ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ขอโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านครับที่ช่วยกันทำบุญสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ

    สาธุ สาธุ สาธุ

    Narongwate..
     
  2. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    [​IMG]

    "ตายแล้วไม่สูญ" และ "ตายแล้วไปไหน" นี้ไม่น่าจะเป็น
    ที่ข้องใจของท่านเลย เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วอย่างละเอียด
    ว่า เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้วทางที่ไปก็มี ๕ สาย คือ
    ๑)อบายภูมิ ได้แก่ เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย และเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    ๒)เกิดเป็นมนุษย์
    ๓)เกิดเป็นเทวดา หรือนางฟ้าอยู่บนสวรรค์
    ๔)เกิดเป็นพรหม
    ๕)ไปพระนิพพาน
    ท่านที่ตายแล้วจะไปเกิดที่ใด พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกเหตุ
    ที่จะไปเกิดไว้ครบถ้วนตามกฎของกรรม คือ การกระทำ ได้แก่
    ความประพฤติดีหรือชั่ว ในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์นี้เอง กฎของกรรมหรือความประพฤติดีหรือชั่วที่จะพาไปเกิดในที่ใดที่หนึ่งตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ๕ ทางนั้น ท่านว่าไว้อย่างนี้<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    แดนเกิดสายที่หนึ่งที่เรียกว่า อบายภูมิ<O:p></O:p>
    แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ มีนรกเป็นต้นนั้น
    เป็นผลจากความประพฤติชั่ว คือก่อกรรมทำเข็ญในสิ่งที่สร้าง
    ความเดือดร้อนให้แก่คนและสัตว์ ท่านจัดกฎใหญ่ไว้ ๕ ประการ
    ๑)เป็นคนที่ใจโหดร้าย ชอบข่มเหงรังแก เบียดเบียน
    คนและสัตว์ให้ได้รับความเดือดร้อน โดยเข้าใจผิดคิดว่า เป็นความดีหมายถึง ละเมิดศีลข้อที่ ๑
    ๒)มือไว ชอบลักขโมยของที่เจ้าของยังไม่อนุญาติ หรือ
    ฉ้อโกงเอาทรัพย์สินของคนอื่นด้วยเล่ห์กลโกง หมายถึง ละเมิด
    ศีลข้อที่ ๒
    ๓)ใจเร็ว ได้แก่ มีจิตใจไม่เคารพในเคารพในความรักของคนอื่นชอบลอบทำชู้ บุตร ภรรยา และธิดา สามีของคนอื่น ด้วยความมัวเมาในกามคุณ หมายถึง ละเมิดศีลข้อ ๓
    ๔)พูดปด ได้แก่ พูดไม่ตรงต่อความเป็นจริง เพื่อหวัง
    ทำลายประโยชน์ของผู้อื่นโดยเจตนา หมายถึง ละเมิดศีลข้อที่ ๔
    ๕)ชอบทำตนเป็นคนหมดสติ ด้วยการย้อมใจให้หมด
    ความรู้สึกในการรับผิดชอบด้วยน้ำเมา หมายถึง การละเมิดศีลข้อที่ ๕<O:p></O:p>
    กรรม คือ ความประพฤติในกฎ ๕ ประการนี้ ท่านว่า ตาย
    จากความเป็นคนแล้วไปสู่อบายภูมิ มีตกนรก เป็นต้น<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์<O:p></O:p>
    แดนเกิดสายที่สอง คือ เกิดเป็นมนุษย์ ท่านว่าคนที่ตาย
    แล้วจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ต้องมีกรรมบถ ๑๐ หรือที่รู้กันง่ายๆ
    ก็คือ เป็นคนมีศีล ๕ ประจำ ได้แก่
    ๑)เป็นคนมีเมตตาปรานี ไม่รังแกข่มเหงทำร้ายใคร
    ไม่ว่าคนหรือสัตว์ มีความรัก เมตตาปรานีคนและสัตว์
    เสมอด้วย รักคนเอง
    ๒)ไม่มือไว คือ เคารพสิทธิ์ในทรัพย์สินของบุคคลอื่น
    ไม่ยอมถือเอาทรัพย์สินของใครมาเป็นของตน ในเมื่อเจ้าของไม่
    อนุญาตด้วยความเต็มใจ
    ๓)ไม่ใจเร็ว ละเมิดความรักในบุตร ธิดา ภรรยา สามี ของ
    บุคคลอื่น
    ๔)ไม่เป็นคนไร้สัจจะ พูดแต่เรื่องที่เป็นสาระตรงต่อความ
    เป็นจริง
    ๕)ทำตนให้คนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คือ เป็น
    คนมีอารมณ์รับรู้ความดี ความชั่วตามกฎของกรรม ไม่ปล่อยใจ
    ให้เลื่อนลอยด้วยน้ำเมาต่างๆ

    ท่านที่ทรงความดี ๕ อย่างนี้ ท่านว่าตายจากความเป็น
    คนแล้ว มีสิทธิ์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ได้<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>แดนเกิดที่สาม ได้แก่ สวรรค์<O:p></O:p>
    แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่ สวรรค์ อาการที่ทำให้คนเกิด
    เป็นเทวดา หรือนางฟ้าบนสวรรค์ ท่านบรรยายไว้มาก แต่เมื่อ
    สรุปกล่าวโดยย่อมี ๒ อย่าง คือ

    ๑)เป็นคนมีความละอายต่อความชั่ว ไม่ยอมทำชั่วในทุกสถานที่
    ๒)เกรงผลของชั่ว จะทำให้เกิดความ้ดือดร้อน<O:p></O:p>
    เหตุ ๒ ประการนี้ เป็นผลทำให้ตายจากความเป็นคนไป
    เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้า<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่ พรหมโลก<O:p></O:p>
    แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่ พรหมโลก พรหมกับเทวดามีดินแดนที่เกิดเป็นคนละแดนกัน พรหมท่านว่าศักดิ์ศรีดีกว่าเทวดา
    และมีชั้นภูมิสูงกว่า มีอำนาจมากกว่า มีความสุขดีกว่า ความสวยสดงดงามดีกว่าเทวดา แต่พรหมไม่มีเพศ คือไม่มีเพศหญิงหรือ
    เพศชาย ทั้งนี้เพราะพรหมไม่มีการครองคู่ ท่านว่ามีความสุขสงบ
    สงัด ท่านที่จะเป็นพรหมได้ ท่านว่าต้องเป็นนักกรรมฐาน และ
    มีอารมณ์จิตสุดท้ายก่อนตาย อารมณ์จิตเป็นฌานที่เรียกว่า เข้าฌานตาย<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่ พระนิพพาน<O:p></O:p>
    แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่ พระนิพพาน แดนนี้เป็นเขตที่รู้
    เรื่องกันยากมาก เพราะนักปราชญ์สมัยนี้ถือว่า "นิพพานสูญ"
    กันเป็นประเพณีไปแล้ว ขอบอกไว้ย่อๆ ว่า คนที่จะถึงพระนิพพาน
    ได้นั้น ต้องมีความบริสุทธิ์ ๑๐ อย่าง คือ
    ๑)ไม่เมาในตนเองหรือวัตถุต่างๆ ที่คิดว่าเป็นสมบัติของคน รู้เสมอว่าจะต้องตายและพลัดพรากจากของรักของชอบแน่นอนไม่มีอะไรที่จะมาห้ามความตายและความพลัดพลากได้ทำจิตใจเป็นปกติเมื่อความตายมาถึงหรือเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก
    ๒)ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนตาม
    ความเป็นจริง ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่าสิ่งที่มีชีวิตต้องทำลายตนเอง
    ลงไปในเมื่อกาลเวลามาถึง ไม่มีอะไรทรงสภาพเป็นปกติอยู่ได้ ใครทำความดี ความดีก็คุ้มครองให้มีความสุขใจ ใครทำความชั่ว ความชั่วจะบันดาลความเดือดร้อนให้ แม่ผู้อื่นยังไม่ลงโทษ ตนเองก็มีความหวาดสะดุ้งเป็นปกติ
    ๓)รักษาศีลมั่นคง ดำรงจิตอยู่ในศีลเป็นปกติ
    ๔)ทำลายความใคร่ในกามารมณ์ให้สิ้นไปจากใจ ด้วย
    อำนาจความรู้ถึงความจริง รู้ว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์
    ภัยอันตรายที่มีขึ้นแก่ตน เพราะอาศัยความรักเป็นเหตุ
    ๕)มีจิตใจเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี ไม่โกรธ ไม่จอง
    ล้างจองผลาญ คิดทำอันตรายใคร ไม่ว่าใครจะแสดงอาการอย่างไรจิตก็ไม่คลายจากความเมตตา
    ๖)ไม่มัวเมาในรูปฌาน โดยคิดว่าการที่ตนทรงรูปฌาน
    ได้นี้ เป็นผู้ถึงที่สุดของความดี เมาฌานจนไม่สนใจความดีที่ตนยังไม่ได้
    ๗)ไม่มัวเมาในอรูปฌาน โดยคิดว่าความดีเพียงเท่านี้ ยังไม่เป็นทางสิ้นทุกข์
    ๘)มีอารมณ์เป้นปกติ ไม่คิดถึงเรื่องอารมณ์เหลวไหล มี
    จิตใจเต็มไปด้วยความหวังดี ไม่ว่าต่อคนหรือสัตว์ ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่
    ๙)ไม่ถือตน ทะนงตน ว่าดีเลิศประเสริฐกว่าใคร มี
    อารมณ์ใจเป็นปกติ เห็นคน สัตว์ ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของ
    ธรรมดาที่จะต้องตาย จะต้องสลายไป และมีอารมณ์ไม่หวั่นไหว
    เมื่อเข้าสังคมสมาคมใดๆ มีอาการเป็นเสมือนว่าสังคมนั้น
    สมาคมนั้นๆ เป็นกลุ่มของคนที่ต้องตาย ไม่ทำตัวใหญ่หรือเล็ก
    จนน่าเกลียด ทำตนพอเหมาะพอสมควรแก่สมาคมนั้นๆเรื่องของ
    เขา เขาจะดีจะชั่วก็ตัวของเขา เราช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็เฉยไว้
    ไม่สนใจที่จะไปเบ่งบารมีทับใคร
    ๑๐)ตัดความรัก ความพอใจในโลกีย์วิสัยให้หมด
    งดอารมณ์อยากดีอยากเด่น ทำอารมณ์เป็นพระพุทธในพระ
    อุโบสถ พระพุทธท่านยิ้มเสมอ ท่านที่จะถึงพระนิพพานต้องยิ้ม
    ได้อย่างพระพุทธ ใครจะดีจะชั่วก็ยิ้ม เพราะเห็นเป็นของธรรมดา
    มันหนีไม่ได้ไล่ไม่พ้น<O:p></O:p>
    เมื่อยังมีตัวตนเป็นคนมันก็ต้องพบอาการอย่างนี้ อยู่
    ก็สบายใจ ความตายจะมาถึงก็ไม่สะดุ้งหวาดกลัวเพราะรู้ตัวอยู่
    เสมอว่าจะต้องตาย มีอารมณ์ในปกติ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ผูกพัน
    ทรัพย์สินหรือสัตว์ หรือบุคคลอื่น เท่านี้ก็ไปพระนิพพานได้

    ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ ที่ไม่ทำความชั่วเลยน่ะไม่มี ดังนั้นถ้าเราจะชดใช้บาปก็คงชดใช้กันไม่ไหว มีทางเดียวในกิจของ
    พระพุทธศาสนา คือ หนีบาป ด้วยการปฏิบัติดังนี้
    ๑)การคิดถึงคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณและพระอริยสงฆ์คุณ
    ๒)ทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
    ๓)มีพรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วน
    ๔)มีอิทธิบาท ๔ ทรงตัว
    ๕)มีการภาวนาจิตให้ทรงตัว
    ๖)พยายามรวบรวมบารมี ๑๐ ประการ ให้มีในจิตให้ครบถ้วน
    ๗)พยายามตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการให้หมด
    ๘)จรณะ ๑๕ ปฏิบัติให้ครบถ้วน<O:p></O:p>

    สรุปหัวข้อบารมี ๑๐<O:p></O:p>
    ๑.ทานบารมี พอใจในการให้ทานอยู่เสมอ เป็นการตัดโลภะ ความโลภ
    ๒.ศีลบารมี พยายามรักษาศีลให้ครบถ้วน เป็นการป้องกันอบายภูมิ
    ๓.เนกขัมมะบารมีพยายามระงับนิวรณ์ในเบื้องต้นตัดสังโยชน์ไปเสียเป็นเรื่องสุดท้าย ป้องกันความวุ่นวายของชีวิต
    ๔.ปัญญาบารมี ทรงปัญญาไว้ให้ดี ยอมรับนับถือกฎของความจริงคือการตัดอารมณ์กลุ้ม
    ๕.วิริยะบารมี มีความพากเพียรต่อสู้กับกิเลสและอารมณ์ของความชั่วเป็นการค่อยๆ ทำลายความชั่วให้พินาศไป
    ๖.ขันติบารมี ต้องมีความอดทนใจ เพราะกำลังใจของเราคบกับกิเลสมานาน ถ้าจะห่ำหั่นมันก็ต้องมีการต่อสู้ ต้องอดทน
    ๗.สัจจะบารมี ความตั้งใจจริง เราตั้งใจว่าจะทำอะไรก็ทำอย่างนั้นอย่าท้อถอย ไม่ยอมละ
    ๘.อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ให้ดีว่า มนุษยโลก เทวโลกและพรหมโลกเป็นทุกข์ ตั้งใจไว้เฉพาะว่าจะไปนิพพาน
    ๙.เมตตาบารมี ทำจิตใจของเราให้ดี มีความแช่มชื่นเห็นคนและสัตว์ทั้งโลกเป็นที่รักของเราทั้งหมด เราไม่มีเวร ไม่มีภัยกับใครแล้ว
    ๑๐.อุเบกขาบารมี อดทนต่อความอดกลั้นทั้งหลายต่ออุปสรรคทั้งหมดวางเฉย ไม่ต่อสู้ ไม่รุกราน ไม่หวั่นไหว สร้างกำลังใจไว้โดยเฉพาะในเรื่องร่างกาย ร่างจะเป็นทุกข์ขนาดไหนถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของมัน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    สรุปหัวข้อสังโยชน์ ๑๐ ต้องตัดให้หมด

    ๑.สังกายทิฐิ มีความรู้สึกว่ากายนี้ต้องไม่ตาย และร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา
    ตัด สังกายทิฐิ ให้คิดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีร่างกายนี้ร่างกายนี้ไม่มีในเรา
    ๒.วิจิกิจฉา สงสัยคำสอนของพระพุทธเจ้า พระธรรม
    พระอริยสงฆ์
    ตัด วิจิกิจฉา เชื่อตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
    พระธรรม พระอริยสงฆ์
    ๓.สีลัพพตปรามาส ลูบคลำศีล ไม่รักษาศีลจริงจัง
    ตัด สีลัพพตปรามาส รักษาศีลอย่างจริงจัง
    ๔.กามฉันทะ พอใจในกามคุณ
    ตัด กามฉันทะ ตัดความพอใจในกามคุณ
    ๕.ปฏิฆะ มีอารมณ์กระทบใจ จิตมีความโกรธ
    ตัด ปฏิฆะ ตัดอารมณ์ที่มากระทบใจ จิตมีเมตตาปราณี
    ๖.รูปราคะ หลงในรูปฌาน
    ตัด รูปราคะ ไม่หลงในรูปฌาน
    ๗.อรูปราคะ หลงในอรูปฌาน
    ตัด อรูปราคะ ไม่หลงในอรูปฌาน
    ๘.มานะ มีการถือตัวถือตน
    ตัด มานะ ไม่ถือตัวว่าดีกว่าคนอื่น วิเศษกว่าคนอื่น
    ๙.อุทธัจจะ มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน
    ตัด อุทธัจจะ ตัดอารมณ์ฟุ้งซ่าน
    ๑๐.อวิชชา ไม่รู้ตามความเป็นจริงเรื่องนิพพาน
    ตัด อวิชชา เข้าใจตามความเป็นจริงเรื่องพระนิพพาน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อิทธิบาท ๔<O:p></O:p>
    ๑.ฉันทะ คือความพอใจในกิจที่จะพึงทำ
    ๒.วิริยะ คือ ความเพียรในการต่อต้านอุปสรรค
    ๓.จิตตะ คือ เอาจิตใจจดจ่ออยู่เสมอในกิจที่เราจะพึงทำไม่ละเลยไม่เอาจิตให้ห่างเหิน ไม่เผลอ ให้จดจ่ออยู่แต่สิ่งที่เราจะทำให้ได้
    ๔.วิมังสา คือ ก่อนที่จะทำอะไรทั้งหมด ให้พิจารณาใช้
    ปัญญาใคร่ครวญดูให้ดีเสียก่อนว่าในสิ่งที่เราจะพึงทำนี้ว่าจะมี
    ผลดี ผลเสียอย่างไร เลือกเอาในส่วนเฉพาะที่มีผลดี ไม่เลือกเอา
    ในส่วนที่มีผลชั่ว

    ถ้ามีอิทธิบาท ๔ ครบถ้วนแล้ว จรณะ ๑๕ ก็จะมีครบถ้วนด้วย และสามารถจะควบคุมบารมีทั้ง ๑๐ ประการให้คงตัว
    อาการทั้ง ๓ อย่างนี้จงทรงอารมณ์ให้ครบ อย่าให้ขาด ถ้าอารมณ์ ๓ อย่างบกพร่อง ความสำเร็จที่ต้องการจะไม่เป็นผลเลย ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ให้ทรงตัว<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    พรหมวิหาร ๔<O:p></O:p>
    ๑.มีความรัก รักในคนในสัตว์ เสมอด้วยตัวเรา
    ๒.สงสารเห็นใจคนและสัตว์ มีความสงสาร เสมอด้วยตัวเราเอง
    ๓.มีจิตใจอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร เห็นใครได้ดีพลอยดีใจยินดีด้วย และปฏิบัติดีตามเขา ดูเหตุของความดีว่าทำไมเขาจึงดีเราทำตามนั้นบ้าง มันก็ดี ไม่ใช่แข่งขันกับเขา
    ๔.อุเบกขา การวางเฉย เห็นใครเพลี่ยงพล้ำ จิตพร้อมจะช่วยอยู่เสมอถ้ามีโอกาส

    นี่คือ ลักษณะของพรหมวิหาร มี ๔ อย่างแบบนี้ ได้บอกไว้แล้วคนที่จะให้ทานต้องมี พรหมวิหาร ๔ เมื่อพรหมวิการ ๔มีแล้ว ศีลก็มีได้เมตตาความรักก็มี กรุณาความสงสารก็มี จิตใจ อ่อนโยนก็มี อุเบกขาการเฉยก็มี เฉยเพราะอย่างสัตว์พอที่จะฆ่าได้เราก็ไม่ฆ่า ปล่อยไป จัดเป็นอภัยทาน เห็นของพอที่จะขโมยได้ เราก็ไม่ขโมย อุเบกขาก็เฉย เห็นคนที่น่ารักพอที่จะยื้อแย่งความรักเข้าได้เราก็ไม่ทำ คนพอที่จะโกหกได้เราก็ไม่โกหก เฉยหรือว่า ดื่มสุราเมรัย มันล่ออยู่ข้างหน้า เราก็ไม่ดื่ม เฉยอย่างนี้ก็ได้ หรือมีความรักเสียอย่างหนึ่ง โกรธเขาไม่ได้ ทรมานเขาไม่
    ได้ มีความรักเสียอย่างหนึ่ง คดโกงไม่ได้ ขโมยเขาไม่ได้ มันทำไม่ได้มีความรักเสียอย่างหนึ่ง แย่งความรักเขาไม่ได้ โกหกมดเท็จ ก็ไม่ได้คนรักกันจะโกหกอย่างไร นี้คือลักษณะของคนที่มีพรหมวิหาร ๔ ดีอย่างนี้

    ฉะนั้นการรักษาศีลก็เป็นการรักษาไม่ยาก ถ้ามีพรหมวิหาร ๔ ศีลไม่ยาก อยู่กับตัวแน่นอน หากขาดพรหมวิหาร ๔ ประการนี้แล้ว ก็เป็นว่า ท่านหาความดีอะไรไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าความชั่วมันจะหลั่งไหลเข้ามาสู่ใจ เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์ทั้งปัจจุบันและ สัมปรายภพ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p> <O:p></O:p>
    ทาน<O:p></O:p>
    การบริจาค เป็นการกำจัด โลภะ ความโลภของจิต แล้วคนที่จะให้ทานได้ ก็ต้องประกอบไปด้วยความเมตตากรุณา ตกอยู่ในอำนาจของพรหมวิหาร ๔ ถ้าคนใด จิตจับอยู่ในอำนาจของพรหมวิหาร ๔ วันหนึ่งสักชั่วขณะจิตเดียว พระพุทธเจ้ากล่าวว่า "หน้าบุคคลผู้นั้นเป็นผู้ที่ไม่วางจากฌาน"แล้วคนใดที่มีเมตตาจิตอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า เขาผู้นั้นเป็นผู้มีอภัยทาน มีอานิสงส์มาก ตกนรกไม่เป็น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    "สูงสุดคือวิหารทาน"
    ทำทานกับคนไม่มีศีล ๑๐๐ ครั้ง<O:p></O:p>
    มีอานิสงส์ไม่เท่ากับทำทานกับคนมีศีล ๑ ครั้ง<O:p></O:p>
    ทำทานกับคนมีศีล ๑๐๐ ครั้ง<O:p></O:p>
    มีอานิสงส์ไม่เท่ากับถวายทานแด่พระมีศีล ๑ ครั้ง<O:p></O:p>
    การถวายทานแด่พระมีศีล ๑๐๐ ครั้ง<O:p></O:p>
    มีอานิสงส์ไม่เท่ากับการถวายทานแด่พระอรหันต์ ๑ ครั้ง<O:p></O:p>
    การถวายทานแด่พระอรหันต์ ๑๐๐ ครั้ง<O:p></O:p>
    มีอานิสงส์ไม่เท่ากับการถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑ ครั้ง<O:p></O:p>
    การถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง<O:p></O:p>
    ก็มีอานิสงส์ไม่เท่ากับการถวายทาน แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ ครั้ง<O:p></O:p>
    การถวายทาน แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง<O:p></O:p>
    ก็มีอานิสงส์ไม่เท่ากับการถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง<O:p></O:p>
    มีอานิสงส์มาก<O:p></O:p>
    เป็นอันว่า วัตถุทานจริงๆ ที่มีอานิสงฆ์ คือการถวายสังฆทาน แต่<O:p></O:p>
    วัตถุทานอีกอย่างหนึ่งก็คือ<O:p></O:p>
    ถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับการถวายวิหารทาน ๑<O:p></O:p>
    ครั้ง ก็รวมความว่า วัตถุทานอันดับ ๒ คือสังฆทาน วิหารทาน<O:p></O:p>
    เป็นอันดับ ๑<O:p></O:p>
     
  3. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    พลิกตำราดูพระดี..
    เรียนรู้การนับถือให้ถูก
    กราบไหว้ให้เป็น


    [​IMG]


    ปัจจุบันพุทธศาสนิกชนจำนวนไม่น้อย คงจะรู้สึกตรงกันว่า
     
  4. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285

    สิ่งธรรมดา คือ สิ่งพิเศษ

    [​IMG]


    ท่าน ติช นัท ฮันท์ พูดเรื่องนี้ไว้ดีมากในหนังสือ 'ขอบคุณสรรพสิ่ง'

    'ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ

    แต่ปาฏิหาริย์คือ

    การเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว'

    ชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง 'ธรรมดา'

    เช่น ตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน ขับรถไปทำงาน กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆ ตอนเย็นกลับมาก็เห็นหน้าภรรยาหรือสามีคนเดิมๆ ใส่ชุดธรรมดาๆ...หน้าตาเราหรือก็ธรรมดาๆ... เราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดาๆ มีชีวิตธรรมดาๆ กันทั้งนั้น

    แต่ถ้าความธรรมดานี้หมดไปล่ะ?

    เช่น อยู่ดีๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือสามีเราถูกรถชนตาย หรือเราถูกไล่ออกจากงานที่เราเบื่อแสนเบื่อ...เรื่องก็จะ 'ไม่ธรรมดา' ไปในทันที

    และในเวลานั้นเอง เราจะหวนมา คิดเสียดายความ 'ธรรมดา' จนใจแทบจะขาด...

    ให้เรารีบชื่นชมกับความ'ธรรมดา' ที่เรามี และใช้ชีวิตประหนึ่งว่า สิ่งนั้นคือสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล เพราะสิ่งธรรมดาๆ แท้จริงแล้วคือ สิ่งที่พิเศษที่สุดแล้ว


    Leonardo DaVinci : "Simplicity is the ultimate sophistication."
    ความเรียบง่าย ธรรมดา คือ สูงสุดแห่งสุนทรียภาพ


    Albert Einstein : "Everything should be made as simple as possible, but not simpler."
    สรรพสิ่งควรจะทำอย่างเรียบง่ายเท่าที่จะทำได้ แต่หาใช่เรียบง่ายจนเกินไป
     
  5. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    วัดใหญ่ชัยมงคล

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  6. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    ของดี ไม่จำเป็นต้องแพง


    [​IMG]



    เหรียญนาคปรกจเรตำรวจ ท่านเจ้าคุณนรฯได้อธิษฐานจิตเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2513 ณ พระอุโบสถ วัดเทพศิรินทราวาส

    จัดสร้างโดยอดีตจเรตำรวจ พล.ต.ท ชนะ วงศ์ชอุ่ม เพื่อแจกจ่ายเป็นศิริมงคลให้แก่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงภัยอันตราย โดยรวบรวมทุนทรัพย์ที่ได้จากการนี้ ไปบูรณะปฏิสังขรณ์วัดอุ่มพุทธาราม อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา

    จำนวนการจัดสร้างทองคำและเงินอย่างละ 100 เหรียญ ทองแดงรมดำ 84,000 เหรียญ

    วัตถุมงคลที่จัดสร้างในวันดังกล่าวครั้งนั้นมีหลายรุ่น หลายวัดที่มาเข้าพิธีจำนวนมากมาย ว่ากันว่ากองกันเป็นภูเขาเลากาเลยทีเดียวและเป็นเหตุให้วัตถุมงคลที่ปลุกเสกในวันดังกล่าวแพร่หลายมากที่สุด มีประสบการณ์มากที่สุด

    ดังจะยกตัวอย่างเหรียญรุ่นนาคปรกจเรตำรวจที่มีหลักฐานเอกสารของทางราชการ มาเป็นพอสังเขป...


    1. ถูกยิงแต่ไม่เข้า 8 ราย
    2. ถูกยิงแต่ไม่ถูก 14 ราย
    3. ทดลองยิงด้วยปืนขนดต่างๆมีทั้งกระสุนด้าน(ใช้กระสุนนัดเดิม ยิงไปทางอื่นกระสุนออก) กับกระสุนพลาดเป้าหมายรวม 23 ราย ดังนี้
    - ปืน .22 = 3 ราย
    - ปืน .38 = 3 ราย
    - ปืนลูกซอง = 1 ราย
    - ปืนคาร์บิน = 1 ราย
    - ปืน M16 = 1 ราย
    - ปืน 05 NATO = 1 ราย
    - ไม่ระบุชนิดปืน = 13 ราย
    4. เหยียบกับระเบิด แต่ไม่ระเบิด 1 ราย
    5. รถยนต์ชนกัน แต่ไม่ได้รับอันตราย 2 ราย
    6. รถยนต์พลิกคว่ำแต่ไม่ได้รับอันตราย 2 ราย
    7. รถจักรยานยนต์พลิกคว่ำ แต่ไม่ได้รับอันตราย 2 ราย
    8. ตกจากที่สูงแต่ไม่ได้รับอันตราย 1 ราย
    9. ถูกลอบตีศรีษะแต่ไม่แตก 1 ราย
    10. สุนัขกัดไม่เข้า 49 ราย
    11. เครื่องเรือไม่ติด แก้ไขไม่สำเร็จ ครั้นนึกได้ว่าเอาเหรียญนาคปรกไว้ใต้ที่นั่ง จึงเอาออกและอาราธนา เครื่องเรือติดทันที 1 ราย
    12. แคล้วคลาดจากเหตุการบางประการ 2 ราย


    ข้อมูลที่ควรทราบก็คือ เมื่อท่านเจ้าคุณนรฯได้อธิษฐานจิตวัตถุมงคลต่างๆในพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่ท่านอดีตจเรตำรวจจะรับเหรียญกลับ ได้กราบเรียนท่านเจ้าคุณนรฯว่า
    "กระผม พล.ต.ต. ชนะ วงศ์ชะอุ่ม จเรตำรวจ ได้สร้างเหรียญนาคปรกนี้ขึ้น เพื่อให้ตำรวจทอดผ้าป่าวัดอุ่มพุทธารามและไว้ป้องกันตัว ขอพระคุณเจ้าได้แผ่เมตตาให้เป็นพิเศษอีกครั้งหนึ่งด้วย"
    ท่านเจ้าคุณนรฯจึงได้อธิษฐานจิตอีกครู่หนึ่งและประพรมน้ำมนต์ลงไปในห่อพระอีกครั้ง....


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    เหรียญปรกจเร บล๊อคดาวกระจาย

    [​IMG]



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก ::
    http://www.amulet2u.com
     
  7. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    ร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ 522.00 บาท ค่ะ (โอนแล้วเมื่อเวลา 17.36 น.)

    อนุโมทนาสาธุกับทุกๆท่านด้วยค่ะ


    .
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    ตรวจสอบแล้วลืมโมทนาสาธุบุญไป 3 คน ขอยกยอดมาโมทนาพร้อมกับแขกขาประจำคือคุณ hongsanart พร้อมกันก็แล้วกัน เงินของทุกท่านในวันนี้ ผมได้โอนและส่งไปรษณีย์ธนาณัติไปยัง รพ.ตามภูมิภาคทั้ง 6 แห่งเรียบร้อยแล้ว เป็นเงิน รวมกัน 30,000.- วันนี้ได้มีโอกาสโทร.คุยกับ รพ.สงขลา รพ.สมเด็จพระยุพพราช (ปัว) จ.น่าน รพ.มหาราราช จ.เชียงใหม่ รพ. แม่สอด จ.ตาก มีข้อมูลเพิ่มเติมพอเล่าสู่กันฟังดังนี้

    1. รพ.สงขลา จ.สงขลา

    กลุ่มแพทย์และพยาบาลของ รพ.สงขลา กำลังก่อตั้งเป็นชมรมสำหรับตั้งเป็นค่าใช้จ่ายส่วนกลางในการรักษาสงฆ์อาพาธ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ให้กับวัดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดย จนท.หอสงฆ์อาพาธของ รพ.สงขลา ได้ขอให้ทุนนิธิฯ ได้พิจารณาในเรื่องนี้ด้วย ผมจึงรับเรื่องไว้รอเข้าประชุมอีกครั้ง

    2. รพ.สมเด็จพระยุพพราช (ปัว) จ.น่าน

    ตอนนี้มีพระรักษาตัวอยู่เพียง 1 รูป เงินค่าส่งพระกลับวัด/กลับประเทศลาว ที่ทุนนิธิฯ มอบให้จนท.ผู้นี้ดูแล 3,000.- ยังคงอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ สำหรับในปีหน้า เราอาจจะต้องช่วยเหลือเครื่องนุ่งห่มประเภท เสื้อกันหนาวที่ทำเฉพาะให้พระ หมวกไหมพรหม และถุงเท้า สำหรับพระสงฆ์ที่ท่านชราภาพมากไว้บ้าง เนื่องจากในหนาวที่ผ่านมา หลายองค์ที่มารักษา ตอนเดินทางมาที่ รพ.ดูน่าเวทนามาก รักษาเสร็จจะได้ถวายท่านกลับไปใช้ที่วัดเลย และขออนญาตทุนนิธิฯ ที่จะนำเงินที่โอนในวันนี้นำไปซื้อเครื่องเล่นซีดี เพื่อเปิดแผ่นซีดีธรรมะ ให้กับผู้ป่วยทั่วไปที่ห้องฟอกไตระยะสุดท้ายฟัง เพื่อเป็นการรักษาแบบสมาธิบำบัด อันจะทำให้ผู้ป่วยเกิดความไม่ท้อแท้ และสิ้นหวัง เนื่องจากโรคไตวายนี้ เป็นโรคที่รักษาไม่หาย รอวัน...เพียงอย่างเดียว และหากโชคดีที่มีโอกาสเปลี่ยนไต เช่นผม ชีวิตก็ดูจะมีความสุขขึ้นมาบ้าง ไม่ต้องทุนทุกข์ทรมาน เหมือนกับตอนที่ต้องฟอกไตครับ ผมรับเรื่องไว้ทั้งหมดเช่นกัน และจะได้นำมาเป็นหัวข้อประชุมประจำเดือน มีนาคมนี้ครับ

    3. รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่

    สถานการณ์การเจ็บป่วยของพระสงฆ์ เป็นไปอย่างปกติ

    4. รพ.แม่สอด จ.ตาก

    ขณะนี้มีพระรักษาตัวอยู่ใน รพ. 1 รูป มีญาติมาเฝ้าเรียบร้อย อีกไม่กี่วันก็กลับวัดได้ ส่วนตั้งแต่ต้นเดือน มีพระมารักษาไม่มากรวมถึงพระสัญชาติพม่าด้วย เงินส่งพระกลับวัด/กลับพม่า ถูกใช้ไปแล้ว 1 พันบาท คงเหลือ 2 พันบาท

    ขอโมทนาในบุญที่ทุกท่านได้ทำ และขอสาธุในกุศลที่เกิดแก่ทุกท่าน ขอบุญและกุศลอันใดที่ทุกท่านที่ได้บริจาคเงินเข้าทุนนิธิฯ นี้มา ด้วยความประณีตแล้ว ละเอียดแล้ว และยินดีด้วยแล้ว ขอผลบุญผลกุศล นั้นจงตอบแทนทุกท่านและครอบครัวให้พบพานแต่สิ่งที่ดีจนกว่าชีวิตจะหาไม่ด้วยเทอญ

    พันวฤทธิ์
    20/2/52

    ยังคงขาดความคืบหน้าอีก 2 รพ.คือ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น และ รพ.50 พรรษามหาวชิราลงกรณ จ.อุบล หากมีความคืบหน้าอย่างไร จะแจ้งให้ทราบภายหลังเช่นกันครับ


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2009
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พูดถึงเรื่องโรคไตแล้ว เรื่องการฟอกไตด้วยเครื่องไตเทียมนั้น มีค่าใช้จ่ายทีค่อนข้างจะสูงมากหากเป็นคนจนหาเช้ากินค่ำ และมีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัวด้วยแล้ว บางรายถึงกับผูกคอตาย หรือฆ่าตัวตายด้วยวิธีอื่นก็มี ผมมีความเคารพใน พล.ต. จำลอง ศรีเมือง มากในเรื่องนี้ ท่านช่วยแบ่งเบาภาระของคนที่ต้องทำการรักษาด้วยเครื่องไตเทียมนี้มากทีเดียว ท่านจึงเปิดศูนย์ฟอกไตขึ้นมาโดยมีค่าใช้จ่ายที่ถูกมาก ลองเข้าไปชมดูครับ

    <TABLE width="95%" align=center><TBODY><TR><TD>คลินิกมูลนิธิพลตรีจำลอง ศรีเมือง เวชกรรมเฉพาะทางไตเทียม ให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมคุณภาพสูงและทันสมัยจากประเทศญี่ปุ่น พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านไตเทียมในการดูแล ประเมินและติดตามผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ ทางคลินิกได้รับการรับรองมาตรฐานการรักษาและให้บริการโดยไม่มุ่งหวังผลกำไร

    ภาพสถานที่และอุปกรณ์การรักษาที่ทันสมัยของทางคลินิกบางส่วน

    <TABLE width="100%" align=center><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD><TD align=middle>[​IMG]</TD><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD height=15></TD></TR><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD><TD align=middle>[​IMG]</TD><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD height=15></TD></TR><TR vAlign=top><TD align=middle>[​IMG]</TD><TD align=middle>[​IMG]</TD><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width=24>[​IMG]</TD><TD class=headline background=webimages/headbg.gif> ระเบียบการรับสมัคร</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="95%" align=center><TBODY><TR><TD>1. การลงทะเบียน
    1.1 กรอกใบสมัครพร้อมแนบสำเนาบัตรประชาชน
    1.2 แนบเอกสารประวัติผู้ป่วย ประกอบด้วยใบส่งตัวแพทย์ บันทึกการฟอกเลือดครั้งล่าสุดและผลเลือด

    2. อัตราค่าบริการ
    2.1 ค่าฟอกเลือดครั้งละ1500 บาท
    2.2 ค่าประกันตัวกรอง กรณีสมัครครั้งแรก 1000 บาท (คืนค่าประกันตัวกรองเมื่อฟอกครบ 10 ครั้ง)
    2.3 ค่ายาหรือเวชภัณฑ์อื่น ๆ อาทิ ยาเพิ่มความเข้มข้นของเลือด ฯลฯ คิดในราคาทุน </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width=24>[​IMG]</TD><TD class=headline background=webimages/headbg.gif> ความรู้เกี่ยวกับโรคไต</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE width="95%" align=center><TBODY><TR><TD>สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไตวาย
    1. เป็นโรคเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, ภูมิคุ้มกันผิดปกติ, การอักเสบทางเดินปัสสาวะซ้ำ, นิ่วในไต
    2. ผลข้างเคียงจากยาและสารเคมี เช่น ยาแก้ปวดข้อ, ยาแก้อักเสบ
    3. กรรมพันธุ์ หรือความผิดปกติแต่กำเนิด เช่น ถุงน้ำในไตตั้งแต่กำเนิด, การอุดตันของระบบทางเดินปัสสาวะ

    จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคไตอักเสบและไตวาย
    1. ลักษณะของปัสสาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด หรือสีน้ำล้างเนื้อ ขุ่นผิดปกติ หรือปัสสาวะเป็นฟอง
    2. กลางคืนปัสสาวะบ่อยและปริมาณมากกว่าปกติ
    3. อาการบวมรอบตา, หน้า มักจะพบตอนเช้าหรือตอนตื่นนอน
    4. อาการเบื่ออาหาร, คลื่นไส้, อาเจียน, สมาธิสั้น, กระตุกตามตัว, คันตามตัว, ซีด, เหนื่อย (มักพบในระยะสุดท้าย)

    ระยะของไตวายเรื้อรัง
    ระยะที่ 1 ไตทำงานปกติ แต่มีความผิดปกติอื่นๆ เช่น มีความผิดปกติของลักษณะปัสสาวะ
    ระยะที่ 2 ไตทำงานเหลือ 60-90%
    ระยะที่ 3 ไตทำงานเหลือ 30-60%
    ระยะที่ 4 ไตทำงานเหลือ 15-30%
    ระยะที่ 5 ไตทำงานเหลือเพียง 15% (ไตวายเรื้อรัง ระยะสุดท้าย) ต้องฟอกเลือด ด้วยเครื่องไตเทียม

    ควรทำอย่างไรเมื่อพบว่าเป็นไตวาย
    1. ปรึกษาแพทย์โดยสม่ำเสมอ และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
    2. กินอาหารที่เหมาะสมกับโรคไตวาย
    3. นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ ไม่น้อยกว่า 6 ชม./วัน
    4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ประมาณ 30- 40 นาที/ วัน
    5. หลีกเลี่ยงยาแก้ปวดทุกชนิด
    6. งดสูบบุหรี่
    7. ควบคุมความดันโลหิตให้สูงอยู่ในเกณฑ์ปกติน้อยกว่า 130/80

    การควบคุมอาหารในผู้ป่วยไตวาย
    1. งดอาหารเค็ม
    2. รับประทานอาหารประเภทโปรตีนที่ให้มีคุณภาพสูงได้แก่ ไข่ขาว และปลา
    3. รับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต(แป้ง) อยู่ในปริมาณที่ควบคุม แต่ละมือ
    เช่น ข้าวสวย = 2-3 ทัพพี หรือ ข้าวเหนียว1 ถ้วยตวง หรือ ขนมปัง 3 แผ่น
    4. เลือกรับประทานอาหารประเภทไขมันไม่อิ่มตัวได้แก่ น้ำมันจากถั่วเหลือง ดอกคำฝอย
    5. ผักและผลไม้ควรหลีกเลี่ยงในผู้ป่วยไตวาย ระยะ 4-5
    6. จำกัดน้ำโดยให้ดื่มได้วันละประมาณ 800-1000 ซีซี หรือตามคำแนะนำของแพทย์

    การบำบัดทดแทนไตในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย
    โรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายไม่สามารถรักษาให้ไตดีขึ้นได้ การรักษาจึงเป็นการช่วยให้มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข โดยการบำบัดทดแทนไต ซึ่งมี 3 วิธี
    1. การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
    2. การฟอกเลือดทางหน้าท้อง
    3. การเปลี่ยนไต</TD></TR></TBODY></TABLE>


    http://images.google.co.th/imgres?i...4%E0%B8%95&start=220&gbv=2&ndsp=20&hl=th&sa=N
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 13 กรกฎาคม 2551 15:10:15 น.-->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๑๐๒ | นายขมังธนูฟ้งธรรมจนสำเร็จมรรคผล
    <!-- Main -->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๑๐๒ : นายขมังธนูฟ้งธรรมจนสำเร็จมรรคผล

    นายขมังธนูซึ่งพระเทวทัตส่งไปฆ่าพระพุทธองค์
    ปลงอาวุธฟ้งธรรมสำเร็จมรรคผล

    ภายหลังจากที่พระเทวทัตแนะนำอชาตศัตรู มกุฎราชกุมารให้ปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารพระราชบิดาของพระองค์แล้ว จึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ขณะนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จกลับมาประทับอยู่ในกรุงราชคฤห์ พระเทวทัตกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าทรงพระชราแล้ว ขอให้ทรงมอบตำแหน่งกิจการบริหารคณะสงฆ์ให้แก่ตนเสีย เลยถูกพระพุทธเจ้าทรงทักด้วย เขฬาสิกวาท แปลตามตัวว่า ผู้กลืนกินก้อนน้ำลายก้อนเสลดที่บ้วนทิ้งแล้ว ความหมายเป็นอย่างนี้ คือ นักบวชนั้น เมื่อออกบวชได้ชื่อว่าเป็นผู้เสียสละแล้วซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น ลูก เมีย ทรัพย์ และตำแหน่งฐานันดรต่าง ๆ พระเทวทัตก็ชื่อว่าสละสิ่งเหล่านี้เสียแล้วเมื่อตอนออกบวช แต่เหตุไฉนจึงย้อนกลับมายอมรับ ซึ่งเท่ากับมาขอกลืนกินสิ่งเหล่านี้อีก

    พระเทวทัตฟังแล้วเสียใจ ยิ่งผูกความอาฆาตพระพุทธเจ้ายิ่งขึ้น จึงวางแผนการกระทำการรุนแรงเพื่อปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าหลายแผน เฉพาะด้านการเมืองนั้น พระเทวทัตได้ทำสำเร็จแล้ว คือ เกลี้ยกล่อมอชาตศัตรูราชกุมารให้เลื่อมใสตนได้ แล้วราชกุมารผู้นี้ได้ปลงพระชนม์พระราชบิดาจนในที่สุดได้ขึ้นครองราชย์ในเวลาต่อมา ที่ยังไม่สำเร็จก็คือการปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า


    [​IMG]


    ขั้นแรกพระเทวทัตได้ว่าจ้างพวกขมังธนูหลายคน (นายขมังธนู (คำหน้าอ่านว่าขะหมัง) ขมัง แปลว่า นายพราน ขมังธนูก็คือนายพรานแม่นธนู อาวุธร้ายแรงที่คนใช้ยิงสังหารกันในสมัยพระพุทธเจ้าคือธนู ) ล้วนแต่มือแม่นในการยิงธนูทั้งนั้น ไปลอบยิงสังหารพระพุทธเจ้าที่วัดเวฬุวนารามในกรุงราชคฤห์ ทั้งนี้โดยพระเจ้าอชาตศัตรูทรงรู้เห็นด้วย แต่เมื่อพวกนายขมังธนูถืออาวุธมาถึงวัดที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ได้เห็นพระพุทธเจ้าแล้วเกิดมือไม้อ่อนเปลี้ยไปหมด ยิงไม่ลง เพราะพุทธานุภาพอันน่าเลื่อมใสข่มใจให้สยบยอบลง จึงต่างวางคันธนูแล้วกราบพระบาทพระพุทธเจ้า

    พระพุทธองค์ จึงทรงแสดงธรรมให้พวกนายขมังธนูฟัง ฟังจบแล้วนายขมังธนูต่างได้สำเร็จโสดาหมดทุกคน แผนการครั้งแรกนี้ของพระเทวทัตจึงล้มเหลวลง

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    ปรุงแต่งใจให้เป็นสุข
    โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต)


    ใช้ความสามารถปรุงแต่งสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ภายนอก แล้วอย่าลืมใช้ความสามารถนั้น ปรุงแต่งสร้างสรรค์ความสุขภายในด้วย

    พระพุทธศาสนาเปิดเผยความจริงว่าความสุขมีมากมาย ความสุขมีหลายแบบ ความสุขมีหลายชั้นหลายระดับ ทั้งความสุขภายนอกภายใน ทั้งความสุขแบบแบ่งแยกและความสุขแบบประสาน ทั้งความสุขที่อาศัยวัตถุและไม่อาศัยวัตถุ ทั้งความสุขทางร่างกายและความสุขทางจิตใจ ทั้งความสุขระดับจิตและความสุขระดับปัญญา ทั้งความสุขแบบมัวเมาติดจม และความสุขแบบโปร่งโล่งผ่องใส

    ความสุขของมนุษย์อย่างหนึ่งคือ ความสามารถในการปรุงแต่งสร้างสรรค์คิดค้น ซึ่งสัตว์อื่นไม่มี การที่มนุษย์เจริญขึ้นมามีเทคโนโลยีมีสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ มากมาย ก็เกิดจากความสามารถของมนุษย์ในการปรุงแต่งสร้างสรรค์นี่แหละแต่กว่าจะออกมาเป็นวัตถุปรุงแต่งสร้างสรรค์ได้ ต้นเดิมมันมาจากไหน มันก็มาจากในใจของเรา คือ ใจที่มีสติปัญญาเริ่มด้วยใช้ปัญญาคิดปรุงแต่งข้างในแล้วจึงแสดงออกมาเป็นการปรุงแต่งประดิษฐ์วัตถุ สร้างสรรค์วัตถุข้างนอกได้จนกระทั้งเป็นคอมพิวเตอร์และดาวเทียม ก็เกิดจากความคิดในใจเป็นจุดเริ่ม

    ทีนี้ความคิดของเรานี่น่ะ นอกจากปรุงแต่งสร้างสรรค์วัตถุข้างนอกแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือปรุงแต่งสุขปรุงแต่งทุกข์ข้างใน เราไม่รู้ตัวหรอกว่าเราใช้ความสามารถนี้ตลอดเวลาด้วยการปรุงแต่งความสุข และปรุงแต่งความทุกข์ จริงไหมว่าที่เราทุกข์เราสุขกันนี้ ส่วนมากเป็นสุขและทุกข์ที่เราปรุงแต่งขึ้นเอง ไม่เหมือนกับสัตว์อื่น

    สัตว์อื่นนั้นไม่รู้จักความทุกข์ความสุขมากเหมือนมนุษย์ มันมีความสุขความทุกข์ที่เกิดจากทางกาย ได้กินอาหาร ได้หลับนอนพักผ่อนหรือต่อสู้หนีภัยอะไร ๆ ก็ตามประสา แต่ความสุขความทุกข์ทางใจที่เกิดจากการคิดปรุงแต่งมันไม่มี เราจะเห็นว่าสัตว์กลุ้มใจไม่เป็น สัตว์มันเครียดไม่เป็น เครียดได้แต่เรื่องที่สืบเนื่องจากทางกาย ไม่เหมือนมนุษย์

    มนุษย์นี้ปรุงแต่งสุขทุกข์ในใจกันมากมายพิสดารปรุงแต่งทุกข์ให้กลุ้มให้กังวลให้เครียดจนกระทั้งเสียจิตไปเลย สัตว์อื่นปรุงแต่งใจให้เป็นบ้าไม่ได้ แต่มนุษย์ปรุงแต่งจิตใจจนกระทั่งกลายเป็นบ้าไปก็มี มนุษย์มีความสามารถนี้อยู่มากมายนัก แต่น่าเสียดายที่มนุษย์ใช้ความสามารถนี้ไปในการปรุงแต่งทุกข์มากกว่าปรุงแต่งสุข มีอะไรมากระทบตากระทบหู ไม่สบายใจนิดหน่อย ก็เก็บเอามาปรุงแต่งต่อเสียยืดยาวใหญ่โต เวลาอยู่ว่าง ๆ แทนที่จะปรุงแต่งสุข ก็ปรุงแต่งทุกข์ เอาเรื่องที่ไม่ดีมาวาดเป็นภาพ ทำให้เกิดความรู้สึกกลุ้มใจกังวล มีความโกรธเคียดแค้นต่าง ๆ ทำให้มีความทุกข์มากมาย แสดงว่ามนุษย์ส่วนมากใช้ความสามารถไม่ถูกทางจึงเป็นโทษแก่ตนเองทีนี้ถ้ามนุษย์ฝึกตัวให้ใช้ความสามารถนั้นให้ถูก เขาก็จะปรุงแต่งความสุขได้มากมายมหาศาล

    ในทางพระพุทธศาสนาท่านแนะนำให้เราปรุงแต่งความสุข

    ท่านสอนวิธีทำใจหรือฝึกจิตฝึกใจ และบอกวิธีใช้ปัญญามากมาย อย่างเช่น การบำเพ็ญสมาธิต่าง ๆ ก็คือวิธีปรุงแต่งจิตใจนั่นเอง แต่เป็นการปรุงแต่งให้เป็นสุข ในการมองโลกแม้แต่สิงเดียวกัน ถ้าเรามองไม่เป็น ก็เป็นเรื่องร้ายเกิดทุกข์ แต่ถ้ามองเป็น ก็กลายเป็นดีเกิดสุขได้

    ขอเล่าเรื่องพระท่านหนึ่งที่เป็นเพื่อนกันตอนเรียนหนังสือที่มหาจุฬาฯ ในวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ เวลาชั่วโมงว่างไม่ได้เรียนหนังสือ ท่านจะมองไปที่ท่าพระจันทร์ซึ่งมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาขวักไขว่จำนวนมาก ท่านมองไปมองมาแล้วก็นั่งหัวเราะ อาตมาก็ถามว่าหัวเราะอะไร ไม่เห็นมีอะไร ท่านบอกว่ามองไปเห็นผู้คนเดินไปเดินมา ท่าทาง รูปร่างเครื่องแต่งกาย เสื้อผ้าสีสันต่าง ๆ กัน คนนั้นเดินอย่างนี้ คนนี้เดินอย่างนั้น ดูแล้วขำ ท่านก็เลยหัวเราะ นี่ก็เป็นวิธีมองโลกอย่างหนึ่ง

    บางคนมองอะไรก็น่าขำไปทั้งนั้น บางคนมองเห็นอะไรก็รู้สึกขัดหู ดูขัดตาไปทุกอย่าง บางคนไม่มีอะไรก็นั่งกังวลไม่สบายใจ ทุกข์ไปหมด นี้เป็นตัวอย่างง่าย ๆ ของการปรุงแต่งจิตใจ เราตั้งท่าทีของจิตใจอย่างไรก็สร้างจิตใจให้เป็นอย่างนั้น สุข-ทุกข์ก็เกิดตามมา

    ในชีวิตประจำวัน เมื่อทำงานทำการ เราก็มองโลก เราก็มองคนที่พบเห็นมาหาไปหา เช่นเป็นแพทย์เป็นพยาบาลก็มองคนไข้ไปด้วย เราต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนทั่วไป กับผู้ร่วมงาน เราจะต้องหัดมองให้เป็น อย่ามองในแง่ที่กระทบหูกระทบตา

    วิธีมองให้ไม่เกิดโทษมีหลายอย่าง อย่างน้อยก็ควรมองเห็นว่าเป็นประสบการณ์แปลก ๆ ในวันหนึ่ง ๆ เราพบเห็นผู้มีกิริยาอาการต่างๆ มากมาย คนนั้นลักษณะอย่างนั้น คนนี้ลักษณะอย่างนี้ เราก็มองในแง่ที่ว่า เป็นสิ่งที่ได้รู้ได้เห็น เป็นประสบการณ์ หลากหลาย เป็นข้อมูลความรู้ อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์ เราอาจจะสบายใจหรือพอใจว่านี่เราได้รู้เห็นรู้จักโลกมากขึ้น โลกเป็นอย่างนี้ เมื่อเราทำใจอย่างนี้ สิ่งที่พบเห็นก็ไม่กระทบหูไม่กระทบตา ไม่กระทบใจ เราก็สบายใจ แต่ไม่แค่นั้น ยังดีกว่านั้นอีกคือเราได้ความรู้ด้วย.


    คัดลอกตัดตอนมาจาก
    หนังสือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2009
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    คนดีเป็นอย่างไร
    โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก


    เคยได้รับเชิญไปเป็นกรรมการที่ปรึกษาคณะกรรมการแต่งหนังสืออ่านเพิ่มเติม เพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอน กลุ่มสร้างเสริมลักษณะนิสัย สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ 4 หลายสิบปีมาแล้ว ผู้เขียนตำรามีหลายท่าน จำได้ว่าหนึ่งในนั้นคือ
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    พระคติธรรม

    หน้าที่ของคนเราที่จะพึงปฏิบัติต่อชีวิตร่างกายคือ การบริหารรักษาร่างกายให้ปราศจากโรค ให้มีสมรรถภาพ และประกอบประโยชน์ เพื่อให้ชีวิตดี ชีวิตที่อุดม ไม่ให้เป็นชีวิตชั่ว ชีวิตเปล่าประโยชน์ และในขณะเดียวกัน ก็ให้กำหนดรู้คติธรรมดาของชีวิต เพื่อความไม่ประมาท

    พระพุทธเจ้าตรัสห้ามมิให้ทำลายชีวิตร่างกาย ถ้าจะเกิดความอยาก ความโกรธ ความเกลียด ในอันที่จะทำลายชีวิตร่างกาย ก็ให้ทำลายความอยาก ทำลายความโกรธ ทำลายความเกลียดนั้นแหละเสีย

    อีกอย่างหนึ่ง ธรรมคือคุณงามความดี ตรงกันข้ามกับอธรรมคือความชั่ว ซึ่งโดยมากก็รู้กันอยู่ ฉะนั้น เมื่อเคารพในความรู้หมายความว่า เมื่อรู้ว่าไม่ดี ก็ตั้งใจเว้นไว้ เมื่อรู้ว่าดี ก็ตั้งใจทำ ดังนี้เรียกว่า เคารพในธรรมที่รู้โดยตรง ซึ่งทำให้คนเป็นคน กล่าวคือเป็ยมนุษย์โดยธรรม

    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=4969
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เกือบจะวันสุดท้ายแล้วครับวันนี้เป็นวันที่ 14 ในพระราชกรณียกิจทรงผนวช 15 วัน ของในหลวง ในวันที่ 14 นี้ มีบางตอนอ่านแล้วประทับใจมาก ลองอ่านดูกันครับ

    พระราชกรณียกิจในวันที่ 14 แห่งการทรงพระผนวช
    วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2499
    เช้ามืดวันนี้ เป็นวันที่ชาวบ้านร้านตลาดแถวบางลำพูต่างพากันตื่นเต้นงงงันอย่างไม่คาดฝัน แล้วก็พลันเปลี่ยนเป็นความปลื้มปีติโสมนัสอย่างล้นเหลือ เมื่อจู่ ๆ พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงรับบิณฑบาตอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่พวกเขาได้ถวายบิณฑบาตแด่พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นพระมหากษัตริย์ที่เคารพรักและเทิดทูนอยู่เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมพวกเขามาโดยตลอด
    แน่ละ ภาพที่พระองค์ประทับยืนรอรับบิณฑบาตอยู่เบื้องหน้า ด้วยสีพระพักตร์ที่อ่อนโยน สงบสำรวมเยี่ยงพระภิกษุสงฆ์อื่น ๆ จะเป็นภาพที่ติดตาตรึงใจพวกเขาไปไม่มีวันลบเลือน
    พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินออกรับบิณฑบาตครั้งนี้โดยไม่มีหมายกำหนดการ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้และคาดคิดมาก่อน พรพะองค์เสด็จพระราชดำเนินออกทางประตูหน้าวัดบวรนิเวศวิหาร ด้านพระตำหนักเพชร พร้อมด้วยพระโศภนคณาภรณ์ ซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยงและพระสหจรทั้ง 5 รูป แล้วทรงพระดำเนินด้วยพระบาทเปล่าเยี่ยงพระสงฆ์ธรรมดาไปตามถนนสายบางลำพู ทรงรับบิณฑบาตจากประชาชนที่ใส่บาตรอยู่เป็นประจำที่ถนนพระสเมรุ แล้วประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินต่อไปทางสะพานเฉลิมวันชาติ ผ่านไปทางหน้าวังสวนกุหลาบ ถนนราชวิถี ถนนเลียบคลองประปา อ้อมไปทางสะพานควาย แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับทางถนนพหลโยธิน เข้าถนนพญาไท ทรงแวะรับบิณฑบาตที่บริเวณใกล้ๆ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จากนั้นทรงแวะรับบิณฑบาตอีกครั้งที่สี่แยกราชเทวีถนนเพชรบุรี
    ไม่มีครั้งใดอีกแล้วในชีวิตที่ประชาชนทั้งชาย หญิง เด็ก คนชรา ผู้ซึ่งออกมาใส่บาตรวันนั้น จะรู้สึกตื่นเต้นและปลื้มปีติเท่าครั้งนี้ เพราะไม่มีใครคิดมาก่อนว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้ทำบุญใส่บาตรถวายพระสงฆ์ที่เป็นถึง “พระเจ้าแผ่นดิน”
    เล่ากันว่า บางคนก้มหน้าก้มตาใส่บาตรพระโดยไม่ได้มองหน้าว่าพระที่มายืนรับบิณฑบาตจากตนเป็นใคร แต่พอเงยหน้าขึ้นมองเห็นว่าเป็นพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็แทบเป็นลมหมดสติไปด้วยความตื่นเต้นตกใจ มือไม้อ่อนแทบจะคอนทัพพีตักข้าวไม่ไหว พอรู้สึกตัวก็ทรุดลงกราบแทบพระบาทนิ่งอยู่อย่างนั้น จนเสด็จพระราชดำเนินผ่านไปแล้ว ยังลุกไม่ขึ้น คนอื่นต้องมาฉุดประคองให้ลุกขึ้นยืน
    นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวงล้นเกล้าล้นกระหม่อมพสกนิกรชาวไทยที่ได้เสด็จพระราชดำเนินออกรับบิณฑบาตในครั้งนี้ เพราะเป็นโอกาสแรก โอกาสเดียว และโอกาสสุดท้ายในชีวิตของพวกเขาเหล่านั้น ที่ได้มีโอกาสใส่บาตรถวายพระภิกษุที่เป็นพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าของพวกเขา

    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD>พระราชกรณียกิจ </TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=2>
    จากนั้นจึงประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินกลับวัดบวรนิเวศวิหารแต่เมื่อถึงหน้าวัด ก็ทรงต้องเสด็จพระราชดำเนินลงจากรถยนต์พระที่นั่งอีกครั้งเพื่อทรงรับบิณฑบาตจากประชาชนที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรออยู่ที่หน้าวัด
    อาหารที่ทรงรับบิณฑบาตในวันนั้น ก็เป็นอาหารที่ชาวบ้านใส่บาตรอยู่ตามปกติคือ ข้าวสุก เครื่องในไก่ผัดขิง ผัดถั่วฝักยาว กุนเชียง ผัดหอมหัวใหญ่กับหมู เนื้อทอด ปลาสลิดเค็มทอด ปลาทูทอด ส่วนของหวานก็ได้แก่ ขนมครก ขนมถั่วแปบ ขนมบ้าบิ่น ส้มเขียวหวาน กล้วยหอม กล้วยไข่ โรตี ขนมเค้ก และขนมปังทาเนย นอกจากนั้นก็มีดอกไม้ ธูป เทียน
    พระองค์ทรงแบ่งอาหารที่ทรงรับบิณฑบาตมาออกถวายสมเด็จพระสังฆราชส่วนหนึ่ง นอกจากนั้นพระองค์ได้เสวยในมื้อพระกระยาหารเพล
    หลังจากเสด็จลงพระอุโบสถทรงทำวัตรเช้า และทรงสดับวินัยมุขเรื่อง “กาลิก 4” ซึ่งพระครูวิสุทธิธรรมภาณอ่านถวายแล้ว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปสำคัญในวัดบวรนิเวศวิหาร
    เวลา 16.00 น. พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระตำหนักปั้นหย่า ในการพระราชพิธีทรงลาพระผนวช
    ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการแล้ว ทรงประเคนผ้าไตรแก่พระราชาคณะ 7 รูป ซึ่งจะเจริญพระพุทธมนต์ พระสงฆ์ทั้งนั้นไปครองผ้า แล้วกลับมานั่งยังอาสนสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์จบแล้ว เสด็จพระราชดำเนินขึ้นพระตำหนักที่ประทับ
    ในตอนเย็น เสด็จลงพระอุโบสถทรงทำวัตรเย็น อันเป็นกิจประจำของพระสงฆ์เสร็จแล้วทรงสดับพระธรรม เรื่อง “บุญกิริยาวัตถุ 3 บุญกิริยาวัตถุ 10” ซึ่งพระจมื่นมานิตฯ อ่านถวาย จากนั้นพระพรหมมุนีและพระโศภนคณาภรณ์ขึ้นเฝ้าถวายธรรม ณ พระตำหนักปั้นหย่า จบแล้วเสด็จพระราชดำเนินขึ้นนมัสการพระแล้วเสด็จเข้าที่พระบรรทม
    ปัญหาเกี่ยวกับธรรมะที่พระพรหมมุนีและพระโศภนคณาภรณ์ ถวายในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2499 คือ
    ขันธ์ 1 และขันธ์ 4 หมายถึงอะไร
    ขันธ์ 1 คือ รูป
    ขันธ์ 4 คือ นาม ซึ่งประกอบด้วย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    จิต คือธรรมะที่ให้สำเร็จความคิด แต่ความคิดกับจิตไม่ใช่อันเดียวกัน ความคิดจะมีขึ้นได้เพราะอาศัยจิต ถ้าไม่มีจิต ความคิดก็ไม่มี จิตไม่ใช่สังขาร ความคิดเป็นสังขาร ถ้าจิตเป็นสังขารแล้ว ความหลุดพ้นจากทุกข์ก็มีไม่ได้ เพราะความคิดเป็นทุกขสัจจะ
    รู้ แบ่งออกดังนี้ คือ
    1. รู้มีอาการ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น รู้ซึ่งอารมณ์ รู้คุณ รู้โทษ รู้เหตุ รู้ผล จิตเข้าสู่มโนทวาร
    2. รู้ไม่มีอาการ รู้นิ่ง ไม่มีอารมณ์เลย รู้หยุด รู้วาง รู้โปร่ง รู้ปล่อย รู้อย่างนี้จิตไม่มาเกี่ยวกับทวาร เมื่อจิตไม่เข้าเกี่ยวกับทวารอารมณ์ตามไปไม่ถึง รู้ตัวเองทางธรรม โดยภาวะเรียกว่า อัญญา หรือไม่เป็นภาวะ ก็เรียกว่า มุนี คือ ผู้รู้ พุทโธ คือ ผู้ตื่น ตถาคโต คือ ผู้บรรลุสัจธรรม วิมุตติโต คือ ผู้หลุดพ้น
    พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ ต่างกันอย่างไร
    พระพุทธเจ้าละได้ซึ่งกิเลสและวาสนา
    พระสาวกยังละวาสนาไม่ได้ ละได้แต่กิเลสอย่างเดียว
    วาสนา ทางธรรมหมายเอาอาการความประพฤติที่เคยชินมาแล้ว แต่ไม่มีเจตนา คำว่าวาสนานี้ไม่ตรงกับภาษาที่ใช้กันซึ่งแปลว่ามีบุญ คำว่าพระอรหันต์ แปลว่า ผู้หมดข้อลี้ลับ ไม่มีข้อซ่อนเร้นอยู่ภายใน เป็นผู้ควรเคารพบูชา สรรเสริญ เป็นผู้ห่างไกลจากกิเลส (สันดานของมนุษย์)
    พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วอยู่ที่ไหน
    อยู่เหนือโลก จิตเข้าสู่นิพพาน คือจิตพ้นโลก
    นิพพาน พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ไปรวมกันอยู่ที่ไหน หรือต่างองค์ต่างไป
    ไม่สามารถตอบได้ เพราะนิพพานพ้นโลกไปแล้ว หมดสมมุติไปแล้ว ไม่สามารถทราบได้ ความว่ารวมหรือแยกนั้นเป็นเรื่องของโลก ความไม่กังวล ความไม่ยึดถือ นี่คือนิพพานที่พระพุทธเจ้าสอนไว้


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.king60.mbu.ac.th
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พันวฤทธิ์ [​IMG]
    วันนี้คณะกรรมการจะประชุมเพื่อเตรียมงานกิจกรรมประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2552 โดยมีกำหนดการเบิกจ่ายปัจจัยในบัญชีบุญของทุนนิธิฯ ในการทำบุญครั้งนี้คร่าวๆ และวาระอื่นๆ ดังนี้

    1. รพ.สงฆ์ ประมาณการจำนวนพระไว้ที่ 200 องค์เช่นเดิม

    - ถวายสังฆทานอาหาร 5,000.-บาท
    - ถวายบริจาคซื้อโลหิต 10,000.-บาท
    - ถวายบริจาคซื้อเวชภัณฑ์ส่วนกลาง 10,000.-บาท

    รวมประมาณการที่จะบริจาคและถวายสังฆทานให้ รพ.สงฆ์ 25,000.-

    2. รพ.ส่วนภูมิภาค

    ภาคเหนือ
    - รพ.มหาราช (สวนดอก) จ.เชียงใหม่ 5,000.-บาท
    - รพ.สมเด็จพระยุพราช (ปัว) จ.น่าน 5,000.-บาท
    ภาคอีสาน (อีสานเหนือ/อีสานใต้)
    - รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น (ผ่านกองทุนหลวงปู่เทสก์) 5,000.-บาท
    - รพ.50 พรรษามหาวชิราลงกรณ จ.อุบล 5,000.-บาท
    ภาคตะวันตก
    - รพ.แม่สอด จ.ตาก 5,000.-บาท
    ภาคใต้
    - รพ.สงขลา จ.สงขลา 5,000.-บาท

    รวมประมาณการการบริจาคสำหรับ รพ.ภูมิภาคทั้ง 6 แห่ง 30,000.-บาท

    3. เครื่องดูดเสมหะ

    - ในเดือนนี้ รพ.แต่ละแห่งยังไม่แจ้งความจำนงมาจึงยังไม่มีการบริจาค

    4. กิจกรรมเสริมประจำเดือน

    - แจกพระพิมพ์เจ้าสัวที่ผ่านการตรวจแล้วยืนยันการอธิษฐานฤทธิ์โดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ให้กับผู้ที่ไปทำบุญฟรี ท่านละ 1 องค์
    - หลังจากทำบุญเสร็จจะไปทัวร์ธรรมะ ที่ จ.อยุธยา โดยจะนำไปกราบและถวายสังฆทานกับพระอริยสงฆ์ที่ผ่านการสกรีนโดย "ตาใน" ของฌาณลาภีบุคคลว่าท่านไม่มาเกิดอีกแล้ว ราว 2 รูป และพระพุทธปฏิมาที่สำคัญอีก 3-4 องค์ โดยรถบัส 25 ที่นั่ง 1 คัน (หากใครจะขับรถตามไปก็ไม่รังเกียจเช่นกัน)
    และคณะกรรมการฯ จะได้มอบพระพิมพ์ตัด 5 หรือ ต้ด 9 ที่ผ่านการอธิษฐานฤทธิ์ จากท่านหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน จ.พิจิตร ให้คนละองค์ สำหรับ 25 ที่นั่งทุกคน
    - ให้บูชาพระดีที่ผ่านการตรวจแล้วว่าใช้ได้ แขวนท่านหรือบูชาท่านแล้วจะเจริญในราคาพิเศษไม่เกิน 200.-เพื่อเข้าสมทบทุนกับทุนนิธิฯ.

    5. เรื่องอื่นๆ

    - นโยบายและผลกระทบจากการจัดระเบียบห้องพระเครื่อง-วัตถุมงคลใหม่ ของเวบพลังจิต
    - เตรียมการแจกพระ "กำลังใจ 2"
    - เรื่องอื่นๆ ที่จะมีผู้นำเสนอ

    และหากมีความคืบหน้าประการใดแล้ว ไม่เย็นนี้ ก็พรุ่งนี้ จะประชาสัมพันธ์ให้ทราบต่อไปครับ

    พันวฤทธิ์
    15/2/52
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    จำนวนพระที่จะถวายสังฆทานในวันพรุ่งนี้ที่ รพ.สงฆ์ เท่าที่คุณวรรณ ร้านค้าของ รพ.เช็คจำนวนให้เมื่อวานตอนเย็น ที่ตึกกัลยาณิวัฒนา มีจำนวนทั่งสิ้นประมาณ 199 รูปครับ ดังนั้น พรุ่งนี้ คงต้องไปกันเช้าๆ และต้องเร่งถวายสังฆทานท่าน เพราะเมื่อถวายสังฆทานเสร็จ กลุ่มที่เดินทางไปธรรมะสัญจรที่ อยุธยา จะได้รีบเดินทางทันทีเช่นกัน ขอแจ้งข่าวมาให้ทราบครับ ส่วนหลังจากนี้ รูปถ่ายในวันงานกิจกรรม และธรรมะสัญจร จะได้นำมาลงในกระทู้ให้ทราบอีกครั้งหนึ่งครับ

    พันวฤทธิ์
    22/2/52


     
  16. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    ต้องกราบขอบพระคุณทุกๆท่านนะครับที่ช่วยกันเสียสละบริจาคทรัพย์เพื่อใช้ในกิจการสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ และขอโมทนาในบุญกุศลที่ทุกท่านมีความตั้งใจในการทำกุศลร่วมกันกับทางทุนนิธิฯ

    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ

    ส่วนท่านใดที่มีเวลาว่างก็ขอเรียนเชิญไปร่วมงานทำบุญประจำเดือนกันในวันอาทิตย์ที่ 22 ก.พ. 2552 นี้ด้วยกันนะครับ

    ผมขอรายงานความเคลื่อนไหวของยอดเงินในบัญชีของทุนนิธิฯให้ทราบดังนี้ครับ

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    ปิดตาทองล่ำอู่
    ไม่ใช่ปิดตาหงษ์ทองปรโม...
    หลงเข้าใจผิดมาตั้งนาน

    [​IMG]

    พระปิดตาทองล่ำอู่นี้เป็นพระปิดตาที่สร้างโดยคุณชินพร สุขสถิตย์ ให้หลวงพ่อเริ่ม ได้ปลุกเสกเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๘...ด้วยความเข้าใจผิดคิดไปว่าปิดตาทองล่ำอู่และปิดตาหงษ์ทองปรโมสร้างโดยคุณชินพร เพราะพิมพ์เหมือนกัน แต่จริงๆแล้วมีข้อแตกต่างกัน
    ...พระปิดคาทองล่ำอู่ สร้างโดยอาจารย์ชินพรในปี๒๘ โดยนำทองเหลืองที่ทางชลบุรีเรียกว่า"ทองล่ำอู่"มาสร้าง(ในรายละเอียด ผมไม่รู้ว่ามีการนำแผ่นยันต์อะไรมาสร้างด้วยหรือเปล่า และทองเหลืองที่นำมาสร้างมีการเอาไปรีดเป็นแผ่นลงอักขระก่อนหรือไม่) แต่สิ่งที่สำคัญคือการอุดผง...ปิดตาทองล่ำอู่นี้ไม่มีการฝังตะกรุดนะครับ แลพิมพ์เป็นบัวคว่ำบัวหงาย ที่เรามักเรียกกันว่า บัวสองชั้น หลังตอกโค้ด"ร". ส่วนสำคัญคือผงที่อุด
    1.ผงขูดจากกะลาไม่มีตาของหลวงปู่เริ่ม
    2.ผงขูดจากกะลาไม่มีตา(ที่ได้มาจากพระหลานเหลนของหลวงปู่แก้ว วัดเครือวัลย์)
    3.ผง12นักษัตร
    4.สีผึ้งเจ็ดจันทร์
    5.ผงพุทธคุณต่างๆของหลวงปู่เริ่ม
    6.ผงของหลวงปู่ทิม(ลูกอมผงพรายกุมารที่แตกหักและพระสิวลีที่แตกหัก)
    7.ผงจากเศษกรามช้างที่ได้จากการแกะ(ไม่มีใครเขียนถึงเลย)
    8.ผงเศษไม้ที่ได้จากการแกะปลัดขลิกไม้คูณ(อันนี้ก็ไม่มีใครเขียนถึงเลย)
    ดังนั้นไม่น่าแปลกใจเลยว่าพระปิดตาทองล่ำอู่นั้น เด่นไปทางโชคลาภและน่าจะเสริม(จากมีไม้คูณ----ถ้าผมจำไม่ผิด เคยมีคนบอกว่าไม้คูณดีเด่นไปทางได้เสริมดวงประมาณนี้ครับ)



    [​IMG]



    [​IMG]

    สำหรับปิดตาหงษ์ทองปรโม เป็นพระปิดตาที่สร้างในปีเดียวกันคือปี๒๕๒๘ หลังจากสร้างพระปิดตาทองล่ำอู่แล้ว โดยนำพิมพ์มาปรับตรงฐานโดยสร้างเป็นพระบัวชั้นเดียวและใส่เกลียวเชือกสองเส้น ตอกโค้ดเหมือนกัน แต่ต่างกันที่การอุดผงกับฝังตะกรุด
    ผงที่อุดได้แก่1.ผง ๑๒ นักษัตร
    2.ผงกะลาไม่มีตาของหลวงปู่เริ่ม
    3.ผงพุทธคุณของหลวงปู่เริ่ม
    4.สีผึ้งเจ็ดจันทร์
    5.เส้นเกศาของหลวงปู่เริ่ม
    สำหรับตะกรุดที่ฝังเป็นตะกรุดหงษ์ทอง(ตรงนี้ผมไม่มีความรู้ครับ).และอ่านไม่เคยเจอว่า มีการผสมผงของหลวงปู่ทิมด้วยหรือไม่ เพราะปิดตาหงษ์ทองปรโมนั้นสร้างโดยวัดเอง ผมก็ไม่ทราบว่าใช้ทองเหลือง"ทองล่ำอู่"เหมือนกับปิดตาทองล่ำอู่หรือเปล่า และที่บอกกันว่าหลวงปู่เริ่มมีนิมิตเห็นแก้วแหวนเงินทองเต็มไปหมดก็อ่านเจอในประวัติของปิดตาทองล่ำอู่เท่านั้น ผมไม่เคยอ่านพบในพระปิดตาหงษ์ทองครับ
    ...ดังนั้นพระปิดตาหงษ์ทอง จะฝังตะกรุดและมีเส้นเกศาของหลวงปู่เริ่ม


    [​IMG]


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก ::
    http://www.amulet2u.com
     
  18. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    "จีวรดอก" อันนับเอกลักษณ์แห่งเอกปฏิมาเฉพาะพระพุทธรูปสมัย"รัตนโกสินทร์"เป็นการเฉพาะ ซึ่งหลายๆท่านอาจจะนึกสงสัยว่า มีที่มาที่ไปเป็นเช่นไร..???? <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    เคยได้ทราบมานานแล้วว่า "จีวรดอก"นั้น แท้จริงแล้ว นายช่างในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ได้เลียนแบบ"ผ้าต่างประเทศ" ที่มีการทอเนื้อผ้าเป็นลายดอกดวงเล็กๆ คล้ายกับดอกพิกุล อันนับเป็นของแปลกใหม่ในสมัยนั้น ทำให้เป็นที่นิยมถือเป็นของดีมีค่าสูง เหล่าทายกทายิกาผู้มีศรัทธา ปรารถนาจะถวาย"ประณีตทาน"เลยนำผ้าลายดอกนี้มาตัดย้อมเป็นจีวรถวายพระภิกษุ จนเป็นที่ปรากฏแพร่หลายโดยทั่วไป อันเป็นแรงบันดาลใจอย่างสำคัญในมีการประดิษฐ์"พระพุทธรูปจีวรดอก"ขึ้นมาด้วยประการฉะนี้... <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    แต่นั่น ก็เป็นเพียง"เรื่องเล่า"กันมาเท่านั้น
    แต่ก็ยังหาได้เคยพบพาน"ผ้าลายดอก"ของจริง ซึ่งเป็นปฐมกำเนิดของ"จีวรดอก"แต่อย่างไรเลย
    จนกระทั่ง เมื่อครั้งที่ได้รับมอบ"ชายจีวร" ของ"สมเด็จพระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน วัดราชสิทธาราม กรุงเทพมหานคร"ซึ่งเป็นพระบรมราชอุปัชฌายาจารย์แห่งรัชกาลที่ 1-4 และเจ้านายชั้นสูงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ "พุทธวงศ์"จึงได้แจ้งใจสิ้นเชิงทุกประการ........ <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ดูกันชัดๆจะๆ สำหรับรูปหล่อ"พระสงฆ์จีวรดอก" ยุคโบราณ(หลวงปู่ทับ วัดทอง กรุงเทพ)ที่หาดูหาชมได้ยากยิ่งที่สุด(ภาพนี้ ถ่ายติดแสงลึกลับด้วย) <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก ::
    http://www.phuttawong.net
     
  19. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    พระธรรมเทศนาของ
    หลวงปู่ทิม อิสริโก แห่งวัดละหารไร่ จ.ระยอง

    [​IMG]


    [​IMG]

    พระธรรมเทศนาของหลวงปู่ทิม อิสริโก แห่งวัดละหารไร่ จ.ระยอง
    เรื่อง
     
  20. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    วันนี้ได้โอนเงินจำนวน 6300 บาท เข้าบัญชีทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อาจารย์ประถม อาจสาคร โดยมีรายนามผู้บริจาคต่อไปนี้
    คุณอนันต์ ตั้งธาราวิวัฒน์
    คุณสุนารี ตั้งธาราวิวัฒน์ 1000 บาท
    คุณสงวนชัย อัครวิทยาภูมิ 1000 บาท
    คุณปิยะวัฒน์ วรัทเศรษฐ์ 1000 บาท
    คุณวิศัลย์ ณ ระนอง 1000 บาท
    คุณนาลดา อมรพัชระ และ บุตร 400 บาท
    คุณชมพู ดิษฐ์ประเสริฐ 200 บาท
    คุณภิญญดา ตั้งธาราวิวัฒน์ 500 บาท
    คุณพลภัทร ตั้งธาราวิวัฒน์ 1200บาท เป็นเงินที่ได้เหลือจากการค่าส่งพระและนำพระหลวงปู่หมุนที่เป็นของส่วนตัวให้บูชาโดยไม่หักค่าใช้จ่ายแบ่งมาทำบุญประจำเดือนนี้

    ขอโมทนากับทุกๆท่านด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...