ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    เดิมทีคิดจะนำพระของหลวงปู่หมุนมาให้บูชาในกระทู้นี้ โดยเงินที่ได้จะไม่หักค่าใช้จ่ายนำมาทำบุญกับพระสงฆ์อาพาธทั้งหมดออกค่าส่งให้เองด้วย แต่มีประกาศทางเวปพลังจิตว่าหลังวันที่12กุมภาพันธ์ ถ้าตั้งขายพระจะลบกระทู้ทิ้ง จึงต้องขอยุติเพื่อดูความชัดเจนของทางเวปก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไร กับการทำบุญที่มีพระให้บูชาและไม่ได้กำไรหรือเข้ากระเป๋าตัวเอง ออกทั้งค่าพระ ค่าส่ง ทำเพื่อพระศาสนาแต่ต้องเสียค่าสมาชิกปีละ900บาท ถ้างั้นขออยู่เฉยๆดีกว่า จะได้มีกระทู้ไว้ได้ทำบุญกันแบบเดิมๆกันต่อๆไปครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 กุมภาพันธ์ 2009
  2. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    เป็นบันทึกจากการสนทนาบางส่วน ในวันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 นำมาเล่าสู่กันฟังครับ
    ว่าด้วยเรื่องการเลือกจริตกับการภาวนา<O:p</O:p
    พอดีมีเพื่อนสมาชิกท่านหนึ่งได้ถามเกี่ยวกับการภาวนาว่าเราจะเลือกแบบไหนดีให้ตรงกับตัวเอง<O:p</O:p
    ยกตัวอย่าง เช่น พี่นายสติก็เสนอว่าวิธีของผมใช้การจับลมหายใจเข้าออก<O:p</O:p
    พี่โสระก็บอกพุธโธเร็วๆ สิ<O:p</O:p
    พี่พันวฤทธิ์บอกของผม ภาวนาว่า สงฆ์อาพาธ ๆ ๆ<O:p</O:p
    [อันนี้ยังไม่ได้จบแค่นี้นะครับนี่คือวิธีปฏิบัติแล้วถูกจริตกับบางท่าน] พี่ ๆ เขาก็บอกต่ออีกว่าไม่สามารถบอกได้หรอกว่าอันไหนถูกกับใคร และไม่มีอันใดถูกอันใดผิด หากไปถามครูบาอาจารย์แต่ละท่านก็จะให้คำตอบไม่เหมือนกันบางท่านท่านสำเร็จจากการภาวนาช้า ๆ ค่อยระลึกไปทีละส่วนท่านก็จะแนะนำแบบช้า ๆ ให้ หากบางท่านจิตท่านโลดโผนท่านสำเร็จจากการภาวนาเร็วๆท่าน ก็จะแนะนำแบบเร็ว ๆ ให้ดังนั้นต้องลองเลือกปฏิบัติดูเอง หากเริ่มจากจับลมหายใจแล้วจิตไม่สงบยังวอกแวก ลองเปลี่ยนไปพุทโธช้า ๆ ดูซิ หากไม่ได้อีกก็ลองเร็ว ๆ ดู หากไม่ได้อีกก็ลองเอาจิตไปจับกับสิ่งที่เราสนใจ [ท้ายนี้เสริมเองครับ] เมื่อก่อนเคยได้อบรมมาบ้าง เช่น ตอนนั่งเราปวดขา ขาชาบ่นกับตัวเองว่าตายแน่ ๆ มานั่งปวดขาอย่างนี้ ท่านก็บอกให้ลองภาวนาว่า ตายซะ ๆ ๆ ให้มันรู้ไปว่าปวดขาแค่นี้จะถึงตาย<O:p</O:p
    เพราะกรรมฐานมี 40 กองให้ลองเลือกปฏิบัติดู ตอนหลังก็มาคุยกับพี่ก้อนอีกครั้งพี่ก้อนก็บอกว่าพี่บอกไม่ได้หรอกว่าใครจะชอบอันไหนเพราะจริตเราจะพาไปเอง พี่โสระก็ถามเพิ่มอีกว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าการภาวนาเรานั้นสัมฤทธิ์ผลแล้วสว่างเป็นแบบไหน เพราะบางครั้งภาวนาไปสว่างวาบแล้วตกใจก็หายไปอีก พี่ก้อนบอกว่าก็ต้องมีสติควบคุมให้รู้ทัน เรื่องความสว่างนั้นพอถึงจุดก็จะรู้เองไม่ต้องไปกำหนดให้เห็นแสงสว่างเดี๋ยวจะกลายเป็นหลอกตัวเอง เป็นวิปัสนู ไปเสียเปล่า ๆ<O:p</O:p
    ลองพิจรณาพระคาถาอิติปิโส ฯ ดูก็ได้ เพราะเป็นการระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า[พระปริสุทธิคุณ] หรือลองนึกพระคาถาไปทีละตัวไปจนจบดูก็ได้<O:p</O:p
    ถวายพรพระ(อิติปิ โสฯ)<O:p</O:p
    อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ (พุทธคุณ)<O:p</O:p
    สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูฮีติ (ธรรมคุณ)<O:p</O:p
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะ ปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ (สังฆคุณ)<O:p</O:p
    คำแปล
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ (ความรู้ และความประพฤติ) เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว (คือ ไปที่ใดยังประโยชน์ให้ที่นั่น) เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งไปกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ (พุทธคุณ)<O:p</O:p
    พระธรรมเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน (ธรรมคุณ)<O:p</O:p
    สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติดีแล้ว สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติตรงแล้ว สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติสมควรแล้ว ได้แก่บุคคลเหล่านี้คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ ๘ บุรุษ(คือพระอริยบุคคล ๘) นั่นแหละสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ควรแก่การสักการะที่เขานำมาบูชา เป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ เป็นผู้ควรแก่ทักษิณา เป็นผูควรแก่การทำอัญชลี เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า (สังฆคุณ)<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เพิ่มเติมครับ<O:p</O:p
    การบูชา แปลว่า "กิริยาที่กระทำด้วยความนับถือ"
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ในมงคลสูตรบทหนึ่งว่า การบูชาท่านที่ควรบูชาเป็นมงคลอันอุดมฯ มงคล นี้แปลว่า "เหตุให้ถึงความมั่งคั่ง" หรือ "เหตุให้ถึงความเจริญ"

    มงคลสูตร 38 ประการมีดังนี้
    1.ไม่คบคนพาล
    2. คบบัณฑิต
    3. บูชาคนที่ควรบูชา
    4. อยู่ในปฏิรูปเทศ อยู่ในถิ่นมีสิ่งแวดล้อมดี
    5.ได้ทำความดีให้พร้อมไว้แต่ก่อน
    6. ตั้งตนไว้ชอบ
    7. เล่าเรียนศึกษามาก
    8. มีศิลปวิทยา
    9. มีระเบียบวินัย
    10. วาจาสุภาษิต
    11. บำรุงมารดาบิดา
    12. สงเคราะห์บุตร
    13. สงเคราะห์ภรรยา
    14. การงานไม่อากูล
    15. รู้จักให้
    16. ประพฤติธรรม
    17. สงเคราะห์ญาติ
    18. การงานไม่มีโทษ
    19. เว้นจากความชั่ว
    20. เว้นจากาการดื่มน้ำเมา
    21. ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย
    22. ความเคารพ
    23. ความสุภาพอ่อนน้อม
    24. ความสันโดษ
    25. มีความกตัญญู
    26. ฟังธรรมตามกาล
    27. ความอดทน
    28. เป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย
    29. พบเห็นสมณะ
    30. สนทนาธรรมตามกาล
    31. มีความเพียรเผากิเลส
    32. ประพฤติพรหมจรรย์
    33. เห็นอริยสัจจ์
    34. ทำพระนิพพานให้แจ้ง
    35. ถูกโลกธรรม จิตไม่หวั่นไหว
    36. จิตไร้เศร้า
    37. จิตปราศจากธุลี
    38. จิตเกษม

    โดยทั่วไปชาวพุทธเวลาไปวัดสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ธูป เทียน และ ดอกไม้ ถ้าจะถามว่าของทั้ง 3 อย่างนี้มีไว้ทำไม หลาย ๆ คนก็คงจะตอบว่าของสามสิ่งนี้มีไว้บูชาพระรัตนตรัย แต่แท้ที่จริงแล้วถ้าจะพูดให้ถูกต้องน่าจะบอกว่า ธูป เทียน และ ดอกไม้ มีไว้บูชา คุณของพระรัตนตรัย
    การบูชาคุณของพระพุทธ เราบูชาด้วย "ธูป" ธูปที่ใช้เรามี 3 ดอกนั้นเป็นการบูชาพระพุทธคุณ 3 ประการ ดังนี้
    1. พระปัญญาคุณ คือพระปรีชาฌาณที่รอบรู้คุณและโทษ
    2. พระปริสุทธิคุณ คือการที่พระองค์ชำระกิเลสให้หมดสิ้นเป็นพระอรหันต์
    3. พระกรุณ่ธิคุณ ที่ทรงเมตตาเทศนาสั่งสอนให้สัตว์โลกพ้นทุกข์

    การบูชาคุณของพระธรรม เราบูชาด้วยเทียน เพราะพระธรรมคือศาสนา ได้แก่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นเหมือนดวงไฟส่องทางให้เราได้รู้ ทางดี ทางชั่ว ทางนรก ทางสวรรค์ ทางนิพพาน เราจะใช้เทียนจุดบูชา พระธรรมอย่างน้อย 2 เล่ม เราพว่าพระธรรมมีทั้งหมด 84,000 ธรรมขันธ์ สามารถย่อให้เหลือ 2 เท่านั้นคือ ธรรมรักษากาย (วินัย = ธรรมวินัย + ศีล) และ ธรรมรักษาใจ (ธรรม = สมาธิ + ปัญญา) คุณของพระธรรมก็มี 3 ประการเช่นกัน
    1. สร้างความดี
    2. ละความชั่ว
    3. อย่าเอาความชั่วมาไว้ในจิตใจ

    การบูชาคุณของพระสงฆ์ เราบูชาด้วยดอกไม้ เนื่องจากดอกไม้สามารถมาได้จากหลาย ๆ แหล่งต่าง ๆ กัน คุณลักษณะก็แตกต่างกัน หอมบ้าง ไม่หอมบ้าง สีแดง สีเหลือง สีขาว สวยบ้าง ไม่สวยบ้าง แต่เมื่อนำดอกไม้ต่าง ๆ มาร้อยเป็นพวงมาลัยจะกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวสวยงาม ที่ไม่สวยก็จะพลอยสวย ที่ไม่หอมก็จะพลอยหอม เปรียบเหมือนพระสงฆ์ต่างก็มาจากตระกูล และ ฐานะที่แตกต่างกัน ร่ำรวยบ้าง จนบ้าง หล่อบ้าง ไม่หล่อบ้าง มีความรู้มากน้อยต่างกัน แต่พอบวชแล้วพระทุกรูปก็เหมือนกันหมด มีศีลธรรมเสมอกัน มีความประพฤติตามพระวินัยเหมือนกัน งดงามราวกับดอกไม้ที่ร้อยเป็นพวกมาลัย โดยมีศีลเป็นเหมือนเชือก ร้อยรัดเข้าด้วยกัน ถ้าพระศีลขาดก็เหมือนพวงมาลัยขาด ดอกไม้ตกลงมากองกับพื้นหมดสิ้นความสวยงาม สังฆคุณมี 9 ประการคือ
    1.สุปฏิปันโน - ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
    2.อุชุปฏิปันโน - ปฏิบัติตรง
    3.ญายปฏิปันโน - ปฏิบัติออกจากทุกข์มิใช่เพิ่มทุกข์
    4.สามีจิปฏิปันโน - ปฏิบัติพอควรพอเหมาะพอสม
    5.อาหุเนยโย - เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา
    6.ปาหุเนยโย - เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ
    7.ทักขิเนยโย - เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน
    8.อัญชลีกรณีโย - เป็นผู้ควรอัญชลี
    9.อนุตตรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ – เป็นเนื้อนาบุญของโลก

    หากเล่าตกหล่นหรือเพิ่มเติมประการใดต้องขอขมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
    โมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ

    สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ
    พี่ก้อน พี่เสือ พี่หมู พี่ปุ๊ พี่วิรัช
    Thaiware<O:p</O:p
    gotoknow.org

    หากว่าท่านใดมีข้อแนะนำชี้แจงข้าพเจ้ายินดีรับฟังครับ;aa37
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2009
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ผมเลือกข้างเหมือนกับแหม่มคนนี้และบทความนี้เป็นบทความส่วนตัวที่อ่านแล้วมีความรู้สึกที่ดี เกิดปิติยินดีที่ได้อ่าน ตั้งแต่เกิดผมก็ไหว้ท่าน และเห็นปู่ย่าตายายผม เห็นพ่อแม่ผม รักท่าน ท่านคือ "องค์ที่อยู่ในรูปของทุกบ้าน" นั่นเอง จากบทความหนึ่งที่เห็นชาวต่างชาติเคารพในหลวงของเรา "ผมก็เลยเลือกข้างในหลวงครับ"


    [​IMG]

    เมื่อไม่กี่วันมานี้ ได้เห็นแหม่มต่างชาติ ที่ขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีทางการเมืองภาคประชาชน ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ถนนราชดำเนิน ที่มีคนพูดถึงกันทั่วๆไปในขณะนี้ ครูจะไม่พูดเรื่องการเมืองในข้อเขียนของครู ซึ่งที่จริงแล้ว คนเราที่เกิดมาเดินบนผืนแผ่นดินไทย จะต้องใฝ่รู้ ใฝ่หา ว่า
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    หากใครสังเกตุได้ ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะพบว่าผมมักจะลงเรื่องเกี่ยวกับในหลวงท่านมาก ก็คงเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะหากใครได้รู้ความจริงจากผู้ทรงญาณทั้งหลายก็จะพบว่า บารมีในหลวงท่านเข้มแล้วจริงๆ พี่ใหญ่จึงบอกว่า ใครแข่งบารมีกับท่านก็บรรลัยเท่านั้นเอง รูปของท่านหากใครนำมาบูชาแล้ว ไม่ต้องเสกก็ใช้ได้ แถมยังสำทับว่า ใครหมิ่นท่านไอ้พวกนี้จุดจบไม่ต้องพูดถึง เอาแค่ก่อนตาย ก็ผิดกฏหมาย แต่หลังตายนี่ซิเอ็งเอ๋ย...เข้าขั้นปรมาสพระโพธิสัตว์เชียว... ช่วงนี้ก็เลยต้องนำมาลงให้ดู อย่างน้อยพวกเราในฐานะคนทำบุญกับพระสงฆ์องค์เจ้าที่อาพาธทั้งหลาย ให้มีปิติในบุญที่ทำ บุญที่เกิดมาในศาสนาพุทธ บุญที่เกิดมาใต้ร่มพระบารมีท่าน และยิ่งได้อ่านในหนังสือ "พุทธสาสนสุวรรณภูมิปกรณ ราชบุรีวัตถุกถา" ของท่านพระราชกวี วัดโสมนัสด้วยแล้ว จะได้รู้อะไรเกี่ยวกับท่านอีกเยอะเลยเชียว หนังสือนี้ยังมีขายที่วัดโสมนัส คณะ 1 ในราคา 800.- ครับ ไม่มีเวลาอ่านตอนนี้ ไว้เกษียณอายุ อ่านไป เลี้ยงหลานไปก็ไม่เสียหลายครับ ไปซื้อที่คณะ 1 แล้ว ให้ลองเดินไปที่ กุฏิท่านเจ้าอาวาส ไปหาซื้อหนังสือ "จตุรารักษ์" อีก 1 เล่มด้วยก็ได้ แต่เท่าที่คุยกับท่านเจ้าคณะ 1 ท่านบอกว่า บางทีก็แจกฟรีครับ หนังสือ "จตุรารักษ์" นี่ ท่านอาจารย์เสาร์-อาจารย์มั่น ท่านมีติดย่ามไว้ตลอดด้วยนา จะบอกให้เอาบุญ...

     
  5. คีตา

    คีตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +4,309
    หนังสือ "จตุรารักษ์"

    เป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไรครับ....?
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    ผมเอาบทความเก่าในกระทู้นี้ในหน้า 112 มาตอบให้ พร้อมกับหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ปกติหนังสือ "จตุรารักษ์" นี้ ที่ผมได้เป็นเล่มโดดๆ สีม่วง ได้รับแจกฟรี มาจากคุณภัทระ คำพิทักษ์ ซึ่งตอนนั้นยังอยู่กับมติชนส่งมาให้ แต่มาภายหลังค้นพบอีกเล่มหนึ่ง ซึ่งผนวกคำสอนของครูบาอาจารย์สายปฏิบัติเอาไว้ด้วย ซึ่งนับว่าดีมากๆ แบบทูอินวัน ส่วนรายละเอียดเฉพาะ "จตุรารักษ์" นั้น คีย์ในกูเกิลเอา สบายมาก รายละเอียดเพียบครับ

    ข้อความเดิมที่เคยโพสท์ไว้

    วันนี้ได้อ่านหนังสือเล่มนึง และแนะนำให้พวกเราได้อ่านกันถ้าหาซื้อได้ หนังสือเล่มนี้ราคา 119.-บาท ชื่อหนังสือ

    หนังสือ..."ธรรมเจดีย์ ธรรมะชำระใจ"


    [​IMG]
    หนังสือธรรมเจดีย์นี้เป็นนิพนธ์ของ "สมเด็จพระวันรัต" (ทับ พุทธสิริ) เจ้าอาวาสรูปแรกของวัดโสมนัสวิหาร ซึ่งเป็นพระมหาเถระรูปหนึ่ง ผู้เป็นต้นวงศ์คณะธรรมยุตและเป็นบุรพาจารย์ของพระสงฆ์ธรรมยุตสายใหญ่ที่สุด

    พระสงฆ์ธรรมยุตในภาคกลางและภาคใต้เกือบทั้งหมดเป็นสายสืบเนื่องจากมาจากศิษย์ของท่านทั้งสิ้น ทั้งเป็นพระมหาเถระที่ชอบออกธุดงค์ และชำนาญแตกฉานในพระไตรปิฎกและในการปฏิบัติกัมมัฏฐานพรหมจรรย์ของท่าน มุ่งพระนิพพานเป็นสำคัญ

    สมเด็จพระวันรัต ได้เขียนหนังสือทางพระ พุทธศาสนาออกมาเป็นจำนวนมาก ย้ำการปฏิบัติตามพระธรรมวินัยเป็นสำคัญ

    "ธรรมเจดีย์ ธรรมะชำระใจ" เล่มนี้ เป็นผลงานอันทรงคุณค่าในการปฏิบัติภาวนาเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนี้ไม่ปรากฏจำนวนการจัดพิมพ์มาก่อน แต่ตามหลักฐานบ่งว่า ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ได้จัดพิมพ์เมื่อปี พ.ศ.2423 ครั้งหนึ่ง หลังจากที่ท่านได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระวันรัต ในปี พ.ศ.2422 และจัดพิมพ์อีกครั้งหนึ่งจำนวน 2,000 เล่ม

    ในปี พ.ศ.2477 ตามหลักฐานที่ท่านเจ้าคุณพระธรรมวโรดม (เซ่ง อุตตโม) วัดราชาธิวาส กรุงเทพฯ ได้กล่าวไว้ในคำนำการจัดพิมพ์ครั้งนั้นซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นการจัดพิมพ์ครั้งที่สอง โดยจัดพิมพ์รวมเรื่องต่างๆ ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ซึ่งกระจัดกระจายอยู่หลายเรื่องเข้าเป็นเรื่องเดียวกัน ให้ชื่อว่า "ธรรมเจดีย์" หมายถึง พระธรรมของพระพุทธเจ้าอันควรระลึกถึง แล้วนำมาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์แก่ตนและส่วนรวม

    เนื้อหาสำคัญในเล่ม ประกอบด้วย วิธีบูชาไหว้พระ วิธีรักษาศีล จตุรารักษ์ วิปัสสนากัมมัฏฐานโดยสังเขป สังขิตโตวาท วิธีเจริญวิปัสสนา

    หนังสือเล่มนี้ได้รับความสนใจมากในหมู่นักปฏิบัติภาวนา นับตั้งแต่ได้จัดพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรก เมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ 24 โดยเฉพาะหัวข้อเรื่องจตุรารักษ์และสังขิตโตวาท

    แม้แต่ "พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต" และ "หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล" ยังให้การยกย่องเชิดชูอย่างสูง ซึ่งทั้งสองท่านต่างก็มีหนังสือเล่มนี้ติดตัวอยู่ประจำ เพราะเตือนใจ สอนใจ ในด้านการภาวนาตามหลักพระพุทธศาสนาได้ดีมาก

    ใชˆเพียงแต่บุคคลในอดีตเท่านั้นที่ให้การยกย่องเชิดชูหนังสือธรรมเจดีย์ เพราะยังมีบุคคลในปัจจุบันอีกท่านหนึ่ง ซึ่งได้ร่วมยืนยันถึงความเป็นเพชรน้ำเอกของหนังสือธรรมะเล่มนี้ด้วย คือ พระธรรมวิสุทธิกวี หรือ หลวงพิจิตร ฐิตวัณโณ เจ้าอาวาสวัดโสมนัสวิหารรูปปัจจุบัน ซึ่งเป็นผู้นำหนังสือเล่มนี้มาจัดพิมพ์ใหม่เป็นครั้งที่ 4 เมื่อปี พ.ศ.2550

    โดยในการนี้ พระธรรมวิสุทธิกวี ได้กล่าวปรารภว่า "อ่านแล้ว กิเลสในจิตใจหลุดลอกเบาบางลงไปเป็นขั้นๆ เลยทีเดียว"

    ดังนั้น ผู้ที่สนใจใฝ่ธรรมทุกท่าน ไม่ควรพลาดจากหนังสือเล่มนี้ด้วยประการทั้งปวง
    http://www.matichon.co.th/khaosod/vi...MHdOUzB3TkE9PQ==

    เป็นหนังสือที่น่าอ่านมากครับ ที่ศูนย์หนังสือ จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ หรือซีเอ็ด มีหมด ลองหยิบมาดู อย่างจตุรารักษ์ คุ้มที่สุดแห่งการเป็นมนุษย์ที่พึงศึกษาแล้ว ใครมีโอกาสควรซื้อมาศึกษาน๊ะครับ อ่านแล้วลองปฏิบัติดูตามนั้น พึงระลึกบ่อยๆ ทำบ่อยๆ ลืมไปเลยอบายภูมิ

    ดูอีกทีที่นี้ก็แล้วกัน
    http://www.se-ed.com/eShop/Products/Detail.aspx?No=9789740531753
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2009
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ขอนำเสนอพระราชกรณียกิจ 15 วันในหลวงทรงผนวช ในวันที่ 2 ซึ่งต่อจากกระทู้หน้าที่แล้วครับ

    พระราชกรณียกิจในวันที่ 2 แห่งการทรงพระผนวช
    วันอังคารที่ 23 ตุลาคม 2499

    เมื่อทรงตื่นพระบรรทมแล้ว เสวยพระกระยาหารเช้าเสร็จแล้ว เสด็จลงพระอุโบสถ ทรงทำวัตรเช้า จากนั้น ทรงสดับวินัยมุข เรื่อง
     
  8. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    วันนี้เวลา 19.42น. ผมได้ฝากเงินจำนวน 500บาท เข้าบัญชี 3481232459 pratom f. เพื่อร่วมทำบุญสงฆ์อาพาธประจำเดือนนี้ครับ ขอบคุณ และโมทนาสาธุครับ
     
  9. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    เก็บมาฝากจากพระพยอม กัลยาโณ


    <TABLE style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px" cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px">[​IMG]</TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px">เศรษฐีคนหนึ่ง อยู่กรุงเทพฯ เป็นนักสะสมซากสัตว์ เขาสัตว์ งาช้าง หนังเสือ เต็มบ้านไปหมด ทุกเสาร์ อาทิตย์ ก็ออกไปล่าสัตว์ เมีย มีลูกอ่อน อายุประมาณ 3 เดือน วันหนึ่ง ขณะออกล่าสัตว์เห็นลูกลิงตัวหนึ่ง สวย น่ารัก ขนสีขาว แปลกมาก อยากได้มาเลี้ยงที่กรุงเทพ ฯ ก็ปรึกษากับพรานป่าคนนำทางว่า ทำอย่างไรจึงจะได้ลูกลิงมาเลี้ยง …
    พรานป่าบอกว่า … โดยสัญชาตญาณ ลิงจะรักลูกมาก รักสุดชีวิต ตราบใดที่แม่ลิงยังไม่ตาย ไม่มีใครสามารถเอาลูกมันออกจากอกได้ … มันสู้สุดชีวิต<O:p</O:p
    สุดท้าย เศรษฐีตัดสินใจยิงแม่ลิงตายแล้วเอาลูกลิงสีขาวมาเลี้ยงที่กรุงเทพฯ … เมื่อยิงแม่ลิงตาย ก็เอาเนื้อไปแกงให้ลูกน้องถลกหนังเก็บหนังไว้ประดับบ้าน<O:p</O:p

    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px" colSpan=2>พอกลับถึงกรุงเทพฯ ก็เอาลูกลิงเลี้ยงไว้ในบ้าน หยอกล้อ วิ่งเล่นกับลูกลิง เป็นที่สนุกสนาน ส่วนหนังลิงตัวแม่ มันยังสดอยู่ มีกลิ่นเหม็น ก็เอาไปตากแดดที่ลานจอดรถหน้าบ้าน …<O:p</O:p

    เช้าวันหนึ่ง ขณะเมียเศรษฐี กำลังให้นมลูกกินในห้องรับแขกหน้าบ้าน เมียร้องไห้โฮ ดังลั่นบ้าน เศรษฐีตกใจ วิ่งลงมาจากชั้นบน โผเข้าไปกอดเมียและลูกไว้ใบหน้าตกใจสุดขีด พยายามถามเมียว่าเกิดอะไรขึ้น
    เมียไม่ยอมตอบ เอาแต่ส่ายหน้า แล้วก็ร้องไห้ หันไปมองหน้าลูก กำลังหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข ….
    นั่งปลอบเมียอยู่สักครู่ พอเริ่มตั้งสติได้ก็ถามเมียว่าเกิดอะไรขึ้น ตกใจเรื่องอะไร ร้องไห้เรื่องอะไร
    เมียไม่ยอมพูด … แต่ชี้มือไปที่ลานจอดรถหน้าบ้าน … เศรษฐีมองตามไป เห็นภาพถึงกับผงะตกใจ น้ำตาไหล ไม่รู้ว่า ลูกลิงที่เอามาเลี้ยงไว้หลุดออกไปนอกบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ มันออกไปดูดนมแม่ ที่เป็นหนังแห้ง ตากไว้ที่โรงรถ ดูดเสร็จ มันก็ก้มลงกอดแม่ ตาไหล …
    เศรษฐีและเมีย ทนดูไม่ได้ ร้องไห้โฮ คุยกันว่า ถ้ามีคนทำกับครอบครัวเราอย่างนี้บ้าง เราจะรู้สึกอย่างไร จะเศร้าโศก เสียใจ ทุกข์ทรมานใจขนาดไหน …?
    ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เศรษฐี สั่งให้เอาซากสัตว์ที่สะสมทั้งหมดไปเผา เอาลูกลิงไปปล่อยในป่า เลิกออกล่าสัตว์ เข้าวัด ทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้แม่ลิง และขออโหสิกรรม ทุกครั้งที่ทำบุญจะขอพรทุกครั้งว่า …
    ขออย่าให้มีใครมาทำกับครอบครัวเรา …เหมือนกับที่เราได้ทำกับครอบครัวลิงตัวนั้นเลย
    อาตมาจึงขอฝากไว้ว่า ถ้ารักลูกของเราจงอย่าทำร้ายลูกคนอื่นถ้าอยากให้ครอบครัวของเรามีความสุขจงอย่าทำร้ายครอบครัวคนอื่น


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอขอบคุณ
    http://www.love4home.com
     
  10. @^น้ำใส^@

    @^น้ำใส^@ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +4,674
    อนุโมทนากับทุกท่านค่ะ

    สาธุๆ
     
  11. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    ได้รับพระเรียบร้อยแล้ว อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

    .
     
  12. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    โอนเงินร่วมบุญวันนี้ 1500.55 บาท เวลา 13.05น.เป็นส่วนทุนนิธิฯ 1000.55 บาท อีก 500บาทร่วมบุญงานวันที่ 22 นี้นะคะ ไปไม่ได้ ไม่ว่าง แง แง
    [​IMG]
     
  13. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
  14. ชิน9

    ชิน9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +247
    สวัสดีครับ

    ผมได้โอนเงิน03/02/09 เวลา 11:02:11 1702 3612a ผ่านทาง ธ.กรุงศรี จำนวน 2,000.- บาท

    เพื่อเป็นอานิสงค์ผลบุญและอนุโมทนาบุญให้ อาม่า,ป๋า,แม่,อาโกวทุกท่าน,ชิน9,น้องๆ,

    หลานๆ,เพื่อนๆ,ครู,อาจารย์,มวลสรรพสัตว์ทั้งหลาย,ผู้เสียชีวิต ไฟไหม้ที่ซานติก้า,

    เจ้ากรรมนายเวรทั้งชาตินี้และชาติก่อนหน้านี้,สัมพเวสี,ภูติผี เปรต ปีศาจ แวมไพร์,

    เชิญเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธ์ทุกทิศาทุกที่ทุกหนแห่งมาร่วมอนุโมทนาบุญด้วยเทอญ

    ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับทุกค.ห.ที่โพสมาด้วยครับ

    ขอเชิญพี่ๆ เพื่อนๆ ร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกันนะครับ
     
  15. jirautes

    jirautes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +575
    พี่โสระครับผมได้รับพระแล้วขอบคุณมากครับ
     
  16. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>
    ยึดติด

    โดย
    พระไพศาล วิสาโล




    สุด.. ได้เลขท้าย ๓ ตัวมาจากหลวงพ่อ เลยแทงไป ๑๕ บาท ปรากฏว่าถูกเผง ได้มา ๖๐๐ บาท เขาดีใจมาก เที่ยวอวดใครต่อใครในหมู่บ้านว่าถูกหวย แต่พอรู้ว่า คอนซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน ก็แทงหวย ๓ ตัวถูกเหมือนกัน แต่ได้เงินมากกว่าคือ ๒,๐๐๐ บาท เพราะแทงมากกว่า สุดเลยยิ้มไม่ออก หงอยไปทั้งวันแถมยังโมโหตัวเองที่แทงน้อยไป

    ใจ.. ไปเที่ยวไนท์บาซ่า เห็นผ้าพื้นเมืองลายงาม ราคา ๕๐๐ บาท แต่เธอต่อได้ ๓๕๐ บาทจึงคว้าผ้าผืนนั้นกลับโรงแรมด้วยความดีใจ แต่พอรู้ว่าไก่เพื่อนร่วมห้องก็ซื้อผ้าแบบเดียวกันมา แต่ได้ราคาถูกกว่า คือ ๓๐๐ บาท ใจก็หุบยิ้มทันที ไม่รู้สึกโปรดปรานผ้าของตนอีกต่อไป

    แม้เราจะมี"โชค"หรือได้ของดีที่ถูกใจแต่หากไปเปรียบเทียบกับของคนอื่นเมื่อใด
    สุขก็อาจกลายเป็นทุกข์ทันที หากรู้ว่าคนอื่นได้มากกว่า ได้ของดีกว่าหรือได้ของที่ถูกกว่า ส่วนของดีที่เราได้มากลับด้อยคุณค่าไปถนัดใจบางครั้งอาจทำให้เราทุกข์กว่าตอนที่ยังไม่ได้ของนั้นมาด้วยซ้ำ
    ที่จริงไม่ต้องไปเทียบกับของคนอื่นก็ได้เพียงแค่เห็นของรุ่นใหม่วางขายหรือโฆษณาตามสื่อต่างๆก็เกิดความไม่พอใจในของเดิมที่มีอยู่ทันทีทั้งๆ ที่มันก็ยังใช้ได้ดี ไม่มีปัญหาอะไรรบกวนใจยกเว้นข้อเดียวคือ มันสู้ของใหม่ที่วางขายไม่ได้ทั้งๆ ที่มีของดีอยู่กับตัว แต่คนเราแทนที่จะพอใจกลับรู้สึกเป็นทุกข์เพียงเพราะใจไปจดจ่ออยู่กับสิ่งดีกว่า (หรือมากกว่า) ที่ตัวเองยังไม่มีแต่เมื่อใดก็ตามที่ของชิ้นนั้นเกิดมีอันเป็นไปเช่นทำตกหล่นหรือถูกขโมยไป เราก็จะกลับมาเห็นคุณค่าของมันและนึกเสียใจที่เสียมันไป จะกินจะนอนก็ยังนึกถึงมันด้วยความเสียดายทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นใน กรณีที่เป็นสิ่งของเท่านั้นแต่ยังเกิดกับกรณีที่เป็นคนด้วย เช่น คนรัก หรือแม้แต่พ่อแม่และลูกผู้คนจำนวนมากไม่เห็นคุณค่าหรือมีความสุขกับคนใกล้ชิดเพราะไปนึกเปรียบเทียบคนอื่นว่าเขามีพ่อแม่ คนรัก หรือลูกที่ดีกว่าเรา
    แต่วันใดที่เราเสียเขาไป เราถึงจะกลับมาเห็นคุณค่าของเขาและเศร้าโศกเสียใจจนถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียวเฝ้าหวนคำนึงถึงวันคืนเก่าๆ ที่เขาเคยอยู่กับเราคนเรามักทุกข์เพราะจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ยังไม่มี หรืออาลัยในสิ่งที่สูญเสียไปพูดให้ครอบคลุมกว่านั้นก็คือทุกข์เพราะใจยังติดยึดอยู่กับอนาคตและอดีตอนาคตและอดีตที่ว่ามิได้หมายถึงสิ่งดีๆ ที่ยังไม่มีหรือที่เสียไปเท่านั้นแต่ยังรวมถึงสิ่งไม่พึงปรารถนาที่ (คาดว่า) รออยู่ข้างหน้าเช่นอุปสรรค และสิ่งไม่พึงปรารถนาที่พานพบ คำต่อว่า หรือการกระทำที่น่ารังเกียจ
    คำตำหนิติเตียนไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน แต่ก็ทำอะไรเราไม่ได้หากเราไม่เก็บเอาคิดซ้ำคิดซากคำพูดเหล่านั้นผ่านพ้นไปนานแล้วแต่ที่ยังบาดใจเราอยู่ก็เพราะเราไม่ยอมปล่อยวางมันต่างหากยิ่งคิดคำนึงถึงมันมากเท่าไรก็ยิ่งซ้ำเติมตัวเองมากเท่านั้น
    การเอาเปรียบ กลั่นแกล้ง ทรยศ หักหลัง ก็เช่นกันแม้เป็นอดีตไปนานแล้ว แต่เราก็ยังทุกข์อยู่กับเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่เพราะเขายังทำเช่นนั้นกับเราอยู่แต่เป็นเพราะเราชอบย้อนภาพอดีตกลับมาฉายซ้ำในใจอย่างไม่ยอมเลิกราย้อนแต่ละทีก็เหมือนกับกรีดแผลลงไปที่ใจ
    หยุดย้อนอดีตเมื่อใดใจก็หายเจ็บเมื่อนั้น
    อดีตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนอนาคตยังมาไม่ถึงแต่จะมาถึงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ได้แต่บ่อยครั้งเรากลับยึดมั่นสำคัญหมายอย่างเป็นจริงเป็นจังว่ามันจะต้องเกิดขึ้นแน่ เท่านั้นยังไม่พอถ้าเป็นเรื่องแง่ลบด้วยแล้วเรามักจะวาดภาพไปในทางเลวร้ายแล้วก็ยึดมันเอาไว้ไม่ให้คลาดไปจากใจ ทั้งๆ ที่ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์
    ชายผู้หนึ่งเดินขึ้นตึกไปหาหมอ เพื่อฟังผลตรวจโรคพอหมอบอกว่า พบก้อนมะเร็งระยะที่สองในปอดของเขาเขาก็ถึงกับทรุด เข่าอ่อนเดินไม่ได้ กลับถึงบ้านก็กินไม่ได้นอนไม่หลับซึมไปเป็นเดือนส่วนหญิงผู้หนึ่ง ป่วยกระเสาะกระแสอยู่นานหลายสัปดาห์แล้ววันหนึ่งหมอก็บอกว่า เธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่ตับจะอยู่ได้ไม่เกิน ๓ เดือน ปรากฏว่าผ่านไปแค่ ๑๒ วัน เธอก็สิ้นใจทั้งสองกรณีไม่ได้ทรุดฮวบเพราะโรคมะเร็งเล่นงานแต่เป็นเพราะใจเสีย ทันทีที่ได้ยินข่าวร้ายใจก็นึกภาพอนาคตของตัวเองไปในทางเลวร้ายยิ่งผู้ป่วยรายที่สองด้วยแล้วเธอนึกไปถึงวันตายของตัวเองเลยทีเดียวแถมยังปรุงแต่งไปในทางที่มืดมนเท่านั้นไม่พอเธอยังหมกมุ่นกับภาพดังกล่าวไม่หยุดหย่อนทั้งๆ ที่มันยังไม่เกิดขึ้น ผลก็คือถูกความทุกข์ท่วมทับจนมิอาจทานทนต่อไปได้บ่อยครั้งเราเป็นทุกข์เพราะเรื่องที่ยังมาไม่ถึงเช่นการสอบไม่ติดหรือตกงานโดยตัวมันเองไม่ก่อปัญหาแก่เรา มากเท่ากับใจที่ปรุงแต่งไปล่วงหน้าว่านับแต่นี้ไปชีวิตจะลำบากยากแค้นเพียงใด แล้วจะอยู่ดูโลกนี้ต่อไปได้อย่างไรแต่เมื่อเวลาผ่านไปก็อาจพบว่าที่แท้เราตีตนก่อนไข้ไปเองเพราะปัญหาต่างๆ ที่ตามมาไม่ได้หนักหนาสาหัสอย่างที่คิดสามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ในที่สุด
    อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ปรุงแต่งเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึงเท่านั้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า บางครั้งเราก็ปรุงแต่งให้เลวร้ายเกินจริงเช่น อยู่รีสอร์ตคนเดียวกลางดึก ได้ยินเสียงผิดปกติก็ปรุงแต่งไปทันทีว่าถูกผีหลอก หรือไม่ก็มีคนจะมาทำร้ายเห็นคู่รักกำลังคุยอย่างสนิทสนมกับชายหนุ่มในร้านอาหารก็คิดไปทันทีว่า เธอกำลังนอกใจการคิดปรุงแต่งที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แต่เมื่อใดที่เราหลงยึดว่ามันเป็นเรื่องจริงเราก็กำลังก่อทุกข์ให้กับตัวเองแถมยังสามารถสร้างปัญหาให้แก่คนอื่นได้ด้วย
    วัยรุ่นนั่งกินอาหารอยู่หน้าร้านเผอิญขี้นกหล่นใส่หัวแต่เขากลับคิดว่าเจ้าของร้านถ่มน้ำลายใส่หัวจึงทะเลาะกับเจ้าของร้านอย่างรุนแรงสักพักก็ออกจากร้านแล้วกลับมาพร้อมกับพวกอีกหลายคนควักปืนออกมายิงกราดถูกภรรยาเจ้าของร้านซึ่งกำลังท้อง ๕ เดือนตายคาที่
    กลายเป็นฆาตกรที่ถูกตำรวจหมายหัวทันที
    การยึดติดสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นเองเป็นที่มาอีกประการหนึ่งของความทุกข์ทีแรกเราเป็นฝ่ายปรุงแต่งมันขึ้นมาแต่เผลอเมื่อใดมันก็กลับมาเป็นนายเราสามารถผลักใจของเราไปสู่ความทุกข์
    และชักนำชีวิตของเราไปในทางเสื่อมได้ง่ายๆกี่ครั้งกี่หนที่เราทำร้ายตัวเองและทำร้ายซึ่งกันและกันเพียงเพราะหลงเชื่อ ความคิดที่เราปรุงแต่งขึ้นมาพูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่ไม่ได้ปรุงแต่งขึ้นมาเองแต่เป็นความจริงแท้ๆ จะไม่ก่อปัญหาปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่สร้างความทุกข์แก่เราเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ อยู่ในขณะนี้เช่น รถเสีย เงินไม่พอใช้ ทะเลาะกับคนรัก ลูกคบเพื่อนไม่ดี งานไม่ก้าวหน้า
    แต่ถ้าเรามัวแต่นึกถึงเรื่องเหล่านี้อยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไร ก็กวาดเอาปัญหาต่างๆ มาครุ่นคิดด้วยทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวกันเลย เช่น กำลังทำงานอยู่ก็ไปกังวลถึงรถ ถึงลูก ถึงพ่อแม่ แล้วยังห่วงคู่รักอีกอย่างนี้แล้วจะไม่ทุกข์ได้อย่างไร
    ปัญหาเป็นเรื่องที่ต้องแก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้มแต่เมื่อใดที่เรากวาดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมจิตใจทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลา (หรือไม่ใช่เวลา) ที่จะแก้ไขก็เตรียมตัวกลุ้มได้เลย นี้เป็นการยึดติดอีกแบบหนึ่งอันที่จริงแม้มีปัญหาแค่เรื่องเดียวแต่ถ้าหมกมุ่นอยู่กับมันตลอดเวลา ก็ทำให้คลั่งได้ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องเล็กแต่ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ง่ายๆเช่น หมกมุ่นกับสิวไม่กี่เม็ดบนใบหน้าวันแล้ววันเล่าก็อาจทำให้เจ็บป่วยหรือถึงกับทำร้ายตัวเองได้
    การยึดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมใจบางครั้งก็ไปไกลถึงขนาดไปกวาดเอาปัญหาของคนอื่นมาเป็นของเราเสียเอง เช่น เพื่อนมาปรึกษาปัญหาชีวิตก็เลยเอาปัญหาของเขามาเป็นของตนด้วยจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเท่านั้นยังไม่พอบางคนถึงกับแบกปัญหาของประเทศมาไว้กับตัว
    เลยเป็นเดือนเป็นแค้นกับสถานการณ์บ้านเมืองทะเลาะกับใครไปทั่วที่คิดต่างจากตนสุดท้ายก็เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาบ้านเมืองไป
    การยึดติดที่ลึกไป กว่านั้นคือ การยึดติดในตัวตนสาเหตุที่เราทะเลาะกับคนที่คิดไม่เหมือนเราก็เพราะเรายึดติดในความคิดของเราความสำคัญมั่นหมายว่านี้เป็น" ความคิดของฉัน" สะท้อนถึงความยึดติดในตัวตนหรือที่ท่านพุทธทาสเรียกว่า ยึดติดใน" ตัวกู ของกู"
    นอกจากความคิดแล้ว เรายังยึดติดสิ่งต่างๆ อีกมากมายว่าเป็นตัวฉันของฉัน อาทิ สิ่งของ บุคคล ชุมชน ประเทศ ศาสนามีอะไรมากระทบกับสิ่งนั้น ก็เท่ากับว่ากระทบ"ตัวฉัน"ด่าว่ารถของฉัน ก็เท่ากับด่าฉันด้วยวิจารณ์ศาสนาของฉันก็เท่ากับวิจารณ์ฉันด้วยเป็นเพราะเหตุนี้ เมื่อสิ่งของสูญหาย คนรักจากไปเราจึงอดหวนนึกถึงไม่ได้ เพราะใจยังยึดว่าเป็นของฉันอยู่จึงยังมีเยื่อใยที่ดึงให้ใจย้อนระลึกถึงอยู่เสมอเวลาให้ของแก่ใครไป ความยึดติดในของชิ้นนั้นก็ยังมีอยู่
    จึงเฝ้าดูว่าเขาจะใช้ของชิ้นนั้นหรือไม่ถ้าไม่ใช้ก็รู้สึกเป็นทุกข์ที่เขาไม่ได้ใช้ของ" ของฉัน"
    ญาติโยมหลายคนจึงไม่สบายใจที่พระไม่ได้ฉันอาหารที่ตนถวาย
    ยึดติดในตัว ตนอีกอย่างคือการยึดมั่นสำคัญหมายว่าฉันเก่ง ฉันหล่อ ฉันเป็นส.ส. ฯลฯ ไปไหนก็อดตัวพองไม่ได้อยากแสดงบารมีให้ใครรู้ว่า" นี่กูนะ"อยู่ที่ใดก็ต้องการให้คนชื่นชม สรรเสริญ เคารพ นบไหว้แต่ถ้าไม่ได้รับการปฏิบัติดังกล่าวก็จะโมโหขุ่นเคืองจนอาจคำรามว่า" รู้ไหมว่ากูเป็นใคร?" ยิ่งเจอคำวิจารณ์ด้วยแล้ว ยิ่งทนไม่ได้เข้าไปใหญ่

    การ ยึดติดใน" ตัวกู ของกู หรือนี่กูนะ" เป็นรากเหง้าแห่งความทุกข์ นานัปการ
    นำไปสู่การกระทบกระทั่งขัดแย้งและทำร้ายกันขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความเครียดบีบคั้นภายในเมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาใช่แต่เท่านั้น แม้ได้สิ่งที่พึงปรารถนาก็ยังทุกข์เพราะได้ไม่สมใจ หรือทุกข์ที่คนอื่นได้มากกว่า
    ที่น่าแปลกก็คือเราไม่ได้ยึดเอาแค่สิ่งดีๆ ที่ถูกใจว่าเป็นตัวกูของกูเท่านั้นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกใจเราก็ยังยึดเป็นตัวกูของกูอีกเช่นกันเช่น ความเจ็บปวด เมื่อเกิดกับกายแทนที่จะเห็นว่า กายปวดเท่านั้น กลับไปยึดเอาว่า" ฉันปวด" ความปวดเป็นของฉัน
    เมื่อความโกรธเกิดขึ้นกับใจก็ยึดมั่นสำคัญหมายว่า" ฉันโกรธ" ความโกรธเป็นของฉันความยึดมั่นดังกล่าวรุนแรงชนิดที่ใจไม่ยอมไปไหนมัวจดจ่อวนเวียนอยู่กับความปวดหรือความโกรธนั้นๆ อย่างเดียวที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความเผลอของใจรู้ทั้งรู้ว่ายึดแล้วทุกข์แต่ก็ยังยึดเพราะขาดสติถ้าใจมีสติ ก็จะไม่เผลอยึดต่อไป
    ความปวดความโกรธยังมีอยู่ก็จริงแต่คราวนี้มันทำอะไรจิตใจไม่ได้เพราะใจไม่โดดเข้าไปให้ความปวดความโกรธเผาลนเหมือนกองไฟที่ยังลุกไหม้อยู่แต่ตราบใดที่เราไม่โดดเข้าไปในกองไฟหากถอยออกมาห่างๆ เป็นแค่ผู้สังเกตเฉยๆ ไฟก็ทำอะไรเราไม่ได้
    สติช่วยให้ใจแยกออกมาอยู่ห่างๆจากความเจ็บปวดและอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
    กลายเป็น" ผู้ดู" มิใช่" ผู้ปวด" หรือ" ผู้โกรธ" จากความยึดติดกลายเป็นการปล่อยวาง
    การปล่อยวางดังกล่าวคือ หัวใจของการเป็นอิสระจากความทุกข์ทั้งหลายเพราะกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้วความทุกข์ทั้งมวลเกิดจากความยึดติดยึดติดอดีตกับอนาคต ยึดติดสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นเอง
    ยึดติดปัญหาต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตรวมทั้งยึดเอาปัญหาต่างๆ มาเป็นของตนที่สำคัญคือ การยึดติดในตัวตนเมื่อใดที่ปล่อยวางจากความยึดติดดังกล่าวได้ความทุกข์ก็ไม่อาจทำอะไรเราได้อีกต่อไป
    สติช่วยให้เรารู้ตัวเมื่อเผลอไปอาลัยอาวรณ์ในอดีต หรือวิตกกังวลกับอนาคตพาจิตกลับมาอยู่กับปัจจุบันเมื่อรู้ตัวว่าเผลอไปจมอยู่กับเหตุร้ายที่ผ่านไปแล้วคอยทักท้วงใจไม่ให้หลงเชื่อความคิดปรุงแต่งเพราะตระหนักว่า ความจริงอาจไม่เป็นอย่างที่คิดในยามที่เผลอกวาดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมใจจนหนักอึ้ง
    สติช่วยให้เราแก้ปัญหาเป็นเปลาะๆ เป็นเรื่องๆไม่เอาปัญหาใดมาครุ่นคิดหากยังไม่ถึงเวลา (หรือไม่ใช่เวลา) ที่จะแก้เวลาพักผ่อน ก็พักผ่อนเต็มที่เมื่อถึงเวลาแก้ปัญหา ก็ใช้ปัญญาอย่างเต็มที่ไม่มามัวตีโพยตีพาย หรือน้อยเนื้อต่ำใจว่า" ทำไมถึงต้องเป็นฉัน?"
    ความทุกข์นั้นไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเราแต่อยู่ที่ว่าเรามีท่าทีหรือรู้สึกอย่างไรกับมันต่างหากแม้ปัญหาจะหนัก แต่ถ้าเริ่มต้นจากการยอมรับมันว่าเป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว
    ไม่ปฏิเสธผลักไสมันหรือก่นด่าชะตากรรมตั้งสติให้ได้แล้วหาทางแก้ไขมันแต่ขณะที่มันยังไม่หายไปไหนก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันไม่หวนนึกถึงอดีตอันผาสุก หรือปรุงแต่งอนาคตไปในทางเลวร้ายขณะเดียวกันก็ไม่หมกมุ่นอยู่กับปัญหาหากปล่อยวางมันบ้าง ความสุขก็หาได้ไม่ยาก
    นายทหารผู้หนึ่งไปเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ในฐานที่ทรงเคยเป็นอุปัชฌาย์ของตนมาก่อนพอไปถึงประโยคแรกที่กราบทูลก็คือ" หนักครับ ช่วงนี้แย่มากเลยครับ" ว่าแล้วเขาก็ทูลเล่าปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามาในชีวิตสมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงฟังอยู่นานแทนที่จะตรัสแนะนำหรือปลอบใจพระองค์กลับรับสั่งให้เขานั่งคุกเข่า ยื่นมือสองข้าง
    แล้วพระองค์ก็เอากระดาษแผ่นหนึ่งวางบนฝ่ามือของเขา" นั่งอยู่นี่แหละ อย่าไปไหนจนกว่าข้าจะกลับมา" รับสั่งเสร็จพระองค์ก็เสด็จเข้าไปในตำหนัก
    นายทหารนั่งในท่านั้นอยู่นาน จาก ๑๐ นาทีเป็น ๒๐ นาทีสมเด็จพระสังฆราชก็ยังไม่เสด็จออกมาเขาเริ่มเหนื่อย มือและขาเริ่มสั่น กระดาษชิ้นเล็กๆ หนักขึ้นเรื่อยๆจนประคองแทบไม่ไหวพอสมเด็จพระสังฆราชเจ้าเสด็จกลับมาก็ทรงถามว่า" เป็นไง?"
    คำตอบของเขาคือ" หนักครับ พระเดชพระคุณ เมื่อยจนจะทนไม่ไหว"
    " อ้าว ทำไมไม่วางมันลงเสียละ?" สมเด็จรับสั่ง" ก็ไปยอมให้มันอยู่อย่างนั้น มันก็หนักอยู่ยังงั้นนะซีมันจะเป็นอื่นไปได้ยังไง"
    กระดาษที่เบาหวิว แต่หากถือไว้นานๆไม่ยอมปล่อย ก็กลายเป็นของหนักไปได้
    แต่ปัญหาถึงจะใหญ่โตเพียงใดถ้าไม่ยึดถือเอาไว้ ก็ไม่ทำให้เราทุกข์ได้
    ใช่หรือไม่ว่าหินก้อนใหญ่จะกลายเป็นของหนักและสร้างทุกข์ให้แก่เราก็ต่อ เมื่อเราแบกมันเอาไว้เท่านั้น
    เมื่อมีสติรักษาใจ รู้เท่าทันความคิด ไม่เผลอยึดติดจนจิตหนักอึ้งแม้งานจะยาก อุปสรรคจะเยอะ ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้

    คัดลอกจาก...ยึดติด [สารคดี กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑]
    โดย พระไพศาล วิสาโล





    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2009
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 22 มิถุนายน 2551 0:38:14 น.-->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๙๖ | พระราหุลแสดงความรักซาบซึ้งในพระพุทธองค์
    <!-- Main -->
    พระราหุลแสดงความรักซาบซึ้งในพระพุทธองค์
    ผู้เป็นบิดา

    ในวันที่ ๗ นับตั้งแต่พระพุทธองค์ได้เสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์ ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่เจ้าชายนันทะ ผู้เป็นพระอนุชาของพระพุทธเจ้าได้บวชแล้ว พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์บริวารได้เสด็จเข้าไปรับบิณฑบาต ในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทนะอีก

    เจ้าชายนันทะเป็นรัชทายาทที่สองรองจากพระพุทธเจ้า ที่จะครองราชย์สืบต่อจากพระเจ้าสุทโธทนะ แต่เมื่อนันทะออกบวช หรือที่จริงถูกพระเชษฐา คือ พระพุทธเจ้าทรงจับให้บวชเสียแล้ว รัชทายาท จึงตกอยู่แก่ราหุลกุมารผู้เป็นพระโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ หรือ พระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา

    [​IMG]

    พระนางพิมพายโสธรา พระมารดาของราหุล ทรงเห็นเป็นโอกาสดี เมื่อทรงทราบว่า พระพุทธเจ้าเสด็จเข้ามารับบิณฑบาต จึงแต่งองค์ให้ราหุลผู้โอรสงดงามด้วยเครื่องประดับของขัตติยกุมารแล้วทรงชี้บอกราหุลว่า "พระสมณะผู้ทรงสง่า มีผิวพรรณเหลืองดังทอง มีพระสุรเสียงไพเราะดุจเสียงพรหม ที่พระสงฆ์สองหมื่นรูปแวดล้อมตามเสด็จ นั่นแหละ คือ พระบิดาของเจ้า"

    พระนางพิมพาตรัสบอกโอรสให้ไปทูลขอรัชทายาท และทรัพย์สินที่เป็นสมบัติของพระบิดาทั้งหมดซึ่งยังมิได้ทรงโอนกรรมสิทธิ์ให้ใครเลย พระนางบอกผู้โอรสว่า ธรรมดาลูกย่อมมีสิทธิที่จะครองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ของผู้เป็นบิดา

    [​IMG]

    ในเวลาที่กล่าวนี้ ราหุลกุมารมีพระชนมายุได้เพียง ๗ ปี นับตั้งแต่ประสูติมาไม่เคยเห็นองค์ผู้ทรงเป็นพระบิดา เพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรกก็เมื่อคราวพระพุทธเจ้าเสด็จยังกรุงกบิลพัสดุ์นี่เอง เมื่อได้เห็นและได้เข้าเฝ้าโดยใกล้ชิด ราหุลจึงเกิดความรักในพระพุทธเจ้ายิ่งนัก เป็นความรักอย่างลูกจะพึงมีต่อพ่อ ราหุลกราบทูลพระพุทธเจ้าประโยคหนึ่ง ซึ่งถ้าจะถอดความให้เข้ากับสำนวนไทยก็ว่า "อยู่ใกล้พ่อนี่มีความสุขเหลือเกิน" แล้วกราบทูลขอรัชทายาท และกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของพระราชบิดา ตามที่พระมารดาทรงแนะนำ

    พระพุทธเจ้าไม่ตรัสว่ากระไร ทรงฉันอาหารบิณฑบาตเสร็จแล้ว ทรงอนุโมทนา แล้วเสด็จกลับไปที่นิโครธารามพร้อมด้วยพระสงฆ์ โดยมีราหุลตามเสด็จเพื่อทูลขอสิ่งที่ทรงประสงค์ดังกล่าวไปด้วย

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    ขอขอบคุณทั้ง 3 ท่าน คือคุณ noongnoo คุณแมวหลวง และคุณชิน 9 ด้วยครับ ทั้ง 3 ท่าน นี้คือ ขาประจำของทุนนิธิฯ ที่นั่งรถเมล์สายเดียวกับอีกหลายคนในทุนนิธิฯ นี้มานาน รถเมล์นี้แม้จะดูเล็กๆ แต่กำลังใจยิ่งใหญ่มาก ขออนุโมทนาในสิ่งที่ทำ และขอสาธุในกุศลที่เกิดแก่ทั้ง 3 ท่านด้วย

    [​IMG]


    รถเมล์บุญครับ น่านั่งมั๊ย มีที่ว่างอีกเยอะด้วย
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ขอลงเรื่องพระราชกรณียกิจ 15 วัน แห่งการทรงผนวชต่อครับ

    พระราชกรณียกิจในวันที่ 5 แห่งการทรงพระผนวช
    วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2499


    วันนี้ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ได้เสด็จฯ มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระตำหนักปั้นหย่า หลังจากเสวยพระกระยาหารเพลแล้ว พระพรหมมุนี รองเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ได้เข้าเฝ้าถวายธรรมะ เรื่อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กุมภาพันธ์ 2009
  20. คีตา

    คีตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +4,309
    ผมได้นำภาพวาดพระพุทธองค์จาก อ.ศักดา มาฝาก พี่ๆวังหน้า เป็นไฟล์ครับ


    ได้จากโรงพิมพ์ ตอนแรกคิดว่าจะละเอียดกว่านี้ แต่คงเป็นกลยุทธ์ของโรงพิมพ์ แต่ภาพก็สวย สีสด ใช้ได้ทีเดียวครับ


    กรอบเล็กๆด้านขวามือเป็นเรื่องราวในการได้ภาพนี้มา ปัญหาว่าเวลา zoom เข้า จะไม่ชัด ผมก็เลยถ่ายภาพเล่าที่มาที่ไป ในกรอบให้อีกไฟล์แยกต่างหากครับ

    [​IMG]



    หมายเหตุ : ขอทุกท่านพิจารณาภาพพระองค์ท่านด้วยพุทธานุสติ ด้วยใจที่ระลึกน้อมถึงคุณอันประเสริฐของพระพุทธองค์


    หมายเหตุ2 : ต้องขอบพระคุณ คุณพี่มาลา ที่โรงทานของ อ.ศักดา ที่กรุณาแจ้งมาว่า ให้สามารถพิมพ์เพิ่มได้ แจกจ่ายไปให้ทั่ว ให้สิทธิเราและเพื่อนพุทธศาสนิกชนพิมพ์ได้เต็มที่


    หมายเหตุ3 : ขอบพระคุณ และขออนุโมทนา เวบพลังจิต พี่ๆวังหน้า พี่ๆทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธฯ พี่ศศิริยะ ที่เป็นสื่อ และให้ได้ลงในแจกจ่ายกระทู้นี้ ขอรับ


    หมายเหตุ 4 : ต้องขอบคุณ และขออนุโมทนา กับพี่ ชวภณ ศ. เอ(aries2947) อิน(ONG) โต้ง(bundit_tong) ที่ให้การแนะนำ เสนอความคิด เรื่องการพิมพ์ครั้งนี้ด้วยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2.JPG
      2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      104.4 KB
      เปิดดู:
      136
    • pra.jpg
      pra.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.7 KB
      เปิดดู:
      133

แชร์หน้านี้

Loading...