พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ฮา...[​IMG]
     
  2. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ไม่ได้บังเอิญครับ ผมแอบไปข้างบ้านตาลุง เห็นแว๊บๆ ว่าเขาดูหนังเรื่องนี้...อิ...อิ...
     
  3. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    กับบทบาทแม่ทัพหม่าซิงอี่ ในเรื่อง ผมว่าเล่นได้ดีมาก เนื้อหา+ความรู้สึกเป็นอย่างที่คุณน้องนู๋บรรยายเลยครับ คุณหมอเอกหามาดูก็ได้นิ ไม่รู้ว่าจะเครียดเพิ่ม หรือผ่อนคลายนะ..แต่หนังไม่ทำเงินเท่าไหร่...
     
  4. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    หวยที่ออกทุกวัน จะเรียกว่า "หวยปิงปอง" ครับ
     
  5. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    55555ชื่อผมก็มันงั้น ๆครับ บังเอิญนี่มันชื่อ นายหญิงครับ หุ หุ
     
  6. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    ตอนนี้ทองคำ 942 แล้วครับ ท่านกูรู น้องนู๋
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กุมภาพันธ์ 2009
  7. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เอาไงดีครับ หุ หุ
    ผมมักไม่ค่อยชอบตัวเองตอนรู้สึกตามคนส่วนมากที่มองว่าขึ้นครับ แต่ก็ต้องยอมรับนะครับ การที่ในโลกไม่มีสิ่งใดๆให้นักลงทุนยึดเหนี่ยวก็คงต้องเป็นโลหะมีค่าครับ บางสำนักว่ากันว่า อีก ไม่เกิน ปีข้างหน้าเห็น ที่1200ครับ ส่วนผมๆว่าโลหะมีค่านี่มันก็มีข้อจำกัดของมันเหมือนกันนะครับ เช่น มันไม่ใช่ใช้แล้วหมดไปเพียงแต่มันถ่ายเทจากผู้ขายไปผู้ซื้อเท่านั้นครับ
    ตอนนี้ประเด็นที่ผมกำลังสนใจคือรัฐมนตรีคลังสหรัฐได้หลุดคำพูดออกมาว่าเงินที่ให้830000 นั้นไม่พอหรอกครับ ต้อง อีก2ล้าน ซึ่งก็ตรงกับที่ผมเคยบอกไว้แล้วว่าความเสียหายเบื้องต้น แค่ 300000ต้อง ใช้เงินอุ้มถึง 10เท่านั่นคือ 3ล้านครับ ตอนนี้ใส่ไป 5แสนหายไปเลยครับกำลังจะใส่อีก8.3แสน ก็คงอยู่ได้สัก4-5เดือน ต่อไปก็ต้องตามดูครับว่าจะกล้าใส่เงินสู้จนถึงที่สุดหรือไม่ครับ เข้าคติถอยหลังหกล้มครับ แต่ว่าไปสถานการณ์ยังงี้แร้งชอบมากครับ หุ หุ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สงสัยว่า จะต้องไปซื้อมาดูมั้งแล้ว ไม่รู้เรื่องเลย

    .
     
  9. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่าน โดยเฉพาะพี่แอ๊ว ผมขอส่งกำลังใจ และขอให้ผลบุญที่บำเพ็ญดีแล้วนี้ส่งผลให้พี่แอ๊วมีความสุขกายสบายใจ คิดการสิ่งใดขอให้สำเร็จ สมความปรารถนาทุกๆประการ...ผ่านเดือนพ.ย.นี้คงได้เวลาปฏิบัติทาน ศีล ภาวนาอย่างเต็มที่แล้วครับ ขอโมทนา...
     
  10. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    หุหุ คุยอะไรกันเรื่องหวยครับนี่ บอกตรงๆเพิ่งเคยได้ยินคำว่า หวยปิงปอง มันเป็นยังไงอ่ะครับ

    ว่าแต่ว่า (มาอีกแล้วประโยคนี้) พี่ๆอย่าหาว่าผมจับจดเลยนะครับ พอดีอยากทำให้ดี แล้วมันรู้สึกแปลกๆ เลยมารบกวนถามอีกที
    คือผมนั่งตรวจแล้วพบว่าในบท พาหุงมหากา ที่ขอความเห็นไปเมื่อวานนั้น ตกลงแล้วเราได้ข้อสรุปว่า กัตวานะ ปูเรตวา จะเห็นว่าคำว่าตวา เราไม่ใช้ ตะวา
    แต่เมื่อมาในส่วนของพระคาถาชินปัญชร เราจะเห็นว่าเราใช้คำว่า เชตะวา สุตตะวา เจตะวา เลยมาถามอีกครั้งว่า เปลี่ยนให้เป็น ตวา เหมือนกันไหมครับ
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แฉ 6 ขั้นตอนหลอกฟันสาว เตือนวัยใสรู้ทันวาเลนไทน์

    http://hilight.kapook.com/view/33788

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]



    สธ.แฉ 6 ขั้นตอนหลอกฟันสาว เตือนวัยใส รู้ทันวาเลนไทน์ (คมชัดลึก)

    สธ.แฉ 6 ขั้นตอนหลอกฟันสาวเริ่มจากชวนเที่ยวจบที่มีเพศสัมพันธ์ แจงปัจจัยเร่งเร้ามีเซ็กส์ แนะยึดหลัก "5 ไม่" สาวไม่แต่งโป๊ หนุ่มไม่หวังเผด็จศึก

    เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ นพ.ชาตรี บานชื่น อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวในการแถลงข่าวและเสวนาเรื่อง "สร้างพลังใจ วัยใส รู้ทันวาเลนไทน์" ที่สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรุงเทพฯ ว่าวันวาเลนไทน์เป็นวันที่มีความเสี่ยงเพราะเยาวชนบางคนตั้งเป้ามีเพศสัมพันธ์ แต่เยาวชนยังไม่รู้จักถูกผิด จึงต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจใน 3 เรื่อง ได้แก่ เพศ ความรุนแรง และยาเสพติด เพื่อให้เยาวชนรู้จักถูกผิด จะไม่ได้ไม่มีปัญหาและหมดอนาคต ทั้งนี้ กรมสุขภาพจิตร่วมกับกลุ่มภาคีเครือข่ายจัดขบวนรณรงค์ "สร้างพลังใจ วัยใส รู้ทันวาเลนไทน์" ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์นี้ เวลา 16.00-17.00 น. บริเวณด้านหน้าฮาร์ด ร็อค คาเฟ่ สยามสแควร์

    นพ.บัณฑิต ศรไพศาล ผอ.สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กล่าวว่า สถาบันได้สำรวจความคิดเห็นเยาวชนในหัวข้อ "ความรักวันวาเลนไทน์ วิธีการนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสม" จำนวน 386 คน ระหว่างวันที่ 19-23 มกราคม 2552 แบ่งเป็นเยาวชนชายบ้านกาญจนาภิเษก 157 คน เยาวชนหญิงของสหทัยมูลนิธิ 29 คน นักเรียนมัธยม 200 คน จาก ร.ร.รัตนโกสินทร์สมโภช และ ร.ร.สุรศักดิ์มนตรี และสัมภาษณ์เชิงลึกกรณีศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากการที่มีเพศสัมพันธ์ไม่เหมาะสม 7 คนจากมูลนิธิเพื่อนหญิงสหทัยมูลนิธิ บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ และบ้านกาญจนาภิเษก

    [​IMG] 6 ขั้น ชักนำไปสู่เพศสัมพันธ์

    จากผลสำรวจพบว่า เส้นทางการแปลงความรักบริสุทธิ์ในโอกาสวันวาเลนไทน์สู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมมี 6 ขั้นตอน ได้แก่

    [​IMG] 1. ชวนเที่ยววันวาเลนไทน์ 2.ชวนรับประทานอาหาร มอบของขวัญ ดอกไม้ 3.ชวนไปเที่ยวต่อผับ บาร์ คาราโอเกะ หรือดูหนังรอบดึก เดินเล่นสวนสาธารณะ ชวนไปค้างคืนต่างจังหวัด เช่น ชายทะเล 4.ชวนหรือหลอกไปที่ลับตาคน เช่น โรงแรม บ้าน ห้องพักส่วนตัว โดยอ้างว่าจะพาไปส่งบ้านแต่ไม่ส่ง แล้วแกล้งแวะไปเอาของที่บ้าน บอกว่าพ่อแม่อยากเจอ บอกว่าของขวัญอยู่ที่บ้าน) หรือในรถ (ระหว่างขับไปส่งบ้าน แล้วไปจอดที่ลับตา) หรือชวนไปเดินชายทะเลหรือสวนสาธารณะที่มืดๆ 5.กอด จูบ เล้าโลม 6.มีเพศสัมพันธ์

    ทั้งนี้ 5 อันดับแรกที่กลุ่มตัวอย่างเห็นว่าชายใช้หลอกหญิงและหญิงใช้หลอกชายมากที่สุด ได้แก่ ชวนไปที่ลับตาคนร้อยละ 42 ตามมาด้วยการใช้แอลกอฮอล์มอมเมาร้อยละ 39 อันดับสามเป็นการใช้คำพูดหวานทำให้เคลิบเคลิ้มร้อยละ 36 อันดับสี่เป็นการแต่งกายเซ็กซี่ยั่วยวนร้อยละ 33 และอันดับที่ห้าเป็นการแสดงท่าทางไม่ถือเนื้อตัวร้อยละ 32

    [​IMG] ใช้คำหวานหลอกล่อให้ลุ่มหลง

    นพ.บัณฑิตกล่าวอีกว่า ส่วนปัจจัยเร่งบรรยากาศนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์มี 6 ปัจจัยโดยแบ่งออกเป็น 3 ปัจจัยเร่งที่ฝ่ายชายใช้หลอกฝ่ายหญิง ได้แก่ 1.ใช้คำพูดหวานที่ทำให้เคลิบเคลิ้ม เช่น ผมรักคุณที่สุด วาเลนไทน์นี้มีคุณคนเดียว รักคุณคนเดียว หรือคำพูดที่สร้างความหวาดกลัวด้วยคำพูดขู่ว่าจะขอเลิกกัน 2.ทำให้ขาดสติด้วยการมอมเมาด้วยแอลกอฮอล์ 3.ทำให้เกิดอารมณ์ทางเพศ

    นอกจากนั้น อีก 3 ปัจจัยเร่งที่ฝ่ายหญิงใช้หลอกฝ่ายชาย ได้แก่ แต่งกายยั่วยวนเกินเหตุเช่น สายเดี่ยว เกาะอก นุ่งน้อยห่มน้อย นุ่งสั้น โป๊ โชว์อึ๋ม พูดยั่วยวน เชิญชวนหรือท้าทายเรื่องเพศ ตลอดจนการแสดงออกด้วยท่าทางหรือการกระทำในลักษณะส่งสัญญาณความไม่ถือเนื้อถือตัว ได้แก่ การจับมือถือแขน โอบกอดจูบ แสดงกิริยาท่าทางในลักษณะให้ดูเซ็กซี่

    [​IMG] ตัดไฟแต่ต้นลมก่อนถูกล่วงเกิน

    สำหรับ 5 อันดับแรกที่ฝ่ายหญิงคิดว่าเป็นวิธีการเร่งการมีเพศสัมพันธ์ ได้แก่ 1.ชวนรับประทานอาหาร มอบของขวัญหรือดอกไม้ร้อยละ 76 2.ชวนไปที่ลับตาคนร้อยละ 55 3.พูดจาท้าทายเรื่องเพศร้อยละ 41 4.ใช้คำหวานทำให้เคลิบเคลิ้มร้อยละ 34 5.แสดงท่าทางไม่ถือเนื้อถือตัวร้อยละ 28 ส่วน 5 อันดับแรกที่ฝ่ายชายคิดว่าเป็นวิธีการเร่งการมีเพศสัมพันธ์ ได้แก่ 1.แต่งกายยั่วยวนร้อยละ 52 2. แสดงท่าทางไม่ถือเนื้อถือตัวร้อยละ 52 3.ใช้คำหวานร้อยละ 50 4.ชวนไปที่ลับตาคนร้อยละ 28 5.ชวนรับประทาน/มอบของขวัญหรือดอกไม้ร้อยละ 26

    "วัยรุ่นควรจะหยุดเส้นทางความสัมพันธ์ชายหญิงให้ได้ในขั้นที่ 3 เพื่อไม่ให้มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ทั้งนี้ เห็นได้ว่าฝ่ายหญิงมองว่าการชวนรับประทานอาหาร มอบของขวัญ ดอกไม้เป็นปัจจัยเร่งการมีเพศสัมพันธ์อันดับแรกเพราะมองว่าผู้ชายอุตส่าห์ลงทุนลงแรงหาของขวัญมาด้วยความยากลำบาก จึงเกิดความรู้สึกประทับใจจนนำไปสู่การยอมมีเพศสัมพันธ์ด้วย ขณะที่การแสดงท่าทางไม่ถือเนื้อถือตัวเป็นอันดับที่ 5 ส่วนการแต่งกายเซ็กซี่ยั่วยวนไม่ติดห้าอันดับด้วยซ้ำ และไม่ได้คิดว่าจะถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์ ขณะที่ชายเห็นว่าปัจจัยเร่งการมีเพศสัมพันธ์คือ การแต่งกายเซ็กซี่ยั่วยวนและแสดงท่าทีไม่ถือเนื้อถือตัวแสดงว่าพร้อมจะมีเพศสัมพันธ์ด้วย" นพ.บัณฑิตกล่าว

    [​IMG] "5 ไม่" สาวต้องไม่แต่งโป๊

    นพ.บัณฑิตกล่าวต่อไปว่า ส่วนข้อแนะนำวัยรุ่นชายหญิงในโอกาสวันวาเลนไทน์ป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรนั้น สำหรับผู้หญิงมีข้อแนะนำ "5 ไม่" ได้แก่ 1.ไม่แต่งกายยั่วยวน 2.ไม่เชื่อคำพูดชายง่ายเกินไปและไม่กลัวคำขู่ว่าจะขอเลิก 3.ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่ค้างคืน ไม่กลับดึก ไม่กลับถึงบ้านเกินสี่ทุ่ม ไม่ไปที่ที่อยู่ด้วยกันสองต่อสองหรือที่ลับตาคน 4.ไม่ดื่มสุรา ไม่ดูหนังหรือคลิปโป๊ และ 5.ไม่ให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์แบบผิดทางคือ คิดว่าการมีเพศสัมพันธ์คือการพิสูจน์ความรัก

    [​IMG] หนุ่มไม่หวังเผด็จศึก

    ส่วนวัยรุ่นชายมีข้อแนะนำ "5 ไม่" ได้แก่ 1.ไม่หวังเผด็จศึกคือไม่ควรคิดจะต้องมีเพศสัมพันธ์ให้ได้ 2.ไม่ทิ้งศีลธรรมคือต้องมีจิตใจที่คิดถึงความถูกผิดด้วย 3.ไม่ลืมคิดถึงผลที่ตามมาเช่น อาจติดโรคเอดส์ แฟนสาวอาจท้องจนต้องทำแท้งหรือออกจากโรงเรียน 4.ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่ค้างคืน ไม่กลับดึก ไม่ดื่มสุรา ดูหนังหรือคลิปโป๊ 5.ไม่ลืมใช้ถุงยางอนามัย หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ได้

    "วัยรุ่นหญิงบ้านพักฉุกเฉินรายหนึ่งเล่าว่า ประทับใจที่แฟนหาของขวัญราคาแพงมาให้ คิดว่าเขาหามาด้วยความลำบาก จึงใจอ่อนยอมมีเพศสัมพันธ์ด้วย แต่หลังจากนั้นก็ถูกแฟนทิ้ง จึงขอเตือนวัยรุ่นหญิงว่าอย่าประทับใจในเรื่องของขวัญราคาแพง และอย่ากลัวคำขู่ผู้ชายขอเลิกหากไม่ยอมมีอะไรด้วยเพราะของที่ได้มายากผู้ชายจะเห็นคุณค่ามากกว่าของที่ได้มาง่ายๆ ดังนั้น ผู้หญิงอย่าให้ตัวเองเป็นของตาย แต่ไม่ใช่มีกิ๊ก หากรักเราจริงก็ต้องรอได้ เพื่อมีอนาคตที่ดีด้วยกัน" นพ.บัณฑิต กล่าว

    นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ นักวิชาการกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ขอฝากถึงเยาวชนในวันวาเลนไทน์นี้ระวังเสียค่าโง่ใน 2 เรื่องคือ เสียค่าดอกไม้ราคาแพงๆ และผู้หญิงระวังเสียตัว

    นางทิชา ณ นคร ผอ.ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า การที่วัยรุ่นกล้าปฏิเสธในสิ่งที่ไม่เหมาะสม เช่น มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ถือเป็นสิ่งที่กล้าหาญ และจะต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็กๆ ดังนั้น ผู้ใหญ่ต้องใจกว้างเปิดพื้นที่ปฏิเสธให้แก่เด็กๆ ในเรื่องที่มีผลกระทบต่ออนาคตของตัวเอง ขอเตือนวัยรุ่นหากชีวิตผิดพลาดไปแล้วแก้ไขยาก อย่าให้วันวาเลนไทน์เป็นฝันร้ายของตัวเอง

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก คมชัดลึก
    [​IMG]
    ภาพประกอบจาก glitter.kapook.com
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องเล่าตำรับคุณชาย ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ...วัฒนธรรมอาหารในสังคมไทย...
    http://www.matichon.co.th/prachacha...g=02spe01120252&day=2009-02-12&sectionid=0223



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เล่าขานตำนานศาลายา ครั้งที่ 3 ตอน "เปิดตำรับ สำรับศาลายา" จัดขึ้นที่เรือนไทย มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ.2551 สาขาศิลปะการแสดง ดนตรีไทย-สากล ขับร้อง ได้ปาฐกถานำเรื่อง "วัฒนธรรมอาหารในสังคมไทย" ไว้อย่างน่าสนใจ

    คุณชายถนัดศรี ผู้สร้าง "เชลล์ชวนชิม" นับเป็นปูชนียบุคคลทางด้านอาหาร เป็นนักชิมที่มากด้วยประสบการณ์เกิดในวัง โตในวัง และมีครอบครัวในวัง

    ตลอดอายุที่ผ่านมา 82 ปีของคุณชายถนัดศรี จึงเป็นเสมือนการเล่าขานตำนานอาหารให้คนรุ่นหลังฟังอย่างเอ็นดู

    "ยิ่งแก่ไม่รู้งานมันเข้าอย่างไร ที่จริงคนอายุ 82 เขาควรจะนั่งหายใจทิ้งแล้วนะ แต่ผมนั่งหายใจทิ้งไม่ได้ ประเดี๋ยวก็มา ประเดี๋ยวก็มา ยิ่งตอนได้ศิลปิน แห่งชาติ ทั่วสารทิศก็จองงานเลี้ยง ผมก็บอกว่ามีแต่อาหารกลางวันกับอาหารค่ำ ต่างก็ทยอยจองกันมา อาหารเย็นบางทีก็ยืดเยื้อไปจนกระทั่งถึง 2 ยาม ขอเรียนตามตรงว่าเวลานี้ เหนื่อยเต็มที เหนื่อยในการกินครับ"

    "แล้วก็อายุมากเข้าแล้ว เรื่องอาหารต่างๆ นานานี่ ลดน้อยถอยลงมากเลยทีเดียว เพราะว่าทางญี่ปุ่น เขาบอกว่าคนที่จะอายุยืนต้องประกอบด้วย 2 ประการ คือ 1.รับประทานอาหารที่เป็นปลา2.ร้องเพลงวันละ 3 เพลง"

    คุณชายถนัดศรี เกริ่นนำอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับเข้าเรื่องอาหารว่า

    "ส่วนเรื่องอาหารการกินนั้น ผมคุ้นกับอาหารชาวบ้านดี ก็อยากจะเรียนให้ทราบว่า วัฒนธรรมทางด้านอาหารของเรามันมีที่มา ตั้งแต่มีเอกสารอ้างอิงก็คือ ในสมัยอยุธยา ทางบาทหลวงฝรั่งเศสที่เข้ามาในเมืองไทย เช่น บาทหลวงเดอ แดร์ ลูแบร์ ที่เห็นอะไรก็จะจดไว้หมด วิถีชีวิตของคนไทยในสมัยนั้นเป็นอย่างไร ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีคนมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารหลายพวก หลายเหล่า มีจีน มีญี่ปุ่น มารับราชการจนได้เป็นออกญาภิมุข เป็นเจ้าเมือง คนที่มาจากตะวันออกกลาง ก็คือต้นตระกูล บุนนาค เฉก อาหมัด คำว่าเฉก ก็มาจากคำว่าชีค ก็คือหัวหน้าเผ่า ลากเข้าเป็นภาษาไทย ก็คือ เฉก ท่านก็เลยกลายเป็น เฉก อาหะหมัด ตระกูลบุนนาคนั้นเป็นตระกูลใหญ่ และมีวงศ์วานออกไปอีกไม่รู้อีก กี่ตระกูลด้วยกัน และตระกูลบุนนาคนี้นำเอาอาหารจากตะวันออกกลาง คือ ข้าวหมกไก่ เอาเข้ามา"

    คุณชายถนัดศรีกล่าวว่า ในสมัยก่อนจะมีการแบ่งอาหารเป็น อาหารไทยแท้ อาหารไทยที่มีอิทธิพลของอาหารต่างชาติเข้ามาปะปน และต่อมาเป็นอาหารที่รวมกันหมดแล้วในสมัยรัชกาลที่ 5

    "ในสมัยรัชกาลที่ 2 สมเด็จพระศรีสุริเยนทร์ ท่านทรงเก่ง ในเรื่องการทำครัว ถ้าได้อ่านพระราชนิพนธ์กาพย์ห่อโคลงชมเครื่องคาวหวานของรัชกาลที่ 2 ท่านจะเห็นได้ว่ามีอาหารการกินมากมายเหลือเกิน นั่นเป็นอาหารที่รวมเอาอิทธิพลของอาหาร ต่างชาติเข้ามารวมเป็นอาหารไทย"

    "อาหารไทยที่แท้จริงนั้น ตามที่เดอ แดร์ ลูแบร์ เขาบอกเอาไว้ว่า คนไทยเราจะกินคือ ปิ้งย่าง แล้วถนอมอาหารด้วยการตากแดด เช่น ปลากรอบ แล้วก็มีต้ม ในสมัยนั้นยังไม่มีใครรู้จักที่จะเอา มะพร้าวมาทำเป็นอาหารคาว คนที่เอามะพร้าวมาทำเป็นอาหาร คาวได้นั้นคือ ตระกูลบุนนาค มีอาหารของตะวันออกกลางที่ใช้ นมเปรี้ยวคือข้าวหมกไก่ มาเมืองไทย คนไทยไม่กินสัตว์ใหญ่ ไม่กินนม ไม่รู้จักเลย นมควายก็ไม่มีใครแย่ง ให้ลูกควายมันกิน แต่คนที่มาจากตะวันออกกลางไม่มีนม ก็เลยเอากะทิคั้นให้ข้นๆ ใช้แทนนมวัวนมควายทำข้าวหมกไก่ จึงได้ชื่อว่า coconut milk ตระกูลบุนนาคจึงได้ชื่อว่าใช้กะทิมาใส่อาหาร"

    "อาหารแต่ดั้งเดิมของเรานี้ก็มีแต่ปลาเป็นพื้น เพราะสัตว์ใหญ่เราไม่กินนะครับ มีปลาเป็นพื้นเลย ไก่นั้นในตอนหลังถึงกิน ไม่อย่างนั้นไม่กิน ถือว่าบาป จะกินปลาเท่านั้นเอง ในสมัยนั้นเดอ แดร์ ลูแบร์ จึงบอกว่าจะต้องมีปลา จะเป็น ปลาย่าง ปลาแห้งก็เอามาทำต้มโคล้ง มีต้ม มีจิ้น จิ้นนี่

    ก็เป็นการถนอมอาหาร เป็นปลาร้า ปลาแจ่ว อันนี้ทำเอาไว้รับประทานได้นานๆ มีคำถามว่าการถนอมอาหารต้องใช้เกลือ เครื่องแกงของเราต้องมีกะปิ อยุธยา ลพบุรี อยู่ลึกเข้าไปเอาเกลือมาจากไหน ในคำให้การชาวกรุงเก่าได้ระบุไว้ว่า พวกของทะเล พวกอาหารเค็ม เกลือ กะปิ มาจากแม่กลอง ที่สมัยก่อนเรียกว่าบางช้าง มาจากแม่กลองโดยเฉพาะเลยทีเดียว แล้วก็จะมีพ่อค้าแม่ค้าเอาเกลือ ของเค็มมาจากทางแม่กลอง มาขายอยู่ที่ท้ายวัดพนัญเชิง อันนี้ทำให้เราได้รู้ว่า เอาเกลือมาหมักทำปลาร้าก็มาจากที่แม่กลองนี่เอง ก็ทำให้เรารู้ว่าเราใช้น้ำปลาอย่างไร เพราะว่าน้ำปลาเกิดจากการหมัก ไม่ว่าจะเป็นปลาสร้อยหรือจะเป็นปลาทะเล ก็จะเป็นน้ำปลาที่เอร็ดอร่อยขึ้นมา"

    "เดอ แดร์ ลูแบร์ เมื่อตอนที่กลับฝรั่งเศส มีคนเอาปลาร้าให้ไปไหหนึ่ง การเดินทางจากอยุธยาไปถึงนั่นเป็นเวลา 4 เดือน เดอ แดร์ ลูแบร์ บอกว่า ปลาร้าที่เป็นตัวๆ กลายเป็นน้ำไปหมดแล้ว กว่าจะถึงที่เมืองมาร์กเซย อันนี้ก็ทำให้เราได้ทราบว่าในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช คนไทยกินอะไร"

    "ย้อนกลับมาว่า ในสมัยก่อนเรากินอะไรบ้าง อาหารนั้นแกงเผ็ด ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ท่านเขียนไว้ในตำรา ถ้าเป็นแกงเผ็ดที่ใส่กะทิ ท่านจะใช้คำว่า แกงเผ็ดไก่กับกะทิ ถ้าเรียกว่าแกงเผ็ดไก่นั้นคือ แกงป่าอย่างที่เรารู้จัก ส่วนเครื่องแกงมีพริก กะปิ หอม กระเทียม ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด อันนี้เป็นของประจำอยู่ จะขาดอะไรไปไม่ได้ คนสมัยก่อนจะรู้ดีว่าเรื่องแกงอย่างนี้จะต้องทำกัน ไม่เหมือนในปัจจุบัน เขามีเครื่องแกงสำเร็จขาย บางคนก็ไม่รู้ อย่างอาหารที่เมืองนอก แกงเผ็ดที่เมืองนอกมันจะไม่เหมือนแกงเผ็ดในเมืองไทย ตามร้านอาหารใหญ่ๆ เขาจะไม่ผัดน้ำพริกแกง นั่นเป็นความผิดอย่างมหันต์"

    "แกงเผ็ดไก่ แกงเผ็ดอะไรต่างๆ นานานี้ ต้องมีการผัดน้ำพริกแกง แล้วน้ำพริกแกงนี้เราต้องรู้ สมมติถ้าเราจะแกงไก่ เรากำหนดไว้เลย ถ้าไก่ก็ดี เนื้อก็ดี มีน้ำหนัก 1 กิโลกรัม จะต้องมีเครื่องแกงที่ตำแล้ว 2 ขีด อันนี้เป็นเรื่องตายตัว แล้วเวลาที่จะทำนั้นต้องใช้หัวกะทิ ตั้งไฟ พอมันเลื่อมๆ ก็เอาเครื่องแกงลง แล้วค่อยๆ ผัดไป ไฟอ่อนๆ ผมเคยทำให้ดูในงาน Food Festival ที่ลอนดอน บอกว่าคนที่ทำร้านอาหารไทยที่เมืองนอกนั้นมันไม่ใช่แกงเผ็ด แต่เขาเรียกแกงบวช คือตั้งกะทิเข้าแล้วก็เอาเครื่องแกงใส่ลงไป ชิมมาแล้วเอามาให้เรากินกัน เพราะฉะนั้นมันไม่หอมครับ แกงเผ็ดนั้นมันจะต้องผัดน้ำพริกแกง เวลาที่ผมทำให้เขาดู เขาก็ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าเครื่องแกงสุก ผมก็บอกว่าใช้จมูกของเอ็งสิ พอเวลามันจะสุกนี่ เอ็งจามฮัดเช้ย นั่นละสุกแล้ว"

    "ผมก็ทำให้ดู พวกนั้นก็มามุงดู ค่อยๆ ทำๆ ไป ก็มีคนถามว่า when ผมก็บอกว่าไม่ต้อง when นั่งรอๆ ก่อน ถ้าเอ็งจามเมื่อไหร่นั่นละคือ when (ฮา) ผลสุดท้ายพวกอาหารไทยก็เลยขอตำรา คราวนี้มีอีก ให้ผมแก้ไข บอกว่าตำราที่ให้นี่ เนื้อ 1 กิโลกรัมต่อ น้ำพริกแกง 2 ขีด คราวนี้เราทำเป็น potion (แบ่งเป็นจำนวนที่น้อยลง) แต่ละถ้วย ไม่ได้แกงจนกระทั่งเป็นหม้อใหญ่ๆ เหมือนร้านขายข้าวแกงที่ในเมืองไทย จะมีการทำอย่างไร ไม่ให้เหลือเพราะเขาสั่งมาเป็น potion"

    "ผมก็บอกง่ายจะตายไป เอ็งก็ดูมาก็แล้วกัน สมมติว่า แกงไก่ แกงเนื้อ มีเนื้อ 200 กรัม ก็ทอนน้ำพริกแกงออกมา เอาน้ำพริกแกง 2 ขีด ผัดจนกระทั่งสุกก่อนแล้วก็แบ่งออกมาให้ได้สัดส่วนกับเนื้อ 200 กรัม เขาก็ถึงบางอ้อ แล้วเขาก็ถามว่าจะเก็บอย่างไร อ้าว ก็ถุงร้อนถุงพลาสติกสิ (โว้ย) เอาใส่ไว้แล้วเก็บไว้เลย พอเขาสั่งมาหนึ่งถ้วย เราก็แยก เราก็รู้อยู่แล้วว่า เนื้อเรา 200 กรัม ก็เอานี่แกง เวลานี้ร้านอาหารไทยที่เอาตำรับผมไป ก็มีคนกินกันแหลกลาญกันเลยทีเดียว เพราะว่ามันมีรสชาติเหมือนกับเมืองไทย"

    คุณชายเล่าถึงความเหมือนและแตกต่างระหว่างอาหารที่เรียกว่าชาววังกับชาวบ้านว่า

    "อาหารชาววังนี้ที่เขาบอกว่าจะต้องหวาน มันไม่จริง อาหารชาววังนั้นเหมือนกับอาหารชาวบ้านทุกอย่างเลย อาหารชาวบ้านแต่ละแห่งมีของดีของแต่ละท้องถิ่น อย่างแถบๆ นครปฐมแถบนี้ มีแกงไก่ แกงแดงแกงไก่นี้ แต่เขาสับกระดูกใส่ลงไปด้วย แทนที่เขาจะใส่แต่เนื้อไก่ กระดูกนั้นมันมี marrow (ไขในกระดูก) ซึ่งเป็นของโอชะ เพราะฉะนั้นการที่เราจะต้มแล้วตักออกไป ไอ้ marrow ที่อยู่ในกระดูกนั้นมันจะ ออกมาผสมกับน้ำแกง ทำให้เกิดความเอร็ดอร่อย อันนี้เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน"

    "มีคนถามว่า เอ๊ะ แกงไก่ชาวบ้านทำไมเขาต้องสับทั้งกระดูก คำตอบก็คือ โคตรพ่อโคตรแม่ทำอย่างนี้มา (ฮา) ผมก็บอกว่าทีหลังใครเขาถามก็ให้บอกว่า ไขกระดูกมันออกมากับน้ำแกงถึงจะทำให้เอร็ดอร่อย เป็นอย่างนี้นะครับ"

    "สำหรับอาหารในปัจจุบันนี้ ถ้าท่านได้เห็นว่าเมนูอาหารสำหรับพระเจ้าอยู่หัวในตอนนี้ เมนูอาหารของท่านน้อยมากครับ เสวยน้อยมาก แต่สำหรับสมเด็จยังเต็มที่อยู่ ผมเคยทำปลาร้า คนบอกว่าเจ้านายเสวยปลาร้าได้อย่างไร ต้องทำปลาร้าที่ต้มกะทิ ถ้าปลาร้าต้มกะทินั้นจึงจะเสวยได้ แล้วเวลาจะตั้งเครื่องเนี่ย ต้องกะลามะพร้าวขัดจนมัน แล้วก็บรรจุเข้าไป มันถึงจะถูกต้องเป็นเครื่องเสวย"

    "ผมบอก ผมให้เสวยปลาร้าด่วน แบบที่เขาเรียกว่าปลาร้าป่น ก็เห็นเสวยนี่ครับ ผมทำให้เสวย ท่านก็เสวยอยู่ได้ 7 วัน แล้วก็ วันดีคืนดี อยู่ที่บ้าน มหาดเล็กก็มาแล้ว ต้องพระประสงค์จะเสวยปลาร้า ผมก็ต้องลุกขึ้นทำปลาร้าถวาย"

    "เรื่องของอาหารชาววังนี้ เหมือนกับชาวบ้านทุกประการ ข้อกำหนดมีอยู่ 3 อย่างเท่านั้นเอง และที่บอกว่าชาววังกินหวาน มันเป็นความรู้สึกที่ผิด ทำไม่เป็น ไม่ใส่ผงชูรส ก็เอาน้ำตาลใส่ลงไป"

    "การใส่น้ำตาล ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ท่านจะต้องเหยาะน้ำตาลลงไป ท่านบอกว่าใส่น้ำตาลแก้กร่อย อร่อยจริง มันจะไปคุมเอารสชาติของน้ำพริกแกงที่มันอยู่กระจัดกระจายไปมารวมอยู่เป็นรสชาติที่โอชะ เพราะว่าน้ำตาลเป็นตัวเรียกทุกสิ่ง ทุกอย่างที่กระจัดกระจายมารวมอยู่เป็น หนึ่งเดียว อันนี้เราก็รู้ว่าน้ำตาลมีคุณสมบัติอย่างนี้"

    "แต่ความที่นึกว่าในวัง อาหารชาววังต้องกินหวาน เพราะว่าชาววังนั้นเขาจะเอาของคาวมาทำเป็นของหวาน เช่น ไข่แมงดา เขาเอามาเชื่อม แล้วก็รับประทานเป็นของกินเล่น คนก็เลยนึกว่า ไข่แมงดาต้องเอามาแกงคั่ว แต่ชาววังเขาเอามาเชื่อมกิน แสดงว่าเขาชอบหวาน ถ้าพูดกันต่อๆ ไป ใครได้ยินขอให้เอาเปลือกทุเรียนตบปาก (ฮา) มันไม่ใช่ครับ"

    "อาหารของชาววังนี้ เหมือนกับอาหารของชาวบ้านทุกประการ เพียงแต่วิลิศมาหรา สมมติว่าเป็นแกงต้มจืด หน่อไม้ที่จะใช้ใส่ในแกงต้องเป็นรูปสัตว์ต่างๆ รูปปลา รูปโน่นรูปนี่ ถ้าเป็นน้ำพริกจะตั้งเครื่อง ก็ต้องมีของแนม ของแนมนั้นมีหลายอย่างจะเป็นปลาทูก็ได้ แต่ต้องแกะก้างออกให้หมด แล้วก็มีปลาดุกฟู ซึ่งปลาดุกฟูนี้เป็นของในวังแท้ๆ เลยทีเดียว เพราะว่ามันไม่มีก้าง ไม่มีเปลือก ไม่มีกระดูก"

    "เวลาจะตั้งเครื่องน้ำพริก จะต้องมีหมูหวานเป็นของแนมเข้าไปด้วย น้ำพริกต้องมีปลา ปลาทู ปลาช่อน ปลาดุกฟู ถึงจะเข้าเป็นสำรับ ส่วนผักที่จะเสวยนั้นต้องทำเป็นคำๆ ถ้าเป็นผักดิบอย่าง เช่น ผักบุ้ง จะเลือกเอาแต่ยอดเท่านั้นเอง ถ้าผมทำปลาร้าถวาย ผมจะเอายอดคะน้าแช่เย็นให้มันกรอบ ให้เสวยเป็นผักกับปลาร้าป่น" คุณชายถนัดศรีกล่าว

    ณ เวลานี้ ตำรับตำนานที่สั่งสมตามประสบการณ์ของคุณชายถนัดศรี นับเป็นความรู้ที่ค้นหาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน

    ยังมีตำรับเชลล์ชวนชิมอีกหลายขนานหลายสูตร

    เป็นสำรับที่ใครได้ลอง ก็ล้วนแล้วแต่ติดใจทุกคน
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ถูกปลดออก...ทำอย่างไรดี ?
    http://www.matichon.co.th/prachacha...g=02hmc02120252&day=2009-02-12&sectionid=0220

    คอลัมน์ ถามมา-ตอบไปสไตล์คอนซัลต์

    โดย อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา apiwut@riverorchid.com

    ช่วงนี้เป็นช่วงที่ใครต่อใครก็พูดถึงแต่เรื่องการปลดพนักงานออก ผมเองก็ได้รับคำถามเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ค่อนข้างเยอะมาก มีอีเมล์ฉบับหนึ่งเขียนมาถามผมเกี่ยวกับการปลดพนักงานออก ในอีเมล์แทบจะไม่ได้เขียนอะไรมากเลย ชื่อก็ไม่มี มีแต่คำถามสั้นๆ ที่เขียนว่า...มีข่าวลือภายในองค์กรว่าจะมีการปลดพนักงาน ผม/ดิฉันควรจะทำอย่างไรบ้างเพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง

    ดูเหมือนเจ้าของอีเมล์จะพยายาม ปกปิดตนเองมาก แม้แต่เพศยังไม่ต้องการให้ผมรู้เลย แต่ไม่เป็นไรครับ ผมจะพยายามตอบเท่าที่ตอบได้

    สำหรับข่าวลือเรื่องการปลดพนักงานออกนั้น ผมว่าตอนนี้หลายๆ องค์กรคงจะกำลังประสบกับข่าวลือประเภทนี้ โดยเฉพาะองค์กรข้ามชาติที่มีการปลดพนักงานออกแล้วในต่างประเทศ หรือองค์กรขนาดกลางและเล็กที่มียอดขายที่ลดลงในช่วงหลังของปีที่ผ่านมา

    พูดจริงๆ แล้วข่าวลือก็คือข่าวลือ แต่ข่าวลือส่วนมากจะมีความจริงผสมอยู่บ้าง (แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด) และคนส่วนมากจะนิยมเชื่อข่าวลือ โดยเฉพาะข่าวลือที่มาในทางร้ายๆ แต่การมีข่าวลือเรื่องการปลดคนออกมาภายในองค์กร จะเชื่อหรือไม่ อย่างน้อยคุณอาจจะต้องการเตรียมตัวในบางเรื่องไว้บ้าง

    สิ่งแรกที่ผมแนะนำในการเตรียมตัว คือการหาข้อมูล โดยข้อมูลที่คุณต้องหาเป็นข้อมูลเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของคุณ เรื่องอย่างนี้ถึงไม่บอกหลายคนคงเตรียมตัวไว้แล้ว แต่ที่ผมอยากจะแนะนำในการหาข้อมูลส่วนนี้คือเริ่มจากการมาดูว่ารายได้ที่ผ่านมาในแต่ละเดือนของเราเป็นอย่างไรบ้าง อะไรที่ได้รับเป็นประจำทุกเดือน แล้วลองศึกษากฎหมายแรงงานดูว่า ด้วยอายุงานของคุณ คุณควรจะได้รับค่าชดเชยกี่เดือน เช่น พนักงานที่ยังอยู่ในช่วงทดลองงาน จะไม่ได้รับค่าชดเชยใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนพนักงานที่ผ่านช่วงทดลองงานแล้วแต่ไม่เกิน 1 ปี จะได้ค่าชดเชย 1 เดือน เป็นต้น

    นอกจากนี้ ยังมีค่าตกใจอีกในกรณีที่ให้ออกจากงานในทันที คือคุณจะได้ 1 เดือนเป็นค่าตกใจเป็นอย่างน้อย (กฎหมายเรียกค่าตกใจนี้ว่า ค่าแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า) แต่ถ้าทางองค์กรบอกล่วงหน้า คุณจะไม่ได้ค่าตกใจนะครับ ผมคงพอบอกได้แค่คราวๆ เกี่ยวกับเรื่องกฎหมายแรงงาน ในรายละเอียดคุณอาจจะต้องไปศึกษาเองเพื่อป้องกันสิทธิของตัวคุณเอง

    ทีนี้หลังจากที่คุณได้ศึกษาแล้ว และถ้าข่าวลือที่คุณได้ยินเกิดเป็นความจริงขึ้นมา สิ่งที่คุณต้องทำอย่างแรกเลยคือคุณต้องควบคุมตนเองให้ได้ อย่าโวยวาย หรือร้องไห้ฟูมฟายเสียใจจนเกินเหตุ ควบคุมสติของคุณให้ดี อย่าคิดจะแก้แค้นโดยการทำลายเอกสารที่องค์กรให้ไว้ หรือเดินไป ชกหน้านายจ้างเพราะนั่นจะเข้าข่ายเป็นคดีความได้ คุณคงไม่ต้องการที่จะตกงานและมีคดีความติดตัวไปตลอดชีวิต...ใช่ไหม อย่าให้อารมณ์ชั่ววูบทำลายชีวิตคุณ

    การถูกปลดจากงานไม่ใช่สิ่งสุดท้ายในชีวิตคุณ จงอย่าคิดสั้นเช่นกัน ตั้งสติให้ดีแล้วลองตั้งคำถามกับนายจ้างของคุณเพื่อให้เข้าใจว่า อะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณถูกเลิกจ้าง แล้วที่คุณถูกเลิกจ้างนี้ คุณจะได้อะไรเป็นการชดเชยบ้าง

    จากนั้นนำเอาเอกสารเกี่ยวกับการเลิกจ้างและการจ่ายเงินชดเชยที่นายจ้างของคุณให้มา นั่งอ่านดูอย่างละเอียด ดูว่าสิ่งที่เขาให้เพื่อเป็นการชดเชยนั้นเป็นธรรมหรือไม่ ถ้าคุณคิดว่าสิ่งที่องค์กรให้นั้นยังไม่เป็นธรรมเท่าที่ควร สิ่งที่ผมอยากแนะนำคือให้คุณลองไปปรึกษาหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เช่นสำนักงานแรงงาน ให้เขาช่วยดูว่าคุณพอจะทำอะไรหรือเรียกร้องอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง

    แต่ถ้าคุณมองว่าสิ่งที่องค์กรให้มานั้นเป็นธรรมอยู่แล้ว จงหยุดคิดเรื่องที่ถูกปลดออกจากงานเสีย เริ่มต้นชีวิตใหม่ เพราะการเลิกจ้างไม่ใช่ความผิดของคุณและก็ไม่ใช่สิ่งสุดท้ายในชีวิตของคุณ ตั้งสติแล้วค่อยๆ คิด บางที่วิกฤตบางครั้งก็กลายมาเป็นโอกาสที่ดีของคุณได้ เหมือนกับหลายๆ คนในช่วงวิกฤตปี"40 ที่ถูกให้ออกจากงาน และตัดสินใจมาเปิดกิจการเป็นของตนเอง

    ผลที่ออกมาคือรวยกว่าการเป็นลูกจ้างเสียอีก อย่างคุณศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ เจ้าของแซนด์วิชศิริวัฒน์อันลือชื่อ ก็พลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ในช่วงนั้น

    ดังนั้น ถ้าคุณถูกให้ออกจากงาน จงคิดในแง่ดีว่า มันอาจจะเป็นโอกาสที่เปิดขึ้นมาเพื่อให้คุณได้มีโอกาสทำความฝันของตนเองให้เป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นการเป็นเจ้านายของตนเอง การมีกิจการเป็นของตนเอง หรือเป็นโอกาสที่คุณจะได้ออกมาพักผ่อนรักษาสุขภาพที่หักโหมมานาน

    สิ่งสุดท้ายที่อยากฝากไว้คือ ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส หลังฝนตกฟ้าก็จะสดใส อดทนสักนิดแล้วเราก็จะผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปได้
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กินยังไง...ไม่ให้ป่วย
    http://www.matichon.co.th/prachacha...g=02spo02120252&day=2009-02-12&sectionid=0219

    คอลัมน์ วาไรตี้เฮลท์


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เขาบอกกันว่า กองทัพเดินด้วยท้อง...เป็นอุปมาที่บ่งบอกให้เห็นว่า เรื่องของการกินนี้เป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่ย่อย

    แต่จะกินอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่เป็นต้นเหตุให้เกิดโรคภัยตามมา

    เรื่องนี้ น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ กล่าวว่า ถ้าจะทำให้สุขภาพดี อายุยืนยาว ต้องกินอาหารเช้าอย่างราชา อาหารกลางวันอย่างคนธรรมดา และอาหารเย็นอย่างยาจก

    อาหารเช้าอย่างราชาที่ว่านั้น ถ้าใครขาดไปชีวิต

    จะเริ่มต้นด้วยความเป็นกรด และอาหารที่ควรรับประทานจะเป็นจำพวกคาร์โบไฮเดรต วิตามินบี และซี ซึ่งถือได้ว่าเป็นอาหารต้านความเครียดได้อีกด้วย

    ส่วนเมนูเร็วและง่ายที่แนะนำนั้น คือ กล้วยหอม

    1 ลูก+ส้ม 1 ลูก+นมหรือช็อกโกแลตร้อน 1 แก้ว

    นั่นเพราะในกล้วยหอมมีแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ในส้มมีวิตามินซี

    กากส้มเป็นเส้นใยไฟเบอร์ที่สามารถช่วยดูดซึมพิษในร่างกายและขับออกไป

    และมีวิตามินซีมากกว่าน้ำส้ม ส่วนนมมีทริบโตเฟน ทำให้ร่างกายตื่นตัวและอารมณ์ดี

    มื้อกลางวัน สามารถกินอะไรก็ได้ตามที่ชอบ เพียงแต่เลือกที่จะบริโภคน้ำตาล

    และน้ำมันให้น้อยหน่อย ส่วนมื้อเย็นควรเลือกกินพืชผักผลไม้ที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่

    เมนูมื้อเย็นที่แนะนำอาจเป็นผัดผักสักจาน ส้มตำอีกหนึ่ง ตามด้วยน้ำผลไม้ 1 แก้ว

    กินผักผลไม้วันละครึ่งกิโลกรัม หรือดื่มน้ำผลไม้สดวันละ 3 แก้ว 3 สีก็ได้ จะทำให้สุขภาพดีขึ้น

    ส่วนใครที่เป็นห่วงกลัวว่ากินแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตแล้วจะอ้วน

    ไม่ต้องห่วง คุณหมอแนะนำว่า กินให้ช้า เคี้ยวให้ละเอียด กินพออิ่ม หรือราว 3 ใน 4 ส่วนของจาน

    ส่วนโปรตีนนั้น สำหรับคนที่อายุ 35 อัพ ควรเลี่ยงสัตว์ใหญ่

    โดยเฉพาะเลือดของสัตว์ เพราะก่อนสัตว์ตายจะหลั่งสารอะดรีนาลีนเข้าไปในกระแสเลือด ดังนั้นจึงควรเปลี่ยนไปกินปลาสักสัปดาห์ละ 3 มื้อ แต่อย่ากินทุกมื้อ

    อีกชนิดหนึ่งที่ไม่ควรขาด นั่นคือ แคลเซียมวันละ 1,200-1,500 มิลลิกรัม โดยเฉพาะกับผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยทอง และควรเลี่ยงน้ำตาลที่ผ่านการขัดสี เพราะจะมีสารเร่งความเครียด

    ส่วนผู้ที่ขาดกาแฟไม่ได้ก็ควรเลี่ยงครีมเทียม โดยใช้นมอุ่นแทน แต่ทางที่ดีก็ควรดื่มกาแฟดำ และไม่ควรดื่มเกินวันละ 3 แก้ว

    นอกจากจะกินอาหารดังว่าให้ครบ 3 มื้อแล้ว อย่าลืมเคี้ยวช้าๆ ที่สำคัญควรกินอย่างมีความสุขด้วย !!
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    งานสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และสรงน้ำพระธาตุพระอรหันต์ในปีที่แล้ว

    [​IMG]

    ส่วนเรื่องอาหารการกิน ก็เยอะมากครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    --------------------------------------

    ในปีนี้ ผมตั้งใจที่จะจัดให้ดีกว่าปีที่แล้ว อย่าลืมนะครับสำหรับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่าน

    .
     
  17. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    55555ไม่จับจดเลยครับ พี่เอก คงต้องให้ท่านปาทานไปสอบถามจากผู้รู้ครับ ส่วนเราทำได้คือต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมครับ ต้องไปสืบค้นหาหลักฐานมาครับ ห้ามคิดเองครับ หุ หุ
     
  18. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    เห็นด้วยกับคุณน้องนู๋ ครับ ผมเคยพบว่าคาถาชินบัญชร ในหนังสือสวดมนต์
    หลายเล่มจะมีบางส่วนแตกต่างกัน(มีหลายเวอร์ชั่น) ครับ
     
  19. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    อ้อ แล้วในส่วนของ ฎ นั้นผมแก้เป็น ฏ ทั้งหมดให้แล้วนะครับ เพราะในบาลีไม่มี ฎ ครับ
    (ถ้าผิดยังไงรบกวนผู้รู้แก้ไขให้ด้วยครับ ขอบพระคุณ)
     
  20. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    อ่า...ใช่แล้วครับ เรียนตรงๆว่าที่ส่วนตัวผมสวดเองก็มีส่วนที่ไม่เหมือนกับที่เราพิมพ์กันอยู่
    แต่อันนั้นผมจะไม่นำมาเป็นเกณฑ์ เพราะโดยส่วนตัวผม ผมเชื่อว่าใจเป็นประธาน ขอให้เราเคารพศรัทธาในบทสวดนี้ก็สวดได้อย่างสบายใจ
    เพียงแต่ที่เรากำลังตรวจสอบนี้ อย่างแรก ก็คงเป็นเพราะเป็นสิ่งที่เราจะฝากไว้ให้กับคนรุ่นหลังก็อยากจะทำให้ดีเท่าที่ทำได้
    แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับ ในสิ่งที่เราพิมพ์กันลงไปนั้น มีสิ่งที่ขัดกันเองอยู่ ก็คือ ตะวา กับ ตวา อย่างที่ผมนำมาเรียนให้ทราบ ก็เลยอย่างน้อย อยากให้เหมือนๆกัน
    คือจะ ตวา ก็ตวาให้หมด หรือจะ ตะวา ก็ตะวา ไปเลย จะดีไหม หรือว่า 2 บทนี้มีความต่างที่ผมไม่ทราบ
    จึงมีบทหนึ่งใช้ตวา อีกบทใช้ ตะวา จะดีกว่า อันนี้เลยนำมาเรียนถามพี่ๆน่ะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...