ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ดิฉันปล่อยวางหมดแล้ว
    เรื่องนี้หลายคนบอกว่า สะใจ บางคนก็ว่าแรงไป
    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ได้รับนิมนต์ขึ้นเทศน์ในการจัดอบรมกรรมฐานให้แก่พระและญาติโยม มีผู้สนใจใคร่ธรรมมาเข้าร่วมอย่างเนืองแน่น
    ในวันนั้น หลวงปู่ท่านแสดงธรรมได้อย่างจับใจได้อรรถรส ในเบื้องต้น ท่ามกลาง และปริโยสาน อะไรเป็นธรรม เป็นวินัย เป็นตัว ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ตลอดจนวิธีดับทุกข์ อะไรที่ควรมั่น อะไรที่ควรปลง ควรปล่อยวาง ไม่ควรยึดมั่นว่าเป็นตัวกูของกู
    ว่ากันว่า หลวงปู่ตื้อ ได้แสดงธรรมให้สาธุชนที่อยู่ ณ ที่นั้น ตรองตามแล้วเห็นจริงได้ เสมือนหงายสิ่งที่คว่ำ เสมือนจุดประทีปโคมไฟในที่มืด เสมือนชี้ทางให้กับผู้ที่หลงทาง...
    อุบาสกอุบาสิกาที่ได้สดับเทศนาของหลวงปู่ตื้อในครั้งนั้นแล้ว ต่างก็รู้สึกปีติ อิ่มเอิบในบุญ รู้สึกปลอดโปร่ง เบากายเบาใจ ต่างก็รู้สึกว่าภายในจิตได้ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว
    พอหลวงปู่เทศน์จบลง ท่านว่า “เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้” แล้ว ญาติโยม “สาธุ” เสียงดังสนั่นน่าอนุโมทนายิ่ง
    สุดจะเก็บความปิติไว้ได้ มีอุบาสิกาท่านหนึ่งแหวกผู้คนเข้ามาข้างหน้าสุด ใกล้กับหลวงปู่ที่สุด แล้วรายงานผลว่า
    “หลวงปู่เจ้าคะ ดิฉันได้ฟังหลวงปู่เทศน์แล้วรู้สึกเบากายเบาใจ ดิฉันปล่อยวางได้หมดเลยเจ้าคะ”
    หลวงปู่กล่าวด้วยเมตตา “อนุโมทนาด้วยคุณโยมที่ได้ดวงตาเห็น ธรรม ”
    “จริงๆ นะคะหลวงปู่...เดี๋ยวนี้ดิฉันไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปแล้ว ปล่อยวางได้หมดเลยเจ้าค่ะ...”
    “...อีตอแหล...” ไม่ใครคาดคิดว่าหลวงปู่จะอนุโมทนาด้วยการหักมุมเช่นนั้น
    “ว้าย! ตายแล้ว ทำไมหลวงปู่จึงมาด่าอีฉัน !” แล้วรีบผลุนผลัน ลุกหนีด้วยความโกรธอย่างเป็นฟืนเป็นไฟ บ่งบอกลักษณะของคน “ปล่อยวาง” ได้อย่างประจักษ์ชัด
    หลวงปู่ ได้แต่หัวเราะหึ..หึ ในลำคอ ขณะเดียวกันบนศาลาการเปรียญก็เงียบกริบ ตามด้วยเสียงซุบซิบ และบางส่วนก็หัวเราะสะใจ !
    อ้อ ! คนปล่อยวางมีลักษณะเช่นนี้เองหนอ ! !
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2009
  2. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    เรื่องจากหลวงปู่ลิ้นทอง หาดใหญ่ สงขลา
    ศิษย์ที่เคยมีโอกาสอยู่ปฏิบัติธรรมกับ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม อีกท่านหนึ่งคือ หลวงปู่รินทร (ลิ้นทอง) กิตฺติสทฺโท แห่งวัดพุทธิการาม อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ท่านได้กรุณาถ่ายทอดประสบการณ์ ลงในหนังสือทิพย์ ดังต่อไปนี้ : -

    <TABLE id=table14 border=0 align=right><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    หลวงปู่รินทร (ลิ้นทอง) กิตฺติสทฺโท

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    วันนั้นเป็นวันโกน หลวงปู่ตื้อท่านกำลังปลงผมอยู่ ญาติโยมทางเชียงใหม่กลุ่มหนึ่งมากราบท่านในเวลานั้นพอดี คุณนายท่านหนึ่ง อยากได้เส้นผมของหลวงปู่ จึงบอกกับลูกศิษย์ของหลวงปู่ ว่า
    “ตุ๊เจ้าๆ ช่วยเก็บเกศาของหลวงปู่ไว้ให้ด้วยน่ะ”
    หลวงปู่ตื้อท่านได้ยิน จึงบอกคุณนายท่านนั้นไปว่า “อย่าเลยนะ คุณนาย เดี๋ยวอาตมาจะให้อะไรดีๆ”
    คุณนายท่านนั้นแสนจะยินดี เมื่อหลวงปู่บอกจะให้อะไรดีๆ จึงไม่ติดใจที่จะเอาเส้นเกศาของท่าน
    พอปลงผมเสร็จ หลวงปู่ท่านก็เอาน้าราดให้เส้นเกศาที่โกนแล้วนั้น ไหลไปกับน้ำจนหมดสิ้น แล้วท่านก็ไปสรงน้ำ เรียบร้อยแล้วจึงออกมาสนทนากับญาติโยม
    คณะชาวเชียงใหม่สนทนาธรรมอยู่กับหลวงปู่เป็นเวลานานพอสมควร เมื่อจะถึงเวลากลับ คุณนายท่านนั้นจึงได้ทวงถาม “อะไรดีๆ” จากหลวงปู่
    “หลวงปู่เจ้าคะ ไหนหลวงปู่บอกว่าจะให้อะไรดีๆ แก่ดิฉันล่ะ เจ้า คะ ”
    หลวงปู่ตื้อ ท่านยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า
    “พุทโธ ธัมโม สังโฆ”
    แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า : -
    “พุทโธ ธัมโม สังโฆ นี่แหละเลิศประเสริฐแล้ว พระในประเทศ ทุกรูปจะต้องมี จะต้องถือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ
    ถ้าพระรูปใดไม่มี พุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้ว รู้ได้เลยว่าพระรูปนั้น เป็นพระปลอม ขนาดขึ้นบ้านใหม่ยังต้องว่า พุทธัง สรนัง คัจฉามิ ธัมมัง สรนัง คัจฉามิ สังฆัง สรนัง คัจฉามิ เลย
    นี่แหละ อะไรดีๆ ที่หลวงปู่ตื้อ ท่านมอบให้คุณนายท่านนั้น
     
  3. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    เมื่อครั้งที่ในหลวงและพระราชินีฯ ท่านได้เสด็จเยี่ยม หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ เป็นการส่วนพระองค์ ในหลวงท่านก็ได้ทรงมีพระราชปุจฉาว่า
    [FONT=TH SarabunPSK,TH SarabunPSK][FONT=TH SarabunPSK,TH SarabunPSK]“การละกิเลสนั้น ควรละกิเลสอะไรก่อน”
    [/FONT][/FONT]หลวงปู่ได้ถวายวิสัชนาพระองค์ว่า
    [FONT=TH SarabunPSK,TH SarabunPSK][FONT=TH SarabunPSK,TH SarabunPSK]“กิเลสทั้งหมดเกิดรวมที่จิต ให้ดูที่จิต อันไหนเกิดก่อนให้ละอันนั้นก่อน”
    [/FONT][/FONT]นอกจากนี้ ยังมีครั้งหนึ่ง ที่ในหลวงท่านได้เสด็จเยี่ยม หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย พระองค์ก็ได้ทรงมีพระราชปุจฉาถึง “ที่สุด” ในพระพุทธศาสนาว่า
    [FONT=TH SarabunPSK,TH SarabunPSK][FONT=TH SarabunPSK,TH SarabunPSK]“ที่สุดของศีล คืออะไร?ที่สุดของสมาธิ คืออะไร?และที่สุดของปัญญา คืออะไร?”
    [/FONT][/FONT]หลวงปู่เทสก์ท่านได้ถวายวิสัชนาพระองค์ว่า
    [FONT=TH SarabunPSK,TH SarabunPSK][FONT=TH SarabunPSK,TH SarabunPSK]“ที่สุดของศีล คือ เจตนาวิรัติที่สุดของสมาธิ คือ อัปนาสมาธิและที่สุดของปัญญา คือ ไตรลักษณ์”

    (จากหนังสือ หลวงปู่ฝากไว้)​
    [/FONT][/FONT]
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๙๕ | พระนันทะรับบาตรส่งเสด็จ
    <!-- Main -->

    พระนันทะรับบาตรส่งเสด็จ
    นางคู่วิวาห์ร้องสั่งให้รีบกลับ

    ในวันที่ ๕ นับแต่วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงเมืองกบิลพัสดุ์เป็นครั้งแรก มีพิธีวิวาหมงคล ระหว่างเจ้าชายศากยะที่ชื่อว่า "นันทะ" กับเจ้าหญิงที่มีชื่อว่า "ชนบทกัลยาณี"

    นันทะเป็นพระอนุชา หรือ น้องชายของพระพุทธเจ้า แต่เป็นพระอนุชาต่างมารดา กล่าวคือ ภายหลังพระมารดาของพระพุทธเจ้า คือ พระนางสิริมหามายาสิ้นพระชนม์ แต่เมื่อพระพุทธเจ้าประสูติได้ไม่กี่วันแล้ว พระเจ้าสุทโธทนะทรงได้พระนางปชาบดีโคตมี ผู้เป็นน้องสาวของพระนางสิริมหามายาเป็นชายา นันทะจึงคือพระโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะที่เกิดจากพระนางปชาบดีโคตมี ผู้เป็นพระน้านางของพระพุทธเจ้า

    เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จออกบวชแล้ว รัชทายาทของพระเจ้าสุทโธทนะจึงตกอยู่แก่นันทะ พระเจ้าสุทโธทนะทรงหมายพระทัยว่าเมื่อนันทะอภิเษกสมรสแล้ว จะได้ครองราชย์สืบต่อจากพระองค์


    [​IMG]

    ในงานวิวาหมงคลนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้เสด็จมาตามคำทูลอาราธนาของพระพุทธบิดา เมื่อทรงฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จกลับ ได้ทรงมอบบาตรของพระองค์ให้เจ้าชายนันทะทรงถือตามส่งเสด็จ นันทะทรงดำริว่า เมื่อถึงประตูพระราชนิเวศน์ พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระเชษฐาคงจะทรงหันมารับบาตรคืนไปจากตน แต่ครั้นไปถึงที่นั่น พระพุทธเจ้ามิได้ทรงทำอย่างนั้นเลย ครั้นนันทะจะมอบบาตรถวายพระพุทธเจ้าก็ไม่กล้า ด้วยเกรงพระทัยผู้ทรงเป็นพระเชษฐาจนไปถึงพระอารามที่ประทับ พระพุทธเจ้าจึงหันมาตรัสกับพระอนุชาว่า "บวชไหม" นันทะแทนที่จะปฏิเสธก็เกรงใจพี่ชาย จึงทูลตอบพระพุทธเจ้าว่า "บวชพระเจ้าข้า"

    แต่นันทะไม่ได้ยอมบวชด้วยน้ำใสใจจริง เพราะเพิ่งจะแต่งงาน ทั้งตอนที่จะออกจากพระราชนิเวศน์นำบาตรมาส่งพระพุทธเจ้า นางชนบทกัลยาณีผู้เป็นเจ้าหญิงคู่อภิเษกสมรส ยังร้องเรียกสั่งตามมาว่า "เจ้าพี่ไปแล้วให้รีบเสด็จกลับ" แต่ที่ตอบเช่นนั้น ก็เพราะความเกรงใจพระพุทธเจ้าดังกล่าวแล้ว
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=smText width="96%">[​IMG]




    [​IMG]


    หัวข้อ : เรื่องของในหลวงที่เรา(อาจ)ไม่เคยรู้

    </TD><TD align=right width="4%"></TD></TR><TR><TD colSpan=2><HR>1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.
    2.นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ ทรงมีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์
    3.พระนาม 'ภูมิพล' ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
    4.พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช
    5.ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก
    6.ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า 'H.H Bhummibol Mahidol'หมายเลขประจำตัว 449
    7.ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า 'แม่'
    8.สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง
    9.แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม
    10.สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต
    11.สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยทรงพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่า'บ๊อบบี้'
    12.ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำพระองค์ต้องลุกขึ้นบ่อยๆ
    13.สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรองว่า 3 ที มากเกินไป 2 ทีพอแล้ว
    14.ระหว่างประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์นั้นระหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ
    15.ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก 'การให้' โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า 'กระป๋องคนจน' เอาไว้ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก 'เก็บภาษี' หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน
    16.ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆ เขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า 'ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน'
    17.กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา
    18.ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง
    19. พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก 'การเล่น' สมัยทรงพระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไรต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับพระเชษฐา ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง
    20.สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็นจิ๊กซอว์
    21.ในหลวงทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ว่าเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบบเพลง (แอกคอร์เดียน)
    22.ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้
    23.ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส
    24.ทรงพระราชนิพนธ์พลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ 'แสงเทียน' จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง
    25.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง 'เราสู้'
    26. รู้ไหม...? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5
    27. นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย
    28. ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง 'นายอินทร์' และ 'ติโต' ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์ แต่ 'พระมหาชนก' ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
    29. ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และ เรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น'กีฬาซีเกมส์') ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510
    30. ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่ง และตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน
    31. ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ 'กังหันชัยพัฒนา' เมื่อปี 2536
    33. ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว
    34. องค์การสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง
    35. พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรา มหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
    36. รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า'น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่ารักแรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง
    37. ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท
    37. หลังอภิเษกสมรส ทรง'ฮันนีมูน'ที่หัวหิน
    38. ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน
    39. ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
    40. ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพงหรือต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น
    41. เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา
    42. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ
    43. หลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม
    44. วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้า แม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ เมื่อถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง
    45. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ
    46. ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่ง คือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ
    47.ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียวกระดาษที่จะนำมาให้ข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน
    48. เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน
    49. ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯ ร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน
    50. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห้นกันทุกวันนี้
    51. เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
    52. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า 'ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ
    53. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน
    54. อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา
    55. ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังฉ่าย
    56. ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก
    57. ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง
    58. เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง
    59. ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก
    60. ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที ่ จส.100 ด้วย โดยใช้พระนามแฝง
    61. หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก
    62. ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูไลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว
    63. ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ
    64. สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว
    65. ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า 'นายหลวง' ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง
    66. ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน
    67. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า 'ทำราชการ'
    68. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี
    69. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า'อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก'
    70. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด
    71. หัวใจทรงเต้นไม่ปรกติ ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี
    72. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์
    73. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6ล้านคน
    74. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน
    75. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง
    76. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง
    77. นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง จึงให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด
    <!-- Message body --></TD></TR><TR><TD class=text colSpan=2><!-- Message body -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอขอบคุณ
    http://www.army2.mi.th/forum2008/board_posts.asp?FID=402&no=2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2009
  6. natta_pea

    natta_pea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +1,515
    วันนี้เวลา 11.46 น. ผมได้โอนเงิน
    ร่วมทำบุญฯ จำนวน 200 บาท
    ขออนุโนทนาบุญกับทุกๆท่านครับ
     
  7. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ได้ส่งพระสมเด็จหลวงปู่สรวงให้กับทุกๆท่านที่จองไว้แล้วครับ และท่านใดที่ทำบุญผ้าห่มกับทุนนิธิฯต้องการได้ผ้าอังสะ และ ภาพหลวงปู่แฟ๊บไว้บูชา แจ้งความจำนงมาได้ที่pmผม จะจัดส่งให้ฟรีครับ
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=maintitle vAlign=top>ว่าด้วยผลแห่งการทำตั่งถวายสงฆ์</TD><TD class=gensmall vAlign=bottom align=right></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR>
    ว่าด้วยผลแห่งการทำตั่งถวายสงฆ์
    [๑๐] เมื่อพระพุทธเจ้าผู้นำโลก พระนามว่าสิทธัตถะ ผู้ประกอบด้วย
    พระกรุณา ปรินิพพานแล้ว เมื่อปาพจน์มีความแพร่หลาย อัน
    เทวดาและมนุษย์สักการะแล้ว ในครั้งนั้น เราเป็นคนจัณฑาล ทำ
    ตั่ง ๔ เหลี่ยม เลี้ยงชีพด้วยการงานนั้น เลี้ยงดูเด็กๆ ก็ด้วยการ
    งานนั้น เราเลื่อมใสแล้ว ทำตั่ง ๔ เหลี่ยมเป็นอย่างดี ด้วยมือ
    ทั้งสองของตน แล้วได้เข้าถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ด้วยตนเอง ด้วย
    กรรมที่ทำไว้ดีแล้วนั้น และด้วยความตั้งเจตนานั้นไว้ เราละร่าง
    มนุษย์แล้ว ได้ไปยังดาวดึงสพิภพ เราไปสู่เทวโลก บันเทิงอยู่ใน
    หมู่ไตรทศ ที่นอนมีราคามาก ย่อมเกิดตามความปรารถนา เราได้
    เป็นจอมเทพเสวยราชสมบัติในเทวโลก ๕๐ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้า
    จักรพรรดิราช ๘๐ ครั้ง และได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์
    โดยคณนานับมิได้ เราเป็นผู้ถึงความสุข มียศ นี้เป็นผลแห่งการ
    ถวายเตียงนอน ถ้าเราจุติจากเทวโลกมาสู่ภพมนุษย์ ที่นอนสวยๆ
    ควรแก่ค่ามาก ย่อมเกิดแก่เราเอง นี้เป็นการเกิดครั้งหลังของเรา
    ภพสุดท้ายกำลังเป็นไป แม้ทุกวันนี้ที่นอนก็ปรากฏในเวลาจะนอน
    ในกัปที่ ๙๔ แต่กัปนี้ เราได้ถวายทานใด ด้วยทานนั้น เราไม่รู้จัก
    ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายเตียง เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ...
    พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
    ทราบว่า ท่านพระมัญจทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
    จบ มัญจทายกเถราปทาน.


    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=5127&start=0&postdays=0&postorder=asc&highlight=
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]
    อานิสงส์จะเกิดผลต่อเมื่อได้ลงมือปฏิบัติเท่านั้น

    จงตั้งใจสลัดอารมณ์ ความวุ่นวายใด ๆ ทั้งหลายที่เป็น
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    [​IMG]

    สติ ตัวสำคัญในการอบรมเมตตา

    การอบรมเมตตาเพื่อให้เกิดขันติ มีสติเป็นตัวสำคัญ เมื่อใจจะหวั่นไหวด้วยความไม่ชอบใจ ด้วยความโกรธ พึงมีสติระลึกรู้ให้ทัน ปรามตัวเองให้ทัน

    ด้วยบอกแก่ตัวเองอย่างจริงใจว่า มีเมตตาไม่พอ
    ถ้าเมตตาพอก็จะเมตตาผู้ที่ทำให้ใจเกิดความหวั่นไหว จะเข้าใจที่เขาพูดเขาทำเช่นนั้น อันไม่ถูก ไม่ชอบ ว่าเพราะจิตใจเขาอยู่ในระดับนั้น อันจะฉุดลากเขาให้ลำบากสถานเดียว ควรเมตตาเขานัก

    ไม่มีอำนาจร้ายแรงใด ทานอำนาจแห่งเมตตาได้

    ทุกคนจะต้องประสบพบสิ่งไม่ต้องหู ไม่ต้องตา ไม่ต้องใจมากมายในแต่ละวัน พึงเตือนตนเองให้จริงใจว่า เมตตาของตนยังไม่พอ ต้องอบรมเมตตาให้มากยิ่งขึ้น หยุดโกรธแค้นขุ่นเคือง น้อยใจเสียใจร้อนใจ เพราะเสียงเพราะเรื่องที่กระทบได้เมื่อใด เมื่อนั้นจึงแสดงว่ามีเมตตาพอสมควร พอจะช่วยตนเองและช่วยผู้อื่นให้ร่มเย็นเป็นสุขได้

    เมื่อนั้นทุกคนจะรู้สึกด้วยตนเองว่า เมตตาค้ำจุนโลกจริง เมตตาช่วยตนก่อนจริง เมตตาใหญ่ยิ่งจริง

    ช้างนาฬาคิรีที่กำลังบ้าคลั่งเมามัน ยังพ่ายแพ้แก่พระเมตตาของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีอำนาจร้ายแรงใดจะทานอำนาจแห่งเมตตาได้

    นี้เป็นสัจจะคือ ความจริงที่จะเป็นจริงเสมอไป ไม่มีเปลี่ยนแปลง พลังร้ายภายนอกยิ่งแรง ยิ่งต้องใช้พลังเมตตาที่แรง เมื่อใด พลังเมตตาแรงพอก็จะสยบพลังร้ายได้สิ้น

    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2009
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=maintitle vAlign=top>ผู้มีปัญญา เป็นผู้สูงสุด</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ปัญญาเป็นสิ่งสูงสุด ในบรรดาสิ่งดีงามทั้งหลาย

    อันความดีงามด้วยการรักษาศีล ๕ เป็นความดีงามระดับหนึ่ง ซึ่งแม้จะเป็นเหตุให้เกิดความร่วมเย็นเป็นสุขได้เป็นอันมาก ทั้งแก่ตัวเองและผู้เกี่ยวข้อง

    แต่จุดมุ่งหมายที่สูงสุดแท้จริงของพระพุทธศาสนามียิ่งกว่านั้น เป็นอีกระดับหนึ่ง เป็นจุดหมายที่มีคุณระดับสูงสุด ไม่มีคุณอื่นเสมอเหมือน จุดมุ่งหมายนั้นคือ ปัญญา ผู้มีปัญญาเป็นผู้อาจบรรลุจุดสูงสุดในพระพุทธศาสนา

    ผูมีปัญญาสูงสุด เป็นผู้สูงสุด

    ปัญญาเกิดแต่ศีล มีศีลเป็นฐาน ปัญญาสูงสุดในบรรดาสิ่งดีงามทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดจากศีล มีศีลเป็นฐาน ผู้มีปัญญาสูงสุดจึงเป็นผู้สูงสุด

    ความหมายของปัญญาคือความฉลาดเกิดแต่เรียนและคิด ปัญญาในทางโลกเกิดแต่เรียนและคิด ปัญญาในทางธรรมก็เกิดแต่เรียนและคิด ปัญญาในทางโลกก็เรียนความรู้ทางโลก ปัญญาในทางธรรมก็เรียนความรู้ทางธรรม เรียนและคิด

    ความสำคัญของปัญญา

    ความสำคัญของปัญญาจึงอยู่ที่สองอย่าง คือเรียนด้วยและคิดด้วย เรียนอย่างเดียวโดยไม่คิดก็ไม่เป็นปัญญา คิดโดยไม่เรียนก่อนก็ไม่เป็นปัญญา

    การเรียนการคิดต้องประกอบกันอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการเรียนทางโลก หรือการเรียนทางธรรมก็ตาม และต้องปฏิบัติให้ได้ด้วย จึงจะเป็นปัญญาสูงสุด

    ปัญญาที่เกิดจากศีล มีศีลเป็นฐาน เป็นปัญญาทางโลกก็ได้ เป็นปัญญาทางธรรมก็ได้ แล้วแต่จะเรียนทางใด

    ศีลเท่านั้นเป็นเลิศในโลกนี้ ส่วนผู้มีปัญญา เป็นผู้สูงสุด

    ทุกข์เป็นสิ่งไม่พึงปรารถนาสูงสุด ปัญญาเท่านั้นจะทำให้บรรลุความปรารถนาสูงสุดนั้นได้ ปัญญาจึงเป็นสิ่งสูงสุด ผู้มีปัญญาจึงเป็นผู้สูงสุด และศีลเท่านั้นที่เป็นฐานแห่งปัญญา ต้องตามพระพุทธภาษิตมีความว่า
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    หากนับวันนี้เป็นวันสิ้นเดือนของเดือนแรกแห่งปี อีก 2 เดือนกว่าๆ ก็จะถึงวันปีใหม่ไทยในเดือนเมษายน ซึ่งตามสัญญาของเราที่เก็บสถิติของผู้ที่ทำบุญเป็นประจำไว้ทุกเดือน เราจะมอบพระพิมพ์ "กำลังใจ 2" มอบให้แก่ผู้ที่ทำบุญตามรายชื่อที่คณะกรรมการขึ้น list ไว้ ซึ่งท่าน อ.ประถมให้ชื่อว่า "พระปิยบารมี" ซึ่งเบื้องหลังการขอบารมีเสกนั้น ไม่สามารถกล่าวได้ในหน้ากระทู้ อาจารย์ประถม เคยปรารภกับผมตรงๆ ว่าปู่ถามจริงๆ เหอะ "จะหาใครทำได้ในแผ่นดินนี้ว๊ะ นี่ระดับจักรพรรดิ์เชียว" ผมยังจำได้วันที่ผมคล้องคอด้วยพระพิมพ์นี้ที่อยู่ในอกเสื้อไปกราบท่านปภัสโร ที่วัดสมเด็จองค์ปฐม ที่ อ.แกลง จ.ระยอง เวลาท่านจะกล่าวสอนผม ให้พรผม ท่านจะยกมือเฉียงไปทางขวามือผม แล้วก็จะกล่าวว่าต้องขออนุญาตที่ต้องกล่าวนามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกุกกุธสันโธก่อนทุกครั้ง ผมติดใจมาก จึงนำเรื่องนี้มาถามพี่ใหญ่ๆ จึงบอกว่าพระระดับนี้ท่านรู้ ใครสายใคร ใครมากับใคร ท่านจึงต้องบอกกล่าวผู้ใหญ่ก่อนทุกครั้งเพื่อไม่ให้เป็นการลบหลู่ ก็พระในชุดนี้นี่ล่ะที่จะแจกฟรีให้พวกเราที่มีกำลังใจมั่น ทำบุญมายาวนานอย่างไม่ย่อท้อ รูปจริงๆ ยังไม่ลงให้เพราะยังไม่ถ่ายไว้ แต่ถ้าจะให้ดูรูปแทนก็รูปในวงกลมตามโลโก้ข้างล่างนี่ล่ะ ในเฉพาะพิมพ์ที่ 3 ซึ่งคุณโสระบอกว่าพิมพ์นี้ หล่อในเทวีฤกษ์ ค่อยเบาในเรื่องห้าวหาญลงหน่อย เอาเป็น "ศรี" นำแทน แต่ไม่ต้องกลัว ใช้ชนวนในฤกษ์แรกเหมือนกัน รับรอง "ศรี" มาก่อน ถ้าศรีทนไม่ได้ ตานี้ล่ะ เจอ "นักเลง" หรือ "เดช" ตามหลังตามชนวนที่ได้หล่อในครั้งแรก ส่วนในพิมพ์ที่ 1 และ 2 คงต้องเป็นสิทธิ์เฉพาะตน เพราะข้อจำกัดข้างบนท่านมากเหลือเกิน เกินจนแบบที่ว่าหากให้ไปแล้วเกิดทำไม่ดี คนขอบารมี คนวางฤกษ์ คนที่มีส่วนในการทำงานหรือนำวัตถุดิบมาให้บาปกรรมหมดกลัวใช้หนี้บาปไม่ไหวจริงๆ ทั้งนี้ ใครอยากรู้ว่าพระพิมพ์ "กำลังใจ 2" หรือ "ปิยบารมี"(ไม่มีสระอะ) นี้ ทำด้วยวัสดุใดหรือวัตถุมงคลใดบ้าง ต้องไปอ่านในช่วงๆต้น ของกระทู้นี้ราวๆ เดือนมกรา-เมษา ปีที่แล้วเอาก็แล้วกัน พระชุดนี้หมดแล้วหมดเลย ไม่มีเสริม ไม่มีเพิ่ม ไม่ให้พร่ำเพื่อ ให้เฉพาะบุคคลที่มีรายชื่อตามที่คณะกรรมการจะแจ้งให้ทราบเท่านั้น มีเท่าไร แจกเท่านั้นก่อน แล้วก็จะ monitor เรื่อยๆ หากท่านใหม่ทำต่อเนื่องเข้าเกณฑ์เมื่อใด ก็ต้องได้รับแจก "พระของท่านก็ต้องเป็นของท่านวันยังค่ำ" มีปัญญาของบารมีเสกได้ ก็ต้องมีปัญญาคัดเลือกบุคคลที่เป็นเจ้าของได้เช่นกัน ที่ลงมาให้ดูนี่ ก็ยังไม่ได้ปรึกษาเพื่อนฝูง แต่เห็นกระทู้เงียบๆ เลยนำมาเขยื้อนนิดนึง แต่ก็ขอบอกว่า ไม่ใช่เงียบแต่เป็นความนิ่งเท่านั้นเอง แผนงานมีอยู่แล้ว รอจังหวะและเวลา ท่านอนุญาต ก็เดินหน้า ในเดือน ก.พ. นี้ ทำบุญวันอาทิตย์ที่ 22 งานนี้มีของดีๆ ถูกๆ มาให้ชมเยอะ และอย่าลืมคณะทัวร์บุญ รีบๆ เคลียร์คิวก่อน ตอนนี้ได้รถบัส 25 ที่นั่งแล้ว คนไปเท่าที่กำหนดได้ราว12 คนแล้วมั๊ง เหลืออีกสิบกว่าคนก็งดแล้ว ค่ารถอย่างเดียวที่นั่งล่ะประมาณ 300.- เอ้า ใครไปเดี๋ยวมีอะไรดีๆ ให้ด้วยเอ้า...pm มาบอกที่ผมก่อนก็ได้ เดินทางหลังจากทำบุญเสร็จนี่ล่ะ ปลีกย่อย ค่อยว่ากันอีกที เพราะยังหาต้นทางที่จะขึ้นรถไม่ได้ว่าจะเอาที่ไหนดีถึงเหมาะสมครับ

    พันวฤทธิ์
    31/1/52



    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2009
  13. nu_wa

    nu_wa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,740
    ค่าพลัง:
    +10,697
    สวัสดีครับ

    ผมเข้ามานานแล้ว ได้อ่านบางบทความที่ดีในเวปบอร์ดนี้ มีสาระแนวทางการใช้ชีวิตที่ดีครับและเห็นมีโครงการร่วมทำบุญพระภิกษุสงฆ์อาพาธ เลยโอนเงินร่วมบุญ 499 บาทแล้วครับ ประมาณเวลา 20.00น. ตามที่เคยได้แจ้งกับพี่โสระครับ

    ผมเคยได้อ่านประวัติอาจารย์ประถม มานานมากแล้วและดีใจที่ได้ร่วมบุญด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2009
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD style="TEXT-ALIGN: left">
    [​IMG]



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </B>เรารักในหลวง

    เจ้าของภาพ : คุณพ่ออุ่นดวง วงค์ยวง

    ขณะทรงเสด็จฯเยี่ยมพสกนิกรที่ศูนย์นิคมสงเคราะห์ชาวเขา อ.แม่จัน จ.เชียงราย

    "คุณพ่อและคุณแม่ได้นำคณะชาวไทยลื้อร่วมรับเสด็จ ทั้งสองพระองค์ทรงตรัสสนทนาด้วยความเมตตายิ่ง นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อชาวไทยลื้อบนผืนแผ่นดินไทยเป็นอย่างยิ่ง"

    ต้นกาแฟของในหลวง

    บ่ายวันนั้นแดดร้อนมาก เมื่อทั้งสองพระองค์ทรงพระดำเนินถึงยอดเขา เบื้อง หน้าพระพักตร์นั้นเต็มไปด้วยไร่กัญชาไร่ฝิ่น แต่หาได้ลดละพระวิริยะของพระเจ้าแผ่นดินและพระราชินีทั้งสองพระองค์นี้ไม่ กลับทำให้ทรงมีพระราชหฤทัยที่เข็มแข็ง และเป็นแรงผลักดันให้ต้องทรงเร่งรีบช่วยเหลือพวกเขาเหลานั้น ให้มีอยู่มีกินด้วยอาชีพที่สุจริต
    พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงมีพระราชสัณฐานกับชาวเขาที่อาศัยอยู่บนยอดเขานั้นโดยไม่ ทรงถือพระองค์เลย ทรงมีพระราชดำรัสถามถึงการทำมาหากินและชีวิตความเป็นอยู่ ยังความปราบปลื้มสู่ชาวเขาทุกเผ่าทุกพงศ์เป็นอันมาก ในใจของพวกเขานั้นเคารพเทิดทูนพระเจ้าแผ่นดินของเขาอยู่แล้ว ครั้นเมื่อรู้ว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กุมภาพันธ์ 2009
  15. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ขอจองตั๋วทัวร์บุญไว้ 2 ที่นะครับ

    โมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านนะครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    ได้ผู้โชคดีมาอีก 2 แล่ว...รับทราบเด้อ..รับทราบ
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ต่อไปจะนำเสนอบทความเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของในหลวงเกี่ยวกับพระศาสนาในหัวข้อ พระราชกรณียกิจ 15 วันที่ทรงผนวช โดยจะนำเสนอวันละตอนต่อเนื่องไปครับ

    [​IMG]

    ทรงชุดละครไทย ซึ่งสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าประทานให้


    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD>พระราชกรณียกิจในวันแรก



    </TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=2>[​IMG] พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นพุทธมามกะ ดังจะเห็นได้จากการที่พระองค์ทรงผนวชในพระพุทธศาสนา ประพฤติปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งพิธีบรรพชาอุปสมบทนั้นได้มีบันทึกไว้อย่างละเอียดดังต่อไปนี้...
    พ ร ะ ร า ช พิ ธี บ ร ร พ ช า อุ ป ส ม บ ท
    ลุถึงวันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พุทธศักราช 2499 เป็นวันที่จะต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ไทย และจดจำในดวงใจของพสกนิกรชาวไทยทุกคน ด้วยเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ผู้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ จักได้ทรงสละราชสมบัติ เสด็จออกทรงพระผนวชในบวรพระพุทธศาสนา โดยทรงแต่งตั้งให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
    พระราชพิธีบรรพชาอุปสมบทของสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้า อันจัดเป็นพระราชพิธีมหามงคลอันยิ่งใหญ่ เริ่มขึ้นในวันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พุทธศักราช 2499 เวลา 14.00 น.
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งมายังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ครั้นเมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึง ทรงพระดำเนินสู่ที่เปลื้องเครื่องหลังพระอุโบสถ เสร็จแล้ว สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงจรดพระกรรบิดเปลื้องพระเกศาเป็นพระฤกษ์ (ใช้กรรไกรขริบเส้นผมเป็นปฐมฤกษ์) จากนั้นเจ้าพนักงานภูษามาลาถวายต่อจนเสร็จ


    [​IMG]



    ครั้นเวลา 15.00 น. ล่วงแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเศวตพัสตร์ตามแบบผู้แสวงอุปสมบท ทรงพระดำเนินเข้าสู่พระอุโบสถทางพระทวารหลังแล้วเสด็จออกหน้าพระฉาก ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระสัมพุทธพรรณี และพระพุทธรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยแล้ว ทรงรับผ้าไตรและบาตรสำหรับทรงอุปสมบท จากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปประทับในท่ามลางสังฆสมาคมในพระอุโบสถ มีพระสงฆ์ผู้จะนั่งหัตถบาส จำนวน 30 รูป อยู่ด้านเหนือ โดยมีสมเด็จพระสังฆราชวัดบวรนิเวศวิหาร ทรงเป็นพระราชอุปัชฌายาจารย์ (อุปัชฌาย์) และถวายศีล สมเด็จพระวันรัต วัดเบญจมบพิตร เป็นพระราชอนุสาวนาจารย์


    ภายในพระอุโบสถทางด้านใต้ มีพระบรมวงศานุวงศ์ คณะองคมมนตรี คณะรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท นอกจากนั้น เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ที่ชานพระอุโบสถทั้งหน้าหลัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงถวายเครื่องราชสักการะแด่สมเด็จพระสังฆราชผู้เป็นพระราชอุปัชฌายาจารย์ แล้วทรงขอบรรพชา

    สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช ทรงถวายโอวาทสำหรับบรรพชาความว่า

    “บัดนี้ สมเด็จพระบรมบพิตรทรงมีพระราชศรัทธาความเชื่อ พระราชปสาทะความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้ทรงขอบรรพชาอุปสมบท รวมความว่า บวชในพระพุทธศาสนาตามพระราชประเพณีของพระเจ้าแผ่นดินที่เป็นบรมราชจักรีวงศ์และตามแบบของกษัตริย์ก่อนๆ เพราะฉะนั้น จึงควรน้อมพระราชหฤทัยระลึกถึงพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระบรมศาสดา ประกาศพระศาสนา และทรงระลึกถึงพระธรรม คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งประกาศสัจจะความจริงอันไม่แปรปรวน และระลึกถึงพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วได้ความเชื่อความเลื่อมใส ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจนได้ดบรรลุถึงคุณพิเศษในพระพุทธศาสนา คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะฉะนั้น ในบัดนี้ จงตั้งพระราชหฤทัยระลึกถึงคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเรียกว่าศาสนธรรมอันประกาศสัจธรรม ธรรมะที่เป็นจริง และระลึกถึงพระสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้า เช่นนี้ จึงควรบวชในพระพุทธศาสนา
    การบวชในพระพุทธศาสนา ท่านสอนให้เรียน "ตจปัญจกกัมมัฏฐาน" กัมมัฏฐานที่มีหนังเป็นที่ 5 เพราะฉะนั้น จงตั้งพระทัยทรงว่าตามไปโดยบทพระบาลีก่อน เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกศา จงศึกษาให้รู้เนื้อความ เกศา ได้แก่ ผมที่งอกอยู่บนศีรษะ โลมา ได้แก่ขนที่งอกอยู่ทั่วตัว เว้นแต่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า นะขา ได้แก่เล็บที่งอกอยู่ตามปลายมือ ปลายเท้า ทันตา ได้แก่ฟันที่งอกอยู่ในกระดูกคางเบื้องล่าง เบื้องบน สำหรับบดเคี้ยวอาหาร ตะโจ ได้แก่หนังที่หุ้มอยู่ทั่ว ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เหล่านี้ ถ้าทิ้งอยู่ตามที่ของมันก็จะปฏิกูลโสโครก เพราะธุลีละอองที่จับบ้าง ออกมาจากร่างกายเดิมบ้าง เพราะฉะนั้น บุคคลจึงต้องชำระล้างขัดสีตกแต่งของหอมเข้าอบกลิ่นเพื่อแก้กันปฏิกูลโสโครก ถึงเช่นนั้นก็ไม่สามารถจะแก้กันให้เด็ดขาดไปได้ เพียงแต่ปะทะปะทังไว้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นของปฏิกูลโสโครกอย่างไรก็คงแสดงปฏิกูลโสโครก น่าเกลียดออกมาอย่างนั้น ให้เห็นอยู่เป็นธรรมดา แต่คนไม่พิจารณาให้เห็นตามเป็นจริง จะหลงรักหลงเกลียด แล้วก็ประทุษร้ายกัน เมื่อใช้พระปัญญาพิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ทั้ง 5 เป็นเป็นของปฏิกูลโสโครกน่าเกลียด ก็พึงยึดรักษาอารมณ์อันนั้นไว้ เพื่อเป็นที่ตั้งแห่งสมาธิและเป็นที่ตั้งแห่งปัญญาต่อไป ในบัดนี้ จะถวายผ้ากาสายะ เพื่อได้ครองอุปสมบท”
    แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินกลับเข้าในพระฉากเพื่อทรงผ้ากาสาวพัสตร์ จากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปทรงรับไตรสรณคมน์และศีลจากสมเด็จพระสังฆราช พระราชอุปัชฌายาจารย์ สำเร็จบรรพชากิจเป็นสามเณรแล้ว ทรงขอนิสัย สมเด็จพระสังฆราช พระราชอุปัชฌายาจารย์ ถวายพระสมณนามว่า ภูมิพโล ทรงขออุปสมบท พระสงฆ์ถวายการอุปสมบท โดยมีสมเด็จพระสังฆราช เป็นพระราชอุปัชฌายาจารย์ และพระศาสนโศภณ วัดมกุฏกษัตริยาราม เป็นพระราชกรรมวาจาจารย์

    [​IMG]
    เมื่อทรงรับอุปสมบทเสร็จเป็นอันดำรงภิกษุภาวะโดยสมบูรณ์แล้ว สมเด็จพระวันรัต วัดเบญจมบพิตร พระราชอนุสาวนาจารย์ ถวายอนุศาสน์ จากนั้นพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถวายไทยธรรม ไตรแพร และย่าม แด่พระราชอุปัชฌายาจารย์ พระราชกรรมวาจาจารย์ พระราชอนุสาวนาจารย์ และพระหัตถบาส ทั้ง 30 รูป เสร็จแล้วทรงรับประเคนผ้าไตรและเครื่องบริขารของหลวงจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทรงรับประเคนผ้าไตรและเครื่องบริขารจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และทรงรับประเคนดอกไม้ ธูป เทียน จากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ซึ่งทรงถวายในนามของพระบรมวงศานุวงศ์ และทรงรับจากพระวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ประธานองคมนตรี ในนามของคณะองคมนตรี จากจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ในนามของคณะรัฐมนตรีและข้าราชการทุกฝ่าย จากพลเอกพระประจนปัจจานึก ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในนามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและประชาชน เสร็จแล้วทรงหลั่งทักษิโณทก
    จากนั้น พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินออกจากพระอุโบสถไปประทับรถยนต์พระที่นั่งที่ประตูเกยหลังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมด้วย พระโศภนคณาภรณ์ วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งทำหน้าที่เป็นพระพี่เลี้ยง (พระโศภนคณาภรณ์ ปัจจุบันคือ สมเด็จญาณสังญาณสัง สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก) เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระพุทธรัตนสถาน ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อทรงประกอบพิธีตามขัตติยราชประเพณี โดยมีพระเถระฝ่ายธรรมยุตนั่งหัตถบาส 15 รูป
    เมื่อเสร็จพระราชพิธีอุปสมบทกรรมในเวลา 17.43 น. แล้วพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหัว เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง พร้อมด้วยสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชพระราชอุปชฌายาจารย์ ไปยังวัดบวรนิเวศวิหาร ระหว่างทางมีพสกนิกรมาคอยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทชมพระบารมีแน่นขนัดทั้งสองฟากถนน จนรถยนต์พระที่นั่งต้องเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงเศษ จึงเสด็จถึงวัดบวรนิเวศวิหาร
    ครั้นเมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อเวลา 19.30 น. แล้วพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่พระอุโบสถทรงนมัสการพระพุทธชินสีห์ ทรงสักการะพระรูปสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ และพระรูปสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส แล้วทรงจุดธูปเทียนอุทิศพระราชกุศลถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีพระเถรานุเถระทั้งในวัดบวรนิเวศวิหารและวัดอื่นๆ เฝ้ารับเสด็จ จากนั้น เสด็จขึ้นพระตำหนักจันทร์ ทรงสักการะพระอัฐิสมเด็จพระมหาสมณเจ้าทั้งสองพระองค์และเสด็จระราชดำเนินเข้าสู่ที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


    ทรงจุดธูป เทียน อุทิศพระราชกุศลถวาย เสร็จแล้วเสด็จขึ้นพระตำหนักปั้นหย่า ทรงนมัสการ พระพุทธสมุทนินนาท และพระพุทธมหานาคชินนะ จากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระตำหนักทรงพรต ทรงทำพินทุกัปอธิษฐานและทรงวิกัปไตรจีวร แล้วเสด็จออก ให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ถวายดอกไม้ ธูป เทียน ส่วนพระองค์ แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช ณ พระตำหนักปัญจบเบญจมา ทรงถวายดอกไม้ ธูป เทียน สมเด็จพระสังฆราช ในโอกาสนี้ สมเด็จพระสังฆราชประทานพระโอวาท ความว่า


    “การทรงผนวชวันนี้ เป็นประโยชน์มาก สำหรับคนผู้นับถือพระพุทธศาสนา เพราะเขายินดีกันมาก แต่ว่าที่จะได้เป็นประโยชน์สำหรับพระองค์เองนั้น ต้องประพฤติปฏิบัติธรรมวินัย คือ บวชด้วยกายอย่างหนึ่ง บวชด้วยใจอย่างหนึ่ง ถ้าทั้ง 2 อย่างผสมกันเข้าแล้ว จะเป็นกุศล

    การบวชด้วยกายนั้น ต้องทำพิธีในที่ประชุมสงฆ์ แต่การบวชด้วยใจ ต้องตั้งพระราชหฤทัยเรียนพระพุทธศาสนาในพระวินัย ทรงอ่านดูข้อบังคับที่จะไม่ประพฤติล่วงและในธรรมะ ทรงศึกษาเพื่อปฏิบัติตามฝึกหัดพระราชหฤทัยให้สงบระงับอีกอย่างหนึ่ง เมื่อทรงผนวชเสร็จแล้วมีพระออกไปบอกอนุศาสน์ อนุศาสน์ แปลว่า คำสอนในลำดับถึงเมื่อบวชเสร็จก็ต้องสอน แม้เป็นภาษาบาลี ก็ต้องสอนกัน พระพุทธบัญญัติ พระพุทธภาษิตก็สอนอย่างนั้น แต่การสอนอนุศาสน์ในครั้งพุทธกาล เมื่อพูดภาษาบาลี เขาก็รู้กันแต่มาสมัยนี้ พระพุทธศาสนาแพร่หลายมาถึงประเทศเรา ซึ่งไม่ใช้ภาษามคธ ผู้ไม่ได้เรียนภาษามคธก็ฟังไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้น ควรทรงศึกษาเสียให้เข้าพระทัย
    ข้อต้นท่านสอนว่า ผู้บวชต้องอาศัยบิณฑบาตเขาเลี้ยงชีวิต แต่ว่าไม่บังคับ ถ้าจะมีอดิเรกลาภอื่น ๆ ที่เขาถวายก็ใช้ได้
    ข้อที่ 2 ท่านสอนให้ใช้ผ้าบังสุกุล คือ ผ้าที่เขาทิ้งเปื้อนฝุ่นแล้วเก็บมาซัก มาย้อม มาเย็บ คือทำเป็นกระทง ๆ อย่างที่ใช้กันนี้ แต่ว่าไม่บังคับ ถ้าจะมีอดิเรกจีวรที่ได้มาโดยชอบธรรมก็ใช้ได้
    ข้อที่ 3 ท่านสอนให้อาศัยยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า เพราะคนเราต้องเจ็บ เมื่อเจ็บแล้วก็ต้องกินยา ยาดองด้วยน้ำมูตรเน่าเป็นยาถ่ายด้วย และเป็นยาแก้ไข้ด้วย แต่ไม่บังคับโดยเด็ดขาด เป็นแต่ว่าถ้าไม่ได้อดิเรกลาภ คือยาอื่น ก็ให้ใช้ยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า
    ข้อที่ 4 ท่านสอนให้อาศัยเรือนว่างเปล่าให้อาศัยโคนไม้เป็นที่อยู่ แต่ไม่ได้ห้ามเด็ดขาด ถ้ามีอดิเรกลาภคือกุฏิที่อยู่อย่างใดอย่างหนึ่งก็ใช้ได้ คือต้องรู้ว่าพระแต่ก่อนนั้นฝืดเคืองมาก ต้องอาศัยปัจจัยทั้ง 4 นี้เป็นอยู่
    แลจงเว้นข้อห้าม 4 อย่างที่สำคัญล่วงเข้าแล้ว ทำให้ขาดจากความเป็นภิกษุเรียกว่าต้องปาราชิก
    วันนี้สอนแต่เพียงเท่านี้ก่อน ถวายหนังสือไป หนังสือนวโกวาท ถ้ามีเวลาควรทรงอ่าน ทรงอ่านวินัยให้จบเสียก่อน และอ่านให้เข้าพระทัย เพื่อจะได้ประพฤติตาม ถ้าไม่เข้าพระทัยก็รับสั่งถามพระพี่เลี้ยง
    ส่วนธรรมะ อธิบายไว้ในโอวาทแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้ามีเวลาควรทรงอ่าน เพื่อฝึกหัดพระราชหฤทัยให้สงบระงับให้เป็นการบวชด้วยพระราชหฤทัยด้วย บวชด้วยพระกายด้วย วันนี้พอกันที ทรงเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว”
    ครั้งทรงสดับพระโอวาทสมเด็จพระสังฆราชแล้ว พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินกลับขึ้นพระตำหนักปั้นหย่า ในการพระราชกุศลขึ้นพระตำหนักนั้น หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งรับสนองพระมหากรุณาธิคุณทำหน้าที่ เป็นไวยาวัจกรประจำพระองค์เป็นผู้อาราธนาศีล พระราชาคณะวัดบวรนิเวศวิหาร คือพระพรหมมุนี พระรัตนธัชมุนี พระโศภนคณาจารย์ พระมหานายก พระจุลนายก พระสาธุศีลสังวร พระปัญญาภิมณฑมุนี เจริญพระพุทธมนต์ เสร็จแล้วเสด็จสู่ที่ประทับ และเข้าที่พระบรรทมในเวลา 24.30 น.
    พ ร ะ ร า ช ก ร ณี ย กิ จ ใ น ข ณ ะ ท ร ง พ ร ะ ผ น ว ช
    พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจระหว่างทรงครองสมณเพศเช่นเดียวกันกับพระภิกษุสงฆ์อื่น ๆ กล่าวคือ หลังจากเสวยพระกระยาหารเช้าแล้วก็เสด็จลงพระอุโบสถทรงทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นร่วมกับพระภิกษุสงฆ์ในวัดบวรนิเวศวิหาร ทรงสดับพระธรรมวินัยและทรงศึกษาพระธรรมวินัยเช่นเดียวกับพระภิกษุอื่น ๆ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    http://www.king60.mbu.ac.th
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กุมภาพันธ์ 2009
  18. คีตา

    คีตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +4,309
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097


     
  20. คีตา

    คีตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +4,309


    ที่ตั้งใจส่วนนึงก็เพราะคุณ aries2947 แนะนำมาด้วยขอรับ ต้องขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...