ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>
    อาจารย์ประถมเป็นประธานถวายอาหารแด่ประธานสงฆ์
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>
    จากนั้นพระสวดให้พร อาจารย์ประถมทำการกรวดน้ำตามประเพณีอันดีงามที่ทำกันมาในพระศาสนา



     
  2. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ต่อจากนั้นก็แยกกันไปถวายอาหารพระตามเตียง มีผู้ใจบุญมาร่วมมากมาย ใครเป็นใครเชิญชมได้ครับ

    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER></CENTER></CENTER><CENTER> </CENTER></CENTER>
     
  3. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>
    พระอาพาธที่ศีรษะ ผู้ถวายอาหารก็บาดเจ็บที่มือ เป็นภาพพิเศษภาพหนึ่งครับ

    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>
    จากนั้นประธานและรองประธานทุนนิธิฯ รายงานการดำเนินการของทุนนิธิฯตลอดทั้งปีที่ผ่านมา

    <CENTER> </CENTER>​
     
  4. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>
    อาจารย์ประถมกำลังแจกพระพิมพ์สกุลวังหน้าให้กับผู้มาร่วมกิจกรรมในวันครบรอบปีของทุนนิธิฯ

    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>
    อาจารย์ประถมและลุงวุธศิษย์รุ่นใหญ่ใจบุญ กำลังติดสติกเกอร์ทุนนิธิที่เครื่องดูดเสมหะ เพื่อนำไปมอบให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลนในต่างจังหวัด

     
  5. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    อ นุ โ ม ท น า ส า ธุ ... ดีแล้วชอบแล้ว

    ขนลุกน้ำตาไหล...ดีจัง ขอบคุณครับ

    .
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <!-- END WEBSTAT CODE --><TABLE height="95%" width="99%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="75%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=2><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 9 มิถุนายน 2551 21:41:39 น.-->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๘๗ | เสด็จไปโปรดพระญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์
    <!-- Main -->
    เสด็จไปโปรดพระญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์
    พระญาติผู้ใหญ่ถือว่าสูงอายุไม่ถวายบังคม

    เมื่อพระพุทธองค์ พร้อมพระสาวก ๒ หมื่นรูป เสด็จออกเดินทางเป็นเวลาสองเดือน ถึงกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว เสด็จเข้าประทับในอารามของเจ้าศากยะผู้หนึ่ง ชื่อว่า "นิโครธ" ซึ่งพวกเจ้าศากยะพระญาติ จัดถวายให้เป็นที่ประทับ อารามในที่นี้ไม่ใช่วัด แต่เป็นสวน เป็นอุทยานอยู่นอกเมือง พวกพระประยูรญาติรวมทั้งพระเจ้าสุทโธทนะด้วย ได้พากันมารับเสด็จและเฝ้าพระพุทธเจ้าที่อารามแห่งนี้ ด้วยความปิติยินดีเกษมสานต์ และได้ร่วมกำลังกัน สร้างนิโครธมหาวิหาร พร้อมด้วยเสนาสนะและพระคันธกุฎิ เพื่อรับรองพระชินศรีและพระสงฆ์สาวกพุทธบริษัท เป็นสถานที่งดงามและเงียบสงัด ควรแก่สมณะวิสัยเป็นอย่างดี

    ครั้นสมเด็จพระชินศรี พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์ บรรดาพระประยูรญาติที่มาสโมสรต้อนรับอยู่ทั่วหน้า มีพระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดาเป็นประธาน ต่างแสดงออกซึ่งความเบิกบานตามแก่วิสัย แล้วทูลเชิญให้เสด็จเข้าไปประทับยังพระนิโครธารามพระมหาวิหาร พระบรมศาสดาจารย์ก็เสด็จขึ้นประทับบนพระบวรพุทธอาสน์ บรรดาพระสงฆ์ ๒ หมื่นต่างก็ขึ้นนั่งบนเสนาสนะอันมโหฬาร ดูงามตระการ ปรากฏสมเกียรติศากยบุตรพุทธชิโนรสบรรดามี


    [​IMG]

    แต่กระนั้น บรรดาพระประยูรญาติทั้งหลาย มีมานะทิฏฐิอันกล้า นึกละอายใจไม่อาจน้อมประณมหัตถ์ถวายนมัสการพระบรมศาสดาได้ ด้วยดำริว่า " พระสิตธัตถะกุมาร มีอายุยังอ่อน ไม่สมควรแก่ชุลีกรนมัสการ จึงจัดให้พระประยูรญาติราชกุมาร ที่พระชนมายุน้อยคราวน้อง คราวบุตร หลาน ออกไปนั่งอยู่ข้างหน้า เพื่อจะได้ถวายบังคมพระบรมศาสดา ซึ่งเห็นว่าควรแก่วิสัย ส่วนพระประยูรญาติผู้ใหญ่พากันประทับ นั่งอยู่เบื้องหลังเหล่าพระราชกุมาร ไม่ประณมหัตถ์ ไม่นมัสการ หรือคารวะแต่ประการใด ด้วยมานะจิตคิดในใจว่าตนแก่กว่า ไม่ควรจะวันทาพระสิตธัตถะกุมาร "

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <HR> [​IMG]

    ของมีอยู่เหมือนไม่มี
    โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

    เทศน์ ณ วัดเจริญสมณกิจ จ.ภูเก็ต
    วันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖



    วันนี้ไม่ใช่วันพระ แต่เป็นวัน ๔ ค่ำ ซึ่งเป็นวันอบรมกันเป็นพิเศษ ฉะนั้นต่อไปนี้จะได้แสดงธรรมว่าด้วย ของมีอยู่เหมือนไม่มี ให้ฟัง อันของมีอยู่เหมือนไม่มีนี้ ท่านว่าไว้มี ๔ อย่าง คือ

    มีโคนม ๑ มีโคถึก ๑ ไปฝากไว้ให้เขาเลี้ยง
    มีภรรยาเอาไปฝากในตระกูลพ่อปู่ ๑
    มีเงินให้เขายืม ๑


    ของ ๔ อย่างนี้นั้นมีเหมือนกับไม่มี นั่นเป็นของภายนอกตั้งหลักสูตรไว้ให้เรานำมาคิด เทียบเข้ามาในตัวของเรานี้ ตัวของเราที่ว่าเป็นเรา เป็นของๆ เรานั้นเป็นจริงหรือไม่ จะเหมือนกับของสี่อย่างที่ว่ามีเหมือนไม่มีอย่างไร

    คนเราเกิดมาเป็นหญิงเป็นชายแล้ว ก็ถือว่านั่นเป็นเรา เป็นของๆ เรา แท้จริงเป็นของสูญเปล่า สมกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    บทความบทนี้ เป็นบทความที่จบแล้วซึ่งภารกิจทั้งปวงแห่งธาตุขันธ์ ผมนำมาฝาก เป็นบทความธรรมะก่อนปีใหม่ที่ควรค่าแก่การสำเหนียก และระลึกไว้สำหรับพวกเราที่เป็น "พุทธบริษัท" ที่ไม่ได้นับถือศาสนาแค่เขียนในบัตรประชาชนแต่เพียงอย่างเดียว ท่านผู้กล่าวบทความนี้ปัจจุบันอัฐิท่านกลายเป็นพระธาตุแล้วปรากฏชัดต่อพวกเรา ย่อมแสดงให้เห็นว่า ธรรมะบทนี้ เป็นสิ่งที่มีความเหมาะสม และควรนำมาปฏิบัติ แม้เพียงชั่วขณะจิตหนึ่งก็ยังดี...

    พันวฤทธิ์
    24/12/51




    [​IMG]


    [​IMG]




    ปรารภธรรมะให้ฟัง
    โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

    วัดหินหมากเป้ง
    ต.พระพุทธบาท อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย


    ธรรมต้องอาศัยอยู่กับโลก ไม่มีโลก...ธรรมก็อยู่ไม่ได้
    ผู้เห็นธรรม รู้ธรรมก็คือ ผู้มารู้มาเห็นโลกตามความเป็นจริง
    แล้วเบื่อหน่ายคลายจากโลกเอง
    ถ้ารู้เท่า รู้เรื่อง มันเป็นธรรมทั้งหมด
    ผู้ปฏิบัติจะเห็น...ความดีความชั่วของตนตรงนั้นแหละ
    เมื่อไม่มีโลกแล้ว ธรรมก็ไม่ทราบว่าจะเอาไปตั้งไว้ตรงไหน
    จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
    โลกอันใดธรรมก็อันนั้น
    จะเป็นโลกหรือเป็นธรรม อยู่ที่ "ฝึกอบรม" ต่างหาก

    การพิจารณากาย - เวทนา - จิต - ธรรม
    ให้เห็นเป็นสักแต่ว่านั้น ไม่ใช่ของง่าย
    เพราะมันเป็นการลบสมมติบัญญัติของเดิมทั้งหมด
    ที่เห็นเป็นสักแต่ว่านั้น
    มันเป็นบัญญัติสมมติใหม่ซึ่งเกิดจากสติปัฏฐาน
    ถ้าผู้ปฏิบัติพิจารณาได้อย่างนี้
    มันก็จะละการถือตน ถือตัว ถือเขา ถือเรา
    ให้หมดสิ้นไปจากใจได้ นี้เป็นเบื้องต้นของสติปัฏฐาน

    คำสอนของพุทธศาสนาทั้งหมด มาลงอยู่ที่ "สติ" อันเดียว
    ตั้งแต่เบื้องต้นก็สอนสติ ที่สุด ก็สอนสติ
    อย่าให้จิตอยู่แต่ในอำนาจของกิเลส
    ให้จิตอยู่แต่ในอำนาจของสติ
    สติเป็นตัวระมัดระวัง อันนั้นแหละเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยแท้
    มีสติสมบูรณ์บริบูรณ์ เรียกว่า ถึงศาสนา

    สติที่สมบูรณ์จะไม่ต้องควบคุมและรักษา
    แต่มันจะมีสติพอดีกับอารมณ์ที่จะมาปรากฏขึ้นที่จิต
    แล้วรู้เท่าทันกัน อันเนื่องมาจากที่เราได้อบรมไว้ดีแล้ว
    ไม่มีการส่งส่ายออกนอกไปจากอารมณ์ที่ปรากฏขึ้นที่จิตนั้น
    รู้แล้ววางเฉย...
    บางทีก็ทำให้เกิดความสลดสังเวชในเรื่องนั้นๆ

    เรื่องสติมันต้องเป็นอย่างนั้น คือ มันกลัวอารมณ์ต่างๆ
    เมื่อมีอารมณ์อะไรเกิดขึ้นจะต้องเห็นเป็นโทษ
    โดยมากมักเห็นเป็นทุกข์
    เมื่ออบรมฝึกฝนอยู่อย่างนั้นนานๆ เข้า สติจึงจะพอดี
    ไม่แข็งจนเกินไป แล้วก็ไม่หย่อนยานจนส่งออกไปข้างนอก
    สติ สมาธิ ปัญญา สมดุลกันโดยอัตโนมัติเมื่อไรแล้ว
    ปัญญาวิปัสสนาจึงจะเกิดขึ้น
    คือไม่ว่าจะเห็นหรือรู้อะไรโดยทางอายตนะทั้งหกแล้ว

    พระไตรลักษณ์จะเกิดขึ้นพร้อมทั้งสาม



    ขอขอบคุณ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2008
  9. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    มาชมภาพเก็บตกของสาวๆที่ใจบุญ มาทำบุญกันแต่เช้าและมาช่วยงานทุนนิธิฯ

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER></CENTER></CENTER>
     
  10. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
  11. คีตา

    คีตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +4,309
    สาธุ อนุโมทนา ด้วยครับ

    เห็นแล้วปลื้มกับงานของทุกท่าน
     
  12. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    สาธุครับ โมทนาบุญกุศลทุกๆประการทุกๆท่านด้วยครับ
    เสียดายทำบุญมาตั้งนานยังไม่มีโอกาสได้ไปร่วมงานจริงๆสักทีเลยครับ
     
  13. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    หนทางยังมีอยู่
    ผู้เดินทางยังไม่ขาดสาย
    ลงมือเสียแต่วันนี้
    ก่อนที่กระแสลมแห่งกาลเวลา
    จะพัดพารอยพระบาทของท่านหายไป
    เพราะถึงเวลานั้น
    พวกเราก็จะต้องระหกระเหินไร้ทิศทาง
    ไปอีกนานแสนนาน
    จากหลวงพ่อปราโมชย์ครับ
     
  14. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    พระธรรมเทศนา โดย พระอาจารย์ปราโมทย์ ปราโมชฺโช

    พอเราลงมือภาวนาดูจิตดูใจตนเองออก
    จะเห็นทันทีที่จิตเกิดตัณหา เกิดความอยาก
    เกิดความยึดถือขึ้นมา จิตมันจะทำงานหมุนติ้ว
    จิตทำงานเรียกว่าภพ "ภพ" หรือ กรรมภพ และเป็นทุกข์มันมีภาระ

    ครั้งที่ 001
    ความละเอียดลึกซึ้งของอริยสัจ


    อริยสัจสำคัญที่สุด แต่ก่อนดูข้ามๆ ไป รู้สึกว่าปฏิจจสมุปบาทลึกซึ้งน่าสนใจกว่าอริยสัจ
    แต่จริงๆ แล้วอริยสัจกับ ปฏิจจสมุปบาทก็เป็นธรรมอันเดียวกันนั่นเอง เพียงว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้แตกต่างกันโดยโวหาร ถ้าไม่เห็นแจ้งอริยสัจ หรือไม่เห็นแจ้งปฏิจจสมุปบาทก็ต้องเกิดอีก

    การเห็นปฏิจจสมุปบาทนี้เรียกว่าได้ดวงตาเห็นธรรม การเห็นกระบวนการของปฏิจจสมุปบาททำให้เราเห็นว่าไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ธรรมทั้งหลายคือรูปนามเป็นของอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นเป็นคราวๆ เห็นอย่างนี้มันละสักกายทิฏฐิได้
    แต่ถ้ารู้แจ้งลงมาในรูป ในนามได้ว่าเป็นกองทุกข์
    เรียกว่ารู้แจ้งอริยสัจ ถึงจะพ้นจากสังสารวัฏได้

    พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ตรัสรู้ปฏิจจสมุปบาทไม่เท่ากัน
    บางองค์เช่น พระวิปัสสี พระสิขี พระเวสภู ท่านสาวไปแค่วิญญาณเป็นปัจจัยของนามรูป และก็วกกลับมานามรูปเป็นปัจจัยของวิญญาณ ท่านดูแค่นี้ก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าของเราสาวไปถึงอวิชชาจึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ความจริงปัจจัยของอวิชชามีอีกอันหนึ่ง คืออาสวะ

    อริยสัจ เป็นเรื่องที่ยิ่งศึกษายิ่งสนุก ลึก จริงๆ ตอนเราเด็กๆ เราก็นึกว่าเข้าใจ อ่าน เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ นึกว่าเข้าใจอริยสัจแล้ว ตอนบวชอยู่วัดชลประทานฯไปสวดมนต์แปลบอก ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง 5 เป็นทุกข์ ไม่ใช่คนเกิดคนแก่หรอกเป็นทุกข์ กลายเป็นว่า รูปนาม มันเป็นทุกข์ เราก็นึกว่าเข้าใจธรรมมากขึ้นแล้วนะ รูปนามเป็นทุกข์ ไม่ใช่เราเป็นทุกข์ ถึงเวลาภาวนา ปฏิบัติไป ไม่ได้เห็นอย่างนั้นนะ เห็นว่ารูปนามเป็นทุกข์ บ้างเป็นสุขบ้าง ไม่ได้เห็นว่าเป็นทุกข์หรอก ภาวนากันนานๆ เมื่อไรเห็นว่ารูปนามเป็นทุกข์ ล้วนๆ ได้นะ มันจะวาง แล้ววางได้ด้วยปัญญาจริงๆ คำว่า 'ปัญญา' ก็คือการที่เห็นรูปนามเป็นไตรลักษณ์นั่นแหละ

    เราต้องพัฒนาสติ สมาธิ ปัญญาขึ้นมา มันจะเห็นเองว่ารูปนามเป็นทุกข์ แกล้งทำให้เห็นก็ไม่เห็นหรอก ถ้าคิดจะทำให้เห็นนะ มันเจือด้วยความคิด แล้วมันก็ตกจาก วิปัสสนา ช่วงที่เราภาวนาไป เราก็จะไม่รู้ว่าเรา ขาดอะไรมั่ง รู้สึกอย่างเดียวว่าความรู้ยังไม่พอ ลึกๆ จะรู้สึกตลอดเลยว่ายังรู้ไม่พอ ถามว่าไม่รู้อะไร ตอบไม่ถูก จนภาวนาไปถึงจุดหนึ่ง ถึงจะรู้ว่า อ้อ ไม่รู้แจ้งอริยสัจนั่นเอง ตราบใดที่ไม่รู้แจ้งอริยสัจ จะข้ามภพ ข้ามชาติไม่ได้นะ อริยสัจลึกที่สุดเลย

    อย่างเราไม่สามารถเห็นว่ารูปนามเป็นทุกข์ เราเห็นว่าเป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง ยังนึกว่ารู้อริยสัจนะ แต่ไม่รู้จริงหรอก หรือเราคิดว่ามีสมุทัย มีตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ คนทั่วๆ ไปไม่ได้รู้สึกว่ามีตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่ได้มีความอยากแล้วทุกข์ ไม่ใช่ คนทั่วๆ ไปรู้สึกแค่ว่าถ้าไม่สมอยากถึงจะทุกข์ ถ้าสมอยากแล้วไม่ทุกข์หรอก มีตัณหาแล้วสนองตัณหาได้ไม่ทุกข์ มันตื้นนะตื้นมากๆ แต่ว่าพอเราลงมือภาวนาดูจิตดูใจตนเองออก เราเห็นทันทีเลย ทันทีที่จิตเกิดตัณหา เกิดความอยาก เกิดความยึดถือขึ้นมา จิตมันจะหมุนติ้วๆ นะ มันทำงาน จิตทำงานเรียกว่าภพ 'ภพ' คำเต็มๆ ของภพ คือ กรรมภพ นั่นเอง จิตมันทำงานขึ้นมา มันก็มีความทุกข์ ขึ้นมา มันมีทุกข์เพราะมันมีภาระ

    http://www.mgronline.com/Dhamma/View...=9510000124781
     
  15. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    [​IMG]

    เคยเห็นหมูกระดาษไหมครับ ไอ้หมูออมสินตัวแดงๆ ที่ทำจากเศษกระดาษมาแปะๆๆลงบนโครง
    ให้มันเกิดรูปร่างขึ้นมา แล้วก็ทาสี วาดหน้าตา ให้มันยิ้มๆ
    เป็นงานฝีมือจำพวกที่ ภาษาปะกิตเขาเรียก เปเปอร์มาเช่

    ถามว่ามันคือหมูจริงๆไหม ไม่ใช่ครับ แต่ถ้ามันมีจิตใจเหมือนเรา ไปถามมันว่า "แกเป็นตัวอะไร"
    ยังไงมันก็ต้องตอบว่า "ฉันเป็นหมูไง"

    อย่างที่เคยเล่าถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า สิ่งที่เป็นตัวเรานั้นแท้จริงไม่มี
    มีแต่ความสำคัญผิด มีแต่ตัวตนปลอมๆ ที่ถูกสร้างขึ้นจากความเข้าใจผิด แล้วยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเรา

    มันคือผลจากการที่จิตสร้างเปลือกขึ้นทีละชั้นๆ จนเป็นรูปร่าง ตัวตนขึ้นมาเหมือนหมูกระดาษ
    ว่าเราเป็นคนแบบไหน ต้องพูดแบบนั้น แต่งตัวแบบนี้ เดินแบบโน้น ถึงจะใช่เราที่สุดแล้ว

    สมัยหนึ่ง เวลานักร้องจะออกอัลบั้ม มักจะมีคำพูดติดปากว่า "ชุดนี้เป็นตัวของตัวเอง"
    แต่พอออกชุดใหม่ ดนตรีเปลี่ยนไป เนื้อหาเปลี่ยนไป ก็บอกว่า "เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น"

    ฟังดูขำๆหน่อย แต่เขาไม่ได้ผิดนะครับ เพราะเวลาเปลี่ยน อะไรๆก็เปลี่ยน
    หมูกระดาษของเขา ก็อาจจะเปลี่ยนสี แปรสภาพได้

    เพราะถ้าเราไม่เคยรู้ทัน จิตมันก็จะสร้างตัวตนขึ้นมาเพิ่มเรื่อยๆ แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นมากขึ้นเรื่อยๆ
    ถามว่าใครที่เป็นผู้สร้างหมูกระดาษของตัวเองขึ้นมา ก็จิตเราเองนี่แหละ

    พอพูดเรื่องว่า ตัวเราไม่มี มักจะมีคนสงสัยว่า ถ้าตัวเราไม่มี
    แล้วใครเป็นคนไปเกิดใหม่ ใครเป็นคนรับผลบุญ ผลกรรม ก็ตอบว่าจิตนี่แหละ

    แต่จิตนี่ไม่ใช่ "ตัวเรา" นะครับ เพราะจิตเป็นสิ่งที่มีลักษณะอย่างหนึ่งคือเป็น "อนัตตา"
    แปลว่า ไม่ได้อยู่ในอำนาจการควบคุมบังคับของเราได้จริงๆ

    พูดง่ายๆ เกิดมาทีนึง จิตมันสร้างหมูกระดาษขึ้นมาครอบตัวเองไว้
    แล้วก็ยึดมั่นถือมั่น หลงรักหวงแหน ไอ้หมูเปลือกๆนี่เป็นนักหนา

    การพยายามเข้าใจ "หมูกระดาษ" ด้วยการคิดเอา อาจจะงงหน่อยนะครับ
    แต่หลวงพ่อท่านสอนว่า ถ้าคอยมีสติ รู้ทันการปรุงแต่ง ความรู้สึก การคิด นึก ของจิตตัวเองไปเรื่อยๆ

    ก็จะเหมือนการได้ลอกเปลือกของหมูกระดาษออกทีละชั้นๆ เปลือกของหมูก็จะบางลงๆ
    ลอกไปลอกมาระยะหนึ่ง จะเห็นแจ้งได้ว่า ความจริง "หมูกระดาษ" ไม่ใช่หมูหรอก

    ลอกต่อไปอีกเรื่อยๆ จนถึงที่สุด ชิ้นสุดท้าย จะค้นพบว่า
    ข้างในมันก็เป็นแค่โครงเปล่าๆ ไม่มีอะไรที่เรียกได้ว่าเป็น "หมู"

    เหมือนที่บอกว่า สิ่งที่เรียกว่า "ตัวเรา" ไม่มี มีแต่ กายที่เกิดจากธาตุ 4 มารวมกัน
    มีจิตใจ ที่เกิดจาก ความคิด นึก ปรุงแต่ง ความรู้สึก และตัวที่รับรู้สิ่งทั้งหลาย

    ถ้าเห็นได้อย่างนั้นเมื่อไหร่ จิตถึงจะเป็นอิสระ เพราะไม่มีอะไรควรค่าให้ยึดมั่นถือมั่น
    ไม่ยึดมั่นในตัวตน ก็จะไม่แบก ไม่แบก ก็ไม่หนัก ไม่หนัก ก็ไม่ทุกข์

    เรียนวิปัสสนา เรียนรู้ "ตัวเอง" ด้วยเพียงการ "รู้สึกตัว" จึงพาคนพ้นทุกข์ได้ในที่สุด ด้วยเหตุนี้เองครับ

    ง่ายจริงๆนะ ผมไม่ได้โฆษณาชวนเชื่อ

    เพียงแต่กว่ามันจะคลำทางเจอ ว่าจะเริ่มลอกเปลือกไอ้หมูกระดาษของเรา ตรงไหน
    อันนี้อาจจะยากสักหน่อย แต่รับรองได้ว่าไม่เกินความพยายาม

    ถ้าไม่คิดมาก ถ้าไม่พยายามทำอะไรสักอย่าง ด้วยการ "พยายามคิด"
    แต่รู้ทันว่าจิตมันกำลัง "คิด" มันหลงไปคิดมันก็ทำของมันเอง เราไม่ได้สั่ง

    แค่นั้น ครูบาอาจารย์ท่านว่า คุณได้ต้นทางของการปฏิบัติแล้วครับ

    ไม่ต้องรอให้ลางาน โดดงานไปวัด ไม่ต้องรอให้ถึงวันพระ วันโกน วันตรุษ
    ไม่ต้องรอจนได้ไปนั่งหน้าหิ้งพระห้องพระที่ไหน

    แค่เริ่มภาวนา รู้ลงใน กายเรา ใจเราเอง ไอ้ก้อนที่กว้างคืบยาววาหนาศอกนี่
    ก็จะเป็นเขตศักดิ์สิทธิไม่ต่างจากวัดเลย

    http://www.luangpee.net/forum/?topic=3957.0
     
  16. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    [​IMG]
     
  17. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    พระธรรมเทศนาจาก ลพ.ปราโมทย์

    ก่อนอื่น เราต้องสำรวจตัวเองว่า
    ทำกัมมัฏฐานอย่างใดสติจะเกิด ทำอย่างใดจะเกิดสัมมาสมาธิ
    ทำอย่างใดจะเห็นความจริงของกายของใจได้
    ในหลักการปฏิบัตินี่จะต้องตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอน
    แต่ในขั้นลงมือทำนี่ทางใครทางมัน แล้วแต่จริตนิสัยของแต่ละคน
    ถัดจากนั้น ก็มาดูว่าเรามีอุปสรรคเครื่องขัดข้องอื่นๆไหม
    ต้องสำรวจใจตัวเอง สำรวจว่าเรามีศีลบริบูรณ์ไหม
    เรายังยึดติดในชื่อเสียง ลาภ ยศ สรรเสริญ หรือไม่
    เรายังติดในรูป เสียง กลิ่น รส ผัสสะ หรือเปล่า
    ถ้ายังติดในกามอยู่อย่างนี้ ก็ยังข้ามภพข้ามชาติไม่ไหว

    กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
    การดูกาย (กายานุปัสสนา) การรู้กายนี่ต้องทำสมาธิทำฌานก่อน
    ให้จิตตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ดู
    อยู่ๆจะไปกำหนดรูปนามด้วยการรู้กายเลย ทำไม่ได้
    อย่างน้อยต้องได้อุปจารสมาธิ หรือได้ทุติยฌาน
    จิตจะรวมลงไป เหลือแต่ความรู้สึกอันเดียว
    ออกจากสมาธิแล้วจิตผู้รู้จะทรงตัวอยู่ แล้วมันจะเห็นเลยว่าตัวจิตผู้รู้นี้ไม่ใช่ตัวเรา
    ด้วยอำนาจของฌาน จะเห็นทันทีเลยว่า
    ร่างกายที่หายใจเข้าหายใจออก ร่างกายที่ยืนเดินนั่งนอนนี่ไม่ใช่ตัวเรา
    แล้วจะเห็นทันทีเลยว่าเวทนาก็ส่วนหนึ่ง จิตก็ส่วนหนึ่ง
    แยกกันหมดเลยด้วยอำนาจของสมาธิในขั้นที่เข้มข้น
    มันก็แยกกันไปช่วงหนึ่ง แล้วมันก็จะไปรวมกันอีก
    ก็ต้องทำสมาธิใหม่ อันนี้เป็นสมถยานิก

    เวลาที่พระพุทธเจ้าสอนอิริยาบทสี่ ท่านสอนง่ายๆ
    ภิกษุทั้งหลายนั่งอยู่ให้รู้ว่านั่งอยู่ เมื่อยืนอยู่ก็รู้ว่ายืนอยู่
    เมื่อนอนอยู่ก็รู้ว่านอนอยู่ รู้ด้วยสตินั่นเอง
    เสร็จแล้วก็มีปัญญาเห็นว่าตัวที่ยืนเดินนั่งนอนไม่ใช่ตัวเรา
    ถ้ามีสมาธิหนุนหลังใจตั้งมั่น จะเห็นเลยว่าตัวที่ยืนเดินนั่งนอนไม่ใช่ตัวเรา

    คำว่า "รู้" ก็มีสองนัยยะอย่างที่หลวงพ่อบอก
    รู้ด้วยสติคือเห็นรูปนี้กำลังเคลื่อนไหวอยู่ กับรู้ด้วยปัญญาคือเข้าใจ
    ความเป็นจริงของรูป อันนี้มันเป็นวัตถุเป็นก้อนธาตุ มันไม่ใช่ตัวเราหรอก
    การที่จิตจะเห็นตรงนี้ได้ จิตต้องมีสมาธิหนุนหลัง

    เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
    ในการดูเวทนาก็ใช้หลักอันเดียวกัน มีสติรู้ลงไปที่เวทนา
    ความปวดความเมื่อยความสุขความเฉยๆ มีสติรู้ลงไปในกายนี้มีสองอัน
    ในกายมีความสุขกับความทุกข์ ในจิตใจนี่มีความสุขมีความทุกข์มีความเฉยๆด้วย
    ความสุขความทุกข์ความเฉยๆเกิดขึ้นเราก็มีสติรู้ไป ไม่ใช่ไปนั่งเพ่งให้หาย
    ในการที่เรารู้เวทนา เราจะรู้อย่างอื่นด้วย คือจะรู้กายกับจิต
    เพราะเวทนาอาศัยอยู่ในกาย อาศัยอยู่ในจิต
    เวทนานุปัสสนาจึงเป็นกัมมัฎฐานที่ทำยาก เพราะครอบคลุมทั้งกายและจิต
    ครอบคลุมถึงตัวเวทนา และเหตุที่เกิดเวทนานั้นด้วย ส่วนกายานี้ทำง่าย

    และต้องใช้หลักอันเดียวกันคือมีสติระลึกรู้สภาวะของเวทนาที่ปรากฏ
    มีปัญญาเข้าใจเวทนานั้นว่าเวทนาไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์
    เป็นแค่นามธรรมอย่างหนึ่งผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
    แล้วก็เห็นอีกว่าเวทนาไม่ใช่ร่างกาย ร่างกายกับเวทนาคนละอันกัน
    ร่างกายไม่เคยเจ็บปวดเพราะร่างกายเป็นวัตถุ วัตถุไม่รู้อารมณ์
    เวทนาไม่ใช่จิต เวทนาเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า
    เวทนาเป็นสิ่งที่แนบมากับจิต แฝงมากับจิต จะละเวทนาเป็นไปไม่ได้เลย
    ไม่มีใครดับเวทนาได้ เวทนาเป็นธรรมชาติที่เกิดร่วมกับจิตทุกๆดวง
    ดังนั้นไม่มีใครดับเวทนาได้ มีแต่เปลี่ยนสภาพของเวทนาจากสุขจากทุกข์ให้เป็นเฉยๆ
    เฉยๆก็เป็นเวทนาอีกอันหนึ่ง ไปคิดว่าเฉยๆ ไม่ใช่เวทนา ฉะนั้นมีเฉยๆ นะ
    ยังมีตัณหาอุปาทานภพชาติได้อย่างเดิม นั่นแหละ

    ดังนั้นการรู้เวทนาไม่ใช่เพื่อละเวทนา แต่เพื่อให้เห็นความจริงว่า
    กายนี้ไม่ใช่เรา เวทนาไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา แล้วจิตจะไม่กระเพื่อมหวั่นไหวเพราะเวทนา
    ไม่ใช่ไม่มีเวทนานะ แต่จิตไม่กระเพื่อมหวั่นไหวเพราะเวทนา

    ในการดูจิตก็เหมือนกัน จิตเป็นกุศลให้รู้ จิตมีราคะโทสะโมหะให้รู้
    จิตฟุ้งซ่านให้รู้ จิตสงบให้รู้
    รู้ในหลักเดียวกันคือ สติระลึกรู้สภาวะ มีปัญญารู้ลักษณะ
    เช่น ความโกรธเกิดขึ้น สติก็ระลึกได้ว่าความโกรธเกิดขึ้นมา
    ปัญญาหยั่งลงไปเห็นเลย ตัวที่โกรธอยู่ไม่ใช่เราโกรธหรอก ไม่มีตัวเราในความโกรธ
    ในจิตที่ไปโกรธ ไม่มีตัวเราในสัตว์บุคคลทั้งหลายที่ทำให้โกรธ จะเห็นว่าไม่มีตัวเรานะ

    บทสรุป
    ดังนั้นทำสติปัฏฐาน ไม่ว่าจะกายเวทนาจิตนะ สุดท้ายก็คือให้เห็นว่าไม่มีตัวมีตนนั่นเอง
    ละความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน ได้เป็นพระโสดาบัน ตามรู้ต่อไปจนเห็นความจริงว่าทั้งรูปทั้งนามมีแต่ทุกข์ล้วนๆ
    นี่คือเข้าใจทุกข์แจ่มแจ้ง ปล่อยวางความทุกข์
    หมดความยึดถือในขันธ์ เป็นพระอรหันต์

    ไม่มีทางเดินที่สองมากกว่านี้อีกต่อไปแล้ว ขอย้ำนะว่าไม่มีทางที่สองอีกต่อไปแล้ว
    นี่เป็นทางสายเดียวเท่านั้นที่จะถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ถ้าไม่เรียนก็ต้องลำบากต่อไปอีกเนิ่นนานนะ

    ที่มา: เวปวิมุตติ
     
  18. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    ความจริงความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เกิดจากการกีดกันเอาโลกธาตุบางส่วนมาเป็นตัวเราก่อน
    พอเราสร้างตัวเราขึ้นมามันก็มีสิ่งที่เกินตัวเราออกไป มีคนอื่นขึ้นมา มีโลกธาตุภายนอกที่แวดล้อมอยู่

    ถ้าเข้าใจความเป็นจริง
    จิตก็สลัดคืนสิ่งที่เรียกว่า ตัวเรา คืนให้โลกธาตุไป ก็เป็นอันเดียวกันหมด
    สภาวธรรมทั้งหลายจะเป็นอันเดียวกันหมด ไม่มีการแบ่งแยก ไม่แยกออกเป็นว่านี่เป็นธรรมภายใน
    เป็นธรรมภายนอก ไม่แยกเป็นธรรมที่หยาบ ธรรมที่ละเอียด ที่สุึข ที่ทุกข์ ที่ดี ที่ชั่ว ที่เป็นเรา ที่เป็นเขา
    อะไรอย่างนี้ สิ่งที่เป็นคู่ๆ ไม่มีนะ พอสลัดคืนแล้ว ไม่มี สิ่งที่เป็นคู่ๆ แต่เป็นหนึ่ง จิตเป็นหนึ่ง ธรรมก็เป็นหนึ่ง
    อยู่อย่างนั้่นแหล่ะ ถ้าเข้าถึงหนึ่ง ถึงจะเข้าถึงความจริงของศาสนาพุทธ


    จากหนังสือ

    เรียนธรรมคู่ เพื่อรู้ธรรมหนึ่ง

    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
     
  19. narin96

    narin96 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +28
    ได้รับหนังสือแล้วครับ
    ขอขอบคุณอย่างยิ่ง
     
  20. channarong_wo

    channarong_wo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +1,510
    โมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ เห็นแล้วปลื้มอกปลื้มใจ โอกาสอำนวยจะขอไปร่วมบุญถวายอาหารด้วยซักครั้ง
     

แชร์หน้านี้

Loading...