะทำโดยไม่ท้อด้วย เพราะเรามุ่งกระทำ ซึ่งจะไปสอดคล้อง
    กับธรรมที่ชื่อ อิทธิบาท4

    อันนี้ลองทบทวนดูคำปรึกษาของคุณอีกทีนะครับ จะเห็นว่า มีหลายจุดทีเดียว
    ที่มุ่งพูดในส่วนผลเป็นหลัก เป็นประเด็น เราก็เข้าใจธรรมชาติของจิตใจเราไป
    แบบนั้น อย่าไปโกรธตัวเอง หรือ ปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองมี สิ่งที่ตัวเองเป็น หรือ สิ่ง
    ที่ตัวเองทำได้ ตรงนี้จะขมวดลงมาที่หลัก วิมังสา ความพอใจเท่าที่ทำได้ ซึ่งอยู่
    ในหมวดธรรมอิทธิบาท4 ( เอาผลทำได้ในปัจจุบัน กวาดลง วิมังสา ธรรมให้หมด
    เอาธรรมเป็นที่พึ่ง : ธรรมะ สรนังฯ )

    * * * * *

    มาอีกเรื่อง

    การรักษาศีลเพื่อให้เกิดสมาธิ

    ตรงนี้ต้องเข้าใจหลักการของการเกิดสมาธิก่อน ในตำราอภิธรรม วิสุทธิ7 จะบอก
    ไว้ชัดเจนว่า ความสุข เป็นเหตุใกล้ให้เกิด สมาธิ

    ดังนั้น ศีล ไม่ใช่เหตุเกิดให้ สมาธิ : การรักษาศีลจึงไม่ใช่เรื่องทำให้เกิดสมาธิ

    แต่ ศีล นั้นเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด ความสุข เช่น เรากำลังอยู่ในช่วงจะทำผิดศีล เห็น
    ของตกอยู่ อยากได้ เรามีศีลเกิดทันที ไม่หยิบ ไม่ฉวยของขึ้นมาด้วยจิตอยากเอา
    เป็นของตน ความสุขสงบจะเกิดกับใจทันที แถมความสงบอันเกิดจากการไปเอา
    ของไปแล้วเกิดเจ้าของมาตามหาทีหลัง ก็ทำให้เรามีความสุขโดยตลอดด้วย เมื่อ
    จิตใจมีสุขโดยตลอด ไม่ว่ากาลไหน เราก็เอาความสุข การระลึกถึงศีลที่เราทำ
    ไว้ดีแล้ว ทำแล้วเกิดความสุข เราก็น้อมระลึกถึงศีลนั้น(ศีลานุสติกรรมฐาน) แล้ว
    ก็จะทำให้เกิดความสุข(เทวดาสนุสติกรรมฐาน) ความสุขที่ได้จากสองกรรมฐานนี้
    จะตั้งมั่นในจิต เมื่อจิตมีความสุข ก็จะเป็นเหตุใกล้ให้เกิด สมาธิ อีกทีหนึ่ง
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    มาอีกเรื่อง

    เรื่องการฝุ้งซ่านเมื่อทำสมาธิ

    หากคุณเป็นคนที่ทำสมาธิแล้ว จิตมันไม่ยอมอยู่ในสมาธิ มันออกไปตรึก นึกคิด
    ทบทวนธรรม ทบทวนชีวิต ทบทวนเพื่อนชีวิต อันนี้ก็จะลำบาก เพราะชี้ให้เห็น
    ได้ว่า ไม่ใช่ตัณหาจริต(รักความสงบ สุข สบาย) แต่เป็นทิฏฐิจริต หรือ อาจจะ
    ค่อนไปทางพุทธิจริต แบบนี้ทำสมาธิแล้วจะมีแต่จิตที่พุ่งออกไปพิจารณาธรรม
    พุ่งออกไปฝุ้งซ่านธรรมที่เรียกว่า อุธทัจจสังโยชน์ คือไปติดเอาสังโยชน์เบื้อง
    ปลายไปเลย แบบนี้จะไปแก้ก็ไม่ถูก เพราะสังโยชน์เบื้องปลายนั้นคนที่จะมีฐานะ
    แก้ได้คือต้องเป็นอนาคามีไปแล้ว ดังนั้น หากเรามาติดสังโยชน์แบบนี้ เราก็
    ควรผลิกวิกฤษติเป็นโอกาสไป โดยยกดูภาพรวมไปเลยว่า จิตฝุ้ง จิตมีโมหะ
    หากจิตวิ่งเข้ามาในความสงบ มาที่องค์บริกรรมได้ ก็ให้ระลึกรู้ว่า จิตไม่มีโมหะ
    แบบนี้เราก็อาศัยความฝุ้งซ่านมาเป็นเครื่องมือเจริญสติได้ เมื่อสติเกิด จิตมัน
    จะวิ่งไปทำสมาธิ หรือ ออกไปคิด ไปมีโมหะ สติเราจะระลึกรู้ ก็จะมีโอกาส
    ทันตัณหา พอทันตัณหาก็เกิดความสุขชนิดหนึ่ง เมื่อเกิดควาสุขชนิดนี้แล้ว
    ก็จะทำให้มีเหตใกล้ให้เกิด สมาธิ ได้อีกที

    ถ้าสนใจวิธีปฏิบัติแนวนี้ ก็ลองเข้าไปโหลดเสียงธรรมเทศนาแนวนี้เพิ่ม จาก
    แหล่ง cd ของเว็บนี้แหละครับ ให้โหลดเอาที่สั้นๆ เอามาฟังเล่นๆ ไปพลางๆ
    ก่อน อย่าฟังเพื่อมุ่งเอาผล

    พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช - ก่อนจะเป็นหนังสือ "อริยสัจ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2009
  5. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ค่อยๆปฏิบัติครับ ร่างกายมันก็จะค่อยๆปรับระดับจิตใจให้สงบขึ้นครับอย่าใจร้อน ตัวผมเอง ก็รักษานะศีลแต่ก็ยังบกพร่องบางข้อ แต่ก็ยังเจริญได้เลย เพราะ ว่า ไม่ต้องรีบ มันจะเป็นไปตามของมันเอง อย่างเช่น คนที่ไม่เคยเป็นนักกีฬาแต่เข้า วงการกีฬาก็พัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆเป็นตัวเขต ระดับภาคและไต่ระดับไป ระดับประเทศ ระดับประเทศก็ไต่ไปเป็นระดับ ซีเกมส์ระดับซีเกมส์ก็ไปเอเชียนเกมส์ ก็ไต่ระดับไปอย่างนี้ นี่อธิบายแบบเปรียบเทียบนะครับ จากคนไม่เคยเป็นอะไรมาเลยตั้งแต่เกิด แล้วเค้าจะจับไปเป็นนักกีฬาระดับเอเชียเลยได้อย่างไรกันเล่า ลองตรองดูครับ ค่อยๆ มันจะเป็นอัตโนมัติ ให้จิตใจสงบค่อยๆ ภาวะนา และลองศึกษาเพิ่มเติมนะครับ นักกีฬายังต้องฝึกฝน เราก็ต้องศึกษา ค่อยๆอ่านค้นคว้าไปครับ ค่อยๆปฏิบัติไปเรือ่ยๆ หาอาจารย์ดีๆครับ หรือ ถ้าจะปฏิบัติเองเช่นเดียวกับผมก็ ถามผู้รู้ในนี้หลายๆท่านและก็ต้องอ่านศึกษาธรรมเพิ่มเติม นะครับ

    ขออนุโมทนากับ จขกท ด้วยครับ สาธุสาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กุมภาพันธ์ 2009
  6. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    อ่อ อาการต่างๆนั้น เป็นเพียงอาการที่ร่างกายปรับสภาพให้รับจิตที่ค่อยๆสูงขึ้นครับ เราอย่าไปสนใจกับอาการเลยครับแค่รู้ว่ามันเกิดขึ้น ตั้งภาวะนา หรือ กำหนดจิต ต่อไปครับ ไม่มีอะไร ตอนแรกๆผมก็ตัวร้อนมากๆ มารู้ทีหลังมันก็ไม่มีอะไร เป็นเพียงพลังลมปรานเครื่อนตัวเท่านั้น ก็รู้ แค่นั้น นั่งสมาธิต่อ ถ้าจิต มันวูปมันหลุดก็ ดึงกลับมา กำหนดลมหายใจต่อ หายใจเข้า พุทธ(นะมะ) หายใจออก โธ(พะทะ) ครับ

    เรื่อง กรรมเก่า หรือ บุญเก่า เป็นเพียงตัวช่วยหรือสิ่งที่เรากระทำมาแต่อดีต อย่าไปสนใจครับ ทำปัจจุบันต่อไปครับ ปัจจุบันสำคัญที่สุด เมื่อเราได้เข้ามาอยู่ในเส้นทางของพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ถือว่าได้บุญได้กุศล ดีแล้วครับ ทำต่อไปครับ แล้วมันก็จะดีขึ้นเองครับไม่มีอะไรเกินความ มานะ และ พยายาม ของ เราได้ครับ ขอให้ โชคดีครับ
    อนุโมทนาสาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กุมภาพันธ์ 2009
  7. Nyan Vitee

    Nyan Vitee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +68
    อาจารย์ของกระผมไม่ได้ให้ตั้งจิตที่พระโสดาปัตติมรรคญาณ
    อาจารย์ผมให้ตั้งความปรารถนาไว้ที่พระอรหันต์
    ในระยะเวลาแห่งการภาวนาไปพร้อม ๆ กัน กระผมเองรุดหน้าเร็วกว่าใครในกลุ่ม
    ไปไวเกินคาดคิด ไม่ผิดจริง ๆ ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ไม่เกิน 7 วัน 7 เดือน 7 ปี
    อธิษฐานบารมีเป็นอภินิหารจริง ๆ ครับ เป็น Super Concept

    ตั้งความปรารถนาให้สูงที่สุดเถิดครับ บางท่านตั้งที่พระอนาคามี แนะนำให้ตั้งที่พระอรหันต์นะครับ
     
  8. parnparn

    parnparn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +199
    ขอบคุณคุณนิวรณ์ครับ
     
  9. อ_เอกวัฒน์

    อ_เอกวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    279
    ค่าพลัง:
    +270
    ขอรบกวนถามอีกอย่างหนึ่ง การบริกรรมพุธโธนั้น
    ผมกำหนดตามลงดูลมหายใจน้นกำหนดไม่ได้เลยเพราะเหมือนผมไปบังคับลมถ้าจิตผมกำหนดลมหายใจพุธ โธ จิตของผมจะไปจับคล้ายๆๆบังคับลมหายใจน่ะครับ แต่ถ้ากำหนดพุธโธโดยไม่กำหนดลมหายใจหรือนึก เมตตาก็จะสบายๆๆแต่ใจจะรู้ตัวแต่ไม่เกิดอะไรเลยกระผมทำมาเกือบเดือน ผลไม่ได้อะไร ยังรวมลงสู่สมาธิไม่ได้เนื่องจากผมทำผมรู้ว่าจิตใจไม่สงบน่ะครับ จะมีวิธีแก้ไขอย่างไรครับ
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ดีครับ เริ่มกล่าวทางปฏิบัติแล้ว แบบนี้เรียกว่า ปรับวิธีคิด วิธีถาม วิธีพูด เรียก
    อีกอย่างว่า ทำความเห็นให้ตรง เรียกตามบาลีว่า ทิฏฐิชุกรรม ตรงการทำ
    ทิฏฏิชุกรรม มีหลายสำนักเอาไปพูดเสียใหม่ ให้เป็นมรรค8 เรียกสัมมาทิฏฐิ
    เลยทำให้ มรรค8 กลายความหมายไป ทำให้เราปฏิบัติเพื่อหวังผลโดยไม่รู้ตัว
    แทนที่จะอยู่ที่ การหาทางปฏิบัติ เพียรปฏิบัติ

    คราวนี้ ผมก็จะ ชื่นชมผลการปฏิบัติของคุณได้แล้ว

    ลองตรองดูดีๆ ครับ คุณนั้น ไม่ใช่ปฏิบัติไม่ได้ แต่ปฏิบัติได้เป็นจำนวนมาก
    และส่วนที่ปฏิบัติได้ เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน

    อะไรที่ทำให้เห็นเช่นนั้น เพราะ การตามรู้ ตามดูสภาวะธรรมที่ปรากฏ จะเห็น
    ว่าคุณจำแนกอาการได้เป็นจำนวนมาก เรียกว่า มีนามรูปปริเฉทญาณ ซึ่งก็คือ
    การเริ่มเดินวิปัสสนา ญาณที่1 อยู่นั่นเอง เพียงแต่คุณมีปัญญาอินทรีย์ชนิดนี้
    มากแล้ว ทำให้ สมถะกรรมฐาน ที่ทำนั้น ทำแล้วจะเห็นไปทางวิปัสสนาอัตโนมัติ

    เช่น การตามดูลมหายใจ เพราะการสอนวิปัสสนากรรมฐานดูกองลมในช่วงหลังๆ
    อรรถาจารย์มีอุบายธรรมของตนมาก แล้วเติมแต่งเข้าไปเพิ่มจากเดิม เพิ่มจากพระสูตร
    ทำให้ การตามดูลมหายใจ กลายเป็น การกำหนดลมหายใจ และเพราะคุณมีวิปัสสนา
    ญาณแล้ว ทำให้ พอกำหนดลมหายใจก็เห็นจิตทันที จิตแข็งๆ แน่นๆ นั่นคือวิปัสสนา
    ญาณกำลังทำหน้าที่บอกคุณอยู่ว่า การทำกรรมฐานตอนนี้เจือโลภะเจตนา เกิดความ
    หนักแน่นๆเป็นภพ ส่วนที่ปรากฏว่าหนักแน่นจะปรากฏที่ขันธ์ แสดงได้ทั้งที่กายขันธ์
    และ นามขันธ์ หนักได้ทั้งกาย และ หนักได้ทั้งใจ

    ตรงที่เรารู้ว่าหนัก ตรงนั้นจะพอดีแล้ว หากเราพยายามจะแก้ จะยิ่งเติมโลภะเจตนา
    จะยิ่งหนัก ยิ่งแน่น แต่ถ้าหมดความจงใจปฏฺบัติ จิตคุณจะเบาทันที แต่กายอาจจะ
    แน่นอยู่ อกอาจจะแน่นอยู่ เพราะตอนที่จงใจปฏิบัติ จะเกิดกรรมแล้ว ฉะนั้นจะต้อง
    รับกรรมนั้น การแข็งๆ แน่นๆ คือ กรรมที่ต้องรับ เป็นวิบากที่ต้องรับ หากหมดเหตุ
    มันก็จะหายไปเอง นานที่สุดไม่เกิน7วัน ( โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย ต้องรับกรรม
    ต่อเนื่องหนักทีเดียว )

    ก็จะเห็นว่า อยู่ที่รู้สึก ระลึกรู้ อะไรที่แข็งๆ แน่นๆ เรียกว่า เห็นจิต(แต่ยังไม่แจ่มแจ้ง)
    ก็ให้ระลึกรู้ไปอย่างนั้น ความพอดีอยู่ที่รู้ หากมันไม่พอดี คุณจะเห็นว่ามันออกมา
    ปรุงแต่งทั้งด้านดี และไม่ดี เราก็ปล่อยมันไปตามนั้น มันจะทำ มันจะเจตนา มัน
    จะถลำลงไป มันจะหมดกำลังลงภวังค์ ก็ตามรู้ ตามดู ลูกเดียว หากกล้าพอจิตจะ
    วิ่งไปทำฌาณแว๊บหนึ่ง แต่กรณีที่จิตเข้าฌาณเอง จะเกิดแสงสว่างเพียงขณะจิต
    เดียว จะเหมือนคนจะหลับ แล้วเกิดแสงสว่าง พอเกิดแสงสว่างคุณจะสังเกตเห็น
    ว่าจะถอยออกมาตามรู้ ตามดูได้ต่อ แต่มักจะพอ มักจะหยุด สำหรับคนที่อินทรีย์
    ยังไม่มั่น สัจจบารมียังไม่แน่น ก็จะหยุด และอาจจะนอนพัก ก็ปล่อยๆไปตามนั้น
    หากสมควรที่จะพักก็พัก เว้นแต่คุณจะบวช เราก็จะปฏิบัติบูชา แลกกายถวายชีวิต
    กันไป
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อันนี้ผม ตัดเฉพาะหลักการ วิปัสสนา มาให้ฟัง

    แสดงธรรมโดยหลวงพ่อปราโมทย์ ศิษย์สายพระป่า หลวงปู่ดูลย์ หลวงพ่อพุธ
    หลวงตามหาบัว หลวงปู่เทสก์ ฯ


    [music]http://203.130.131.118/sound/tuankortok.mp3[/music]
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    มาถึงคำว่า จิตรวม

    จิตรวมนั้น มีสองแบบ

    แบบแรก จิตรวมจนเด่นดวงขึ้นมา หากมีสมาธิอินทรีย์ดีก็เอา จิตนั้นไปเล่น ทำอภิญญา โลกียะอภิญญาต่างๆ

    แบบที่สอง จิตรวมลงที่ฐานของการรู้ จะมีหน้าทีรวมลงไปเพื่อตั้งมั่นรู้สภาวะธรรม ตรง
    นี้ก็จะเข้าได้สองทาง คือ ทางสมถะคือไปที่อุปจารสมาธิแล้วถอยจิตออกมา เมื่อถอยออก
    มาแล้ว จิตที่รวมอยู่ตรงนี้จะทำหน้าที่ตั้งมั่นรู้สภาวะ ส่วนทางเข้าอีกทางก็จะฝ่านิวรณ์ธรรม
    ตามรู้ตามูนิวรณ์ธรรม(สติปัฏฐานบรรพที่4 ซึ่งก็แปลว่าทำฐาน 1 2 3 ได้ชำนาญพอ
    สมควรแก่ธรรม จึงดูธรรมได้) ก็จะเกิดการตั้งมั่นในการรู้เหมือนกัน

    จิตรวมในแบบที่สองนี้ คือ จิตรวมที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ ราตรีหนึ่งเจริญ เพราะเป็น
    ฐานของการรู้ การรู้ก็คือการตื่น หรือ พุทธะ พุทโธ หากสังเกตดีๆ จิตที่รวมอยู่ตรงนี้
    หากจิตมันจะเคลื่อนเข้าไปทำสมถะกรรมฐานรูปฌาณจะเกิดนิมิต หากรู้ทัน นิมิตก็ดับ ก็ถอดรูป
    หากจิตมันจะเคลื่อนเข้าไปในอรูปฌาณนิ่งๆว่างๆคล้ายๆสุญญตา หากรู้ทัน ก็ถอดนาม

    หากไม่เคลื่อนเข้าไปสภาวะรูปฌาณ และ อรูปฌาณ ก็จะถลำออกมาด้วยนิวรณ์ธรรมเป็นเหตุ

    และอาจจะเลยถึงไปการตรึก นึกคิด มีกิเลสแทรกเพิ่มเติมเข้าไปอีก

    จะเห็นว่า ความพอดีนั้นอยู่ที่รู้ อยู่ที่ฐานสติ จึงเรียก สติปัฏฐาน

    กรรมฐานที่ทำ ณ จุดนี้จะให้อานิสงค์ระดับบนสุดของการทำบุญทั้งปวง
     
  13. อ_เอกวัฒน์

    อ_เอกวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    279
    ค่าพลัง:
    +270
    กราบเรียนคุณนิวรณ์และผู้สนใจธรรม
    ที่ท่านตอบมากระผมยังงงอยู่น่ะครับว่าจะเข้าวิปัสนาได้อย่างไรเพราะทุกวันนี้ผมนั่งพื้นฐานสมถะจิตยังไม่สงบอยู่เลย เนื่องจากพืนฐานความสงบของสมถะยังไม่เกิดเช่น ปิติสุขอะไรแบบนี้ ความสว่างในจิตก็ไม่มีมีแต่ความมืด และรู้ตัวว่าท่องภาวนาพุธโธแต่ไม่ได้กำหนดตามลมหายใจเพราะถ้ากำหนดเมื่อไรจิตจะไปบังคับทำให้อึดอัดน่ะครับ ทุกวันนี้ทำให้อึดอัดอยู่บริเวณคอขณะกลืนน้ำลายลงสู่คอหลังจากภาวนาไม่สบายตัวเลย แต่ผลยังทำภาวนาพุธโธไปเรื่อยๆๆอยู่ อย่างไรช่วยบอกวิธีแก้ไข ผมไม่ทราบว่าจริตของผมเป็นอย่างไรดูภาพอสุภะก็เท่านั้นแค่เบื่อๆๆเฉย ท่องนะมะภะทะก็ตามรู้ไม่สงบแบบสัมมาอรหังเช่นกัน(สำหรับผมทำ) ตอนนี้ใช้วิธีพุธโธอยู่ กะเอาจริงเอาจังเดี่ยวนี้เริ่มทำทุกเวลาที่ว่างน่ะครับ
    ผมไม่รู้ว่าจะพูอแบบไหนเพราะทำมาบางครั้งก็ท้อน่ะครับ เพราะตอนเด็กๆๆเกิดมาก็มีทุกเกือบตายแล้วตอนเกิดมา พอมาเจอวิธีพ้นทุกก็ทำไปได้น่ะครับ
    ตอนนี้ก็พยายามท่องพุธโธไว้ในใจไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตามรู้อารมต่างๆๆที่เข้ามาดูใจตัวเองพอเจออะไรก็ดูไม่สนใจเอาแต่พุธโธมาเบี่ยงเบน เจอสาวสวยก็มองเป็นอสุภะไปไม่ต่างอะไรกับเราแต่เสียอยู่เวลานั่งสมาธิแล้วทำไหมใจไม่เคยสงบเลยสิครับ ผมทำผิดตรงไหนหรือเปล่าโปรดช่วยแนะนำทางสว่างด้วยน่ะครับ
     
  14. Nyan Vitee

    Nyan Vitee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +68
    ใบหน้าคุณสบายทั้งวันหรือเปล่าล่ะ
    จิตสบายเป็นอย่้างไรรู้ไหม
     
  15. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,651
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,019
    ผมไม่รู้นะเเต่ผมสงบ สมัยก่อนตอนรุ่นๆสงบกว่านี้อีก เเต่ทําไปเเล้วเลิกไปซักสี่ห้าปีได้ พอมานั่งอีกที โหย ไม่สงบง่ายเหมือนก่อนเเล้ว เเต่ตอนนี้ก็ทํามาเรือยๆ เริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางเเล้ว สําคัญเวลาทํา ถ้าจิตมันคิดอะไรอย่าไปตามมันครับ จับที่พุทโธพอ เดี๋ยวทุกอย่างจะเข้ารูปเข้ารอยเอง คือเราต้องชนะใจตัวเองนะ ถ้าคิดเเล้วไปทุกข์ร้อน ไปคิดเเบบ เห้ย ทําไมไม่สงบซะที อย่างนี้ไม่ดีเเน่ครับ ปล่อยเลยตามเลยเเต่ทําให้ได้ทุกวัน เดี๋ยวจะสงบเอง ขอให้โชคดีนะครับ เป็นกําลังใจให้ทุกคนครับ
     
  16. นุภาวัฒน์

    นุภาวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    774
    ค่าพลัง:
    +270
    ตอนหลังๆผมจะเหมือนเจ้าของกระทู้ คำถามเหมือนกับที่ผมปฏิบัติอยู่ เวลาหายใจพอจิตใกล้สงบ รู้สึกเหมือนเดินลมหายใจผิด หายใจเข้า เหมือนกับหายใจลำบาก หายใจออกเหมือนกับหายใจลำบาก มันรีดลง อื้อๆยังงัยก็ไม่รู้
     
  17. เมตตาวิหารี

    เมตตาวิหารี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    671
    ค่าพลัง:
    +437
    เรียนท่านเจ้าของกระทู้

    " เนื่องด้วยกระผมรักษาศีลและเจริญสมาธิ "

    อันนี้ดีครับ ทำต่อไปขออนุโมทนาด้วยครับ

    " แต่จิตกระผมไม่เคยสงบเลย "
    อย่าท้อครับ เพียรต่อไป

    " แต่จิตกระผมไม่เคยสงบเลย นั่งแล้วรู้ตัวตลอดจะคิดก็รู้ไม่สงบก็รู้ "

    อันนี้ดีครับ เพราะมีสติ ระลึกรู้ตัวเสมอ ใส่องค์ภาวนาไปหน่อยนะครับ จะได้เป็นหลักให้จิตจับไว้ เช่น พุทโธ หรือ คิดหนอ เมื่อรุ้ว่าคิด ฟุ้งซ่านหนอ เมื่อรู้ว่าตัวเองฟุ้นซ่าน หิวหนอ อยากรับประทานหนอ หรือ ถ้าจับอะไรไม่ได้ คือกำหนดไม่ทันจิง ๆ ก้อภาวนาให้มีสติระลึกรู้ เช่น รู้หนอ เป็นต้นครับ

    "แถบยังมีอาการวูบลงคล้ายๆภวังในตัวตอสมัยเด็กๆๆที่สร้างไว้ยาเป็นเพื่อนเล่นเกิดขึ้นมาบ่อยๆๆถ้าจิตหดหู่หรือเหมอลอยน่ะครับ "

    อันนี้ มันใกล้ จะหลับน่ะครับ

    "กระผมสนใจธรรมสมัยเด็กๆ ตอนเดินเล่นแถวทะเลที่ได้ยิน พุธธังสรนัง ฯ
    ก็เริ่มหาหนังสือมาทำเองเรื่อยๆๆอ่านเว็บธรรมะ "

    ถือว่ามีบุญเก่ามาครับ ดีแล้ว ครับ โมทนาด้วยครับ

    " ลองหาวิธีแก้ไขไปจิตก็ไม่สงบบางครั้งอาจจะสงบก็ไม่เกิดปิติอะไรเลยแม้ขั้นแรกก็เคยเกิดเลยในขั้นของปิติ น้ำตาไหล ฯก็ไม่มี "

    ถ้าอินทรีย์ ไม่สม่ำเสมอกัน ส่วนในเรื่องของ ปิติ อะไรต่าง ๆ อย่าไปยึดติดครับ ไม่ต้องไปใส่ใจ ตั้งใจกำหนดรู้ตัวเองก้อพอ

    " อาจเป็นกรรมเก่าหรือไม่ที่มาค่อยก้นมิให้เกิดสภาวธรรมน่ะครับ "

    ถ้าคิดว่าเป็นอย่างที่ว่า ก้อกล่าวคำขอขมา และขออโหสิกรรม สิครับ ให้กับเจ้ากรรมนายเวร เจ้าบุญนายคุณ ที่เราได้ประมาท ล่วงเกิน แล้วแผ่บุญให้เค้า นะครับ

    " ทุกวันนี้ก็พยายามสวดมนรักษาศีลนั่งสมาธิทำทุกวันเพื่อให้พ้นทุกข์ "

    เหมือนกันเลยครับ ทำต่อไปครับ

    " ซึ่งกระผมตั้งจิตขอให้ถึงโสดาปฎิผลในชาตินี้ของตายน่ะครับจะได้เกิดมาเป็นคนท้งทีน่ะครับไม่เสียชาติเกิดน่ะครับ "

    ท่านคิดและตั้งใจแค่นี้ ท่านก้อมีชัยไปกว่าครึ่งแล้วครับ ขอให้ตั้งใจทำจิง ๆ ครับ ไม่ไกลเกินเอื้อม ดีไม่ดี จะร้อนถึงเทวดาที่ อารักษ์ขา ท่านนะครับ หมั่นแผ่ให้ท่านบ่อย ๆ เทพเทวา บางท่านมีบุญญาฤทธิ์มาก ก้อสามารถรุ้ และบอกท่านได้เช่นกันครับ ว่าท่านจะประสบความสำเร็จมั้ย แต่ก้อไม่ใช่ ปัญหาครับ เพราะทุกอย่างอยู่ที่ ความเพียรของท่านเอง


    ขออนุโมทนา สาธุการในความตั้งใจครับ

    กระผมยังเป็นผู้ฝึกตน เพียงแต่ให้กำลังใจ ผู้แสวงธรรมเช่นกันครับ
     
  18. เมตตาวิหารี

    เมตตาวิหารี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    671
    ค่าพลัง:
    +437
    เรียนท่านเจ้าของกระทู้

    " เนื่องด้วยกระผมรักษาศีลและเจริญสมาธิ "

    อันนี้ดีครับ ทำต่อไปขออนุโมทนาด้วยครับ

    " แต่จิตกระผมไม่เคยสงบเลย "
    อย่าท้อครับ เพียรต่อไป

    " แต่จิตกระผมไม่เคยสงบเลย นั่งแล้วรู้ตัวตลอดจะคิดก็รู้ไม่สงบก็รู้ "

    อันนี้ดีครับ เพราะมีสติ ระลึกรู้ตัวเสมอ ใส่องค์ภาวนาไปหน่อยนะครับ จะได้เป็นหลักให้จิตจับไว้ เช่น พุทโธ หรือ คิดหนอ เมื่อรุ้ว่าคิด ฟุ้งซ่านหนอ เมื่อรู้ว่าตัวเองฟุ้นซ่าน หิวหนอ อยากรับประทานหนอ หรือ ถ้าจับอะไรไม่ได้ คือกำหนดไม่ทันจิง ๆ ก้อภาวนาให้มีสติระลึกรู้ เช่น รู้หนอ เป็นต้นครับ

    "แถบยังมีอาการวูบลงคล้ายๆภวังในตัวตอสมัยเด็กๆๆที่สร้างไว้ยาเป็นเพื่อนเล่นเกิดขึ้นมาบ่อยๆๆถ้าจิตหดหู่หรือเหมอลอยน่ะครับ "

    อันนี้ มันใกล้ จะหลับน่ะครับ

    "กระผมสนใจธรรมสมัยเด็กๆ ตอนเดินเล่นแถวทะเลที่ได้ยิน พุธธังสรนัง ฯ
    ก็เริ่มหาหนังสือมาทำเองเรื่อยๆๆอ่านเว็บธรรมะ "

    ถือว่ามีบุญเก่ามาครับ ดีแล้ว ครับ โมทนาด้วยครับ

    " ลองหาวิธีแก้ไขไปจิตก็ไม่สงบบางครั้งอาจจะสงบก็ไม่เกิดปิติอะไรเลยแม้ขั้นแรกก็เคยเกิดเลยในขั้นของปิติ น้ำตาไหล ฯก็ไม่มี "

    ถ้าอินทรีย์ ไม่สม่ำเสมอกัน ส่วนในเรื่องของ ปิติ อะไรต่าง ๆ อย่าไปยึดติดครับ ไม่ต้องไปใส่ใจ ตั้งใจกำหนดรู้ตัวเองก้อพอ

    " อาจเป็นกรรมเก่าหรือไม่ที่มาค่อยก้นมิให้เกิดสภาวธรรมน่ะครับ "

    ถ้าคิดว่าเป็นอย่างที่ว่า ก้อกล่าวคำขอขมา และขออโหสิกรรม สิครับ ให้กับเจ้ากรรมนายเวร เจ้าบุญนายคุณ ที่เราได้ประมาท ล่วงเกิน แล้วแผ่บุญให้เค้า นะครับ

    " ทุกวันนี้ก็พยายามสวดมนรักษาศีลนั่งสมาธิทำทุกวันเพื่อให้พ้นทุกข์ "

    เหมือนกันเลยครับ ทำต่อไปครับ

    " ซึ่งกระผมตั้งจิตขอให้ถึงโสดาปฎิผลในชาตินี้ของตายน่ะครับจะได้เกิดมาเป็นคนท้งทีน่ะครับไม่เสียชาติเกิดน่ะครับ "

    ท่านคิดและตั้งใจแค่นี้ ท่านก้อมีชัยไปกว่าครึ่งแล้วครับ ขอให้ตั้งใจทำจิง ๆ ครับ ไม่ไกลเกินเอื้อม ดีไม่ดี จะร้อนถึงเทวดาที่ อารักษ์ขา ท่านนะครับ หมั่นแผ่ให้ท่านบ่อย ๆ เทพเทวา บางท่านมีบุญญาฤทธิ์มาก ก้อสามารถรุ้ และบอกท่านได้เช่นกันครับ ว่าท่านจะประสบความสำเร็จมั้ย แต่ก้อไม่ใช่ ปัญหาครับ เพราะทุกอย่างอยู่ที่ ความเพียรของท่านเอง


    ขออนุโมทนา สาธุการในความตั้งใจครับ

    กระผมยังเป็นผู้ฝึกตน เพียงแต่ให้กำลังใจ ผู้แสวงธรรมเช่นกันครับ
     
  19. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    เหมือนหายใจไม่ออก หรือป่าวครับ ลมหา่ยใจสั้นลง เบาลง ใช่ไหม
     
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เสริม คุณ darkcentre นะครับ

    วิปัสสนา คือ การตามรู้ ตามดู สภาวะจิตในปัจจุบัน ดังนั้น การทำวิปัสสนา ทำได้ทั้งวัน
    ครับ

    กรณีของ จขกท คุณปฏิบัติธรรม อะไรก็แล้วแต่เพื่อความสงบ ก็เรียกว่า ทำสมถะ
    กรรมฐาน ซึ่งถ้าทำสมถะกรรมฐานได้ หรือ กำลังทำอยู่ มันจะดีกว่าตรงที่ สภาวะ
    จิตจะมีเรื่องให้ตามดู ตามรู้น้อยลง แต่มันละเอียดขึ้น หวือหวาขึ้น

    ถ้าดูไประหว่างชีวิตประจำวัน เรื่องราวของชีวิตจะเยอะเกินไป

    แต่ไม่ว่าอย่างไร การตามระลึกรู้ จะต้องทำให้ได้ในชีวิตประจำวัน

    ถ้าทำแล้ว สงบ หรือ ไม่มีกิเลส หรือ ไม่มีนิวรณ์ เฉพาะตอนทำสมถะ
    ตามรูปแบบ นี่ยังไม่แจ่มพอ

    * * *

    การที่คุณ จขกท ปฏิบัติได้ผลอย่างไร ดีหรือร้ายอย่างไร ก็สำรวจจิตตน เห็นความท้อ
    เห็นปิติ เห็นอะไร หรือ รู้ว่าไม่เห็นอะไร อันนี้คือ การตามรู้ทั้งหมด แต่คุณยังจมกับมัน
    หรือมันเกิดช้าไปหน่อย ไม่ลงเป็นปัจจุบันเท่านั้นเอง แต่จะไปทำให้ลงเป็นปัจจบันก็
    ไม่ได้นะ เพราะ วิปัสสนาคือ การตามรู้ ไม่ใช่การทำ จึงไปทำเพื่อให้รู้ตามที่ต้องการรู้
    อันนี้ไม่ได้

    แต่ถ้าเราทำเหตุไปเรื่อยๆ แล้วมมตามรู้ โดยปราศจากเจตนา การจงใจ การตรึก ก็จะ
    เห็นสิ่งที่เรียกว่า ตามรู้ ได้ถูกต้อง พอดี

    * * * *

    อ้อ อีกอย่างนะครับ วิปัสสนา ไม่มีแก้ มีแต่ตามรู้สิ่งที่เกิด รับสนองสิ่งที่เป็น

    ส่วน การแก้กรรมฐานจะเป็นเรื่องของสมถะกรรมฐาน ซึ่งแก้โดยอาจารย์ผู้สอน
    แต่ถ้าไม่มีอาจารย์ผู้สอน ก็ต้องทำวิปัสสนา รับสนอง ตามรู้ไปตามที่เป็นไปก่อนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2009

แชร์หน้านี้

Loading...