ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    [​IMG]
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- / icon and title --> <!-- message --> อ้างอิง:
    <table width="100%" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset ;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ คีตา [​IMG]
    ขอเชิญร่วมงานบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานอุทิศแด่...

    หลวงพ่อคืน ปสันโน - หลวงพ่อผล กิตติจาโร
    ณ วัดป่าบวรสังฆาราม(หน้าเรือนจำ) ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์

    วันศุกร์ที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

    @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

    กำหนดงาน
    วันศุกร์ที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

    เวลา 07:30 น. พระภิกษุ-สามเณร ออกรับบิณฑบาตภายในวัดฯ

    เวลา 08:00 น. : ถวายภัตตาหารเช้าแด่พระภิกษุ - สามเณร
    : พระภิกษุ - สามเณร สวดทักษิณานุปทานอุทิศฯ
    : ถวายเครื่องไทยธรรมแด่พระภิกษุ - สามเณร
    : พระภิกษุ - สามเณรอนุโมทนา --เป็นเสร็จพิธีฯ

    _________________________________

    </td> </tr> </tbody></table>
    อ้างอิง:
    <table width="100%" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset ;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ คีตา [​IMG]
    ได้ ฟังการสนทนาธรรมระหว่าง ฆราวาสท่านหนึ่งกับครูบาอาจารย์รูปหนึ่งเมื่อซักครู่ท่านอยู่ที่วัดดังกล่าว มาจากจังหวัดตาก ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์และหลวงพ่อคืน

    "การดูจิต คือ ดู กิเลส ความคิด นิมิต อารมณ์ ในปัจจุบัน ให้เห็นถึงความ เกิดดับ ให้ขึ้นวิปัสสนาญาณ หากฟุ้งซ่าน มีอารมณ์ ให้ทำสมถะ"

    "วิธี กันและแก้ การเผลอ และ การเพ่ง คือ สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน"

    "มีกรรมฐานแบบนึงนะ เคยถามหลวงปู่ดูลย์ เรียกว่าตกกระไดพลอยโจน ทำได้หรือไม่ หลวงปู่ท่านว่า ทำได้แต่ต้องเคยทำ
    ฝึกทำจิตให้บริสุทธิ์ เริ่มต้นวันละ 5 นาที ทำได้แล้วก็เพิ่มเวลาไปเรื่อยๆ เอาไว้เวลาคับขัน หากยังไม่จบในชาตินี้
    ...ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีปัจจุบัน ไม่คิดไม่นึก ไม่ปรุงแต่ง... "
    </td> </tr> </tbody></table>
    มีงานบุญงานนึงที่ลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์มากันมากครับ
    ตามที่พี่คีตาบอกไว้ครับ
    ใครสนใจมาร่วมงานบุญกันนะครับ

    โมทนาบุญด้วยครับ
     
  2. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    รูปคณะกรรมการเก็บตกจากเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 100_6273.JPG
      100_6273.JPG
      ขนาดไฟล์:
      96.4 KB
      เปิดดู:
      181
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2008
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วันนี้มีรูปมาฝากจากแม่สอด ผ้าห่มกันหนาวผืนเล็ก ราคาผืนละ 250.-จากเงินที่เราบริจาคเพื่อซื้อผ้าห่มให้กับ สงฆ์อาพาธและไว้ใช้ที่ รพ.แม่สอดเอง จำนวนเงิน 1,500.- หรือ 6 ผืน แต่เนื่องจากท่านที่มารักษาตัว ในภาพนี้เป็นพระชาวพม่าซึ่งวัดยากจนมาก ที่ข้ามแดนมา บางองค์ไม่มีเงินกลับ พยาบาลต้องเรี่ยไรมอบค่ารถกลับให้ องค์ละ ร้อยสองร้อยบาทบ้าง ผมจึงได้ตั้งกองทุนไว้แล้ว 3,000.- เพื่อเป็นกองทุนส่งพระกลับวัด โดยคุณสุภรณ์ฯ จนท.ของหอสงฆ์รับดำเนินการดูแลให้ (เป็นบัญชีของคุณสุภรณ์ที่เปิดมาต่างหากไม่เกี่ยวกับหอสงฆ์ของ รพ. ที่ไม่มีกองทุนด้านนี้) ทั้งที่คุณสุภรณ์เองก็นับถือศาสนาอิสลามแต่ด้วยความที่อยู่ใกล้ชิดกับสงฆ์อาพาธ จึงมีจิตใจเมตตาช่วยเหลืองานกับทุนนิธิฯ มาตลอด รวมถึงการดูแลการบริจาคของ รพ.แม่สอดที่ทุนนิธฯ ส่งเงินบริจาคให้และ เรื่องอื่นเช่นสถานการณ์การเจ็บป่วยของพระสงฆ์ไทย และพม่าในรอบเดือนที่ผ่านมาทุกเดือน ส่วนการมอบผ้าห่มนั้นพระสงฆ์บางรูปเพิ่งหายจากอาการไข้ ทางหอสงฆ์ของ รพ. จึงตัดสินใจมอบให้ท่านไว้ใช้ยามรักษาตัวเสร็จไปใช้ที่วัดท่านเลย และได้ส่งรูปมาให้ดูเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันให้ผู้บริจาคในกระทู้ได้ดูและโมทนาสาธุบุญกันครับ


    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ค่อยๆ อ่าน และอ่านด้วยความสบายใจ เราจะได้ประโยชน์จากคำสอนนี้มากทีเดียวครับ

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>[​IMG]

    ธรรมะกับธรรมชาติ
    โดย หลวงพ่อชา สุภัทโท

    วัดหนองป่าพง
    ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี



    บางครั้ง ต้นผลไม้ อย่างต้นมะม่วงเป็นดอกออกมาแล้ว บางทีถูกลมพัด มันก็หล่นลง แต่ยังเป็นดอกอย่างนั้นก็มี บางช่อเป็นลูกเล็กๆ ลมก็มาพัดไป หล่นทิ้งไปก็มี บางช่อยังไม่ได้เป็นลูก เป็นดอกเท่านั้น ก็หักไปก็มี

    คนเราก็เหมือนกัน บางคนตายตั้งแต่อยู่ในท้องบางคนคลอดจากท้องอยู่ได้สองวัน ตายไปก็มี หรืออายุเพียงเดือนสองเดือน สามเดือน ยังไม่ทันโต ตายไปก็มีบางคนพอเป็นหนุ่มเป็นสาวตายไปก็มี บางคนก็แก่เฒ่าแล้ว จึงตายก็มี

    เมื่อนึกถึงคนแล้ว ก็นึกถึงผลไม้ ก็เห็นความไม่แน่นอน แม้นักบวชเราก็เหมือนกัน บางทียังไม่ทันได้บวชเลย ยังเป็นเพียงผ้าขาวอยู่ ก็พาผ้าขาววิ่งหนีไปก็มีบางคนโกนผมเท่านั้น ยังไม่ได้บวชขาวด้วยซ้ำ ก็หนีไปก่อนแล้วก็มี บางคนก็อยู่ได้สามสี่เดือนก็หนีไป บางคนอยู่ถึงบวชเป็นเณรเป็นพระ ได้พรรษาสองพรรษาก็สึกไปก็มี หรือสี่ห้าพรรษาแล้วก็สึกไปก็มี เหมือนกับผลไม้เอาแน่นอนไม่ได้ ดอกไม้ผลไม้ถูกลมพัดตกลงไปเลยไม่ได้สุก จิตใจคนเราก็เหมือนกัน พอถูกอารมณ์มาพัดไป ดึงไป ก็ตกไปเหมือนกับผลไม้

    พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงเห็นเหมือนกัน เห็นสภาพธรรมชาติของผลไม้ ใบไม้ แล้วก็นึกถึงสภาวะของพระเณรซึ่งเป็นบริษัท บริวารของท่านก็เหมือนกัน มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ย่อมจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ฉะนั้นผู้ปฏิบัติถ้ามีปัญญา พิจารณาดูอยู่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีครูอาจารย์แนะนำพร่ำสอนมากมาย

    พระพุทธเจ้าของเรา ที่จะทรงผนวชในพระชาติที่เป็นพระชนกกุมารนั้น ท่านก็ไม่ได้ศึกษาอะไรมากมายท่านไปทรงเห็นต้นมะม่วงในสวนอุทยานเท่านั้น คือวันหนึ่ง พระชนกกุมารได้เสด็จไปชมสวนอุทยานกับ พวกอำมาตย์ทั้งหลาย ได้ทรงเห็นต้นมะม่วงต้นหนึ่ง กำลังออกผลงามๆ มากมาย ก็ตั้งพระทัยไว้ว่า ตอนกลับจะแวะเสวยมะม่วงนั้น

    แต่เมื่อพระชนกกุมารเสด็จผ่านไปแล้ว พวกอำมาตย์ก็พากันเก็บผลมะม่วงตามใจชอบ ฟาดด้วยกระบองบ้าง แส้บ้าง เพื่อให้กิ่งหัก ใบขาด จะได้เก็บผลมะม่วงมากิน

    พอตอนเย็น พระชนกกุมารเสด็จกลับ ก็จะทรงเก็บมะม่วง เพื่อจะลองเสวยว่าจะมีรสอร่อยเพียงใด แต่ก็ไม่มีมะม่วงเหลือเลยสักผล มีแต่ต้นมะม่วงที่กิ่งก้านหักห้อยเกะกะ ใบก็ขาดวิ่น เมื่อไต่ถาม ก็ทรงทราบว่าพวกอำมาตย์เหล่านั้นได้ใช้กระบอง ใช้แส้ฟาดต้นมะม่วงนั้นอย่างไม่ปรานี เพื่อที่จะเอาผลของมันมาบริโภคฉะนั้นใบของมันจึงขาดกระจัดกระจาย กิ่งของมันก็หัก ห้อยระเกะระกะ

    เมื่อพระองค์ทรงมองมะม่วงสักต้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ กัน ก็ทรงเห็นมะม่วงต้นนั้นยังมีกิ่งก้านแข็งแรง ใบดกสมบูรณ์ มองดูน่าร่มเย็น จึงทรงดำริว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ? ก็ทรงได้คำตอบว่า เพราะมะม่วงต้นนั้นมันไม่มีผล คนก็ไม่ต้องการมัน ไม่ขว้างปามัน ใบของมันก็ ไม่หล่นร่วง กิ่งของมันก็ไม่หัก

    พอพระองค์ทรงเข้าพระทัยในเหตุเท่านั้น ก็พิจารณามาตลอดทางที่เสด็จกลับ ทรงรำพึงว่า ที่ทรงมีความทุกข์ยากลำบาก ก็เพราะเป็นพระมหากษัตริย์ ต้องทรงห่วงใยราษฎร ต้องคอยป้องกันแผ่นดินจากข้าศึกศัตรู ที่คอยจะมาโจมตีตรงนั้นตรงนี้อยู่วุ่นวาย แม้จะนอนก็ไม่เป็นสุข บรรทมแล้วก็ยังทรงฝันถึงอีก แล้วก็ทรงนึกถึงต้นมะม่วงที่ไม่มีผลต้นนั้น ที่มีใบสดดูร่มเย็น แล้วทรงดำริว่า จะทำอย่างมะม่วงต้นนั้นจะไม่ดีกว่าหรือ ?

    พอถึงพระราชวัง ก็ทรงพิจารณาอยู่แต่ในเรื่องนี้ในที่สุดก็ตัดสินพระทัยออกทรงผนวช โดยอาศัยต้นมะม่วงนั้นแหละ เป็นบทเรียนสอนพระทัย ทรงเปรียบเทียบพระองค์เองกับมะม่วงต้นนั้น แล้วเห็นว่าถ้าไม่พัวพันอยู่ในเพศฆราวาส ก็จะได้เป็นผู้ไปคนเดียว ไม่ต้องกังวัลทุกข์ร้อน เป็นผู้มีอิสระ จึงออกผนวช

    หลังจากทรงผนวชแล้ว ถ้ามีผู้ใดทูลถามว่า ใครเป็นอาจารย์ของท่าน ? พระองค์ก็จะทรงตอบว่า "ต้นมะม่วง" ใครเป็นอุปัชฌาย์ของท่าน ? พระองค์ก็ทรงตอบว่า "ต้นมะม่วง" พระองค์ไม่ต้องการคำพร่ำสอนอะไรมากมาย เพียงแต่ทรงเห็นต้นมะม่วงนั้นเท่านั้น ก็ทรงน้อมเข้าไปในพระทัย เป็นโอปนยิกธรรม สละราชสมบัติทรงเป็นผู้ที่มักน้อย สันโดษ อยู่ในความสงบผ่องใส


    นี้คือในสมัยที่พระองค์ (พระพุทธเจ้า) ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ได้ทรงบำเพ็ญธรรมเช่นนี้มาโดยตลอดอันที่จริง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันเตรียมพร้อมที่จะสอนเราอยู่เสมอ ถ้าเราทำปัญญาให้เกิดนิดเดียวเท่านั้น ก็จะรู้แจ้งแทงตลอดในโลก

    ต้นไม้เครือเขาเถาวัลย์เหล่านั้น มันแสดงลักษณะอาการตามความจริงตามธรรมชาติอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว ถ้ามีปัญญาเท่านั้นก็ไม่ต้องไปถามใคร ไม่ต้องไปศึกษาที่ไหน ดูเอาที่มันเป็นอยู่ตามธรรมชาติเท่านั้น ก็ตรัสรู้ธรรมได้แล้ว เหมือนอย่างพระชนกกุมาร

    ถ้าเรามีปัญญา ถ้าเราสังวร สำรวม ดูอยู่ รู้อยู่เห็นอยู่ตามธรรมชาติอันนั้น มันก็ปลงอนิจจัง ทุกขังอนัตตาได้เท่านั้น เช่นว่า ต้นไม้ทุกต้นที่เราเห็นอยู่บนพื้นปฐพีนี้ มันก็เป็นไปในแนวเดียวกัน เป็นไปในแนวอนิจจังทุกขัง อนัตตา ไม่เป็นของแน่นอนถาวรสักอย่าง มันเหมือนกันหมด มีเกิดขึ้นแล้วในเบื้องต้น แปรไปในท่ามกลาง ผลที่สุดก็ดับไปอย่างนี้

    เมื่อเราเห็นต้นไม้เป็นอย่างนั้นแล้ว ก็น้อมเข้ามาถึงตัวสัตว์ ตัวบุคคล ตัวเราหรือบุคคลอื่นก็เหมือนกันมีความเกิดขึ้นเป็นเบื้องต้นในท่ามกลางก็แปรไป เปลี่ยนไป ผลที่สุดก็สลายไป นี่คือธรรมะ

    ต้นไม้ทุกต้นก็เป็นต้นไม้ต้นเดียวกัน เพราะว่ามันเหมือนกันโดยอาการที่มันเกิดขึ้นมาแล้ว มันก็ตั้งอยู่ ตั้งอยู่แล้วก็แปรไป แล้วมันก็เปลี่ยนไป หายไป เสื่อมไปดับสิ้นไปเป็นธรรมดา

    มนุษย์เราทั้งหลายก็เหมือนกัน ถ้าเป็นผู้มีสติอยู่รู้อยู่ ศึกษาด้วยปัญญา ด้วยสติสัมปชัญญะ ก็จะเห็นธรรมอันแท้จริง คือเห็นมนุษย์เรานี้ เกิดขึ้นมาเป็นเบื้องต้น เกิดขึ้นมาแล้วก็ตั้งอยู่ เมื่อตั้งอยู่แล้วก็แปรไปแล้วก็เปลี่ยนไป สลายไป ถึงที่สุดแล้วก็จบ ทุกคนเป็นอยู่อย่างนี้ ฉะนั้น คนทุกคนในสากลโลกนี้ ก็เป็นอันเดียวกัน ถ้าเราเห็นคนคนเดียวชัดเจนแล้ว ก็เหมือนกับเห็นคนทั้งโลก มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น

    ทุกสิ่งสารพัดนี้เป็นธรรมะ สิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยตา คือใจของเรานี้ เมื่อความคิดเกิดขึ้นมา ความคิดนั้นก็ตั้งอยู่ เมื่อตั้งอยู่แล้วก็แปรไป เมื่อแปรไปแล้ว ก็ดับสูญไปเท่านั้น นี้เรียกว่า "นามธรรม" สักแต่ว่าความรู้สึกเกิดขึ้นมา แล้วมันก็ดับไป นี่คือความจริงที่มันเป็นอยู่อย่างนั้น ล้วนเป็นอริยสัจจธรรมทั้งนั้น ถ้าเราไม่มองดูตรงนี้ เราก็ไม่เห็น


    ฉะนั้น ถ้าเรามีปัญญา เราก็จะได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าอยู่ที่ตรงไหน ?
    พระพุทธเจ้าอยู่ที่พระธรรม

    พระธรรมอยู่ที่ตรงไหน ?
    พระธรรมอยู่ที่พระพุทธเจ้า อยู่ตรงนี้แหละ

    พระสงฆ์อยู่ที่ตรงไหน ?
    พระสงฆ์อยู่ที่พระธรรม


    พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็อยู่ในใจของเราแต่เราต้องมองให้ชัดเจน บางคนเก็บเอาความไปโดยผิวเผิน แล้วอุทานว่า "โอ ! พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ในใจของฉัน" แต่ปฏิปทานั้นไม่เหมาะไม่สมควร มันก็ไม่เข้ากันกับการที่จะอุทานเช่นนั้น เพราะใจของผู้ที่อุทานเช่นนั้น จะต้องเป็นใจที่รู้ธรรมะ

    ถ้าเราตรงไปที่จุดเดียวกันอย่างนี้ ก็จะเห็นว่าความจริงในโลกนี้มีอยู่ นามธรรม คือ ความรู้สึกนึกคิดเป็นของไม่แน่นอน มีความโกรธเกิดขึ้นมาแล้ว ความโกรธตั้งอยู่แล้ว ความโกรธก็แปรไป เมื่อความโกรธแปรไปแล้ว ความโกรธก็สลายไป

    เมื่อความสุขเกิดขึ้นมาแล้ว ความสุขนั้นก็ตั้งอยู่เมื่อความสุขตั้งอยู่แล้ว ความสุขก็แปรไป เมื่อความสุขแปรไปแล้ว ความสุขมันก็สลายไปหมด ก็ไม่มีอะไร มันเป็นของมันอยู่อย่างนี้ทุกกาลเวลา ทั้งของภายในคือ นามรูปนี้ก็เป็นอยู่อย่างนี้ ทั้งของภายนอก คือต้นไม้ ภูเขา เถาวัลย์เหล่านี้มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้ นี่เรียกว่าสัจจธรรม

    ถ้าใครเห็นธรรมชาติก็เห็นธรรมะ ถ้าใครเห็นธรรมะก็เห็นธรรมชาติ ถ้าผู้ใดเห็นธรรมชาติ เห็นธรรมะผู้นั้นก็เป็นผู้รู้จักธรรมะนั่นเอง ไม่ใช่อยู่ไกล

    ฉะนั้น ถ้าเรามีสติ ความระลึกได้ มีสัมปชัญญะความรู้ตัวอยู่ทุกอิริยาบถ การยืน เดิน นั่ง นอน ผู้รู้ทั้งหลายก็พร้อมที่จะเกิดขึ้นมา ให้รู้ ให้เห็นธรรมะตามเป็นจริงทุกกาลเวลา

    พระพุทธเจ้าของเรานั้นท่านยังไม่ตาย แต่คนมักเข้าใจว่าท่านตายไปแล้ว นิพพานไปแล้ว ความเป็นจริงแล้ว พระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั้นท่านไม่นิพพาน ท่านไม่ตายท่านยังอยู่ ท่านยังช่วยมนุษย์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอยู่ทุกเวลา พระพุทธเจ้านั้นก็คือธรรมะนั่นเอง ใครทำดีต้องได้ดีอยู่วันหนึ่ง ใครทำชั่วมันก็ได้ชั่ว นี่เรียกว่าพระธรรมพระธรรมนั้นแหละเรียกว่า พระพุทธเจ้า และก็ธรรมะนี่แหละที่ทำให้พระพุทธเจ้าของเรา เป็นพระพุทธเจ้า

    ฉะนั้น พระองค์จึงตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" แสดงว่าพระพุทธเจ้าก็คือพระธรรม และพระธรรมก็คือพระพุทธเจ้า ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นเป็นธรรมะที่มีอยู่ประจำโลก ไม่สูญหาย เหมือนกับน้ำที่มีอยู่ในพื้นแผ่นดิน ผู้ขุดบ่อลงไปให้ถึงน้ำก็จะเห็นน้ำไม่ใช่ว่าผู้นั้นไปแต่งไปทำให้น้ำมีขึ้น บุรุษนั้นลงกำลังขุดบ่อเท่านั้น ให้ลึกลงไปให้ถึงน้ำ น้ำก็มีอยู่แล้ว

    อันนี้ ฉันใดก็ฉันนั้น พระพุทธเจ้าของเราก็เหมือนกัน ท่านไม่ได้ไปแต่งธรรมะ ท่านไม่ได้บัญญัติธรรมะ บัญญัติก็บัญญัติสิ่งที่มันมีอยู่แล้ว ธรรมะคือความจริงที่มีอยู่แล้ว ท่านพิจารณาเห็นธรรมะ ท่านเข้าไปรู้ธรรม คือรู้ความจริงอันนั้น ฉะนั้นจึงเรียกว่าพระพุทธเจ้าของเราท่านตรัสรู้ธรรม และการตรัสรู้ธรรมนี่เองจึงทำให้ท่านได้รับพระนามว่า พระพุทธเจ้า

    เมื่อพระองค์ทรงอุบัติขึ้นในโลก พระองค์ก็ทรงเป็นเพียง "เจ้าชายสิทธัตถะ" ต่อเมื่อตรัสรู้ธรรมแล้ว จึงได้ทรงเป็น "พระพุทธเจ้า" บุคคลทั้งหลายก็เหมือนกันผู้ใดสามารถตรัสรู้ธรรมได้ ผู้นั้นก็เป็นพุทธะ

    ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงยังมีอยู่ ยังเมตตากรุณาสัตว์ทั้งหลาย ยังช่วยมนุษย์สัตว์ทั้งหลายอยู่ ถ้ามนุษย์ผู้ใดมีความประพฤติปฏิบัติดี จงรักภักดี พระพุทธเจ้า ต่อพระธรรม ผู้นั้นก็จะมีคุณงามความดีอยู่ตลอดทุกวันฉะนั้น ถ้าเรามีปัญญา ก็จะเห็นได้ว่า เราไม่ได้อยู่ห่างพระพุทธเจ้าเลย เดี๋ยวนี้เราก็ยังนั่งอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้าเราเข้าใจธรรมะเมื่อใด เราก็เห็นพระพุทธเจ้าเมื่อนั้น ผู้ใดที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่อย่างสม่ำเสมอแล้ว ไม่ว่าจะนั่ง ยืน เดิน อยู่ ณ ที่ใด ผู้นั้นย่อมได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา

    ในการปฏิบัติธรรมนั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนให้อยู่ในที่สงบ สำรวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต นี้เป็นหลักไว้ เพราะสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นที่ตรงนี้ ไม่เกิดที่อื่นความดีทั้งหลายเกิดขึ้นที่นี่ ความชั่วทั้งหลายเกิดขึ้นที่นี่ พระพุทธเจ้าจึงให้สังวรสำรวมให้รู้จักเหตุที่มันเกิดขึ้น

    ความจริง พระพุทธเจ้าท่านทรงบอกทรงสอนไว้หมดทุกอย่างแล้ว เรื่องศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดีตลอดจนข้อประพฤติปฏิบัติทุกประการก็ทรงพร่ำสอนไว้หมดทุกอย่าง เราไม่ต้องไปคิด ไปบัญญัติอะไรอีกแล้วเพียงให้ทำตามในสิ่งที่ท่านทรงสอนไว้เท่านั้น นับว่าพวกเราเป็นผู้มีบุญ มีโชคอย่างยิ่ง ที่ได้มาพบหนทางที่ท่านทรงแนะทรงบอกไว้แล้ว คล้ายกับว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงสร้างสวนผลไม้ที่อุดมสมบูรณ์พร้อมไว้ให้เรา แล้วก็เชิญให้พวกเราทั้งหลายไปกินผลไม้ในสวนนั้น โดยที่เราไม่ต้องออกแรงทำอะไรในสวนนั้นเลย เช่นเดียวกับคำสอนในทางธรรม ที่พระองค์ทรงสอนหมดแล้ว ยังขาดแต่บุคคลที่จะมีศรัทธาเข้าไปประพฤติปฏิบัติเท่านั้น

    ฉะนั้น พวกเราทั้งหลายจึงเป็นผู้ที่มีโชคมีบุญมากเพราะเมื่อมองไปที่สัตว์ทั้งหลายแล้ว จะเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น เช่น วัว ควาย หมู หมา เป็นต้น เป็นสัตว์ที่อาภัพมาก เพราะไม่มีโอกาสที่จะเรียนธรรม ไม่มีโอกาสที่จะปฏิบัติธรรม ไม่มีโอกาสที่จะรู้ธรรม ฉะนั้นก็หมดโอกาสที่จะพ้นทุกข์ จึงเรียกว่าเป็นสัตว์ที่อาภัพ เป็นสัตว์ที่ต้องเสวยกรรมอยู่

    ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ทั้งหลายจึงไม่ควรทำตัวให้เป็นมนุษย์ที่อาภัพ คือไม่มีข้อประพฤติ ไม่มีข้อปฏิบัติ อย่าให้เป็นคนอาภัพ คือ คนหมดหวังจากมรรค ผลนิพพาน หมดหวังจากคุณงามความดี อย่าไปคิดว่าเราหมดหวังเสียแล้ว ถ้าคิดอย่างนั้น จะเป็นคนอาภัพเหมือนสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย คือไม่อยู่ในข่ายของพระพุทธเจ้า

    ฉะนั้น เมื่อมนุษย์เป็นผู้มีบุญวาสนาบารมีเช่นนี้แล้ว จึงควรที่จะปรับปรุงความรู้ ความเข้าใจ ความเห็นของตนให้อยู่ในธรรม จะได้รู้ธรรม เห็นธรรม ในชาติกำเนิดที่เป็นมนุษย์นี้ ให้สมกับที่เกิดมาเป็นสัตว์ที่ควรตรัสรู้ธรรมได้

    ถ้าหากเราคิดไม่ถูก ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ มันก็จะกลับไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นยักษ์ เป็นผี เป็นสารพัดอย่าง มันจะเป็นไปได้อย่างไร ? ก็ขอให้มองดูในจิตของเราเอง

    เมื่อความโกรธเกิดขึ้น มันเป็นอย่างไร ? นั่นแหละ !
    เมื่อความหลงเกิดขึ้นแล้ว มันเป็นอย่างไร ? นั่นแหละ !
    เมื่อความโลภเกิดขึ้นแล้ว มันเป็นอย่างไร ? นั่นแหละ !


    สภาวะทั้งหลายเหล่านี้แหละ มันเป็นภพ แล้วก็เป็นชาติ เป็นความเกิดที่เป็นไปตามสภาวะแห่งจิตของตน


    ..................................................................

    คัดลอกมาจาก
    http://www.ajahn-chah.org/</TD></TR><TR><TD> </TD></TR></TBODY></TABLE>

     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ได้เห็นภาพ 2 ภาพนี้ จากการทำกิจกรรมที่ผ่านมา สะท้อนใจหลายเรื่อง เช่นสังขารไม่เที่ยง ความเกิด แก่ เจ็บ และตาย ล้วนเป็นความจริงแท้แน่นอน แม้ร่างกายจะลุกนั่งไม่ไหว ก็เอามือแตะเพื่อรับประเคนโยม แม้ลุกไม่ไหวก็นอนให้พรโยม นี่ล่ะ ทุกขเวทนา ....เข้าใจหรือยังล่ะ ที่พระท่านเทศน์ว่า ความเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย นั้น มันเป็นทุกข์ขนาดไหน...ได้ทำบุญกับมือ ได้เห็นความทุกข์ด้วยตา นี่คือจุดประสงค์ที่ทุนนิธิฯ อยากให้ท่านมาทำบุญด้วยตนเอง แล้วกลับไปพิจารณาเป็นกรรมฐานแห่งตน



    [​IMG]

    [​IMG]
     
  6. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    กราบขอบพระคุณและโมทนาบุญกับทุกๆท่านทั้งที่มาร่วมงานด้วยตัวเองหรือไม่ได้มาทำบุญกับทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา(21 ธ.ค. 2551) ขอผลบุญทั้งหลายที่เกิดจากการนี้ จงส่งผลบุญมายังท่านและครอบครัว จงมีแต่ความสุขและความเจริญ ได้พบพานแต่สิ่งที่ดีตลอดไป ตราบเท่าจนถึงท่านถึงฝั่งพระนิพพานด้วยเทอญ นิพานะ ปัจจะโยโหตุ....

    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ


    เนื่องในโอกาสที่ทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ได้ก่อตั้งและดำเนินงานมาครบ 1 ปีแล้ว ทางคณะกรรมการทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ขอแจ้งผลการดำเนินงานเพื่อให้ทุกๆท่านได้รับทราบทั่วกันและโมทนาในบุญที่พวกเราได้ช่วยกันกระทำมาตลอดปีด้วยครับ


    [​IMG]

    [​IMG]


    และพร้อมกันนี้ผมขอแจ้งยอดเงินบริจาคที่มีผู้บริจาคเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 ธ.ค. 2551 มาให้ทราบด้วยครับ

    [​IMG]

    [​IMG]



    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2008
  7. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    โมทนาบุญทั้งหมดมั้งมวลกับคณะกรรมการทุกๆท่าน ผุ้ร่วมบุญทุกๆท่านและ ผู้เกี่ยวข้องอื่นๆที่ทำให้เิกิดงานบุญนี้ด้วยนะครับ ขอให้งานบุญแบบนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆนะครับ
     
  8. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    โมทนาบุญกับทุกๆท่านค่ะ


    .
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๘๘ | ทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์
    <!-- Main -->

    ทรงแสดงปาฏิหาริย์ ทรมาณศากยะราช
    หมู่พระญาติจึงสิ้นทิฐิมานะ ถวายบังคมพร้อมกัน

    เมื่อทรงเห็นว่า เจ้าศากยะ พระญาติวงศ์ของพระพุทธองค์ ที่เป็นชั้นผู้ใหญ่ ต่างถือองค์ว่าเป็นพระญาติผู้ใหญ่ มีพระชนม์สูงกว่าพระพุทธเจ้า ซึ่งขณะนั้นเพียง ๓๖ ปีกว่าๆ เมื่อมารับเสด็จ จึงไม่ถวายอภิวาทบังคม แต่ส่งเจ้าชายเจ้าหญิงศากยะเยาว์วัยกว่าพระพุทธเจ้าออกไปอยู่แถวหน้า ให้ไหว้พระพุทธเจ้าแทน ส่วนพวกตนอยู่แถวหลังไม่ยอมไหว้

    พระบรมศาสดาจารย์ได้ทรงประสบเหตุ ทรงพระประสงค์จะให้เกิดสลดจิต คิดสังเวชแก่พระประยูรญาติ ที่มีมานะจิตคิดมมังการ จึงทรงสำแดงปาฏิหาริย์เหาะขึ้นลอยอยู่ในอากาศ ให้ปรากฏประหนึ่งว่าละอองธุลีบาทได้หล่นลงตรงเศียรเกล้า แห่งพระประยูรญาติทั้งหลาย ด้วยพุทธานุภาพ

    [​IMG]

    พระเจ้าสุทโธทนะซึ่งเสด็จมารับเสด็จและเฝ้าพระพุทธเจ้า ทรงเห็นเหตุอัศจรรย์เช่นนั้น จึงทรงประนมพระหัตถ์อภิวาทพระพุทธเจ้า ฝ่ายพระประยูรญาติทั้งปวงในที่นั้น ต่างก็หายทิฐิมานะแล้วถวายอภิวาทพระพุทธเจ้าพร้อมกันทั่วทุกองค์

    สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจ้าผู้ทรงรจนาหนังสือพุทธประวัติเล่ม ๒ ทรงถอดความตอนนั้นว่า "ถ้าถือเอาความเพียงว่าพระศาสดาทรงแสดงอนุศาสนีปาฎิหาริย์ คือ ตรัสเทศนาเป็นมหัศจรรย์แสดงให้เห็น ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ทำพวกศากยะเหล่านั้นให้สิ้นมานะ ยอมนับถือความเป็นใหญ่ของพระองค์เหนือตน ดุจแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ในอากาศ จักพอฟังได้"

    ต่อจากนั้น พระมหามุนีบรมสุคตเจ้า ก็เสด็จลงจากอากาศ ประทับนั่งลงบนพระพุทธอาสน์ในท่ามกลางพระบรมประยูรญาติสมาคม เป็นที่ชื่นชมโสมนัส สุดจะประมาณด้วยบุญญาภินิหารพระโลกนาถ ขณะนั้น มหาเมฆก็ตั้งเค้าขึ้นในอากาศ บันดาลหยาดฝนโบกขรพรรษให้ตกลงในที่พระขัติยะประยูรวงศ์ประชุมกัน

    "ฝนโบกขรพรรษ" มีลักษณะพิเศษดังนี้
    ๑. น้ำฝนนี้มีสีแดงดังเท้านกพิราบ หลั่งไหลเสียงสนั่นลั่นออกไปไกลเหมือนเสียงสายฝนธรรมดา
    ๒. ถ้าผู้ใดปรารถนาจะให้เปียกกายจึงจะเปียก หากมิได้ปรารถนาแม้แต่เม็ดหนึ่งก็มิได้เปียก
    ๓. เมื่อถูกกายแล้วจะหล่นสู่พื้นดินเสมือนหยาดน้ำที่ตกลงสู่ใบบัวแล้วกลิ้งตกลงไปฉะนั้น
    ๔. ไม่เจิ่งนองพื้นดิน เมื่อตกลงแล้วก็ซึมหายไปในแผ่นดินทันที

    [​IMG]

    ในครั้งนั้นเหล่าภิกษุสงฆ์ที่ตามเสด็จต่างบังเกิดความพิศวงด้วยมิเคยเห็นมาก่อน พระบรมศาสดา จึงตรัสแก้ข้อกังขาว่า ฝนโบกขรพรรษนี้ในอดีตกาลเมื่อครั้งพระองค์เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรบรมโพธิสัตว์ ก็เคยได้ตกลงมาแล้วในท่ามกลางที่ประชุมพระประยูรญาติเหมือนครั้งนี้

    ครั้นแล้วสมเด็จพระมหามุนีจึงได้ทรงพระแสดงพระธรรมเทศนา เรื่องมหาเวสสันดรชาดก ยอยกพระมหาบารมีทาน เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้ว พระประยูรญาติก็ถวายนมัสการทูลลากลับพระราชนิเวศน์หมดด้วยกัน ไม่มีใครเฉลียวจิตคิดถึงวันยามอรุณรุ่งพรุ่งนี้ ว่าสมเด็จพระชินศรีและพระสงฆ์จะทรงเสวยบิณฑบาตที่ใด จึงไม่มีใครทูลอาราธนาให้เสด็จไปเสวยภัตตาหารในเคหะสถานของตน ในกรุงกบิลพัสดุ์นี้
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>...ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้... <HR width="100%" color=#dddddd SIZE=1></TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>
    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนพาล ทั้งบัณฑิต ล้วนไปสู่อำนาจแห่งความตาย
    ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า นี้เป็น พุทธศาสนภาษิตอีกบทหนึ่ง
    ที่แสดงสัจจะซึ่งไม่มีผู้ใดจะอาจคัดค้าน
    หรือเกิดความเคลือบแคลงสงสัยได้แม้แต่น้อย
    ทุกชีวิตมีความแตกดับ มีความตายรออยู่เบื้องหน้า
    ไม่มีชีวิตใดเลยที่จะพ้นความตายไปได้

    ดังที่พุทธศาสนภาษิต กล่าวไว้นั่นแหละ คือ ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่
    ทั้งคนดี ทั้งคนไม่ดี ล้วนต้องตาย จะเร็วหรือช้าก็ต้องตาย
    อำนาจของความตายไม่มีผู้ใดจะหนีพ้น
    เพียงหนีความตายไม่ได้ ทุกคนต้องตาย นี้ก็ยังไม่สมบูรณ์นัก
    ถ้าจะไม่นำพุทธภาษิตอีกบทหนึ่งมากล่าวไว้เสียในทีนี้ด้วย
    คือบทที่ว่า ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้

    ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้
    พุทธศาสนภาษิตบทนี้ก็เช่นเดียวกัน
    แสดงสัจจะที่ไม่มีผู้ใดจะอาจคัดค้าน
    หรือเกิดความเคลือบแคลงสงสัยได้แม้แต่น้อย
    ทุกคนได้รู้ได้เห็นประจักษ์ชัดแก่ตนเองอยู่ด้วยกันแล้วในความจริงนี้
    ไม่มีผู้ใดจะนำทรัพย์แม้สักนิดของตนติดตัวไปด้วยได้ยามต้องตาย
    ผู้ที่เมื่อดำรงชีวิตอยู่ มีความสุขเพราะได้สั่งสมทรัพย์
    หรือเพราะมีทรัพย์มากมาย
    เมื่อถึงเวลาตายจะนำความสุขเพราะทรัพย์ติดตัวไปด้วยไม่ได้
    ในเวลาสิ้นชีวิตสิ่งเดียวที่จะนำความสุขมาให้ คือ บุญ

    มีพุทธศาสนภาษิตกล่าวไว้ด้วยว่า บุญนำสุขมาให้ในเวลาสิ้นชีวิต
    จึงควรทำบุญอันนำสุขมาให้และความสุข
    อันเกิดแต่บุญนี้มีอยู่แก่ผู้สั่งสมบุญ ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
    คือ ทั้งเมื่อยังไม่ตายก็เป็นสุข เมื่อตายแล้วก็เป็นสุข

    ดังที่มีกล่าวไว้ว่า ผู้ทำบุญแล้วย่อมยินดีในโลกนี้ ละไปแล้วย่อมยินดี
    ชื่อว่ายินดีในโลกทั้งสอง เขาย่อมยินดีว่า เราทำบุญไว้แล้ว
    ไปสู่สุคติย่อมยินดียิ่งขึ้น
    ตรงกันข้ามกับผู้ทำบาปเพราะ ผู้ทำบาปย่อมเศร้าโศกในโลกนี้
    ละโลกนี้ไปแล้วก็เศร้าโศก ชื่อว่าเศร้าโศกในโลกทั้งสอง
    เขาเห็นกรรมอันเศร้าหมองของตน จึงเศร้าโศกและเดือดร้อน

    ด้วยเหตุนี้คนจึงไม่ควรทำบาป ควรทำแต่บุญ
    และควรทำบุญบ่อยๆ เรียกว่า ควรสั่งสมบุญ
    ถ้ากล่าวว่าควรสั่งสมความสุขอันเกิดแต่สั่งสมบุญก็ได้
    เพราะการสั่งสมอย่างอื่นหาอาจนำความสุขมาให้ได้ยั่งยืนหรือแท้จริงไม่
    การสั่งสมบุญเท่านั้นที่จะนำความสุขมาให้ยั่งยืนและแท้จริง
    แม้ความตายก็หาอาจพรากไปจากบุญ
    หรือความสุขที่เกิดแต่บุญอันสั่งสมไว้แล้วได้ไม่

    ทุกคนต้องตาย และทุกคนก็ต้องการความสุข
    แม้คิดถึงความจริงนี้ให้ลึกซึ้งพอสมควรทุกคน
    ก็น่าจะยินดีทำบุญคือ ทำความดี
    น่าจะยินดีสั่งสมบุญคือสั่งสมความดี
    ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะสมปรารถนาไม่ได้ คือจะมีความสุขไม่ได้
    ในทางตรงกันข้ามจะกลับมีความทุกข์
    เพราะธรรมดานั้นผู้ที่จะอยู่โดยไม่ทำกรรมใดเลยไม่มี
    คือ ไม่ทำทั้งกรรมดีคือบุญและไม่ทำทั้งกรรมไม่ดีคือบาปไม่มี
    จะต้องทำกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง มักเป็นปรกติเช่นนี้

    ดังนั้นผู้ไม่ทำบุญในเวลาใดจึงมักจะทำบาปในเวลานั้น ไม่มากก็น้อย
    ผลของบาปเป็นความทุกข์ ผู้ไม่ทำบุญจึงมักทำบาป จึงไม่มีความสุข
    ไม่เป็นสุข ดังกล่าวว่าจะสมปรารถนาไม่ได้ในเมื่อทุกคนปรารถนาความสุข

    ทุกคนต้องตาย ท่านก็ตาย เราก็ตาย ไม่มีผู้ใดหนีความตายพ้น
    ไม่ช้าก็เร็วทุกคนจะต้องตาย นึกถึงความจริงนี้ไว้ให้เสมอ
    พร้อมๆ กับที่นึกด้วยว่า ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้
    บุญหรือบาปเท่านั้นที่จะติดตามทุกคนไป
    ให้ความสุขให้ความทุกข์แก่ทุกคนผู้กระทำบุญหรือบาปไว้
    นึกไว้เช่นนี้เสมอๆ นั่นแหละจะเป็นการบริหารจิต
    ห้ามจิตเสียจากความโลภได้ มากน้อยตามควรแก่ความปฏิบัติ



    คัดลอกจาก... คุณ I am

    http://www.dhammajak.net</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา : การบริหารทางจิต สำหรับผู้ใหญ่ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ) <HR width="100%" color=#dddddd SIZE=1></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ความนิ่งเป็นอย่างไรหนอ...

    [​IMG]
    <TABLE height=30 cellSpacing=3 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD style="BACKGROUND-POSITION: right bottom; BACKGROUND-IMAGE: url(../bg/pagebg18.jpg); BACKGROUND-REPEAT: no-repeat"><TABLE height=400 align=center border=0><TBODY><TR><TD>...
    จิตไม่นิ่ง กลิ้งกลอก หลอกไปเรื่อย
    คล้ายเสียงเจื้อย เสียงแจ้วแจ้ว เจ้านกเอ๋ย
    จิ๊บจิ๊บจี๊บ แล้ววี๊ดวิ่ว ไม่หยุดเลย
    เปรียบจิตเอย ไม่เคยนิ่ง ไม่รู้ความ

    แม้เสียงดัง ฟังไป หาได้ศัพท์
    จิ๊ดจิ๊ดจั๊บ จั๊บจิ๊ดจิ๊ด น่าสงสัย
    แล้วจะร้อง อยู่อย่างนั้น ไปทำไม
    ไม่เห็นได้ อะไรมี ว่าปัญญา

    เปรียบเป็นจิต คิดโน่นนั่น นี่นี้หนา
    ก็สายตา มองเรื่อยไป คือการเห็น
    หูยังฟัง ใจก็ตาม ปากเลยเป็น
    หลอกจิตเล่น ให้คิดไป ไม่ได้ความ

    สมาธิ อีกสติ มีไว้จับ
    ให้ระงับ จับจิตไว้ ให้นิ่งเฉย
    ภาวนา ว่าพุทโธ ให้คุ้นเคย
    จิตจะเฉย ไม่วิ่งไกล ใจจะเย็น

    อันสมาธิ มิได้ใช้ เฉพาะที่
    แต่ไว้มี เป็นหนทาง สร้างสมอง
    ตั้งแต่ตื่น จนยามหลับ ตามประคอง
    คอยจับต้อง สิ่งไม่ดี ในใจตน

    อุเบกขา นั้นนา คือวางเฉย
    ใช้เฉยเมย ละเลยกรรม ที่ต้องผล
    อันผู้ใด ทำกรรมไว้ ผลคือตน
    จึงต้องทน วางเฉยไว้ ต่อกรรมมี

    กรรมของใคร ใดนา ที่ตนก่อ
    ผลย่อมรอ การให้เห็น เป็นอยู่หนา
    เมื่อได้เห็น กรรมนั้นเข้า ต้องเย็นชา
    อุเบกขา ผลกรรมเก่า ต่อกันไป

    สิ่งใดใด รอบตัว ที่เห็นอยู่
    บางครั้งดู แล้วก็เห็น ให้สงสาร
    เวทนา น่าเสียดาย แช่งคนพาล
    ไม่น่าราน ริดหัวใจ ใคร ใคร เลย

    แล้วเรารู้ อยู่หรือ คือไฉน
    เขาเป็นใคร ใครคือเขา น่าสงสาร
    เคยทำกรรม อันใดไว้ ต่อคนพาล
    น่าสงสาร กว่าที่เห็น ก็น่าคิด

    นั่นแหละหนา จึงควรว่า อุเบกขา
    ควรเฉยนา ต่อกรรมนั้น เมื่อได้เห็น
    อย่าช่วยต่อ ช่วยติกรรม อันควรเป็น
    สร้างความเย็น แผ่เมตตา จึงค่าควรฯ
    ...


    kokanut


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=3 cellPadding=3 width="100%" align=center bgColor=#eeeeee border=0><TBODY><TR><TD align=right></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2008
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ขอกราบอนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ที่นำสาระธรรมที่มีประโยชน์มาเผยแพร่
    และขออนุโมทนากับสมาชิกทุกท่านในบุญในครั้งนี้ด้วยอย่างยิ่งครับ

    ขอให้ท่านทั้งหลายเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปครับ
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    มีหลายคนที่ pm. มาถาม และหลายคนที่เจอหน้าว่าถามว่าพอมีให้เช่าบ้างไหม ก็เลยต้องตอบรวมกันว่า พระพิมพ์สมเด็จ ของหลวงปู่สรวงนี้ ที่ทุนนิธิฯ ไม่มีให้เช่าแต่ประการใด เพียงแต่การตรวจสอบทางนามโดยพี่ใหญ่แล้ว พบว่ารุ่นนี้ดี ทันท่านเสก เพราะตรวจแล้วสัมผัสกับท่านได้แบบมาเร็วไปเร็ว ส่วนรุ่นอื่นๆ ที่คุณโสระนำมาให้ดูเช่นพิมพ์เจ้าสัวของหลวงปู่บุญ ก็เป็นอย่างเดียวกันกับพระพิมพ์สมเด็จของท่าน แต่หลายรุ่นที่คุณโสระบอกว่าดูแล้ว อาจจะไม่แรงเท่ารุ่นนี้ หรือแทบไม่มีอะไรเลย จึงไม่กล้าแนะนำให้นำไปไว้บูชากันครับ แต่ทั้งนี้ ใช่ว่าจะเหมือนกันทุกองค์เสมอไป หากเช่าทางเวบ ถ้าดูรังสีไม่ได้ สัมผัสไม่เจอ ก็ลำบากหน่อย อาจจะได้ของที่ไม่ทันท่านเสกไปบูชา ถ้าถามผมๆ ก็ไม่รู้เช่นกันว่าองค์ไหนดีไม่ดี เพราะยังไม่มีความสามารถในการตรวจรังสีจิต คงต้องไปหาคนตาในดีๆ ดูกันเองครับ หรือต้องเช่าในแหล่งที่เชื่อถือได้ไว้ก่อนเป็นดีที่สุดครับ
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ทีนี้เรามาดูเรื่องรังสีจิตกัน มันเป็นยังไง และจะลองฝึกได้มั๊ย...



    งสีของดวงจิต (aura)

    <!-- Main -->

    [​IMG]
    แสงสีของดวงจิต (aura) / อวกาศสีขาว

    ......วจีบอกสัญชาติ กิริยาบอกนิสัย แต่จะดูสันดานต้องดูที่จิตใจ
    สามัญปุถุชน คิดว่า* เราคิดดีคิดชั่ว ..ไม่มีใครสามารถรู้เห็นได้
    แต่กฎแห่งสัจธรรมชาติ ให้ผลตรงตามความเป็นจริงอยู่ตลอดเวลา
    ที่มีการกระทำทั้ง กาย-วาจา-ใจ โดยดูได้จากแสงแห่งดวงจิต

    .............................................................................แสง อรุณโกศล.........

    ***กายเนื้อคนเราเกิดจากธาตุสี่ ดิน น้ำ ลมไฟ รวมตัวตั้งอยู่โดยมีปราณเป็นพลังชีวิตประสานเชื่อมโยงไว้ ธาตุสี่ประกอบไปด้วยเซลล์เป็นหน่วยย่อย ย่อยลงไปอีกเป็นโมเลกุล-อะตอม ในอะตอมยังมีปรมาณูที่ให้พลังงานไฟฟ้า กายเนื้อมนุษย์จึงเต็มไปด้วยพลังงานไฟฟ้า

    ช่องว่างระหว่างโมเลกุลมีพลังงานไฟฟ้าสถิตไหลเวียน สร้างพลังงานโปร่งใสที่เรียกว่า-รังสี ซ้อนทับกายเนื้อนั้น

    ดวงจิตแผ่พลังออกไปได้รอบทิศ ความคิดมนุษย์เป็นกระแสคลื่นไฟฟ้าในลักษณะคล้ายความถี่คลื่นเสียง กระจายไปในอากาศ เป็นรังสีครอบคลุมล่องลอยอยู่รอบตัว ความคิดดีจะเกื้อกูลตัวเอง ความคิดชั่วจะทำร้ายตัวเราเอง

    อารมณ์ความคิดย่อมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ตลอดเวลาที่ถูกระทบ

    ทุกๆ คราวที่คลื่นอารมณ์เข้ากระทบ จะเป็นผลต่อการคิดดีคิดชั่ว เมื่อถูกสั่งสมลงไปในดวงจิตมาเป็นเวลายาวนาน จนเป็นจริตนิสัยหรือกมลสันดานกับสิ่งที่ทำอยู่ตลอดเวลา จะทำให้เกิดกายรังสีภายในที่แสดงอุปนิสัยดั้งเดิม หรือตัวตนแท้อยู่ภายใน อาจเรียกกายทิพย์ที่ห่อหุ้มจิตเดิมอยู่ จะเปล่งแสงแสดงออกมาเป็นสีสัน เป็นสัญลักษณ์แทนค่ากิเลสหรือภูมิธรรมต่างๆ เปลี่ยนแปลงได้ยาก

    ส่วนอารมณ์ความคิดใหม่ๆ ที่ถูกกระทบจะเพิ่งเกิดขึ้นชั่วขณะตามความคิดนั้น ส่วนเป็นหมอกล้อมรอบศีรษะถึงช่วงไหล่ เป็นรังสีที่แผ่ออกมาและจางหายตามช่วงเวลาที่ถูกกระทบ ก่อนเก็บลงสะสมรวมกับของเก่า เปลี่ยนแปลงได้ง่ายตามอารมณ์

    รังสีจิตจากภายในจะผ่องแผ้วขึ้นหรือมัวหมองมีผลมาจากความคิดในปัจจุบันด้วย ถ้าเป็นผู้ตัดกิเลสลง จะทำให้รังสีภายในยิ่งสว่างไสวตามกำลังมากน้อยของการตัดกิเลสที่ดับลง


    ***...ปรับแต่งและเรียบเรียงจากฝึกเพ่งมองแสงสีของจิต
    ในหนังสือคู่มือฝึกระลึกชาติของ คุณแสง อรุณโกศล

    ก า ร ดู ล า ย มื อ ลายเท้า หรือผูกชะตาดูดวงตกฝากนั้น อาจทายได้แค่วาสนาอนาคตของเจ้าของดวงชะตาชีวิตนั้น แต่จะทายว่าเขาเป็นคนดีชั่วดีร้ายประการใด ไม่อาจเจาะจงชัดเจน แม้แต่การดูโหงวเฮ้งจะมีลักษณะบางอย่างบ่งบอกอุปนิสัยใจคอก็ตาม

    ที่เป็นเช่นนั้น เพราะแผนที่ดวงชะตาต่างๆ เป็นการกำหนดมาจากกรรมในอดีต รูปร่างกายมนุษย์นั้นถูกกำหนดมาโดยกรรมเก่า การดูดวงนั้นควรดูแค่เป็นแนวทางเพื่อรับมือกับกรรมเก่าที่จะส่งผล-ดีกว่ายึดถือจริงจัง บ้างพอมีโชควาสนาก็หลงเพลิดเพลินลืมตัว บ้างโชคร้ายตกต่ำก็โทษดวง แทนที่จะมีสติและคำนึงถึงการแก้ปัญหาที่ต้องเผชิญอยู่ ซึ่งจะมีผลในอนาคตต่อไป

    การกระทำในปัจจุบันนั้น ที่ศาสนาพุทธให้ความสำคัญใหญ่หลวง เพราะกรรมอดีตเราแก้ไขไม่ได้ แก้ได้เฉพาะปัจจุบันเท่านั้น กรรมปัจจุบันเองก็มีส่วนส่งผลต่ออนาคตอย่างมหาศาล บ้างถึงกับสกัดกั้นกรรมเก่าได้ หรือผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ เปรียบกับตะกอนเป็นความชั่ว น้ำเป็นความดี ยิ่งน้ำมากเท่าไหร่ ความขุ่นก็เจือจางลงได้

    ส่วนการเห็นแสงของจิตนั้น เป็นการเห็นที่ก้าวข้ามกายหยาบ รังสีจะแสดงภาวะความคิดจิตใจภายในที่ดีชั่วออกมาเป็นคลื่นแสง ซึ่ง 1.จะแสดงตัวตนแท้ (กายใน) และ 2.อารมณ์ขณะนั้น (รังสีจากกายใน) ทั้งยังแสดงสภาพความสมบูรณแข็งแรงหรือเจ็บป่วยชำรุดของกายหยาบนั้นด้วย

    เราจึงสามารถตรวจสอบความเจ็บป่วยของร่างกายด้วยแสงออร่า และหยั่งรู้อารมณ์ความคิดอีกทั้งนิสัยใจคอรวมถึงไปถึงภูมิธรรมได้ด้วยคลื่นแสงนี้

    การเห็นออร่าจึงไม่เหมือนการมองด้วยตาเปล่า ไม่ถูกฉาบบังด้วยบุคลิกที่น่าเชื่อถือ หรือคำพูดที่หวานหู ใครจะเป็นใหญ่เป็นโต เป็นดาราดัง หรือคนต้อยต่ำ ไม่อาจปิดบังสภาวะของจิตใจภายในได้ สามารถรู้ว่าใครเป็นเทวดาหรือซาตาน เปรียบเหมือนคนมีดวงตาที่สาม

    ความจริงการเห็นออร่า หากเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญแล้วจะสามารถเห็นอดีตและอนาคตได้ด้วย เพราะออร่านั้นก็คือกายแสงที่ซ้อนทับๆ กันมาในชาติต่างๆ หรือกายละเอียด (กายทิพย์) ที่ห่อหุ้มจิตไปตามกระแสความคิด (กระแสกรรม) เดินทางข้ามมิติและซ่อนตัวอยู่กายใหม่ที่ได้รับในปัจจุบัน อาจถือว่าเป็นรูปขันธ์หนึ่ง แต่ละเอียดกว่ารูปขันธ์ของร่างกายมนุษย์ มีสภาวะเป็นคลื่นแสงหรือที่เราเรียกรังสี

    แม้คนส่วนใหญ่มักจะทึกทักไปเอาตามที่ตัวคิดว่า คนอื่นเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ นั่นก็เพราะจิตยังปรุงแต่งไปตามความคิดความเชื่อของตน ใครทำให้พอใจพูดให้พอใจก็ว่าเขาดี ใครทำให้ไม่พอใจพูดให้ไม่พอใจก็ตัดสินว่าเขาไม่ดี ไปตามอารมณ์ที่อคติชอบชัง และไม่วางใจเป็นกลาง

    แต่หลายคนแม้นไม่สามารถเห็นออร่าด้วยตาเปล่า ก็มีสัมผัสที่หกพอจะสัมผัสได้ตามกำลังของจิตอยู่บ้าง เช่น... รู้สึกสดชื่นหรือห่อเหี่ยวเมื่อเข้าใกล้ใครบางคน รู้สึกว่ามีคนจ้องมองเมื่อเหลียวไปดูก็มีคนจ้องอยู่จริง ชอบหรือเกลียดคนบางคน ทั้งๆ ที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก หรือรู้สึกว่าคนที่คุยด้วยไม่จริงใจกับคุณ และภายหลังพบว่าเป็นจริง

    การอยู่ภายใต้ธรรมชาติ หรือฝึกสติทำให้จิตให้มั่นคงไม่ฟุ้งซ่านอคติ หรือคิดในแง่บวก จะช่วยให้จิตใจมีพลังขึ้น ออร่าย่อมสว่างไสวเป็นไปตามจิตนั้น กายแสงนี้ยิ่งสว่างไสวมากเท่าใด ก็แสดงว่ากิเลสลดลงเท่านั้น หากชำระกิเลสหมดลงเมื่อใด จะเหลือแต่จิตที่เป็นประภัสสร


    . . . . . .


    สีของออร่าและความหมาย

    1. สีพื้นฐานของออร่า (กายใน)

    ไปคำนวณได้ที่นี่
    http://astrology.dd108.com/?process=aura

    1. สีแดง ศักยภาพ : ผู้นำ
    พวกมีสีแดงเป็นสีพื้นฐาน จะมีความกระตือรือร้น เป็นผู้นำ เต็มไปด้วยพลังกระฉับกระเฉง มีเสน่ห์ สามารถพูดจาโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นได้ดี เป็นคนสนุกสนาน โอบอ้อมอารี กล้าหาญ ทะเยอทะยาน มองโลกในแง่ดี ชอบการแข่งขัน เป็นสีที่นำมาซึ่งความสำเร็จ คุณควรหาอะไรที่ท้าทายความสามารถทำแต่อย่าให้ถึงกับว่า คุณวิ่งไม่เร็ว แต่คุณสร้างโครงการท้าทายความสามารถ โดยฝันที่จะเป็นนักกีฬาโอลิมปิก อย่างนี้มันเกินความสามารถมากไป ต้องพิจารณาให้พอเหมาะสม
    ข้อเสีย มักจะขี้กังวล ตื่นตระหนก และอาจหลงตัวเอง รวมทั้งอาจจะบ้างานมากไปจนเครียดควรรู้จักพักผ่อน และคลายความเครียด

    2. สีส้ม/แสด ศักยภาพ : มนุษยสัมพันธ์ดี
    คุณเป็นคนอบอุ่น น่าคบ เข้ากับคนง่าย ชอบเป็นที่ปรึกษาปัญหาให้ใครต่อใคร ชอบช่วยเหลือและ ทำตัวให้เป็นประโยชน์อยู่เสมอ มีจิตใจเป็นสมถะ ชอบปิดทองหลังพระ คุณควรคบกับคนที่มีนิสัยคล้ายคลึงกัน ไม่งั้นคนอื่นจะเอาเปรียบคุณ
    ข้อเสีย ขี้เกียจ ใจน้อย มักถูกคนอื่นเอาเปรียบ

    3. สีเหลือง ศักยภาพ : มีความคิดสร้างสรรค์ ฉลาด
    คุณเป็นคนคิดอะไรรวดเร็ว มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ เข้าสังคมง่าย ปรับตัวเก่ง ชอบคุยถกเถียงปัญหา ชอบเรียนรู้ และทำอะไรหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน มีพรสวรรค์ด้านการพูด งานที่ทำควรเกี่ยวกับการพูดเป็นสื่อ เช่น ครู เซลล์แมน นักการทูต ที่ปรึกษา ฯลฯ หรืองานอาชีพที่ต้องใช้คำพูดเป็นหลัก เป็นคนฉลาดหลักแหลม และเรียนรู้อะไรได้รวดเร็ว
    ข้อเสีย จับจด ขี้อาย โกหกเก่ง

    4. สีเขียว ศักยภาพ : รักษาโรค (สีเขียวเป็นสีของการรักษาโรค)
    คุณเป็นคนรักสงบ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จิตใจดี มีพลังจิต ไว้วางใจได้ คุณอาจมีลักษณะภายนอกหงิมๆ หรือเรียบง่าย แต่ส่วนลึกแล้วดื้อน่าดู คุณเป็นพวกสู้งาน หนักเอาเบาสู้
    ข้อเสีย ดื้นรั้น ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น

    5. สีน้ำเงิน ศักยภาพ : เป็นได้ทุกอย่าง
    คุณเป็นพวกมองโลกในแง่ดี แม้ชีวิตจะลุ่มๆ ดอนๆ ไปบ้าง แต่ยังยิ้มสู้เสมอ แสงออร่าของคุณจึงกว้างและสว่างไสวเสมอ ทำให้กระชุ่มกระชวย ดูอ่อนกว่าวัย คุณมีความจริงใจ ซื่อสัตย์ ปากกับใจตรงกัน รักการผจญภัย มีความคิดสร้างสรรค์และมีจินตนาการ ชอบพบปะผู้คน และสนใจการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม มีพรสวรรค์หลายๆ ด้าน
    ข้อเสีย ชอบทำงานหลายๆ อย่างในคราวเดียวกัน จึงกลายเป็นคนจับจด ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่างนอกจากนั้นยังเป็นพวกชีพจรลงเท้า และขาดความอดทนอีกด้วย

    6. สีคราม ศักยภาพ : มีความรับผิดชอบสูง
    คุณชอบงานด้านสังคมสงเคราะห์ ช่วยเหลือผู้อื่น ชอบรับผิดชอบงาน จิตใจโอบอ้อมอารี เป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้ ไม่เห็นแก่ตัว
    ข้อเสีย ปฏิเสธใครไม่เป็น ควรหาเวลาเป็นตัวของตัวเองบ้าง มีมาตรฐานการทำงานสูง จึงมักหงุดหงิดกับอะไรๆ ที่ไม่ได้ตามมาตรฐานของตนเอง

    7. สีม่วง ศักยภาพ : ฉลาดล้ำลึก และสันโดษ
    คุณมีจิตใจละเอียดอ่อน สนใจในศาสตรลึกลับจนบางครั้งดูเหมือนเป็นคนลึกลับ คุณมีประสาทสัมผัสที่ ๖ รักสันโดษจนดูเหมือนคุณจะเข้ากับใครไม่ได้
    ข้อเสีย มักดูถูกความคิดผู้อื่น และเก็บความรู้สึกมากเกินไป

    8. สีชมพู ศักยภาพ : นักบริหาร นักธุรกิจ
    คุณเป็นคนมีความตั้งใจจริง แต่ค่อนข้างดื้นรั้น วางมาตรฐานตัวเองไว้สูง มีความเด็ดเดี่ยว และมุ่งมั่นที่จะให้บรรลุเป้าหมาย และความสำเร็จ อาชีพของคุณจึงต้องเกี่ยวกับการบริหารและความรับผิดชอบ ในส่วนลึกเป็นคนโรแมนติค และถ่อมตน รักความสงบ มีเมตตา ขณะเดียวกันจะยืนหยัดต่อสู้อย่างไม่ยอมถอย ถ้าคุณรู้ว่าเป็นฝ่ายถูก
    ข้อเสีย มุงานมากเกินไปจนเครียด ควรหางานอดิเรกคลายเครียด

    9. สีทองเหลือง ศักยภาพ : นักสังคมสงเคราะห์
    คุณเป็นคนอ่อนโยน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นทั้งนักปราชญ์และเป็นคนมีคุณธรรมเต็มเปี่ยม คุณมีความสุขมากที่สุดเมื่อได้ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นคนมีความสุขและมองโลกในแง่ดี
    ข้อเสีย ปฏิเสธใครไม่เป็น จึงถูกเอาเปรียบบ่อยๆ ควรรู้จักปฏิเสธบ้าง

    11. สีเงิน ศักยภาพ : นักอุดมคติ
    คุณมีประสาทสัมผัสที่ ๖ มีศักยภาพสูงในหลายๆ ด้าน เต็มไปด้วยความคิดแปลกๆ ใหม่ๆ ชอบฝันหวาน แต่คุณมักจะฝันมากกว่าลงมือทำจริงๆ เป็นคนซื่อสัตย์ มีความเชื่อมั่นในตัวเอง มองโลกในแง่ดี ถ้ามุมานะสร้างความฝันให้เป็นความจริงคุณจะไปได้ไกลมากทีเดียว
    ข้อเสีย ขี้เกียจ และบางครั้งจะเครียดจนใครๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ ควรหาเวลาพักผ่อน ฝึกสมาธิ หรือโยคะ

    22. สีทอง ศักยภาพ : ไม่มีขอบเขตจำกัด
    คุณสามารถทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก หรือทำงานใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องปอกกล้วยเข้าปาก คุณจะประสบความสำเร็จไปแทบทุกเรื่อง เป็นคนมีเสน่ห์จูงใจ ทำงานหนักเอาเบาสู้ มีเป้าหมาย ในการทำงานที่แน่นอน มีอุดมคติและความสามารถสูง เป็นผู้นำสามารถโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นได้

    2. สีของความคิดและอารมณ์ (รังสีจากกายใน)

    จะมีลักษณะเป็นหมอก มีความไหลปรากฏเป็นหย่อมๆ จะเห็นได้ชัดเจนบริเวณรอบศีรษะ และเหนือบ่า มีสีสันต่างๆ เช่น

    2.1 สีชมพู หมายถึงพลังที่แจ่มใส เต็มไปด้วยความรัก อารมณ์ขัน ถ่อมตนสามารถ ปลอบประโลม ผู้อื่น โรแมนติก ข้อเสียคือมักจะใจคอโลเล

    2.2 สีแดง เป็นสีที่แสดงถึงความทะเยอทะยาน เต็มไปด้วยพลังงาน มีความกระฉับกระเฉง และ มีพลังทางเพศ ถ้าเป็นสีแดงมืดอาจหมายถึงอารมณ์รุนแรง ถ้าเป็นสีแดงสดใสหมายถึงความ ภาคภูมิใจ และทะเยอทะยานในทางที่ถูกที่ควร ถ้าสีแดงขุ่นเป็นพวกใจคอโหดร้าย

    2.3 สีส้ม / แสด เป็นสีของความกระฉับกระเฉงว่องไว มีความสุข สุขภาพ ที่เต็มไปด้วยพลัง ถ้ามีแสงสีนี้มากเกินไปจะกลายเป็นคนเย่อหยิ่ง สีนี้ยังเป็นสีที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อด้วย
    สีส้มมัวหม่น หรือ ส้มปนน้ำตาล แสดงถึงปัญญาต่ำ ถ้าสีส้มแดงหมายถึง เย่อหยิ่ง อวดฉลาด

    2.4 สีเหลือง เป็นสีที่มองเห็นง่ายที่สุดในออร่า เป็นสีของความฉลาดความเมตตา มองโลกในแง่ดี รักเพื่อนมนุษย์ นอกจากนั้นยังเป็นสีของภูมิคุ้มกันโรค สีเหลืองอมส้มแสดงถึง ความฉลาด - ปราดเปรื่อง สีเหลืองขุ่นค้นแสดงถึงความอิจฉาริษยา หรือความคลางแคลงใจ

    2.5 สีเขียว เป็นสีของจิตใจที่ละเอียดอ่อน มีความเข้าใจผู้อื่น นอกจากนั้นยังเป็นสีของ ความรัก การเปลี่ยนแปลง การรักษาโรค ความสามารถในการใช้มือ และยังเป็นสีที่แสดงถึงความสมดุล
    ถ้าเป็นสีเขียวสดใสแสดงว่าเป็นคนปรับตัวเก่ง ใจดี ชอบอิสระ ถ้าเป็นสีเขียวมืดจะเป็นพวกขี้โกง ขี้อิจฉา ถ้าเป็นสีเขียวอมฟ้าเป็นพวกชอบช่วยเหลือผู้อื่นไว้วางใจได้ เข้าอกเข้าใจผู้อื่น และแสดงถึงความสามารถในการรักษาโรค ถ้าเป็นสีเขียวขี้ม้าเป็นพวกชอบหลอกลวง ต้มตุ๋น ขี้โกง และขี้เหนียว

    2.6 สีน้ำเงิน เป็นสีของความสงบและสัจจะ เป็นสีของการสื่อสาร พลังจิตความฉลาด ความมีอุดมคติ ขยันขันแข็ง ความสำเร็จ สามารถยืนหยัดอยู่บนขาของตัวเอง มีความเชื่อมั่นในตนเอง ซื่อตรง จริงใจ และชอบช่วยเหลือผู้อื่น มักจะเป็นพวกสมถะ แต่ใจคอหงุดหงิดง่าย
    สีน้ำเงินขุ่นแสดงว่าทัศนะวิสัยถูกปิดกั้น กลายเป็นคนขี้กังวล และขี้ลืม

    2.7 สีคราม เป็นสีของพลังจิต สัมผัสที่ 6 โทรจิต ความฉลาดล้ำลึกความคิดสร้างสรรค์ และความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ มีความจริงใจ ชอบค้นหาสัจจะความจริงของชีวิต

    2.8 สีม่วง เป็นพวกจิตละเอียดอ่อน เป็นตัวของตัวเอง มีสัมผัสที่ 6 ชอบทางสมาธิ และโน้มเอียงไปทางศาสนา ชอบเรื่องลี้ลับ คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีสีนี้ ผู้ที่มีสีนี้มักจะมีพลังจิตสูง แต่อาจมีปัญหาเกี่ยวกับบริเวณท้อง เนื่องจากจักระช่วงบนพัฒนาล้ำหน้าจักระช่วงล่าง

    2.9 สีน้ำตาล เป็นสีที่แสดงถึงความคิดแคบๆ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เห็นแก่ตัว ชอบคุยแต่เรื่องตัวเอง เป็นคนน่าเบื่อ สีน้ำตาลยังเป็นสีของจักระเท้า พลังธรณี และอดีตที่ผ่านมา
    ข้อดีของสีนี้คือ เป็นสีของความขยันขันแข็ง ความมีระเบียบ และอาจหมายถึงความมุ่งมั่นที่จะให้สู่จุดมุ่งหมาย และความสำเร็จ

    2.10 สีดำ หมายถึง การสิ้นสุด ซึ่งในที่นี้หมายถึง การสิ้นสุดของสถานการณ์หนึ่ง เพื่อเปิดโอกาสให้สถานการณ์ใหม่เข้ามา อาจหมายถึงการเกิดใหม่ หรือความล่าช้าก็ได้ บางครั้งอาจหมายถึง โรคร้ายแรง หรือโรคเรื้อรัง อิทธิพลมืด บางครั้งอาจหมายถึงการปกป้องตัวเองจากพลังภายนอก หรือคนผู้นั้นอาจจะมีความลับ ถ้าสีดำเกิดปะปนอยู่กับสีอื่นๆ เช่น สีแดง แสดงถึงความโกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท สีเหลือง แสดงถึงความคิดชั่วร้าย สีเขียวหมายถึง ความคิดหักหลัง อิจฉา

    2.11 สีขาว เป็นสีที่มีความสมดุล และสมบูรณ์แบบมากที่สุด จะปรากฏกับพวกนักบุญ พระ หรือ ผู้ฝึกสมาธิวิปัสสนาสม่ำเสมอ ถ้าปรากฏเป็นเส้นแสงสีขาวผ่านเข้ามาในแสง อาจหมายถึงข่าวสาร จากมิติอื่นเข้ามา พวกที่เข้าทรงจะมีสีขาวเข้ามาในแสงระหว่างการเข้าทรง
    ผู้ที่มีสีขาวปรากฏอยู่ในออร่า หมายถึง กายแสงได้รับการชำระและฟอกให้บริสุทธิ์ หรืออาจหมายถึง สภาพจิตใจที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และบริสุทธิ์

    2.12 สีเงิน หมายถึงแรงบันดาลใจ หรือข่าวสารข้อมูลจากโลกวิญญาณ หรือจากมิติอื่น

    2.13 สีทอง เป็นพลังของจักรวาล หรือพลังจากเทพที่เข้ามาช่วยถ่ายโรคออกจากร่างกาย

    2.14 สีเทา เป็นพวกขาดจินตนาการ คร่ำครึ หัวโบราณ ยึดถือความคิดตนเป็นใหญ่ เจ้าระเบียบ
    ถ้าเป็นสีเทามืด ยิ่งมืดทึบมาก ยิ่งแสดงถึงอารมณ์ที่เหี่ยวเฉา สลดหดหู่ คนพวกนี้มักจะว้าเหว่ ถ้ามีจุดมืดสีนี้ในแสงแสดงถึงโรคอวัยวะที่มีปัญหา หรืออิทธิพลมืด
    ถ้ามีจุดสีแดงอยู่ในเงามืดของแสง แสดงถึงความคิดแง่ลบ ได้แก่ ความเกลียด เคียดแค้น หรือ แม้แต่อารมณ์ฆาตกร สีเทาค่อนไปทางสีเงิน แสดงถึงว่าสมองซีกขวาได้รับการกระตุ้นก่อให้เกิด จินตนาการและ สัมผัสที่ 6
    สีที่ไม่ค่อยปรากฏอยู่ด้วยกันคือสีน้ำเงินกับสีแสด ถ้าใครมีสองสีนี้อยู่ด้วยกัน จะเป็นคนที่น่าอิจฉา เพราะสีน้ำเงินเป็นสีของความสงบ และสีแดงเป็นสีของความสุข คุณจะมีแต่ความสงบสุขทางจิตใจ


    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=whitespace&month=11-2006&date=19&group=8&gblog=10
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    การส่งจิตออกนอกตัวเป็นอย่างไร

    <!-- Main -->เข้าไปตอบคำถามของน้องคนหนึ่งมาค่ะ น้องเขาถามว่า...
    .....การส่งจิตออกนอกตัว เป็นยังไงคะ?
    .... หากนั่งสมาธิจนคำภาวนาหายไป เหลือแต่ความโล่งว่าง ขณะนั้นเอง ก็นึกขึ้นว่า ตอนนี้กี่โมงแล้ว นี้เป็นการส่งจิตออกนอกตัวหรือไม่?

    [​IMG]
    ก า ร ส่ ง จิ ต อ อ ก น อ ก ตั ว เ ป็ น อ ย่ า ง ไ ร
    อวกาศสีขาว

    ..... ก า ร ส่ ง จิ ต อ อ ก น อ ก ตั ว เ ป็ น อ ย่ า ง ไ ร

    ธรรมชาติของตัวเรามีเพียงรูป(ร่างกาย) และนาม(จิตใจ)
    ความคิดที่ออกนอกไปจากรูปและนาม ล้วนเป็นการส่งจิตออกนอกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการคิดไปถึงอดีต อนาคต หรือปรุงแต่งไปด้วยกิเลสตัณหา ทำให้เราไม่สามารถจะอยู่กับปัจจุบันได้อย่างจริงจัง ทั้งที่จริงแล้ว เราก็ไม่สามารถอยู่กับอดีตกับอนาคตได้เช่นกัน มันเป็นแค่เพียงความคิดเท่านั้น

    ทุกครั้งที่รู้สึกตัว เรามีแค่เพียงปัจจุบัน
    แต่เราก็กลับอยู่กับปัจจุบันไม่ได้เช่นกัน เพราะเราหนีไปอยู่กับความคิด (สังขารธรรม) แทน จึงมีคนกล่าวว่าชีวิตเป็นเพียงภาพมายาฝัน (ความคิด) หาความจริงอะไรไม่ได้ เป็นแค่กระแสกรรมของความคิด (วิบาก) และการกระทำไปตามความคิดนั้น (สร้างภพภูมิไม่จบสิ้น)

    แม้แต่การกำหนดสติ ก็ยังแค่เป็นปัจจุบันสมมุติ ใครกำหนดได้เร็วก็ใกล้ปัจจุบันมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งใกล้ปัจจุบัน ก็ยิ่งใกล้ความจริงเข้าไปเรื่อยๆ และถ้ากำหนดตามรู้แบบทันท่วงทีในทันใด ความจริงก็จะเผยตัวออกมา ว่าแท้แล้วปรมัตถ์นั้นเป็นอย่างไร ว่างเปล่าอย่างไร ความคิดไม่ใช่จริงอย่างไร มันตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์อย่างไร..

    [​IMG]



    ความคิด มีสองอย่าง คือ
    - คิดงานคิดการ คิดวางแผน คิดพิจารณาใคร่คราญ
    - กับคิดปรุงแต่ง ฟุ้งซ่าน สร้างภพชาติไม่สิ้นสุด

    ในโลกแห่งบัญญัตินี้ ยังต้องใช้ความคิด หากยังดับความคิดไม่ได้ ก็ต้องใช้ความคิดให้ถูก ..ภาษาก็คือความคิด ภาพ-เสียง-สัญลักษณ์-ท่าทาง แท้แล้วคือความคิด เราก็ต้องรู้จักคิดขึ้นมา เพื่อสื่อสารกัน เสียงที่อยู่ในสมองหรือภาพที่อยู่ในหัว ทำให้รู้ว่า เราไม่เคยหยุดคิดได้ง่ายๆ

    ส่วนการรู้จักคิด คิดในสิ่งที่ควร เรียกว่าโยนิโสมนสิการค่ะ จึงคิดก็ยิ่งเข้าใจชีวิต เข้าใจตัวเอง เห็นตัวเองก็เห็นโลก เห็นว่าเราเขาก็ไม่ต่างกันอย่างไร ตกอยู่ในบ่วงแห่งสังสารก็เพราะอวิชชา เมื่อเข้าใจ ก็ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น หรือทำให้มันคลายตัวลงบ้าง

    แนวทางการปฏิบัติให้เราอยู่กับปัจจุบัน เพื่อพบกับความจริงที่ถูกความคิดปิดบังอยู่
    สำหรับนิกายเถรวาท ยึดหลักทางสายเอก คือสติปัฏฐานสี่ มีดังนี้
    - กายานุปัสนาสติปัฏฐาน กำหนดฐานกาย การเคลื่อนไหวต่างๆ เป็นเครื่องรับรู้
    - เวทนานุปัสนาสติปัฏฐาน กำหนดเวทนาที่เกิดทั้งทางกายและจิต
    - จิตตานุปัสนาสติปัฏฐาน กำหนดเห็นอารมณ์ความคิดอย่างเท่าทัน เมื่อเท่าทัน ความคิดก็ดับไป ไม่ต้องไปห้าม แค่ตามรู้ ก็เห็นการเกิดและดับไปเองของมัน การยิ่งเข้าไปห้ามเท่ากับตกอยู่ในกระความคิดใหม่ จะยิ่งสับสน
    - ธรรมานุปัสนาสติปัฏฐาน คล้ายๆ กับจิตตาฯ แต่จะเป็นการคิดใคร่ครวญธรรมที่เกิด

    หากไม่ส่งจิตหรือความคิดออกนอกตัวบ่อยเกินไป แต่กำหนดรู้รูปและนามให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะให้มีสติอยู่กับการเคลื่อนไหว ลมหายใจ (ทางรูป) หรือการตามรู้ความคิด (ทางนาม) หากทำได้ต่อเนื่องเป็นสาย ย่อมมีกำลังในการประหารกิเลส หรือทำลายความคิดที่เป็นเพียงมายาภาพลงได้

    ..... หากนั่งสมาธิจนคำภาวนาหายไปเหลือแต่ความโล่งว่าง ขณะนั้นเองก็นึกขึ้นว่า ตอนนี้กี่โมงแล้ว นี่เป็นการส่งจิตออกนอกตัวหรือไม่?

    สมาธิมีกำลังข่มความคิดได้ทีละขณะ เรียกขณิกะสมาธิค่ะ หากยาวนานขึ้นชั่วครั้งคราว เรียกอุปจารสมาธิ มีกำลังอ่อนแก่ไปตามกำลัง ถ้าเข้าถึงความเป็นหนึ่งเรียกอัปปนาสมาธิ

    การทำสมาธิภาวนาจนเหลือความโล่งว่างนั้นมีประโยชน์ แม้ได้ไม่นานก็มีประโยชน์มาก หากจิตออกมาอยู่กับความคิด ก็ถือว่าส่งจิตออกนอก ก็ให้มีสติตามรู้ จิตก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจ หรือการกำหนดได้ใหม่ คืนสู่ความปกติไม่แส่ส่ายออกไป บางครั้งก็จะรวมเข้าสู่ความโล่งว่างอีก แต่จะอยู่ในสมาธิขั้นไหน โล่งว่างอย่างไร-ขนาดไหน จะพอมีนิมิตเป็นตัวบอกได้

    ส่วนใหญ่ ถ้าเป็นอุปจารสมาธิ ก็จะไปถึงขั้น ปิติ หรือสุข แต่ยังไปไม่ถึง เอกัคตา
    อาจจะมี วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข ถ้าไปถึงเอกัคตาได้ก็จะดีมาก
    ถ้าเป็นปฐมฌาน-ฌานสี่ ก็มีเอกัคตา-อุเบกขาเป็นจุดหมาย

    สภาวธรรมแต่ละบุคคลที่เกิด ก็เหมือนกันหรือแตกต่างกันไปบ้าง ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งสภาพของจิตและธาตุที่แสดงตัว หรือกำลังของสติสมาธิปัญญา หรือสภาพแวดล้อมภายในภายนอกที่เข้ามากระทบ เมื่อสภาวธรรมเกิดขึ้น หรือนิมิตเกิดขึ้น ก็อย่าไปยึดติด มันจะดับไปเอง หากไปหมายมั่นอีกอาจจะกลายเป็นอุปาทานต่อไปได้..

    ขอขอบคุณ

    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=whitespace&month=11-2006&date=19&group=8&gblog=10
     
  16. โอลีฟ

    โอลีฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +257
    เรียนพี่พันวฤทธิ์ คะ

    ต้องขอโทษด้วยค่ะที่ไม่ได้เข้ามาดูกระทู้ซะนาน

    ขอบพระคุณค่ะที่กรุณาถามถึง ยังไม่ได้กลับเมืองไทยเลยค่ะ คงอีกสักพัก (ใหญ่ๆ) ค่ะ

    เมื่อมีโอกาสก็ได้เข้ามาตามโมทนาบุญกับทุกท่าน เห็นทั้งตัวอักษรและภาพทำให้ปลื้มใจกับบุญที่ทำร่วมกันจริงๆ ค่ะ

    ขอถือโอกาสนี้ อวรพรปีใหม่ ให้พี่พันวฤทธิ์และครอบครัว รวมถึงคณะกรรมการและผู้ร่วมทำบุญในกระทู้นี้ทุกๆ ท่าน มีความสุขกาย สุขใจ และเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปค่ะ

    ขอบพระคุณมากค่ะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2008
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เช่นเดียวกันครับ อยู่อังกฤษ รักษาตัวด้วย ผมเองปีใหม่จะไปเชียงใหม่ พี่ใหญ่สั่งไว้แล้วว่าต้องไปพบใครท่านองค์ไหน แถมบอกว่าจะได้เจอพระอริยะเจ้าถึง 2 องค์ และเข้าเขตอีก 1 องค์ จึงขออวยพรล่วงหน้าครับ

    [​IMG]
     
  18. auismartgirl

    auismartgirl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +139
    อนุโมทนาสาธุทุกผลบุญทุกท่านค่ะด้วยจิตใจอย่างแท้จริง
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เช้านี้เป็นวันอาทิตย์สุดท้ายของปี พ.ศ.2551 ขอเปิดกระทู้ด้วย ดอกบัว ดอกไม้แห่งศาสนาพุทธ เผื่อไปเจอดอกไม้อื่นยามไปเที่ยว ที่อาจจะดูสวยกว่า หอมกว่า แต่หากสำหรับบูชาพระแล้ว ความสงบ เยือกเย็น และเข้าถึงอารมณ์แห่งพระธรรมนั้น ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ยังไงก็สู้เอาดอกบัวบูชาพระไม่ได้ หรือไหว้พระด้วยการกระพุ่มมือต่างการถือดอกบัวก็ไม่ได้ครับ อารมณ์ต่างกันจริงๆ

    ดอกบัวเป็นดอกไม้พิเศษที่จะนำไปเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงาม ความคิดที่ว่าดอกบัวเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงามนี้ เห็นได้จากมีการนิยมใช้ดอกบัวเป็นเครื่องบูชาพระรัตนตรัยโดยทั่วไป

    ดอกบัวได้ชื่อว่าเป็นพืชพันธุ์ไม้น้ำที่ทรงคุณค่าด้านความงามอันล้ำเลิศ พระอรรถกถาจารย์เปรียบธรรมชาติของดอกบัวว่า มีความคล้ายคลึงกับปรัชญาในพระพุทธศาสนา ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท มีเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับดอกบัวอยู่มากมาย นำมาฝากเป็นธรรมซีรี่ย์ครับ
    <!--MsgFile=0-->




    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
    จากการศึกษาพระพุทธประวัติ พบว่า พระพุทธเจ้าทรงมีพระลักษณะต่างกับสามัญชน พระพุทธลักษณะนั้นเรียกว่า มหาปุริสลักษณะ ซึ่งหมายถึงลักษณะของมหาบุรุษ คือ พระพุทธเจ้า

    ส่วนพระพุทธลักษณะอันเป็นข้อปลีกย่อยของพระมหาบุรุษ เรียกว่า อนุพยัญชนะ มีพระพุทธลักษณะ ๓ ประการซึ่งกวี ได้เปรียบเทียบกับดอกบัว คือ (๑) พระกรรณทั้งสองข้างมีสัณฐานอันยาวเรียวอย่างกลีบประทุมชาติ (๒) พระสรีระกายสดชื่นดุจดอกประทุมชาติ (๓) กลิ่นพระโอษฐ์หอมฟุ้งเหมือนกลิ่นดอกอุบล

    สมัยพุทธกาล พระพุทธสาวกที่เป็นพระอรหันต์ เมื่อปลงอายุสังขารแล้ว ต้องไปทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อนิพพาน พระมหาปชาบดีโคตมีเถรีอดีตพระน้านางก็เป็นผู้หนึ่งซึ่งเมื่อทรงปลงอายุสังขารแล้ว ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลลาพระพุทธองค์เพื่อนิพพาน มีเรื่องว่า พระนางซบพระเศียรแทบพระบาทของพระพุทธเจ้า กราบทูลว่า
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วันนี้วันอาทิตย์ แถมเป็นอาทิตย์สุดท้ายของเดือน และของปีอย่างที่กล่าวไว้ข้างบน จึงแวะนำเงินเดือนที่หามาได้โดยสุจริตไปให้แม่อย่างที่เคยทำมาเกือบ 30 ปีแล้ว แม่ก็ให้ศีลให้พรมาขอให้มีความสุขความเจริญ อย่าเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วก็ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบกัน พร้อมกับซื้อข้าวตูโรยดอกมะลิที่แม่ชอบไปฝาก กลับมานั่งหน้าคอมพ์ อ่านกระทู้อื่นในเวบพลังจิตไปเรื่อย เห็นหลายเวบ ยังมีความติดยึด หรือยึดมั่นถือมั่นอะไรทั้งหลายอยู่ เลยทำให้นึกถึง ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ โต ว่าท่านเคยมีคำสอนอะไรเกี่ยวกับพ่อแม่ หรือการติดยึดบ้างหรือไม่ ได้มากระทู้นึง ลองอ่านกันดูครับ





    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=5 width=550 border=0><TBODY><TR><TD align=middle>พระอรหันต์อยู่ในบ้าน.....อมตะธรรม หลวงปู่โต</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>
    <TABLE width=540 align=center border=0><TBODY><TR><TD>พระอรหันต์อยู่ในบ้าน.....

    สมเด็จโต ท่านเป็นยอดนักเทศน์ ท่านเทศน์ได้จับใจคนฟัง ธรรมเทศนาของท่าน เข้าใจง่ายไม่ต้องมานั่งแปลไทยให้เป็นไทย เพราะท่านใช้คำไทยตรงๆ เป็นภาษาพื้นๆ ที่คนทั่วไปได้ฟังก็เข้าใจ เป็นที่นิยมของชนทุกชั้น ฟังไปก็สนุกเพลิดเพลิน และยังได้คติธรรม ไม่ง่วงเหงาหาวนอนเหมือนักเทศน์ท่านอื่นๆ

    สมเด็จโตท่านได้เล่าว่า มีคราวหนึ่ง ท่านได้รับนิมนต์ให้แสดงธรรม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกมาท่ามกลางเหล่าขุนนาง ข้าราชการและข้าราชบริพาร ครั้นพอพบหน้าท่าน เจ้าผู้ครองแผ่นดินก็ทรงสัพยอกว่า “ท่านเจ้าคุณ เห็นเขาชมกันทั้งเมืองว่าท่านเทศน์ดีนักนี่ วันนี้ต้องขอพิสูจน์หน่อย”

    สมเด็จโตทรงทูลว่า “ผู้ที่ไม่เคยฟังในธรรม ครั้นเขาฟังธรรมและได้รู้ได้เห็นในธรรมนี้แล้วเขาก็ชมว่าดี ขอถวายพระพร มหาบพิตร” และในวันนี้อาตมาจะมาเทศนาเรื่อง “พระอรหันต์อยู่ในบ้าน”

    ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเหล่าขุนนาง ข้าราการและข้าราชบริพาร ต่างก็มีความสงสัย เพราะเคยได้ยินแต่ว่าพระอรหันต์ท่านจะอยู่แต่ในถ้ำ ในป่า ในเขา ในที่เงียบสงัด หรือที่วัดวาอารามเท่านั้น แต่ทำไมสมเด็จโต จึงกล่าวว่า จะเทศนาเรื่อง พระอรหันต์อยู่ในบ้าน ในขณะที่ทุกคนพากันคิดสงสัยอยู่นั้น ฝ่ายสมเด็จโตทรงทราบด้วยญาณวิถีของทุกคน

    ท่านจึงขยายความต่อไปว่า จิตพระอรหันต์ เป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านละจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่ยินดีและยินร้าย ในเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยม หากใครได้ทำบุญกับพระอรหันต์แล้วไซร้ ก็ถือได้ว่าเป็นลาภอันประเสริฐที่สุด บุญที่ได้ทำกับท่านจะให้ผลในชาติปัจจุบันทันที่ไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้า ทุกๆคนจึงมุ่งเสาะแสวงหาแต่พระอรหันต์ที่อยู่นอกบ้าน แต่ไม่เคยมองพระอรหันต์ที่อยู่ในบ้านเลย

    ทุกๆ คนที่นั่งฟังเทศนาอยู่ในที่แห่งนั้นต่างทำสีหน้างุนงงไปตามกัน เพราะไม่เข้าใจความหมาย สมเด็จโตจึงเทศนาต่อไปว่า “พระอรหันต์คือพระผู้ประเสริฐ คนเราทั้งหลายพยายามค้นหาพระผู้ประเสริฐ เพียงหวังที่จะยึดท่าน เกาะผ้าเหลืองท่าน เกาะหลังของท่าน เพื่อให้ท่านพาไปสู่ความสุข แม้ว่าท่านจะอยู่ไกลสุดขอบฟ้า คนเราก็ยังอุตสาห์ดั้นด้นดิ้นรนไปหา เพียงหวังเพื่อยึดเหนี่ยวและบูชาท่าน แต่พระที่อยู่ภายในที่ใกล้ตัวที่สุดกลับมองข้าม มองไม่เห็นเหมือนใกล้เกลือแต่กับไปกินด่าง อันน้ำใจของพ่อแม่ที่ให้ต่อลูก มีแต่ความบริสุทธิ์ ไม่คิดหวังสิ่งใดตอบแทน เช่นเดียวกับน้ำใจของพระอรหันต์ที่ให้ต่อมนุษย์ ก็มีความบริสุทธิ์เช่นเดียวกัน
    พ่อแม่จึงเปรียบเสมือน พระอรหันต์ของลูก ท่านมีน้ำใจบริสุทธิ์ต่อลูกมากมายนัก ท่านเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่อยู่ในท้องของท่าน ทนทุกข์ทรมานร่วมเก้าเดือนบ้างสิบเดือนบ้าง แต่ท่านก็ไม่เคยปริปากบ่นสักนิด มีแต่ความสุขใจ แม้ลูกเกิดออกมาแล้วพิกลพิการ หูหนวก ตาบอด ท่านก็ยังรักยังสงสารเพราะท่านคิดเสมอว่านั้นคือสายเลือด ถือว่าเป็นลูกไม่เคยคิดรังเกียจและทอดทิ้ง แต่ท่านกลับจะเพิ่มความรักความสงสารมากยิ่งขึ้น ครั้นตอนที่เราเป็นเด็กเล็กๆ ก็ซุกซนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เราเคยหยิก เคยข่วน ทุบ ตี เตะ ต่อย กัด หรือด่าทอพ่อแม่ต่างๆ นานา เพราะความไร้เดียงสา ท่านก็ไม่เคยโกรธเคือง กลับยิ้มร่าชอบใจ เพิ่มความรักความเอ็นดูให้ท่านเสียอีก แม้เราจะเป็นผู้ใหญ่รู้ผิดชอบชั่วดี แต่บางครั้ง ด้วยความโกรธ ความหลง เราก็ยังทุบตีหรือด่าทอท่านอยู่ แทนที่ท่านจะโกรธถือโทษเอาผิดต่อเรา ท่านกลับยอมนิ่งเฉยยอมที่จะทนรับทุกข์เพียงฝ่ายเดียว ยอมเสียน้ำตา ยอมเป็นเครื่องรองรับมือ รับเท้า และปากของเรา สำหรับลูกแล้ว ท่านเสียสละให้ทุกอย่าง ท่านให้อภัย ในการกระทำของเราเสมอเพราะท่านกลัว เราจะมีบาปมีกรรมติดตัว จึงยอมที่จะเจ็บยอมทุกข์เสียเอง ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะรักเรา และหวังดีต่อเราอย่างจริงจังและจริงใจเหมือนพ่อแม่ ท่านเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เล็กจนเราเติบใหญ่ ทุ่มเทแรงกายแรงใจ และกำลังทรัพย์ ให้แก่เราอย่างมากมาย จนไม่อาจประมาณค่าเป็นตัวเลขได้ ทั้งนี้เพราะมันมากมายจนเกินกว่าจะประมาณค่าได้ และในบางครั้ง ลูกหลงผิดเป็นคนชั่วด้วยอารมณ์แห่งโทสะ เป็นคนเมาขาดสติ ก่อกรรมทำเข็ญเป็นที่เดือนร้อนแก่ชาวบ้าน ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายของบ้านเมือง ในสายตาของท่านแล้ว เมื่อมีภัยสู่ลูกก็ยังโอบไปปกป้องรักษาช่วยเหลือลูกอย่างเต็มกำลัง และสุดความสามารถ ยอมเสียทรัพย์สินและเงินมากมายเพื่อให้ลูกได้พ้นผิด ถึงแม้ว่าบางครั้งลูกต้องถูกจองจำหมดแล้วซึ่งอิสรภาพด้วยอาญาแห่งแผ่นดิน ก็คงมีแต่พ่อแม่เท่านั้นที่คอยหมั่นดูแลไปเยี่ยมไปเยียน คอยส่งน้ำส่งข้าวปลาอาหาร คอยให้กำลังใจแก่ลูก ให้ต่อสู้กับความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานของจิตใจที่ลูกได้รับ และรอนับเวลาที่ลูกจะกลับมาสู่อ้อมกอดอีกครั้งหนึ่ง

    น้ำใจที่มีต่อลูกเช่นนี้เปรียบเท่ากับน้ำใจของพระอรหันต์โดยแท้ พ่อแม่จึงเป็นพระอรหันต์ในบ้านของเราจริงๆ ทำไมพวกท่านจึงไม่คิดที่จะบุญกับพรอรหันต์ที่อยู่ในบ้านของท่านเล่า

    สำหรับลูก ถึงแม้พ่อแม่จะเป็นโจรเป็นคนชั่วในสายตาของบุคคลอื่น แต่สำหรับลูกแล้ว ท่านเสียสละได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง แม้แต่ชีวิตท่านก็สามารถเสียสละให้ลูกได้ พ่อแม่มีลูกนับ 10 คนเลี้ยงดูมาเติบใหญ่ แต่ลูกทั้ง 10 คนกลับเลี้ยงดูพ่อแม่เพียง 2 คนไม่ได้ ชอบเกี่ยงกันเพราะลูกเหล่านั้นกำลังลืมคำว่า พระคุณของพ่อแม่

    ยามที่พ่อแม่ท่านมีชีวิตอยู่เราควรที่จะเลี้ยงดูพ่อแม่ โดยการซื้อหาอาหารการกิน ซื้อเสื้อผ้า พาท่านไปทำบุญทำทาน เข้าวัดเข้าวา อะไรก็ตามที่ทำแล้วให้ท่านมีความสุขก็ควรทำให้ท่าน ดูแลความทุกข์สุขและเลี้ยงดูจิตใจท่าน เชื่อฟังในโอวาทคำเตือนของท่าน คำพูดคำจาที่จะพูดกับท่านก็ต้องระมัดระวัง เพราะคนแก่นั้นใจน้อย ต้องรักษาน้ำใจท่าน ไว้ด้วยคำพูดที่นิ่มหู ฟังดูแล้วไม่ทำให้ท่านไม่สบายใจ ไม่ปล่อยทิ้งท่านอยู่อย่างว้าเหว่ คอยเอาใจใส่ปรนนิบัติดูแลท่านอย่างใกล้ชิด แต่คนส่วนมากมักจะทำบุญให้พ่อแม่ เมื่อยามที่ท่านตายจากเราไปแล้ว เพราะนั่นคือการพลาด และเป็นการพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเราเอง ซึ่งความจริงแล้วเราควรที่จะทำบุญให้กับพ่อแม่ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้กตัญญูกตเวที

    ขอให้สาธุชนทั้งหลายผู้มาได้ฟังธรรมในวันนี้ จงกลับไปทำบุญกับพ่อแม่ผู้เป็นพระอรหันต์ในบ้าน การทำบุญแบบนี้จะได้อานิสงส์ทันตาเห็นในชาติปัจจุบัน บุญที่ให้ผลในชาติปัจจุบัน คือบุญที่ทำกับพระอรหันต์ผู้ประเสริฐ แต่พระอรหันต์ที่อยู่นอกบ้าน พวกท่านไม่อาจจะล่วงรู้ได้ว่าองค์ใดจริงหรือไม่จริง แต่ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดและเป็นของจริง และบูชาได้อย่างแน่นอน ไม่เคยเห็นผู้ใดเลยที่มีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่แล้ว ต้องพบกับความวิบัติไม่เคยมี มีแต่จะทำมาหากินอาชีพอะไรก็จะเจริญรุ่งเรือง แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟก็ไม่ไหม้ มีแต่ความสุข อายุยืนยาวตายตามกาลเวลา

    ขอให้ท่านทั้งหลายที่อยู่ในที่นี้ จงใช้สติและพิจารณาในเรื่องราวต่างๆ ที่อาตมาได้เทศนาให้ฟังในครั้งนี้ได้ดี แล้วประโยชน์และความสุข ก็จะบังเกิดแก่ท่านทั้งหลายอย่างทันตาเห็น เอวัง...ก็มีด้วยประการฉะนี้ ขอถวายพระพร

    ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เหล่าขุนนางข้าราชการ และข้าราชบริพารทั้งปวง ได้ฟังคำเทศนาของสมเด็จโตจบลง บ้างน้ำตาก็คลอเบ้าทั้งสอง บ้างน้ำตาก็หลั่งไหลออกมาสุดที่จะกลั้นได้ ด้วยความรู้สึกรักสงสารและคิดถึงพระคุณของพ่อแม่ขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจ อย่างที่ไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลย

    เจ้าผู้ครองแผ่นดินแห่งสยามประเทศจึงตรัสด้วยพระสุรเสียงอันสั่นเครือ ปนน้ำพระเนตรว่า “ท่านเจ้าคุณท่านเทศน์ได้จับใจยิ่งนัก และขอให้ทุกคนจงกลับไปทำบุญกับพ่อแม่ผู้เป็นพระอรหันต์เถิด”

    และท่านผู้อ่านหล่ะคะ.. ท่านได้ทำบุญกับพ่อแม่
    ผู้เป็นพระอรหันต์ในบ้านของท่านแล้วหรือยังคะ...

    จาก อมตะธรรม หลวงปู่โต




    </TD></TR></TBODY></TABLE>




    </TD></TR><TR><TD bgColor=#dddddd><TABLE width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=right>ลูกโป่ง (202.176.112.*) [ วันพุธ ที่ 17 สิงหาคม 2548 เวลา 01:39 น. ]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>



    ผมตั้งใจยกมาทั้งลิงค์เลย ต้องขอขอบคุณผู้ที่โพสท์กระทู้นี้เป็นอย่างมากจริงๆ พวกเรา พออ่านกระทู้นี้จบ ปีใหม่นี้ ก่อนที่จะไปเที่ยวที่ไหนหรือทำบุญที่ไหนก็แล้วแต่ อย่าลืมไปไหว้ ไปขอพร และไปทำบุญกับพระอรหันต์ของท่านด้วย พรใดเล่า จะทำให้เราสุขใจยิ่งกว่าพรจากปากพ่อแม่ หรือพระอรหันต์ของเราให้พร ปีนี้เมื่อต้นปีก่อนเดือนตุลาฯ ผมมีพระอรหันต์คู่หนึ่ง คือพ่อและแม่ให้พรผม ปีนี้ในเดือนตุลาฯ ที่ผ่านมาอรหันต์ของผมคือพ่อ จากผมไปองค์หนึ่ง คงเหลือ อรหันต์อีกองค์หนึ่งของผมคือแม่ ซึ่งสุขภาพดีพอประมาณยังคงให้พรผมได้ และพอเป็นร่มโพธิ์ไทรให้ผมได้ทำบุญได้ทุกๆ เดือน ก่อนปีใหม่นี้ผมจึงไปทำบุญกับอรหันต์ของผมก่อน ส่วนปีใหม่จริงๆ ผมถึงจะไปทำบุญกับอรหันต์นอกบ้าน อย่าลืมน๊ะครับ พ่อแม่คืออรหันต์ของเรา คือเนื้อนาบุญของเรา ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่านี้ ไม่มีใครรู้ใจเรายิ่งกว่านี้ กราบท่าน ขอพรท่าน ก่อนเดินทางน๊ะครับ...แล้วเราจะพบว่าเวลาเดินทางเราจะสุขใจ เพราะเรามิได้ละเลยผู้ที่มีพระคุณต่อเรา เวลาเราไปทำบุญใส่บาตร และทำสังฆทาน เราจะทำด้วยความสบาย ไม่ต้องห่วงใยว่าเราจะขาดสิ่งที่ควรกระทำไปหรือไม่...อ่านบทความนี้จบ ขอแนะนำให้อ่านทวนอีกรอบอย่างช้าๆ น้ำตาท่านอาจจะไหลมาเองก็ได้ใครจะไปรู้ นี่ล่ะความรักที่เรามีต่อพ่อแม่ และจะรู้มั๊ย ว่าพ่อแม่รักเรามากเท่าใดหนอ.. จนกว่าเราจะเป็นพ่อแม่เอง เมื่อถึงเวลานั้น พระอรหันต์ของเราอาจจะไม่อยุ่ให้เราทำบุญแล้วก็ได้ บุญนี้ต้องรีบทำกันหน่อยน๊ะ......

    พันวฤทธิ์

    28/12/51

    ขอขอบคุณ
    http://www.dhammathai.org/webboard/view.php?No=1155
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...