พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    รูปก็ที่เป็นกากบาทนั่นแหละครับ กดลงไปจะเห็นรูปขึ้นมา มันเป็น error ของเวปครับ
     
  2. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    อันนี้ดี เพื่อนส่งมาให้อ่านค่ะ


    เข้าใจระบบเศรษฐกิจจากวัว


    สังคมนิยม
    คุณมีวัว 2 ตัว และคุณให้เพื่อนบ้าน 1 ตัว

    คอมมิวนิสต์
    คุณมีวัว 2 ตัว รัฐเอาไปหมดทั้ง 2 ตัว และให้นมวัวคุณบ้าง

    ฟาสซิสต์
    คุณมีวัว 2 ตัว รัฐเอาไปหมด และขายนมให้คุณบ้าง

    นาซี
    คุณมีวัว 2 ตัว รัฐเอาไปทั้ง 2 ตัว และยิงคุณ

    บูโรแครต
    คุณมีวัว 2 ตัว รัฐเอาไปทั้ง 2 ตัว ยิงตายไปหนึ่ง รีดนมตัวที่เหลือ และก็ละเลยไม่หาประโยชน์จากนมที่
    ได้มา

    ทุนนิยม
    คุณมีวัว 2 ตัว คุณขายไปหนึ่งตัว และเอาเงินซื้อพ่อวัวมา ฝูงวัวเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจขยายตัว คุณขายฝูงวัว
    ได้เงินมา แล้วก็เกษียณอายุตัวเอง

    เอกชนอเมริกัน
    คุณมีวัว 2 ตัว ขายไป 1 ตัว และบังคับให้ตัวที่เหลือผลิตนมในปริมาณเท่ากับ 4 ตัวผลิต ต่อมาก็จ้างที่
    ปรึกษามาวิเคราะห์ว่าทำไมวัวจึงตาย

    เอกชนฝรั่งเศส
    คุณมีวัว 2 ตัว คุณนัดการให้มีประท้วง จราจลกีดขวางถนน เพราะว่าคุณต้องการวัว 3 ตัว

    เอกชนญี่ปุ่น
    คุณมีวัว 2 ตัว คุณออกแบบและปรับแต่ง จนมันมีขนาดเท่ากับ 1 ใน 10 ของวัวขนาดธรรมดา แต่ผลิตนม
    ได้ 20 เท่าของวัวปรกติ แล้วคุณก็สร้างตัวละครการ์ตูนชื่อว่า " Cowkimon" ขายไปทั่วโลก

    เอกชนเยอรมัน
    คุณมีวัว 2 ตัว คุณรีเอ็นจิเนียร์มันจนมีอายุ 100 ปี กินอาหารเดือนละครั้งและรีดนมตัวเอง

    เอกชนรัสเซีย
    คุณมีวัว 2 ตัว คุณนับมันและพบว่ามี 5 ตัว คุณก็นับมันอีกครั้งพบว่ามี 42 ตัว และคุณก็นับมันอีกจนพบว่ามี 2 ตัว คราวนี้คุณหยุดนับและเปิดเหล้าวอดก้าอีกขวด

    เอกชนสวิส
    คุณมีวัว 5,000 ตัว ไม่มีตัวใดเป็นของคุณเลย แต่คุณเก็บเงินจากเจ้าของเป็นค่าดูแล

    เอกชนจีน
    คุณมีวัว 2 ตัว มี 300 คนรุมรีดนม คุณประกาศว่าคุณมีการจ้างงานเต็มที่ แถมวัวของคุณมีผลิตผลสุดยอด
    และจับผู้สื่อข่าวที่รายงานสถานการณ์จริงเข้าคุก


    เอกชนอินเดีย
    คุณมีวัว 2 ตัว เพื่อเอาไว้เทิดทูนบูชา

    เอกชนอังกฤษ
    คุณมีวัว 2 ตัว ทั้ง 2 ตัวบ้าหมด ( โรควัวบ้าเป็นที่รู้จักกันครั้งแรกในอังกฤษ)

    เอกชนอิรัก
    ทุกคนคิดว่าคุณมีวัวหลายตัว คุณบอกว่าคุณไม่มี แต่ไม่มีใครเชื่อคุณ ดังนั้นจึงถูกบอมบ์แหลกยับเยิน ถูกบุกยึดประเทศ ถึงกระนั้นคุณก็ยังไม่มีวัว แต่อย่างน้อยที่สุด ปัจจุบันคุณก็เป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย
     
  3. คีตา

    คีตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +4,309
    แต่รูปเล็กมากๆ เลยนะครับ พี่
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โมทนาสาธุกับทั้งสองท่านครับ

    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 15 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 13 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, angeltk229 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ยังไม่พักผ่อนกันหรือครับ

    ผมไปพักผ่อนก่อนนะครับ

    อยากรวยให้ทำทาน อยากไปนิพพานให้ภาวนา

    โมทนาสาธุครับ
     
  6. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    555 อันนี้ต้องถามท่านปาทานเองแล้วครับ
     
  7. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    <TABLE height=34 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-LEFT: 10px">กรุพระพุทธรูปทองคำ บ้านชุ่มเมืองเย็น..แม่เจดีย์ [8 ก.พ. 52 - 14:53]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]ช่วง พุทธกาล...แห่งองค์พระโคตมะ (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันอันเป็นองค์ที่ 28 ตามพระไตรปิฎก) และก็ทำนายไว้ว่า.....จะมีอายุเพียง 5,000 ปี <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    2552 ปีที่ผ่าน ...เกินกึ่งมีปรากฏการณ์ทั้งรูปธรรมและนามธรรม มีการสืบสานปฏิบัติ ในวิถีที่ดีงามอย่างต่อเนื่อง...จนนามธรรมนี้กลายเป็นวัฒนธรรม<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    สำหรับ รูปธรรม...พุทธศาสนิกชนที่เลื่อมใสพระพุทธศาสนาได้สร้าง ถาวรวัตถุอันเป็นเครื่องหมายหรือเครื่องยึดเหนี่ยวของศาสนา ไว้มากมายหลายหลาก เมื่อประสบกับภัยต่างๆก็จะซุกซ่อนเพื่อมิให้สูญสลาย ...เมื่อมีผู้มีบุญบารมีปรากฏ ก็จะให้เห็นและสามารถนำสิ่งเหล่านั้นมาให้ชนรุ่นหลังได้สัมผัส<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    O O O<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พระครูไพบูลย์พัฒนาภิรักษ์ (หลวงพ่อถวัลย์ ปรักกโม) เจ้าอาวาสวัดพระธาตุแม่เจดีย์ ต.แม่เจดีย์ใหม่ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย เป็นสงฆ์รูปหนึ่งที่ถือปฏิบัติ เพื่อสาธารณประโยชน์ในการ สะสมบารมี จนกระทั่ง สามารถทะลวงลงไปสู่ มรดกแห่งรูปธรรมของพระพุทธศาสนา ได้<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    โดยได้นำความรู้ ต่างๆจากที่ได้ผ่านการ อบรม โครงการสวนป่าสมุนไพรในโครงการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับพระธรรมทายาทวัดชลประทานรังสฤษฎ์ ของ พระธรรมโกศาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) มาเป็นฐานในการปฏิบัติ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    โดย....ร่วมมือกับชาวบ้านดูแลพัฒนาป่าเสื่อมโทรม 7,200 ไร่ จนกลับมาเป็นป่าสมบูรณ์ จนกระทั่งเป็น ศูนย์สาธิตพุทธศาสนากับป่าไม้ และสร้าง วังมัจฉา อ่างบรรจุน้ำ 190,000 ลูกบาศก์เมตรบนดอย ให้เป็น แหล่งปลาน้ำจืดนับแสนๆตัว...กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวในเขตอภัยทาน<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    O O O<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    [​IMG]วัดและ พระธาตุแม่เจดีย์ แห่งนี้ สร้างโดยพระเจ้าอโนรธามังช่อ เจ้าแผ่นดินพม่า ตามความเดิมว่า ปี 1583 พระองค์ได้แต่งทูตไปขอ พระไตรปิฎกกับ พระพุทธรูปแก้วมรกต จาก ศรีลังกา<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ขากลับพลัดหลงเข้าปากแม่น้ำโขง กษัตริย์กัมพูชาจึงยึดเรือ และ สิ่งของ ไว้หมด พระเจ้าอโนรธามังช่อ ขอคืน ได้เพียงพระไตรปิฎก จึงโกรธ และ ยกทัพเพื่อไปชิงคืน ได้ผ่านมาทาง เชียงลาว (เชียงราย) พอถึงตำบลแม่เจดีย์ (เมื่อปี พ.ศ.1585) จึงได้สร้างพระเจดีย์ขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชา... อันเป็นที่มาของวัดพระธาตุแม่เจดีย์ ในปัจจุบัน<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พระเจดีย์องค์นี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ 2 ครั้ง ครั้งแรกโดย ชาวเงี้ยว (ไทยใหญ่) ไม่ทราบปีแน่ชัด ครั้งที่ 2 โดย พระครูไพบูลย์พัฒนาภิรักษ์ เมื่อปี 2532 ตาม รูปลักษณ์ศิลปเดิม<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    O O O<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    นอกจาก พระธาตุเจดีย์ ซึ่งชาวบ้านศรัทธาว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ในปริมณฑลของเทือกเขาแห่งนี้ ตั้งแต่ บนดอยลงมาจนถึงแม่น้ำมีวัดร้างติด ต่อกันและเจดีย์เก่าถึง 3 แห่ง อีกทั้งยังมีบ่อน้ำส้ม (เปรี้ยว) ชาวบ้านเรียกว่า บ่อน้ำต้นโชค <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ชาวบ้านได้ เล่าขานกันมาว่ามี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือ พระบรมสารีริกธาตุ พระพุทธรูปสิงห์หนึ่ง-สิงห์สาม สายสังวาล และอื่นๆอันเป็นวัตถุโบราณล้ำค่า<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ซึ่ง....บางครั้ง เทพยดาก็บันดาลให้คนเห็น ล่าสุด นายสมพร กับ นางบาน มะลาไล เป็นเกษตรกรได้ พบพระพุทธรูป จึงมาบอกชาวบ้าน พอ กลับไปที่เดิมก็ ไม่พบพระพุทธรูปนั้นแล้ว ไม่นาน นายสมพรก็ล้มป่วย และพูดไม่ได้จนกระทั่งทุกวันนี้<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ซึ่งย้อนหลังไปเมื่อปี 2500 นายคำ สามอินต๊ะ ผู้ใหญ่บ้าน (ในช่วงนั้น) ได้ พาลูกบ้านขุดหาพระพุทธรูป ก็พบในปางต่างๆนับเป็นร้อยองค์ แต่ก็ ต้องยุติเพราะมีชาวบ้านล้มตายกันหลายราย....ด้วยโจษขานกันว่า การขุดค้นวัดร้างทำให้เจ้าที่เทวดาอารักษ์ไม่พอใจ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    O O O<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    [​IMG]ด้วยศรัทธา....หลวงพ่อถวัลย์กับชาวบ้าน จึงได้ซื้อที่ดินครอบลำน้ำแม่เจดีย์ เพื่อสร้างสวนสาธารณะบ้านชุ่มเมืองเย็น อันเป็นที่ ประดิษฐานอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ไว้ราวๆ เดือนมิถุนายน 2550 <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ...พอวันที่ 27 ธันวาคม ก็ลงมือปฏิบัติการ โดยใช้แบ็กโฮขุดเจอพระธาตุ และ สิ่งของโบราณ ต่างๆมากมาย...จึงสั่งให้ยุติ ในช่วงเย็นวันนั้นหลังสวดมนต์ หลวงพ่อถวัลย์จึงได้พาญาติโยมทำวัตรเจริญภาวนาแผ่กุศลแก่เจ้าที่และเทพยดาทั้งหลายแล้ว....จึง เข้ากรรมรุกขมูล ในกระโจม<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    O O O<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ตกถึงตอนกลางคืนได้เกิดนิมิต มีพระแก่อายุราวๆ 80 ปีบอกว่าชื่อ ครูบาแสงมา พาไปดูที่ฝังสมบัติ และแนะ หลังขุดไปแล้วให้สร้างเจดีย์ เหมือนทรงพระเจดีย์บนดอยตุงองค์เดิม พร้อมพระอุโบสถไว้ ประดิษฐาน<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พอ สะดุ้งตื่นราวตีหนึ่ง จึงเอาจอบพร้อมไฟฉายและถุงย่ามตรงไปบริเวณตามที่ฝัน พอฉายไปก็พบแสงที่วาววับ และขุดพบดั่งที่ฝันทั้งหมด มี พระพุทธรูปสิงห์หนึ่งทองคำ ขนาดหน้าตัก 9 นิ้ว 1 องค์ พระพุทธรูปสิงห์สามทองคำ ขนาดหน้าตัก 9 นิ้ว 1 องค์<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    .....สายสังวาล สร้องทองคำหนัก 60 บาท ตลับสำริดบรรจุพระธาตุ สิ่งของต่างๆ อย่างเช่น ตุ้มหู กำไลเลยเอาทรายกลบไว้อย่างเดิม กระทั่ง ออกกรรมรุกขมูล ในวันที่ 31 ธันวาคม ก็ ทำพิธีสวดส่งท้ายปีเก่ารับปีใหม่ จึงนำมาเก็บไว้ในวัดอย่างเงียบๆ <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    O O O
    [​IMG]<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หลังจากที่ หลวงพ่อถวัลย์ และทาง วัดพระธาตุ แม่เจดีย์ ปิดเงียบเป็นเวลาถึง 9 เดือนเศษ จึงตัดสินใจเปิดเผยถึงสมบัติทางศาสนาชุดนี้ ซึ่ง ทุกชิ้นกรมศิลปากร ได้ทำการพิสูจน์ และ บันทึกไว้เป็นหลักฐาน สมบัติของแผ่นดินแล้ว <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    แต่....ก็ มอบให้ทางวัดพระธาตุแม่เจดีย์ เป็นผู้เก็บรักษา และให้พุทธศาสนิกชน พุทธบริษัทได้เข้าชม กราบไหว้บูชาตามสมควร...เพื่อเป็นสิริมงคลตามศรัทธา...!!!<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ก้อง กังฟู<o:p></o:p>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    บทความจาก [​IMG]
     
  8. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    <TABLE height=34 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-LEFT: 10px">เทพเจ้าของอินเดีย [8 ก.พ. 52 - 16:54]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]ในบรรดาเรื่องราวของเทพเจ้าของชนชาติทั้งหลายนั้น เทพเจ้าของอินเดียนับว่ามีเรื่องราวและประวัติความเป็นมาที่ซับซ้อนมากกว่าชาติอื่น และกล่าวกันว่า ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ชนชาติอริยกะ หรืออินเดียอิหร่านที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในลุ่มแม่นํ้าสินธุ มีการนับถือเทพเจ้าและมีคัมภีร์พระเวทเกิดขึ้น ครับไทยรัฐ ซันเดย์ สเปเชียลหนนี้ จึงขอนำเอาเรื่องเทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์มานำเสนอต่อท่านผู้อ่าน<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พวกอริยกะ หรืออารยันนั้น แต่เดิมก็นับถือธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ท้องฟ้า ลม และไฟ อยู่แล้ว ต่อมาก็กำหนดให้ปวงเทพเกิดมีหน้าที่กันขึ้น โดยตั้งชื่อตามสิ่งที่เป็นธรรมชาตินั้นๆ แล้วก็เกิดมีหัวหน้าเทพเจ้าขึ้น ดังที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระเวท ซึ่งก็คือพระอินทร์<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    จากหลักฐานโบราณที่เป็นจารึกบนแผ่นดินเหนียวอายุราว 1,400 ปี ก่อนคริสตกาล เรียกว่าแผ่นจารึก โบกาซ คุย หรือจารึก เทเรีย ซึ่งขุดพบที่ตำบลดังกล่าว ของดินแดนแคปปาโดเซีย ในตุรกี<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    จารึกนี้ ได้ออกนามเทพเจ้าเป็นพยานถึง 4 องค์ทีเดียว นั่นก็คือ พระอินทร์ (lndra) เทพเจ้าแห่งพลัง มิทระ (Mitra) พระวรุณ (Varuna) และ นาสัตย์ (Nasatya) คือ พระนาสัตย์อัศวิน (Asvins)<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ครับ นับเป็นชื่อเทพเจ้าที่เก่าที่สุดที่ถูกเอ่ยนาม แสดงว่าลัทธิพราหมณ์ มีมายาวนานยิ่งนัก สมัยของพระเวท จึงมีผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า มีมาก่อนพุทธกาลราว 1,000 ปี<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    และบางตำราก็บอกว่า เทพเจ้าดั้งเดิมของพวกอริยกะนั้นมีพระอินทร์ พระสาวิตรี พระวรุณ และพระยม (พระสาวิตรี คือ ดวงอาทิตย์)<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    [​IMG]

    ส่วนอีกตำราหนึ่งกล่าวว่า เทพเจ้าที่เก่าที่สุด คือ พระอินทร์ พระพฤหัสบดี พระวรุณ และพระยม
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    การเกิดเรื่องราวของทวยเทพขึ้นก็โดยพราหมณ์ นั่นเอง ว่ามีเทพอะไร มีอำนาจเพียงใด และควรจะบวงสรวงอย่างใด<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ซึ่งเป็นตำราหรือจารึกใดก็ตาม ถ้าพิเคราะห์ ดูแล้วจะเห็นตรงกันว่า พระอินทร์ครองความเป็นเจ้า เป็นใหญ่ของปวงทวยเทพ และมีเทพเจ้าที่มีจารึกไว้ตรงกันอีกองค์หนึ่งคือ พระวรุณ และต่อมาจึงมีเทพต่างๆ เกิดขึ้นอีกหลายองค์<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ทวยเทพที่พราหมณ์ยกย่องนั้น ก็ดูจะเพียงไม่กี่องค์ที่ปรากฏอยู่ในพระเวท ก็คือพระอินทร์ ที่ถือว่ามีฤทธิ์อำนาจมาก ซึ่งท่านผู้อ่านที่เคารพจะต้องยกเอาเรื่องราวของพระอินทร์ในศาสนาฮินดูไปเสียทางหนึ่งก่อน เพราะเรื่องราวของเทพเจ้าฮินดูในตอนนี้ยังไม่เกิดครับผม หากเป็นพระอินทร์ของศาสนาพราหมณ์แต่แรก พระอินทร์ในยุคนั้น ทำหน้าที่ประดุจพระราชาของทวยเทพ ชาวอารยันถือว่าเป็นเทพแห่งสงคราม มีหน้าที่ปราบปรามภูตผีปีศาจ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    [​IMG]

    องค์อินทร์ในสมัยไตรเภทนี้ ผิวกายเป็นสีแสดหรือสีทอง พระอินทร์ในครั้งกระโน้น มิได้มีผิวกายสีเขียวและมาเขียวเอาในชั้นหลัง โดยไม่รู้ สาเหตุครับ
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พราหมณ์สร้างพระอินทร์ขึ้นมาจนอยู่ในสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุด แล้วพราหมณ์นั่นแหละที่ลากเอาพระอินทร์ลงมาตํ่าสุดเช่นกัน และเทพเจ้าของพราหมณ์ก็มาปนอยู่กับเทพเจ้าในศาสนาฮินดูที่แตกแยกในตอนหลัง คือเทพเจ้าองค์เดิมสมัยอริยกะก็ยังปรากฏอยู่ในศาสนาฮินดู แต่ว่าลดถอยศักดิ์ลงเท่านั้น<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ด้วยการที่ศาสนาฮินดูเกิดขึ้นโดยแยกมาจากศาสนาพราหมณ์ เมื่อพราหมณ์ของฮินดูสร้างพระเจ้าขึ้นใหม่จึงลดชั้นลดซี ปลดจากจอมเทพให้ไปยืนเคว้งเป็นแม่ทัพภาคบูรพา คือทิศตะวันออก<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    รวมความว่า พระอินทร์ตกตํ่าจนเป็นแค่ โลกบาลในสมัยฮินดู<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    [​IMG]พระอาทิตย์ ในสมัยศาสนาพราหมณ์รุ่งเรือง พระอาทิตย์ทรงเป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่องค์หนึ่งใน 3 องค์ คือ พระอินทร์ พระสุริยา และพระวรุณ แต่ เดิมนั้นพระอาทิตย์ได้รับการนับถือที่ช่วยให้พืชพันธุ์ ธัญญาหารเจริญงอกงาม ให้แสงสว่าง ความร้อน แก่โลกก็เท่านั้นเอง<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ครั้นกาลเวลาล่วงมา แม้เทพเจ้าองค์อื่นๆ จะลดด้อยศักดิ์ศรีลงอย่างใดก็ตาม หาได้ทำให้พระ อาทิตย์ตํ่าศักดิ์ลงมาด้วย เพราะพระอาทิตย์เห็นกันอยู่ทุกๆวันนี่ครับ ยังคงมีอำนาจมีความร้อนแรงดุจเดิม<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พระวรุณ พระวรุณเป็นเทพเจ้าที่สำคัญมาตั้งแต่สมัยแรกๆ และเป็นเทพแห่งนํ้าฝน เป็นเทพเจ้าที่พราหมณ์กล่าวว่า รูปงาม มีจิตเมตตา และยิ่งพระอินทร์ลดวาสนาลง พระวรุณก็เพิ่มความสำคัญขึ้นมาก<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    แล้วก็พราหมณ์อีกนั่นแหละว่าไว้ในไตรเพท ว่า เป็นลูกพระกัศยปเทพบิดร เป็นพี่องค์ใหญ่ของพระอินทร์คือพระวรุณาทิตย์ และเป็นพี่ของพระสุริยาทิตย์ด้วย<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พระวรุณเป็นโลกบาลทิศปัจฉิม คือทิศตะวันตก กล่าวกันว่า พระวรุณทรงเกลียดความเท็จมาก และถ้าใครกล่าวเท็จก็จะทรงลงทัณฑ์เอาด้วย<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พระยม พระยมคือราชาแห่งความตาย ทรงทำหน้าที่ลงโทษมนุษย์เมื่อตายแล้ว และมีนามหลายนาม อย่างเช่น ยมราช พระกาฬ ท้าวมัจจุราช เป็นโอรสของพระอาทิตย์กับนางสรัญยู บางตำราว่านางสัญญา<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พระยมไม่เคยลดถอยอำนาจทั้งเมื่ออยู่ในศาสนาพราหมณ์และในยุคหลังสมัยฮินดู พระยมมีชายา 13 องค์ (บางตำราว่า 12 องค์) ล้วนแต่ เป็นธิดาของพระทักษปชาบดี และพระยมยังได้นางกุนตี มเหสีท้าวปาณทุ มีบุตรชื่อยุธิษเฐียร รูปร่างใหญ่โต สีกายดุจสีพระอาทิตย์แรกขึ้น ทรงมงกุฎ นุ่งห่มสีแดง<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เรื่องราวของพระยม มาปรากฏในสมัยหลังทั้งสิ้น แต่ก็ไม่มีใครกล้าไปแตะต้องพระยมให้ลดอำนาจลงเลย เพราะอาจเป็นด้วยไม่มีใครอยู่คํ้าฟ้าก็เป็นได้กระมัง<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พระพฤหัสบดี เทพเจ้าองค์นี้เป็นเทพเจ้าดั้งเดิมตั้งแต่สมัยอริยกะเป็นเทพเจ้าแห่งวิชา เคยทำหน้าที่เป็นอาจารย์ และที่ปรึกษาทางวิชาการของพระอินทร์มาแต่เดิม ในฐานะที่ทรงเป็นพระอาจารย์ของเทวดาอื่นๆอีก จึงไม่ได้ถูกลดซีถอยซีในยุคหลัง<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พระอัคนี หรือพระเพลิง เป็นเทพเจ้าที่ถูกสร้างขึ้นภายหลัง ในเมื่อพวกอริยกะได้รุกเข้ามาในดินแดนชมพูทวีป และเห็นชนพื้นเมืองบูชาไฟ จึงนับถือยกขึ้นเป็นเทพด้วยและเป็นที่นับถือมาก<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พระอัคนีนั้น บางครั้งก็เรียกว่า “สาวิตรี” คือไฟที่อยู่บนสวรรค์ เช่น ดวงอาทิตย์ที่เกิดความร้อนเป็นสายฟ้าและเป็นไฟที่เกิดขึ้นโดยมนุษย์หรือธรรมชาติบนพื้นโลก<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    [​IMG]ท้าวกุเวร ที่เรียกว่าท้าวไม่เรียกพระ ก็เพราะกุเวรเป็นยักษ์ครับผม ถ้าจะนับวงศาคณาญาติยักษ์ละก็ กุเวรนับได้ว่าเป็นต้นวงศ์ของยักษ์นั้นเทียว ทั้งนี้อาจมีต้นกำเนิดมาจากความเชื่อของชนพื้นเมืองดั้งเดิม ที่อยู่ในดินแดนอินเดียเชื่อและเคารพมาก่อนอาจเป็นชนพื้นเมืองนั่นแหละครับ ที่มีรูปร่างใหญ่โตผิดแผกไปจากพวกเขา มีกำลังแข็งแรงก็เลยนับถือแล้วก็เล่าต่อๆกันมาว่าเป็น “ยักษ์” แล้วก็เลยเกิดรายละเอียดเล่าต่อๆกันมาว่ามีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    แต่ก็ถือว่าเป็นเทพเจ้า โดยกุเวรนั้นทรงไว้ซึ่งความสัตย์และความจริง เมื่อพวกอริยกะรุกเข้ามาในอินเดีย จึงรับเอากุเวรเป็นที่นับถือและจัดให้เป็นเทพเจ้าในคัมภีร์พระเวท ต่อมากุเวรองค์นี้เป็นเทพเจ้าประจำทิศอุดรครับผม<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พระวายุ เทพองค์นี้เป็นเทพเจ้าดั้งเดิมครับ ก็ธรรมชาติที่ลมพัดตามปกติบ้าง หนักบ้าง จนเป็นพายุ หรือวายุ ชื่อของเทพองค์นี้ในภายหลังงอกออกมามากครับ พระพาย มารุตอนิล และมีประวัติสนุกสนานมากมายว่าพระวายุเกิดจากเมียน้อยของพระกัศยปเทพบิดร อยากจะมีลูกที่เอาชนะเทวดาได้ พระกัศยปจึงให้นางอทิติไปบำเพ็ญตบะเสียร้อยปี<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ข้างพระอินทร์รู้เข้าว่านางจะบังเกิดบุตรที่เป็นศัตรู ก็เลยไปทำดีปรนนิบัตินางอทิติจนนางนอนผิดทิศจะครบร้อยปีครรภ์แก่อยู่แล้ว ดันเอาด้านหัวนอนเป็นปลายเท้า พระอินทร์เลยทำปาฏิหาริย์เข้าไปในครรภ์นางอทิติเอาวัชระตัดลูกในท้องเป็น 7 ภาค เลยกลายเป็นสารพัดลมไป นางอทิติรู้ตัวว่านอนผิดก็เลยมอบลูกทั้ง 7 ให้ พระอินทร์ไป พระพายจึงกำเนิดขึ้นมา<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พระจันทร์ หรือพระโสม เป็นเทพเจ้าที่นับถือกันมาตั้งแต่โบราณ บางตำรากล่าวว่าเป็นเทพรุ่นใหม่ทั้งๆที่ดวงเดือนขึ้นประดับฟ้ายามราตรีมาตั้งแต่เกิดมีโลกขึ้นมา<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เท่านั้นยังไม่พอ พระจันทร์ยังกลายเป็นน้ำโสมที่พระอินทร์ใช้ดื่มมาก่อน จึงได้นามว่าโสมะหรือโสม<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พระจันทร์นั้นอาจเพราะรูปหล่อมาก จึงกวาดเอาลูกสาวของพระทักษะไปเป็นแฟนถึง 27 องค์ เรียงลำดับชื่อไม่ไหว เท่านั้นยังไม่พอ ยังแอบไปลักตัวนางดาราเมียพระพฤหัสบดีมาเป็นเมียเสียอีก จนเกิดเรื่องใหญ่เป็นเทวาสุรสงคราม จนพระพรหมต้องมาห้ามทัพ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    สำหรับวันนี้ทีมงานต่วย'ตูนขอยกเอาเรื่องราวของเทพในศาสนาพราหมณ์มาเล่าสู่กันฟังแต่เพียงเท่านี้ หากท่านผู้อ่านสนใจใคร่รู้เรื่องราวน่าสนใจเรื่องใดก็บอกกล่าวกันมาได้ ทีมงาน ต่วย'ตูนยินดีนำมาเสนอแด่แฟนานุแฟนแน่นอนครับ.<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ทีมงาน ต่วย’ตูน<o:p></o:p>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    บทความจาก [​IMG]
     
  9. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    <TABLE height=34 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-LEFT: 10px">ฉลอง 200 ปี กรมหลวงวงษาธิราชสนิท ปราชญ์ กวีของโลก [8 ก.พ. 52 - 00:25]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]ในโอกาสที่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประ-ชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ประกาศยกย่องให้ “พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท” ต้นราชสกุลสนิทวงศ์ เป็นบุคคลสำคัญของโลก ในฐานะที่ทรงเป็นปราชญ์และกวีของโลก ปี 2551-2552 นับเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยยิ่งนัก <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    โอกาสนี้กระทรวงวัฒนธรรมและ ราชสกุลสนิทวงศ์จึงจัดงานเผยแพร่พระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพ กอปรทั้งพระดำริที่ทรงมุ่งมั่นประกอบพระกรณียกิจอันยังประโยชน์ให้แก่ประเทศ ชาติและชาวไทยสืบทอดมาถึงปัจจุบันในงาน “ฉลอง 200 ปี ปราชญ์และกวีของโลก กรมหลวงวงษาธิราชสนิท ชีวิตต้นกรุง ณ วัดอรุณฯ” <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พระประวัติและพระกรณียกิจของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท ที่เป็นความภาคภูมิใจของราชสกุลสนิทวงศ์ ได้ถูกถ่ายทอดให้ทราบกันโดย “พล.อ.อ.อนุพันธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา” ทายาทรุ่นที่ 5 ว่า <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p></o:p>
    พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท มีพระนามเดิมว่า “พระองค์เจ้านวม” เป็นพระโอรสองค์ที่ 49 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 และเจ้าจอมมารดาปราง (ราชินิกุลบางช้าง) ประสูติเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2351 ทรงเป็นพระอนุชาในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 กรมหลวงวงษาธิราชสนิททรงรับราชการบำเพ็ญพระกรณียกิจเป็นประโยชน์ต่อประเทศมาจนถึงแผ่นดินรัชกาลที่ 5 และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2414 พระชนมายุ 63 ชันษา โดยทรงเป็นต้นราชสกุล “สนิทวงศ์” <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p><o:p> </o:p>
    “คนในราชสกุลสนิทวงศ์มีประมาณ 2,000 คนได้ ถ้านับเจเนอเรชั่นตอนนี้ก็รุ่นที่ 8 แล้ว รุ่นผมเรียกว่าเป็นโหลน เพราะผมเป็นเหลนของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ หรือหม่อมเจ้าสาย สนิท-วงศ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ รักษาการแทนผู้บัญชาการทหารเรือคนแรกของไทย พระโอรสในกรมหลวงวงษาธิราชสนิท พวกเราภูมิใจในบรรพบุรุษมาก พระองค์ทรงทำประโยชน์คุณูปการให้แก่ประเทศมากมายหลายวงการทั้งด้านการศึกษา ภาษาและวรรณคดี การทูต การแพทย์” <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p></o:p>
    พล.อ.อ.อนุพันธ์ เล่าต่อว่า กรมหลวงวงษาธิราชสนิททรงเข้ารับราชการกำกับกรมหมอในรัชกาลที่ 3 ทรง ศึกษาวิชาการแพทย์ สมัยใหม่จากมิชชันนารีอเมริกัน นอกจากนี้เมื่อพระชนมายุ 34 ชันษา ทรงนำความรู้เกี่ยวกับยาและสมุนไพรไทย ซึ่งทรงศึกษารวบรวมมาจากครอบครัวฝ่ายพระมารดาที่ขึ้นชื่อด้านนี้ ทรงแต่งตำราสรรพคุณสมุนไพรไทย จำนวน 166 ชนิด เป็นตำราสมุนไพรเล่มแรกของไทยที่เขียนแบบเอกสารทางวิชาการ และวิเคราะห์ส่วนต่างๆ ของพืชสมุนไพรแต่ละชนิด อีกทั้งยังทรงจารึกคำประพันธ์ไว้บนแผ่นหิน บรรยายถึงการบำบัดโรคและการออกกำลังกายในท่าต่างๆที่เรียกว่าฤาษีดัดตนไว้ที่วัดโพธิ์อีกด้วย
    [​IMG]
    <o:p></o:p>

    <o:p> </o:p><o:p> </o:p>
    “พระองค์สนพระทัยในการศึกษาวิชาแพทย์ตะวันตกด้วย ทรงเปิดกว้างรับทั้งแพทย์โบราณและแพทย์สมัยใหม่ โดยทรงศึกษาจากหมอบรัดเลย์ จากนั้นก็ทรงอนุญาตให้มีการผ่าตัด และทดลองปลูกฝี ป้องกันไข้ทรพิษเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2381 พระองค์ทรงได้รับการถวายพระเกียรติจากสถาบันการแพทย์ของยุโรปและเป็นสมาชิกสถาบันการแพทย์แห่งนิวยอร์ก ซึ่งชาวต่างชาติขานพระนามพระองค์ว่า ปริ๊นซ์ ด็อกเตอร์ ด้วยคุณงามความดีเหล่านี้พระองค์จึงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นกรมหลวงในรัชกาลที่ 4” <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p><o:p> </o:p>
    ทายาทรุ่นหลังมีใครเดินตามรอยพระบาทด้านการแพทย์บ้างไหมคะ <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    “ที่จริงเริ่มตั้งแต่พระองค์เจ้าสาย พระโอรสของพระองค์เลยทีเดียว ทรงกำกับกรมหมอหลวงและทรงเป็นแพทย์ประจำพระองค์ รัชกาลที่ 5 และทรงนำเอาตำราพระบิดามาใช้ด้วย จากนั้น ม.ร.ว.สุวพรรณ สนิทวงศ์ คุณปู่ของผมซึ่งเป็นลูกของพระองค์ เจ้าสาย ก็ได้สืบทอดวิชาแพทย์ต่อ โดยถูกส่งไปเรียนที่สกอตแลนด์ ตอน 9 ขวบ และจบ แพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเอดินเบิร์ก กลายเป็นแพทย์ไทยคนแรกที่เรียนจบมาจากต่างประเทศ ส่วนรุ่นหลังๆ ที่เป็นหมออีกก็มี เช่น พล.ท.ม.ล.จินดานพ.ม.ล.เกษตรนพ.ม.ล.ดนัย ท่านเหล่านี้เป็นแพทย์ประจำพระองค์ และ นพ.วงศ์กุลพัฒน์ ส่วนคนที่เก่งด้านภาษาตามพระองค์ท่านก็มี เช่น ท่านผู้หญิงพวงร้อย (ที่แต่งเพลงบัวขาว), ท่านผู้หญิงมณีรัตน์, ท่านผู้หญิงนิออน” [​IMG]<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p></o:p>
    พระอัจฉริยภาพด้านภาษาและวรรณคดีของกรมหลวงวงษาธิราชสนิท มีอะไรบ้างคะ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p><o:p> </o:p>
    “ด้วยความที่ทรงเป็นพระราชโอรสในรัชกาลที่ 2 ผู้ทรงเป็นอัครศิลปิน และทรงเป็นศิษย์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ในขณะที่ทรงผนวชเป็นสามเณร ในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ทรงได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้ด้านอักษรศาสตร์ ทั้งอักขรวิธีภาษาไทย ขอม และมคธ รวมทั้งวรรณคดี วิชาโบราณคดีและราชประเพณี ทำให้พระองค์มีความแตกฉานทั้งโคลงฉันท์ กาพย์ กลอน ทรงมีงานกวีนิพนธ์ที่มีชื่อเสียงเยอะทีเดียว อย่าง นิราศพระประธาน เพลงยาวสามชาย เพลงยาวกลบสิงโตเล่นหาง และที่สำคัญ พระองค์ทรงนำตำราภาษาไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา “จินดามณี” ซึ่งมีหลายฉบับมาประมวลใหม่ ทรงแก้ไขอธิบายหลักเกณฑ์การใช้ภาษาไทยให้กะทัดรัดและเข้าใจง่าย อีกทั้งยังเป็นเนื้อหาที่เข้าได้กับทุกยุคทุกสมัย มีความหมายเป็นคติสอนใจ เน้นคุณธรรม จริยธรรม เป็นการยกระดับจิตใจของผู้อ่านด้วย” <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p><o:p> </o:p>
    [​IMG]นอกจากนี้ พล.อ.อ.อนุพันธ์ยังเล่าถึงพระอัจฉริยภาพอีกด้านที่สำคัญของกรมหลวงวงษาธิราชสนิทคือ “การทูตและการต่างประเทศ” ที่ทรงเป็นปราชญ์และนักปกครอง ทรงกำกับราชการมหาดไทยและทรงเป็นประธานในการเจรจาทำสนธิสัญญากับต่างชาติ โดยดำเนินการผ่อนปรนเชิงการทูต ถ่วงดุลอำนาจระหว่างชาติตะวันตก สร้างความเข้าใจในวัฒนธรรมเพื่อให้พ้นจากการสูญเสียเอกราช และทรงเป็นประธานในการเจรจาทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง ระหว่างไทยและอังกฤษ ซึ่งกลายเป็นตัวอย่างการทำสนธิสัญญาแบบเดียวกันกับประเทศอื่น ต่อมาทรงริเริ่มแนวคิดด้านวัฒนธรรมเพื่อสันติ โดยมีหลักการยอมรับการประนีประนอม หลีกเลี่ยง การเผชิญหน้าที่ทำลายการเจรจาและนำไปสู่การใช้กำลัง ซึ่งกลายเป็นนโยบายที่ประเทศไทยใช้มาตลอดศตวรรษที่ 20 ทั้งสมัยรัฐบาล ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์ ปราโมช และสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    “จากเอกสารทูตฝรั่งหลายคนบอกว่าท่านเป็นเจ้านายใจดี มีความทันสมัยใหม่ นักวิชาการหลายคนรู้จักท่าน แต่สาธารณชนไม่ค่อยรู้จักท่านเท่าไหร่ ผลงานของพระองค์ท่านถูกเก็บเอาไว้หลายหน่วยงานอย่างตำราสูตรยาแผนโบราณมีอยู่ที่สถาบันการแพทย์แผนไทย ร่วมยาหรือกระเป๋ายา มีอยู่ในอุทยานรัชกาลที่ 2 ที่อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ก่อนหน้านี้มีลูกหลานในสนิทวงศ์คนหนึ่งได้รวบรวมพระประวัติของพระองค์ท่านตามห้องสมุดมารวบรวมเป็นเอกสารสำคัญ ก็ทำให้คนได้รู้จักพระองค์ท่านมากขึ้น และงานฉลอง 200 ปีนี้ก็จะเป็นการเผยแพร่พระเกียรติประวัติของท่านด้วยเป็นครั้งแรก” <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p></o:p>
    งานฉลองครั้งนี้จะมีอะไรเป็นพิเศษคะ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p><o:p> </o:p>
    “งานกรมหลวงวงษาธิราชสนิท ชีวิตต้นกรุง ณ วัดอรุณฯ เป็นงาน หนึ่งในหลายๆงานที่จัดเฉลิมฉลอง ที่ทรงได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้เป็นบุคคลดีเด่นของโลกติด ต่อกัน 1 ปีนับตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค.ปีที่แล้ว ที่เป็นวันครบรอบวันประสูติ 200 ปี ซึ่งปีที่แล้ว ก็จัดให้มีการสัมมนาเรื่องภาษาไทย โดยการฉลองจะจัดให้ครบด้าน ทั้งด้านภาษา การแพทย์ และการทูต จนถึงวันที่ 9 ก.ค.ปีนี้ ส่วนงานฉลองที่วัดอรุณฯนี้จะมีลักษณะย้อนยุคของสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยที่เลือกวัดอรุณฯเพราะเป็นวัดของรัชกาลที่ 2 พระศพของพระองค์ท่านก็อยู่ที่วัดนี้ คณะกรรมการที่จัดงานจึงเลือกการแสดงมหรสพและการละเล่นหลวงโบราณของต้นกรุงรัตนโกสินทร์ที่จะสูญหายนำมาแสดง อย่างโม่งครุ่ม กุลาตีไม้ ระเบง และรำโคม เหล่านี้เป็นการละเล่นของหลวงที่หาดูได้ยาก” [​IMG]<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p></o:p>
    นอกจากนี้ พล.อ.อ.อนุพันธ์บอกอีกว่า ภายในงานการแสดงโขนชักรอก ละครนอกเรื่องพระอภัยมณี ละครในเรื่องอิเหนา งิ้วพูดไทย ละครชาตรี ละครเสภา การรำกระบี่กระบอง โดยการแสดงก็จะมี 3 เวทีที่จะสลับการแสดงตลอดเวลา ส่วนบริเวณภายในงานยังจัดให้เป็นบรรยากาศแบบตลาดย้อนยุคสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งมีการสาธิตและจำหน่ายอาหารและขนมไทยโบราณตามกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน อย่างเช่น ขนมเรไร ช่อม่วง จ่ามงกุฎ ล่าเตียง หรุ่ม ดอกจำเจียก เป็นต้น ที่สำคัญ งานนี้เข้าชมฟรี โดยงานมีจนถึงวันที่ 8 ก.พ. เริ่มตั้งแต่เวลา 16.00-22.00 น. ที่วัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    สัมผัสความงดงามยามพระอาทิตย์ลับฟ้ากับบรรยากาศชีวิตต้นกรุงรัตนโกสินทร์ พร้อมร่วมเป็นหนึ่งในการอนุรักษ์และฟื้นฟูนาฏศิลป์ไทยโบราณในงานฉลอง 200 ปี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท งานที่ชาวไทยภาคภูมิใจ.<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ทีมข่าวหน้าสตรี<o:p></o:p>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    บทความจาก [​IMG]
     
  10. Baramee

    Baramee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +1,032
    ขออนุญาตด้วยครับ
    มีพระหลวงปู่ที่ผมเก็บมานานนับสิบปี
    เป็นพระกรุเก่าแท้แน่นอน
    อยากให้บูชา (ผมจะนำปัจจัยไปทำบุญ)
    ติดต่อที่ grasib@gmail.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ถ้าจะให้บูชาเพื่อนำเงินไปทำบุญ รบกวนแจ้งด้วยนะครับว่า ให้บูชาเท่าไหร่ ไปทำบุญอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร จำนวนเงินที่จะนำไปทำบุญเท่าไหร่ การโอนเงินโอนอย่างไร แจ้งรายละเอียดด้วยนะครับ เพราะว่า คงไม่มีใครทราบว่า จะนำเงินไปทำบุญจริงหรือไม่ อย่างไรครับ

    หรือตั้งกระทู้ใหม่ได้ครับ

    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“เตือนภัยแชร์ทองคำ” เหยื่อสูญเงินล้านร้องดีเอสไอแล้ว 1 ราย
    http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9520000014448
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ทีมข่าวอาชญากรรม</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>8 กุมภาพันธ์ 2552 12:58 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>แฟ้มภาพ</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ดีเอสไอเตือนภัยแก๊งหลอกลวงซื้อขายทองคำล่วงหน้า พฤติการณ์กระทำความผิดไม่ได้แตกต่างจากแชร์น้ำมัน ล่าสุดเหยื่อร้องดีเอสไอสูญเงินไปแล้วกว่า 1 ล้านบาท

    วันนี้ (8 ก.พ.) พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เปิดเผยว่า หลังจาก ดีเอสไอ ได้ทำการสืบสวนจับกุมผู้ที่กระทำความผิดในลักษณะแชร์ลูกโซ่มาตั้งแต่กลางปี 2550 ไม่ว่าจะเป็นแชร์ข้าวสาร แชร์ก๋วยเตี๋ยว แชร์ยางพารา และแชร์น้ำมัน โดยดีเอสไอจับกุมดำเนินคดีเรื่อยมา ล่าสุดพบว่าคดีแชร์เกิดขึ้นทั้งหมดประมาณ 33 คดี ส่งฟ้องไปแล้วประมาณ 15 คดี อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาล และจะสรุปสำนวนภายในเร็วๆนี้ อีกประมาณ 4-5 คดี นอกจากนี้ยังได้ประเมินมูลค่าความเสียหาย 1,300 ล้านบาทเศษ จับกุมผู้ต้องหา 126 ราย มีผู้เสียหายมาพบพนักงานสอบสวนแล้วประมาณกว่า 6,000 คน

    อย่างไรก็ตาม ที่น่าสนใจขณะนี้พบว่ามีการหลอกลวงซื้อขายทองคำล่วงหน้าโดยพฤติกรรมคือจะมีการชักชวนให้ทำธุรกิจเก็งกำไรซื้อขายทองคำล่วงหน้าในตลาดต่างประเทศ แล้วมีการหลอกลวงให้ผู้ลงทุนหลงเชื่อว่ามีความมั่นคง มีผลตอบแทนสูงโดยใช้วิธีการให้ลูกค้านำเงินมาลงทุนไว้แล้ว บริษัทจะตัดสินใจในการเทรดดิ้งสั่งซื้อทองคำ จะเห็นว่าพฤติการณ์กระทำความผิดไม่ได้แตกต่างจากแชร์น้ำมัน แต่ก็พบว่ามีนักลงทุนหลายรายหลงเชื่อคิดว่าบริษัทมีความน่าเชื่อถือให้ผลตอบแทนสูง โดยให้ผลตอบแทนกำไรจากหุ้นหุ้นละ 150 บาท ซึ่งมีผู้เสียหายรายหนึ่งเข้ามาร้องเรียนกับดีเอสไอ ว่าถูกหลอกหลวงในเล่นแชร์ทองคำ สูญเสียเงินไป 1 ล้านกว่าบาท ซึ่ง

    นอกจากนี้ ผู้เสียหายบางรายได้ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.ปากเกร็ด ซึ่งดีเอสไอได้ประสานกับ สภ.ปากเกร็ด เพื่อตรวจสอบว่ามีผู้เสียหายจำนวนเท่าใด เพราะคดีที่ดีเอสไอมีอำนาจนั้นจะต้องมีผู้เสียหายอย่างน้อย 50 ราย มูลค่าความเสียหาย 20 ล้านบาท อย่างหนึ่งอย่างใด ลักษณะแผนประทุษกรรมดังกล่าวคล้ายกับการซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าในตลาดต่างประเทศ คือเจ้าหน้าที่ต้องไปตรวจสอบว่าบริษัทที่กระทำความผิดได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต.หรือไม่ เป็นสมาชิกของตลาดอนุพันธ์ในประเทศไทยหรือไม่ และมีการนำเงินไปลงทุนในการซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าตามที่กล่าวอ้างหรือไม่

    “คิดว่ามีอีกหลายคดี หลายบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นมาแล้วผิดกฎหมาย ถามว่าประชาชนจะรู้หรือไม่ ว่าบริษัทได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายและเป็นสมาชิกตลาดอนุพันธ์ซื้อขายล่วงหน้า และส่งคำขอหรือเงินสั่งซื้อไปต่างประเทศหรือไม่ ซึ่งประชาชนไม่มีสิทธิ์รู้เลย แต่กรณีแชร์น้ำมันที่เราตรวจสอบพบว่าไม่ได้ทำธุรกิจจริง เป็นการหลอกลวง แต่นำธุรกิจนั้นมาบังหน้า อาศัยช่องว่างกฎหมายฉบับอื่นมากระทำผิด นอกจากนี้ยังมีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ตหลอกให้คนมาซื้อขายสินค้าบนอินเตอร์เน็ท เช่นหลอกให้คนนำเงินมาลงทุนเกี่ยวกับแบนเนอร์ (Banner) ติดป้ายโฆษณาต่างๆ หลอกว่าจะให้ผลตอบแทนในราคาสูง หรือการเช่าพื้นที่บนอินเตอร์เน็ทแล้วให้บริษัทต่างๆ เช่าต่อ อ้างว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า10 เท่า ให้ค่าแนะนำสมาชิกหรือค่านายหน้า เพื่อดึงดูดประชาชนให้หลงเชื่อได้ง่าย ซึ่งจะมีการพัฒนารูปแบบไปเรื่อยๆ เพราะแทบจะไม่ต้องลงทุนในการตั้งบริษัทเลย เพียงเช่าพื้นที่ว่างบนเว็บไซต์แล้วทำโฆษณาขายสินค้า โดยจ้างโปรแกรมเมอร์เขียนเว็บไซต์ก็ได้ หรือกระทำความผิดแชร์ลูกโซ่แล้วเข้าไปแอบแฝงในธุรกิจที่ถูกกฎหมาย” ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ ดีเอสไอกล่าวย้ำ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับงานบุญแผ่นสแตนเลส ที่จะแกะบทสวดของหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ,บทลบผงองค์สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ,บทสวดอิติปิโส พาหุง และพระคาถาชินบัญชร

    ผมขออาสาสมัครในการตรวจปรู๊พ ว่าผมพิมพ์ถูกต้องหรือไม่ ผมไม่จำกัดจำนวนของท่านที่ต้องการปรู๊พคำผิดนะครับ

    ส่วนบทสวดของหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ,บทลบผงองค์สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี คงต้องให้ท่านที่มีหนังสือของท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร เป็นผู้ที่สามารถตรวจปรู๊พได้ครับ

    ขอเชิญพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ชาวคณะพระวังหน้าทุกๆท่านด้วยนะครับ

    หากท่านใดสนใจ PM มาแจ้งผมด้วย และขอให้แจ้ง email ด้วย แต่สำหรับทุกๆท่านที่ผมมี email แล้ว ก็ไม่ต้องแจ้ง email มาครับ

    ผมจะส่งข้อมูลให้ในวันอังคาร เนื่องจากข้อมูลที่จะพิมพ์อยู่ที่ทำงานครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  14. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ส่งมาเลยครับ หุ หุ
     
  15. dragonlord

    dragonlord เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,541
    รอรับด้วยคนคะ หุ หุ หุ หุ หุ

    ปล.อย่าลืมเวียนเทียนเผื่ออีก 3 นะคะ หุ หุ หุ หุ หุ...


     
  16. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    อ่ะ หมายถึง 3*3= 9???? ปล่าวครับ เจ้าโดมันโวยแน่ครับ หุ หุ
     
  17. dragonlord

    dragonlord เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,541
    หุ หุ หุ หุ หุ 3 รอบพอคะ ไม่ต้องคูณ 3....



     
  18. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    ขอร่วมด้วยคนครับ
     
  19. dragonlord

    dragonlord เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,541
    กำลังอ่านเล่มนี้อยู่คะ เห็นว่าดีเลยเอามาฝากเนื่องในโอกาสวันมาฆบูชาคะ

    "วิธีปฏิบัติให้ได้มรรคผลนิพพาน" ซึ่งแต่งโดย อาจารย์ ชวยง พิกุลสวัสดิ์

    http://www.geocities.com/RainForest/Jungle/2897/
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ศึกดวลไข่ “ไข่ไก่ vs ไข่เป็ด” ฟองไหนเด็ดกว่ากัน
    http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000014529
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการรายวัน</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>8 กุมภาพันธ์ 2552 19:30 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>ไข่ไก่-ไข่เป็ด ที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านาน </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ไข่ไก่ฟองเล็กกว่าถูกกว่าไข่เป็ด</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ไข่ไก่ครองตลาดบริโภคในปัจจุบัน </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ไข่เป็ดนับวันหายากขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ไข่ไก่และไข่แดง</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ไข่แดงที่มาคู่กับคอเลสเตอรอล</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>แผงขายไข่เป็ด-ไข่ไก่ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ไข่เจียวนิยมใช้ไข่ไก่</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ไข่พะโล้นิยมใช่ไข่เป็ด</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ขนมไทยที่มีไข่เป็นส่วนผสม</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>“ก.เอ๋ย ก.ไก่...ข.ไข่ในเล้า...”

    เด็กๆ ที่หัดเรียนหัดเขียนภาษาไทยในยุคสมัยหนึ่ง คงจะคุ้นเคยกับการท่องพยัญชนะไทยในประโยคเบื้องต้น และนั่นอาจทำให้เด็กหลายคนรู้จักกับ “ไก่” และ “ไข่” มากขึ้น เด็กบางคนส่อแววรุ่งถึงขั้นถามปัญหาโลกแตกกับคุณครูว่า “ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกันฮับ”


    ขณะที่เด็กบางคนส่อแววรุ่งกว่า ด้วยการยิงถามคำถามที่เล่นเอาคุณครูมึนตึ้บว่า “เป็ดกับไข่อะไรเกิดก่อนกันฮับ” เพราะเป็ดก็มีไข่เหมือนกัน (และสัตว์อีกหลายชนิดก็มีไข่เหมือนกัน) แถมไข่เป็ดยังเป็นที่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมการกินของไทยมาแต่ช้านานไม่ต่างจากไข่ไก่

    *ไข่เป็ดไป...ไข่ไก่มา

    เรื่องราวแบบไข่ๆ หากพินิจพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน ดูจะใหญ่เกินขนาดฟองของมัน เพราะนอกจากจะเป็นอาหารอมตะและสามารถทำอาหารได้สารพัดอย่างแล้ว ไข่ยังมีส่วนไปข้องแวะอยู่ในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นไข่ในประเพณีบายศรีสู่ขวัญ-บวงสรวง-แก้บน, ไข่ในฐานะดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจชาติว่ารุ่งเรืองหรือตกต่ำ, ไข่ในสำนวนไทยที่ใช้เปรียบเปรยสถานภาพของหญิงสาวว่า “โสด” หรือไม่ เพราะถ้าไม่โสดนั่นหมายความว่าเธอโดน “เจาะไข่แดง” แล้ว, ไข่ในความฝันที่บางคนเชื่อว่าถ้าฝันเห็นไข่เป็ดหรือไข่ไก่จำนวนน้อยๆ ทำนายว่าอาจจะได้ลาภเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าฝันเห็นกองไข่จำนวนมาก ทำนายว่าอาจจะเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นในครอบครัว

    หรือกรณีล่าสุดกับบทบาทของไข่อันโดดเด่น ไข่กลายเป็นอาวุธสำคัญในสงครามการเมืองของกลุ่มคนบางกลุ่มที่ช่างไม่รู้คุณค่าของไข่เอาเสียเลย เพราะดันนำไข่ไปใช้แบบผิดวัตถุประสงค์ ผิดวิถีจารีตอันดีงามของไทยด้วยวิธีการ “ปาไข่” ใส่ผู้ที่มีความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างตามที่ปรากฏเป็นข่าว จนคนในสังคมส่วนใหญ่เอือมระอา

    เรียกว่าไข่นั้นมีอิทธิพลต่อสังคมไทยไม่น้อย (แต่หลายคนอาจมองข้ามไป) โดยเฉพาะ “ไข่ไก่” กับ “ไข่เป็ด” สองตระกูลไข่ที่คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี ซึ่งในอดีตนั้นบทบาทของไข่เป็ดดูจะเหนือกว่าไข่ไก่ ชนิดที่ขี่กันอยู่ประมาณครึ่งควบฟอง โดยเฉพาะในยุคของ “ท้าวทองกีบม้า” ต้นตำรับขนมไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่เป็นผู้คิดค้นในการทำขนมหวานยอดนิยมอย่างทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง สังขยา และขนมอื่นๆ อีกมากมาย ไข่เป็ดดูจะได้รับความนิยมมากเนื่องจากมีการใช้ไข่เป็ดเป็นส่วนผสมหลักในการสร้างสีสันของขนมหวานให้สวยงามขึ้น โดยเน้นที่การนำไข่แดงของไข่เป็ดมาใช้เป็นส่วนผสมหลัก

    แต่เมื่อมียุครุ่งเรืองก็ย่อมมียุคร่วงโรย เพราะมาในยุคปัจจุบันไข่เป็ดเสื่อมถอยความนิยมลงไปมาก ปล่อยให้ไข่ไก่ก้าวขึ้นชั้นมาแทนที่ ซึ่งเรื่องนี้ รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล นักโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดล ได้เล่าถึงความนิยมในยุคของไข่เป็ด ที่ความนิยมบริโภคเป็นไปตามการเกษตรกรรมแบบครัวเรือนว่า

    “สมัยก่อนคนไทยเรานิยมเลี้ยงเป็ดกันเป็นปกติธรรมดา ตามธรรมชาติ คนจึงนิยมไข่เป็ดมากกว่า แต่ตอนนี้ที่คนนิยมไข่ไก่เป็นเพราะว่าการผลิตไข่ไก่นั้นทำเป็นธุรกิจ ทำเป็นฟาร์มค่อนข้างชัดเจน การเลี้ยงดูก็ชัดเจน คนจึงหันมานิยมไข่ไก่มากกว่า และทำให้เมนูอาหารส่วนใหญ่ก็มักจะใช้ไข่ไก่ ไข่เป็ดไม่ค่อยนิยมเพราะกลิ่นคาวแรงกว่า”

    นอกจากนี้หากมองกันในแง่การตลาดแล้วการที่ไข่เป็ดลดน้อยถอยลงไปจากตลาด ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากการที่บริษัททำการเกษตรยักษ์ใหญ่ในบ้านเราไปส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงไก่ ทำฟาร์มไข่ไก่ ทำตลาดไข่ไก่ จนไข่ไก่ที่มีขนาดเล็กกว่า ได้รับความนิยมและสามารถครองตลาดในยุคนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น

    *ไข่เป็ด vs ไข่ไก่

    ไข่ไก่-ไข่เป็ด ไม่เพียงต่างกันในที่มา หากแต่ยังมีความแตกต่างในหลายจุดที่ชวนให้สังเกต โดยสิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือเรื่องของสีเปลือกไข่ ซึ่งทุกคนคุ้นตากันดีว่าไข่เป็ดมีเปลือกสีขาวหรือขาวอมชมพู ส่วนไข่ไก่มักจะมีเปลือกสีชมพูอมน้ำตาล สีน้ำตาลอมแดง สีน้ำตาลอมครีม ขึ้นอยู่กับพันธุ์ของไก่ แต่กระนั้นก็มีไก่บางพันธุ์ที่ให้ไข่มีเปลือกสีขาว อย่างเช่น ไก่ขนสีขาว

    ในขณะที่ในด้านความสะอาดของเปลือกไข่นั้น ไข่เป็ดตามธรรมชาติจะดูมอมแมมกว่าไข่ไก่ตามธรรมชาติ เพราะพฤติกรรมการเลี้ยงเป็ดส่วนใหญ่ในบ้านเรานิยมเลี้ยงในเล้าที่มีพื้นเป็นดินหรือดินโรยแกลบ เป็ดจึงนิยมไข่เรี่ยราดทิ้งไว้ตามพื้นปะปนกับของเสียที่เป็ดขับถ่าย ทำให้ไข่เป็ดดูเปรอะเลอะมอมแมม เพราะฉะนั้นก่อนนำไปบริโภคจึงควรล้างทำความสะอาดก่อน

    ส่วนไข่ไก่ตามธรรมชาติที่แม้เปลือกจะดูสะอาดตากว่า แต่ว่าที่ผิวของเปลือกไข่ก็มีแบคทีเรียซามอนเนลาติดอยู่ ดังนั้นก่อนบริโภคจึงควรล้างให้สะอาดเช่นเดียวกันกับไข่เป็ด เพราะถ้าแบคทีเรียตัวนี้เข้าไปในร่างกายผ่านทางปากก็จะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และปวดท้องได้

    อีกสิ่งหนึ่งที่แสดงถึงความแตกต่างระหว่างไข่ไก่กับไข่เป็ดก็คือ “ขนาดฟอง” ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไข่เป็ดมีขนาดฟองใหญ่กว่าไข่ไก่ (แต่ไข่เป็ดที่ฟองเล็กกว่าไข่ไก่ก็มี) แต่ในด้านคุณค่าทางโภชนาการเนื่องจากไข่เป็ดมีขนาดใหญ่กว่าจึงมีคุณค่าทางอาหารมากกว่าไข่ไก่ แต่ว่าหากมองในเรื่องของตัวคอเลสเตอรอลในไข่แดง ไข่เป็ดก็จะมีมากกว่าไข่ไก่เช่นกัน

    “ตัวไข่เป็ดที่ดูฟองโตกว่า ถ้าดูตัวคอเลสเตอรอลไข่แดงก็จะสูงกว่าตาม สมมติไข่ไก่ฟองหนึ่งตัวคอเลสเตอรอลประมาณ 200 มิลลิกรัม ไข่เป็ดโดยเฉลี่ยแล้วคอเลสเตอรอลก็จะประมาณ 250 มิลลิกรัม ส่วนสิ่งที่ต่างกันแบบสัมผัสได้ก็ตรงกลิ่น เพราะไข่เป็ดมันจะคาวกว่าไข่ไก่” รศ.ดร.ประไพศรีกล่าว

    นอกจากนี้หากพิจารณาสีของไข่แดงทั้งของไข่ไก่และไข่เป็ดแล้วจะพบว่า การที่ไข่แดงของทั้งไข่เป็ดและไข่ไก่ให้สีแตกต่างกันเป็นแดงเข้มแดงอ่อนนั้น ก็เนื่องมาจากอาหารที่ใช้เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ ซึ่งแต่ละแห่งต่างก็มีส่วนประกอบไม่เหมือนกัน ซึ่งในอดีตไข่แดงของไข่ไก่และไข่เป็ดจะแดงเข้ม เพราะในอดีตเกษตรกรนิยมเลี้ยงด้วยอาหารธรรมชาติจำพวกเศษหอย ปู ปลา ที่นำมาจากทะเล ส่งผลให้ไข่แดงมีสีแดงเข้ม เนื่องจากในอาหารทะเลเหล่านั้นมีสารให้สีพวกแคโรทีนอยด์ (caroteniod) อยู่มาก แต่ในปัจจุบัน เศษหอย ปู ปลา หายากขึ้นเพราะมีปริมาณน้อยลงและมีราคาแพงขึ้น จึงทำให้ไข่แดงตามธรรมชาติลดความเข้มของสีลงไป

    อย่างไรก็ดี ปัจจุบันได้มีฟาร์มผลิตไข่ไก่ไข่เป็ดหลายแห่งใช้วิธีเติมสีให้กับไข่แดง ด้วยวิธีการซื้อสารแคโรทีนอยด์มาจากต่างประเทศ แล้วใช้ผสมลงในอาหารที่ให้เป็ดและไก่กินโดยตรง เพื่อให้ไข่แดงมีสีแดงเข้มขึ้น เพราะยิ่งสีไข่แดงเข้มก็จะยิ่งเป็นที่ต้องการของตลาด

    นอกจากนี้ ยังมีความพยายามในการศึกษาหาแหล่งของสารให้สีที่มีอยู่ในบ้านเรา เพื่อนำมาใช้ทดแทนสีจากสารแคโรทีนอยด์ อาทิ เซลล์ของโฟโตแบคทีเรีย, เซลล์พวกสาหร่ายบางชนิด เช่น สาหร่ายเกลียวทองที่มีสารแคโรทีนอยด์สูง รวมถึงจากดอกดาวเรืองที่มีทั่วไปในบ้านเราแต่ว่าต้นทุนในการผลิตยังสูงอยู่

    จากสีแดงในไข่แดงทีนี้ตามมาดูคุณค่าทางโภชนาการเปรียบเทียบระหว่างไข่เป็ดกับไข่ไก่กันบ้าง

    ไข่ไก่ 1 ฟอง ให้พลังงาน 155 กิโลแคลอรี โปรตีน 12.8 กรัม ไขมัน 10.8 กรัม ส่วนทางด้านไข่เป็ด 1 ฟอง ให้พลังงาน 184 กิโลแคลอรี โปรตีน 12.1 ไขมัน 14.1 กรัม

    และนี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนหันมานิยมบริโภคไข่ไก่มากกว่า จากข้อมูลข้างต้นเราจะพบว่า ไข่เป็ดมีไขมันมากกว่าไข่ไก่ เนื่องจากปัจจุบันคนหันมาใส่ใจรักสุขภาพกันมากขึ้น และส่วนไข่ไก่นั้นก็มีโปรตีนที่ให้คุณค่ามากกว่าไข่เป็ด

    *ขนมหวานไทย ไข่ไก่ ไข่เป็ด

    “ไข่” นอกจากจะใช้ทำอาหารคาวแล้ว ไข่ยังเป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหารหวานและขนมหลายชนิด เรื่องนี้ เอริน พิพัฒน์ธวัลย์ ฝ่ายรับทำขนม “ร้านขนมเก้าพี่น้อง” เล่าถึงความสำคัญของไข่ในการทำขนมแสนอร่อยว่า

    “ขนมทุกอย่างที่ร้านนี้ ต้องมีไข่ผสมเป็นส่วนหนึ่งในวัตถุดิบ เรียกว่าขาดไม่ได้ พอๆ กับแป้งสาลีที่เป็นวัตถุดิบหลักในขนมปัง และขนมหวานไทยส่วนใหญ่ต่างก็ใช้ไข่เป็นส่วนผสมหลักทั้งนั้น”

    สำหรับความแตกต่างในการเลือกไข่ไก่กับไข่เป็ดในการเป็นส่วนผสมขนมหวานนั้น เอรินอธิบายว่า ขนมแต่ละประเภทมีการนำทั้งไข่เป็ดและไข่ไก่มาใช้เป็นส่วนประสม ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ต้องการ

    “ไข่ไก่จะให้เนื้อขนมนุ่มกว่าและคาวน้อยกว่า ส่วนไข่เป็ดเนื้อจะเหนียวกว่า สีสวยกว่า แต่ให้กลิ่นคาวแรงกว่า ซึ่งคุณสมบัติที่ดีของไข่เป็ดเหมาะกับการทำฝอยทองเพราะเส้นจะออกมาสวย ส่วนขนมหวานอื่นๆ ของเราส่วนใหญ่เราจะใช้ไข่ไก่เป็นส่วนผสมหลัก เพราะมันไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นคาวค่ะ” เอรินกล่าวถึงข้อดีที่แตกต่างกันระหว่างไข่ไก่กับไข่เป็ด

    *ไข่เป็ด-ไข่ไก่ .. ฟองไหนอร่อยกว่ากัน

    พูดถึงความอร่อยของไข่เป็ดและไข่ไก่นั้น ไม่มีดัชนีชี้ตายตัว ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวและรสนิยมการบริโภคชนิดที่สามารถลอกเลียนแบบกันได้

    โดยไข่ไก่เหมาะสำหรับการทำไข่ต้ม/ไข่ดาว/ไข่เจียว/ไข่หวาน และไข่ลวก แต่ถ้าไปทำไข่พะโล้จะไม่อร่อยเพราะไข่ขาวนุ่มเกินไป

    ส่วนไข่เป็ดเหมาะต่อการทำเป็น ไข่ต้ม/ไข่พะโล้/ไข่เค็ม แต่ถ้าใครนำไข่เป็ดไปทำไข่ลวก บางทีคนกินอาจมีการ “อ้วก” กันได้ง่ายๆ เพราะกลิ่นคาวของไข่เป็ดนั้นแรงอย่าบอกใครเชียว

    สำหรับเรื่องนี้ในมุมมองของแม่บ้านผู้นิยมเมนูไข่ ประนอม วรศิริ อธิบายว่า ถ้านำไข่เป็ดมาทำไข่ต้มแบบยางมะตูมจะอร่อยมาก แต่ถ้านำมาทำเป็นไข่ลวกจะกินไม่ได้เลย กลิ่นของมันจะคาวจนกินไม่ได้ ส่วนไข่หวาน ควรใช้ไข่ไก่ทำเพราะถ้านำไข่เป็ดมาทำไข่หวาน กลิ่นจะคาวมากเช่นกัน

    ในขณะที่ตามบ้านเรือนทั่วไปนั้น ไข่ถือเป็นหนึ่งในเมนูคู่ครัว ที่ยามหิวสามารถนำไปทำเป็นอาหารได้อย่างไม่ยากเย็น

    “ไข่ที่ส่วนใหญ่ซื้อไว้ติดบ้าน มักจะเป็นไข่ไก่มากกว่าไข่เป็ด เพราะไข่ไก่นั้นสามารถทำอาหารได้หลายเมนู เช่น บางครั้งที่บ้านไม่มีกับข้าว เราก็สามารถทำไข่เจียว ไข่ดาว ไข่ต้มไว้กินแก้หิวได้ ข้อดีของไข่ไก่คือ สามารถทำอาหารได้หลายประเภท” ประนอม กล่าว

    ด้าน ชญานิษฐ์ ชัยรัตน์ แม่ค้าขายผัดไทย หอยทอด พูดถึงบทบาทของไข่ไก่-ไข่เป็ดในกระทะผัดไทย หอยทอด ของเธอว่า

    “ผัดไทย หอยทอด เป็นเมนูที่ต้องใช้ไข่เป็นส่วนผสมหลัก หากขาดไข่ไปคงไม่อร่อย ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่ ไข่เป็ด ทางร้านใช้ได้ทั้ง 2 ประเภท ไข่ให้ทั้งความมัน ความหอม เวลาผัดไปกับเส้นจะได้กลิ่นความหอมของไข่ และสีสันของไข่สะดุดตา รวมถึงการใช้แป้งผสมกับไข่ในการทำหอยทอด ต้องทอดให้กรอบถึงจะอร่อย และส่วนใหญ่จะใช้ไข่ไก่มากกว่าไข่เป็ด เพราะไข่เป็ดนั้นไข่ขาวมันน้อยกว่าไข่ไก่ และที่สำคัญไข่เป็ดหาซื้อยากและแพงกว่า”

    จากเสียงผู้คลุกคลีกับอาหารที่ไข่เป็นองค์ประกอบ ลองไปฟังเสียงผู้บริโภคผู้นิยมไข่อย่าง อัตรส พิชิตวิเชียน กันบ้าง

    “ไข่เป็ดเมื่อต้มแล้ว สีไข่ขาวจะสวยน่ากิน ไข่แดงจะใหญ่สุก วางบนข้าวสวยร้อนๆ พร้อมกับกับข้าวข้างเคียงอื่นๆ อร่อยกว่าไข่ไก่เป็นไหนๆ และหากนำมาทำเป็นไข่เจียวจะเป็นอะไรที่อร่อยมาก เพราะไข่เจียวจะหนึบแน่นกว่า หอมกว่า ถ้าทำไข่พะโล้ด้วยแล้วก็เคี้ยวสนุก ไม่เละ จะว่าไปแล้ว ที่ไข่เป็ดถูกลดความนิยมลงคงเพราะมันหายากนี่แหละ แต่หายาก เลี้ยงยาก ย่อมอร่อยกว่าแน่นอน”

    ............................

    และนั่นก็คือเรื่องราวบางส่วนของไข่เป็ด-ไข่ไก่ ที่อยู่คู่กับสังคมไทยและวัฒนธรรมการกินของไทยมาช้านาน ซึ่งไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนผ่านไปแค่ไหน ไข่ทั้ง 2 ตระกูลก็ยังเป็นเมนูอมตะที่อยู่คู่คนไทยไปอีกนานเท่านาน

    *****************

    เรื่อง-นริศรา เสริมกิจการ
    ภาพ-นฤมล ประพฤติดี

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...