ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เ อ า ต น เ อ ง เ ป็ น พ ย า น

    [​IMG]

    พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)

    ธรรมะนี้เปรียบเหมือนผลไม้ที่เราไปบ้านญาติบ้านเพื่อน
    แล้วเขาเอาผลไม้ฝากเรา เราหยิบผลไม้ไว้ในมือของเรา
    แต่เราก็ไม่รู้เปรี้ยว หวาน ฝาดอะไรต่างๆ

    คือจับผลไม้แล้วก็ยังไม่รู้รสผลไม้
    จะรู้รสก็ต้องเอามาทาน ขบเคี้ยว
    จึงจะรู้ว่ามันเปรี้ยว มันหวาน
    มีรสชาติต่างๆ ตามสัญญาของเรา


    ธรรมะนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น
    ทุกอย่างท่านให้เอาตนเองเป็นพยาน ไม่ต้องเอาคนอื่น


    เรื่องของคนอื่นตัดสินยากลำบาก
    เพราะเป็นเรื่องของคนอื่น
    ถ้าเป็นเรื่องของเราแล้วมันง่ายที่สุด
    เพราะความจริงมันอยู่กับเรามีเราเป็นพยาน


    ธรรมะนี้เมื่อฟังแล้วก็ต้องเอามาภาวนา
    ให้เป็นปริยัติศาสนา ปฏิบัติศาสนา ปฏิเวธศาสนา


    ปริยัติคือการเรียนรู้
    รู้แล้วเอามาปฏิบัติตาม
    ก็เกิดความรู้ขึ้นมาตามความเป็นจริง

    ถ้าฟังเฉยๆ ก็รู้ด้วยสัญญา
    เอาไปพูดก็ตามสัญญา
    ไม่ได้พูดความจริงให้ฟัง


    นี่เราจึงยังเข้าไม่ถึงธรรมะ
    ไม่สอดส่องธรรมะ ใจยังไม่เป็นธรรม
    แต่พูดเป็นธรรมได้ ทำเป็นธรรมได้
    นี่เรียกว่ายังไม่สมบูรณ์แบบตามทางพุทธศาสนา


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    ที่มา : จากเทปพระธรรมเทศนาของหลวงปู่ชา ม้วนที่ ๒
    ใน
     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เมื่อวันก่อนได้โทรศัพท์ไปหาคุณพันธุ์ทิพย์ ซึ่งเป็นหัวหน้าหอสงฆ์ รพ.สมเด็จพระยุพราช (ปัว) จ.น่าน เพื่อถามเรื่องดินฟ้าอากาศ และเงินบริจาคเพื่อซื้อผ้าห่มหนาว จึงได้รับทราบว่า ขณะนี้ที่น่าน อากาศหนาวถึงหนาวเย็นมาก เงินบริจาคที่ได้ไป 7,000.- บาทนั้น จึงนำไปซื้อผ้าห่มแบบนวมได้ 10 ผืนๆ ละ 650.- รวมเป็น 6,500.-บาท เหลืออีก 500.- นำส่งเข้าเพื่อตั้งหลักไว้สำหรับสงฆ์อาพาธเพื่อรวมไว้กับเงินที่เราโอนไปทุกเดือนอยู่แล้วในบัญชีของโรงพยาบาล แถมบอกว่าการบริจาคคราวก่อนเป็นรายที่ 001 ในรอบปี 2551 น๊ะเนี่ย ผมก็เลยบอกว่าในเดือนธ้นวาคมนี้ จะบริจาคไปอีก 5,000.-น่าจะเป็นครั้งที่ 002 ได้เช่นกัน สำหรับผ้าห่มนวมที่ซื้อคุณพันธุ์ทิพย์ ก็จัดให้พระได้ใช้เลย เพื่อฉลองบุญเรา พร้อมกับฝากโมทนามายังพวกเราที่อยู่ทางกรุงเทพด้วย พร้อมบอกว่าถ้าอยากผจญกับความหนาวก็ให้มาที่น่าน ดอยภูคายิ้มรับเสมอ...

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2008
  3. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    เรียน ท่านพันวฤทธิ์
    ขอจองไว้ 1 องค์ 300 บาท รับที่ รพ.สงฆ์ ในวันที่ 21 ธค. ครับ

    รบกวนสอบถาม รายละเอียดของ กริชวังหน้า และ พระขรรค์วังหน้า
    ที่ท่านเคยแจ้งไว้ว่าจะให้ร่วมบุญ ครับ

    หมายเหตุ : หนังสือที่จองไว้ 1 เล่ม หากท่านนายสติยังไม่ได้ส่ง
    ผมขอเข้าไปรับในวันที่ 21 ธค. ด้วย ครับ

    โมทนาบุญกับทุกท่าน ครับ
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ตอบให้เลยครับ

    1.กริชมีอยู่ 5 ด้าม ทำบุญด้ามละ 400.- หักทุนและค่าหาของใหม่มาให้อีก 100.- เข้าทุนนิธิฯ 200.- สนับสนุนกองทุนค่าส่งพระของทุนนิธิฯ สำหรับผู้ที่ทำบุญผ้าห่มหรืออื่นๆ 50.- ช่วย Server เวบพลังจิต 50.-
    2.รับทราบการจองพระ ตามราคาและสัดส่วนค่าบูชาตามรายการที่แยกไว้คล้ายข้อ 1.ครับ
    3.หนังสือ รับได้ที่งาน พร้อมให้ท่าน อ.ประถมฯ ท่านเซ็นต์ให้เลยครับ

    พันวฤทธิ์
    14/12/51
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    นำมาทวนให้ดูอีกครั้ง พรุ่งนี้ผมและนายสติ จะไปถอนเงินจากบัญชีแล้ว และวันจันทร์จะเริ่มทยอยโอนไปยังบัญชีของแต่ละ รพ. ยกเว้นที่ ปัว และ ที่อุบล ที่ยังคงเป็นไปรษณีย์ธนาณัติครับ ส่วนเครื่องดูดเสมหะ 2 เครื่อง สำหรับถวายหลวงปู่แฟ้บเพื่อใช้ที่ รพ.นาหว้า จ.นครพนม ผมก็จะสั่งเครื่องให้นำมาส่งที่ รพ.สงฆ์เพื่อให้เราได้โมทนาและติดสติกเกอร์ทุนนิธิฯ ก่อนที่จะส่งผ่านไปยังลูกศิษย์หลวงปู่ฯคือคุณสุขสันต์ที่เป็นบุรุษพยาบาลประจำหอสงฆ์อาพาธที่ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่นและทำงานเดียวกับคุณวรารัตน์ที่เพิ่งได้รับเครื่องจากเราไป 1 เครื่อง เพื่อนำไปมอบให้หลวงปู่ที่ จ.สกลนครต่อไปครับ
     
  6. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    เรียน ท่านพันวฤทธิ์
    ขอจองกริช 1 ด้าม 400 บาท รับที่ รพ.สงฆ์ ในวันที่ 21 ธค. ครับ

    สรุป จอง
    1. พระ 1 องค์ 300 บาท
    2. กริช 1 ด้าม 400 บาท
    3. หนังสือ 1 เล่ม โอนแล้ว

    โมทนาบุญกับทุกท่าน ครับ
     
  7. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ผมขอจองเป็นองค์ที่2ครับจำนวน300บาทและหนังสืออีก 1เล่มรวมทั้งหมด 600บาทครับ แล้ววันอาทิตย์หน้าพบกันครับ
    ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2008
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ครั้งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว บริจาคเป็นคนที่ 2 ของกระทู้ คราวนี้มาดูด้วยตนเอง ดีครับ มาร่วมทำบุญก่อนปีใหม่กัน บางช่วงเวลาของปี ผมว่า ธันวาคม ของทุกปีนี่ล่ะ เหมาะแก่การทำบุญ อวยชัยให้พรดีที่สุด เพราะกาลเวลาจะเหมือนเดิมแต่เมื่อคนเรามีสมมุติ จึงเกิดมีปีใหม่ขึ้น เลยทำให้หลายสิ่งจึงดูเหมือนใหม่ แท้ที่จริงก็คนเดิม เวลาเดิม คือกัน แล้วเจอกันครับ
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=left width="78%" height=30>เรื่อง: อะไรมีค่าที่สุด.</TD><TD align=right width="22%">[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=line colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=message align=left colSpan=2>
    [​IMG]


    ถ้าเราลองมาคิดกันดูแล้ว สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตเราตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งวันตายคืออะไร...
    หลายคนอาจตอบว่า ทรัพย์สมบัติ สามี ภรรยา บุคคลอันเป็นที่รัก บุตร หรืออะไรอื่นๆ...
    แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่า ชีวิตของเรานั้นมีค่าที่สุด เพราะถ้าเราสิ้นชีวิตแล้ว สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นก็ไม่มีความหมายใดๆ...
    ชีวิตเป็นของมีค่าที่สุด ในจำนวนสิ่งที่เรามีอยู่ในโลกนี้ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็เป็นของมีค่าที่สุดในโลก สิ่งต่างๆในโลกช่วยให้เราพ้นทุกข์ชนิดถาวรไม่ได้ แต่พระธรรมช่วยเราได้ ผู้มีปัญญาทั้งหลายควรผนวกเอาสิ่งที่มีค่าที่สุดทั้งสองนี้ ให้ขนานทาบทับเป็นเส้นเดียวกัน อย่าให้แตกแยกจากกันได้เลย ดังพระพุทธพจน์ตอนหนึ่งว่า...


    กิจโฉ มนุสสปฏิลาโภ การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นของยาก
    กิจฉัง มัจจานัง ชีวิตัง การได้มีชีวิตอยู่เป็นของยาก
    กิจฉัง สัทธัมมะ สะสวนัง การได้ฟังพระสัจธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นของยาก
    กิจโฉ พุทธานมุปปาโท การบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าเป็นของยาก


    อะไรจะมีค่าที่สุดสำหรับผู้ที่ได้มานมัสการหลวงพ่อนั้นคงไม่ใช่ พระพรหมหรือเหรียญเปิดโลกของท่านอันเลื่องชื่อของท่าน...
    หลวงพ่อเคยเตือนศิษย์เสมอว่า "ข้าไม่มีอะไรให้แก...ธรรม...ที่สอนไปนั้นแหละให้รักษาเท่าชีวิต...
    ....อัปปมาโน สังโฆ... ขอน้อมสักการะหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ด้วยเศียรเกล้า...

    ที่มา หนังสือกายสิทธิ์

    http://www.amulet.in.th/forums/view_topic.php?

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ก็แล้วในเมื่อธรรมนั้น หลวงปู่ดู่ท่านให้รักษาจนสุดชีวีต แล้วธรรมนั้นคืออย่างไรเล่า...ผมจึงขอยกเอาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงแสดงไว้กว่า 2500 ปี ที่เป็น "ปฐมธรรม" แห่งการสั่งสอนไว้มาเพื่อเป็นอนุสติแก่พวกเราในเช้าวันนี้ครับ โดยเอาเฉพาะคำแปลภาษาไทย เพื่อให้ง่ายแก่การเข้าใจ และจดจำครับ

    [​IMG]
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔
    มหาวรรค ภาค ๑
    ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
    ปฐมเทศนา
    (การเทศนาครั้งแรก)


    ต่อไปนี้ คือคำแปล ของบทสวด ชื่อว่า ธัมมจักร ซึ่ง หากมองความหมายแล้ว ไม่ใช่บทสวด แต่เป็นคำสอน

    [๑๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะพระปัญจวัคคีย์ว่า ภิกษุทั้งหลาย ที่สุดสองอย่างนี้อันบรรพชิตไม่ควรเสพ คือ

    การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย เป็นธรรมอันเลว เป็นของชาวบ้านเป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑

    การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตน เป็นความลำบาก ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑


    ภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั้น นั่นตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน


    ภิกษุทั้งหลาย ก็ทางดำเนินสายกลางที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้น เป็นอย่างไร?

    ทางดำเนินสายกลางนั้น ได้แก่อริยมรรค มีองค์ ๘ นี้แหละ คือปัญญาอันเห็นชอบ ๑ความดำริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ตั้งจิตชอบ ๑

    ภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือทางดำเนินสายกลางนั้น ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง
    ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้เพื่อนิพพาน.

    [๑๔] ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขอริยสัจ คือ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์โดยย่นย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์

    ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขสมุทัยอริยสัจ คือตัณหาอันทำให้เกิดอีก ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิน มีปกติเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหาภวตัณหา วิภวตัณหา.

    ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธอริยสัจ คือ ตัณหานั่นแลดับ โดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สละ สละคืน ปล่อยไป ไม่พัวพัน.

    ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘นี้แหละ คือ ปัญญาเห็นชอบ ๑ ... ตั้งจิตชอบ ๑.

    [๑๕] ภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ.

    ภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้.

    ภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล เราก็ได้กำหนดรู้แล้ว.

    ภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขสมุทัยอริยสัจ

    ภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล ควรละเสีย.

    ภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล เราได้ละแล้ว

    ภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ.

    ภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล ควรทำให้แจ้ง.

    ภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล เราทำให้แจ้งแล้ว.

    ภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.

    ภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล ควรให้เจริญ.

    ภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล เราให้เจริญแล้ว.

    ญาณทัสสนะ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒

    [๑๖] ภิกษุทั้งหลาย ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเราในอริยสัจ ๔ นี้ มีรอบ ๓มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ ยังไม่หมดจดดีแล้ว เพียงใด ภิกษุทั้งหลาย เรายังยืนยันไม่ได้ว่าเป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เพียงนั้น.

    ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดแล ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเรา ในอริยสัจ ๔ นี้มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ หมดจดดีแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้น เราจึงยืนยันได้ว่าเป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์.

    อนึ่ง ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความพ้นวิเศษของเราไม่กลับกำเริบ ชาตินี้เป็นที่สุด ภพใหม่ไม่มีต่อไป.

    ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลีปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา.

    [๑๗] ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมจักรให้เป็นไปแล้ว เหล่าภุมมเทวดาได้บันลือเสียงว่า นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม พระผู้มีพระภาคทรงประกาศให้เป็นไปแล้ว ณป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือ
    ใครๆ ในโลก จะปฏิวัติไม่ได้.

    เทวดาชั้นจาตุมหาราช ได้ยินเสียงของพวกภุมมเทวดาแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไป.
    เทวดาชั้นดาวดึงส์ ได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไป.
    เทวดาชั้นยามา ...
    เทวดาชั้นดุสิต ...
    เทวดาชั้นนิมมานรดี ...
    เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวดี ...
    เทวดาที่นับเนื่องในหมู่พรหม ได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวดีแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไปว่า นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม พระผู้มีพระภาคทรงประกาศให้เป็นไปแล้วณ ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหมหรือใครๆ ในโลก จะปฏิวัติไม่ได้.

    ชั่วขณะการครู่หนึ่งนั้น เสียงกระฉ่อนขึ้นไปจนถึงพรหมโลก ด้วยประการฉะนี้แล.

    ทั้งหมื่นโลกธาตุนี้ได้หวั่นไหวสะเทือนสะท้าน ทั้งแสงสว่างอันยิ่งใหญ่หาประมาณมิได้ได้ปรากฏแล้วในโลก ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย.

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งพระอุทานว่า ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ เพราะเหตุนั้น คำว่า อัญญาโกณฑัญญะนี้ จึงได้เป็นชื่อของท่านพระโกณฑัญญะ ด้วยประการฉะนี้.

    ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จบ
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    แล้วโดยสรุปย่อ "ธรรม" ที่พระพุทธองค์ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้วเป็นอย่างไร


    [​IMG]


    อริยสัจ 4 คือทางเดินสู่พระนิพพาน

    <TABLE cellSpacing=20 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>
    อริยสัจ4 ความหมาย เป็นหลักธรรมที่ค้นพบโดยพระพุทธเจ้า



    หลักธรรม ​



    1. ทุกข์ ความไม่สบายกาย เดือดร้อนใจ ทุกข์เพราะไม่สมหวัง


    พลัดพรากจากคนรักและของชอบใจ และทุกข์เนื่องจากมีขันธ์5


    2. สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ ได้แก่ตัณหาได้แก่


    - กามตัณหา คือความอยากในกามคุณ ได้แก่ รูป


    เสียง กลิ่น และรส


    - ภวตัณหา คือ ความอยากมี อยากเป็น


    - วิภวตัณหา คือ อยากให้ตนเองไม่เป็นอย่างนั้น


    อย่างนี้


    3. นิโรธ ความดับทุกข์ คือการกำจัดกิเลสตัณหาไปให้หมด


    ให้จิตว่างจากกิเลส นิวรณ์


    4. มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่ศีล สมาธิและปัญญา


    หรืออริยมรรคมีองค์ 8ได้แก่


    1. ความเห็นถูกต้องชอบธรรม คือรู้เห็นสิ่งทั้งปวงตามความเป็นจริง


    2. ความคิดถูกต้องชอบธรรม คือ


    - คิดเป็นอิสระออกจากกาม


    - คิดไม่พยาบาท


    - คิดไม่เบียดเบียน


    3. การพูดจาถูกต้องชอบธรรม คือ


    - ไม่พูดโกหก


    - ไม่พูดส่อเสียด


    - ไม่พูดคำหยาบ


    - ไม่พูดเพ้อเจ้อ


    4. การกระทำถูกต้องชอบธรรม คือ


    - งดเว้นจากการฆ่าสัตว์


    - งดเว้นจากการลักทรัพย์


    - งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม


    5. การเลี้ยงชีวิตถูกต้องชอบธรรม คือ ประกอบอาชีพสุจริต


    6. ความพากเพียรถูกต้องคือ


    -. เพียรป้องกันบาปที่ยังไม่เกิด


    - เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว


    - เพียรปลูกฝังบุญกุศลที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น


    - เพียรรักษาเพิ่มพูนบุญกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ให้เต็มเปี่ยม


    7. ความระลึกถูกต้องชอบธรรม


    8. ความตั้งใจมั่นถูกต้องชอบธรรม คือมีจิตแน่วแน่ เห็นความเกิด


    ดับ มรรค ผล และนิพพาน ​



    โดยลูกศิษย์ ผศ.นภาจรี นำเบญจพล ​


    </TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สำหรับผมผู้ที่มีความจำน้อย และขี้เกียจมาก เลยเอาแค่ย่อๆ คือ สำรวม-ระมัดระวัง-ปฏิบัติ ใน ทาน-ศีล-ภาวนา ในแต่ละวันให้พอเหมาะพอควร แค่นี้พอแล้วครับ มันจะถึงแค่ไหนก็ช่างมัน เพราะตึงไปก็ถูกมองว่าบ้า หย่อนไป ก็ถูกมองว่าเลว อยู่กับมันด้วยความเป็นจริงนี่แหละสบายดี ว่ามั๊ย...
     
  13. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    เอารูปครุฑที่พวกเราถ่ายไว้มาให้ดูค่ะ มุมขวาบนค่ะ

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0905.JPG
      IMG_0905.JPG
      ขนาดไฟล์:
      453.9 KB
      เปิดดู:
      810
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2008
  14. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    เมื่อก่อนนี้กว่าจะได้รูปครุฑต้องตั้งกล้องกันนานๆและได้ภาพระยะไกลต้องมาขยายกันเอง แต่ล่าสุดที่พม่าเราเห็นได้ด้วยตาเปล่าค่ะ และไม่ได้มาเพียงองค์เดียว มากันมากมายจริงๆ ปกติครุฑจะต่างจากเทวดา(หรือที่เรียกกันว่ากล้องเสียบ้าง ไอน้ำบ้าง)ตรงที่แสงจะสว่างจ้ามากๆและรูปร่างก็จะแตกต่าง ดูไกลๆคล้ายกางเขน รูปที่ให้ดูจะเห็นแขนขาและปีกชัดมากๆค่ะ แต่ที่เห็นจริงๆจะระยิบระยับสวยงามมากเลยค่ะ
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เห็นภาพพญาครุฑแล้วหลายคนอาจมองว่าเป็นสิ่งเหลือเชื่อ แต่หากสำหรับผู้ที่ทรงฌาณแล้ว หาใช่เรื่องงมงายแต่ประการใด ครั้งหนึ่งไปที่ท่าพระจันทร์กับคุณโสระ ได้เจอกับรัตนชาติประเภทหนึ่ง แกะเป็นรูปครุฑ คุณโสระจึงได้กำหนดดูและรู้ว่ามีพลังมาก จึงบูชามา เพื่อให้พี่ใหญ่ตรวจซ้ำ พอพี่ใหญ่กำหนดดู ถึงกับยอมรับว่าแรงจริง และมีอำนาจจริง คุณโสระได้เล่าให้ฟังว่าพอคุณโสระนำกลับเข้าบ้านโดยใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อแล้วลืมถอดออก ตกกลางคืนลูกชายคุณโสระถึงกับผวากลางดึกร้องไห้ตลอดรีบคลานลงจากเตียง เหมือนกับตกใจอะไรสักอย่าง จนคุณโสระต้องบอกกล่าวท่าน ถึงได้หลับนอนกันต่อได้ (ต้องให้คุณโสระมาโพสทืเพิ่ม) นับว่าครุฑนั้นมีอิทธิฤทธิ์ไม่เบาและมีจริง แต่มีข้อห้ามเล็กน้อยคือ ไม่ควรนำไปใช้หรือแขวนรวมกับพระนาคปรก เพราะทั้ง 2 เทพนี้ ยังไงเจอกันก็ต้องสู้กัน อาจไม่สงบสุขง่ายๆ ดีไม่ดีพลังทั้ง 2 อาจซัดกันเอง ทำให้ผู้แขวนเกิดความเจ็บป่วยได้ จึงขอเตือนไว้ก่อน และที่สำคัญก็คือใครแขวนครุฑระวังจะหมดตัวเพราะผู้หญิง เพราะพญาครุฑแพ้ทางสาวสวยจริง ๆ พร้อมนี้จึงขอนำพลังบารมีของพญาครุฑสำหรับผู้ที่บูชาท่าน มาให้อ่านพอเป็นความรู้กันครับ


    <!-- START HOME FREE HEADER CODE --><!-- END HOME FREE HEADER CODE --><!-- Mirrored from www.thai.to/devalai/story3.htm by HTTrack Website Copier/3.x [XR&CO'2004], Thu, 28 Oct 2004 05:48:17 GMT --><META content=Word.Document name=ProgId><META content="Microsoft Word 10" name=Generator><META content="Microsoft Word 10" name=Originator><LINK href="%ba%d2%c3%c1%d5%e1%cb%e8%a7%be%ad%d2%a4%c3%d8%b1.files/filelist.xml" rel=File-List><STYLE><!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Angsana New";}span.SpellE {mso-style-name:""; mso-spl-e:yes;}@page Section1 {size:595.3pt 841.9pt; margin:72.0pt 90.0pt 72.0pt 90.0pt; mso-header-margin:35.4pt; mso-footer-margin:35.4pt; mso-paper-source:0;}div.Section1 {page:Section1;} /* List Definitions */ @list l0 {mso-list-id:1514101696; mso-list-type:hybrid; mso-list-template-ids:-755186692 539791106 67698713 67698715 67698703 67698713 67698715 67698703 67698713 67698715;}@list l0:level1 {mso-level-number-format:thai-2; mso-level-tab-stop:54.0pt; mso-level-number-position:left; margin-left:54.0pt; text-indent:-18.0pt;}@list l0:level2 {mso-level-number-format:alpha-lower; mso-level-tab-stop:90.0pt; mso-level-number-position:left; margin-left:90.0pt; text-indent:-18.0pt;}ol {margin-bottom:0cm;}ul {margin-bottom:0cm;}--></STYLE><!-- START HOME FREE HEADER CODE --><!-- END HOME FREE HEADER CODE -->


    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER>

    บารมีแห่งพญาครุฑ<O:p</O:p


    สู่ความเจริญรุ่งเรืองแห่งชีวิต
    <O:p</O:p

    ตำนานพญาครุฑ<O:p</O:p
    ในตำนานเมืองฟ้าป่าหิมพานต์นั้นมีเรื่องราวของสัตว์ที่มีอิทธิฤทธิ์มากมายหลายชนิดเช่น ราชสีห์ คชสีห์ อันมีลำตัวเป็นสิงห์แต่มีศีรษะเป็นช้าง กินรี กินนรและสัตว์แปลก ๆ อีกมากมาย ในบรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้นมีสองอย่างที่นับว่าเป็นเทพเดรัจฉานมีฤทธิ์มากคือ หนึ่งเป็นพญานาคราชจ้าวแห่งบาดาล และอีกหนึ่งคือพญาครุฑจ้าวแห่งเวหา
    <O:p</O:p
    นาคและครุฑต่างเป็นสัตว์ที่คู่กันตามตำนาน มีเรื่องราวเล่ากันว่าสัตว์กายสิทธิ์ทั้งสองนี้มีบิดาเดี่ยวกันคือมหาฤาษีกัสยปะเทพบิดรแต่คนละแม่โดยพญาครุฑนั้นมีมารดาเป็นภรรยาหลวง ส่วนนาคนั้นมีแม่เป็นภรรยาคนรอง นางทั้งสองนี้ไม่ถูกกันมีเรื่องกันตลอดจนในที่สุดความผิดใจกันนี้ลามไปถึงลูกของตนด้วย จึงเป็นเหตุให้นาคและครุฑม่ถูกกันในเวลาต่อมา
    <O:p</O:p
    พญานาคนั้นมีวิมานอันเป็นทิพย์อยู่ในบาดาล ส่วนครุฑก็มีวิมานทิพย์อยู่ที่เชิงเขาไกรลาส กล่าวว่าองค์พญาครุฑนั้นมีนามว่าท้าวเวนไตย เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ท้าวสุบรรณ มีกายเป็นรัศมีสีทองมีเดชอำนาจมากที่สุดในหมู่ครุฑทั้งหลายอาศัยเกาะอยู่ตามต้นงิ้ว อาศัยผลงิ้วและน้ำดอกไม้จากต้นงิ้วเป็นอาหารทิพย์ ลูกพญาครุฑจะโตขึ้นนับเวลาอายุเป็นข้างขึ้นข้างแรมตามจันทรคติ เติบโตด้วยบุญกุศลที่เคยทำมา หากลูกครุฑตนใดที่มีบุญญาธิการมามาก อำนาจบุญจะบันดาลให้เกิดผลงิ้วทิพย์และน้ำหวานจากดอกไม้มาบำเรอลูกครุฑตนนั้น ๆ และลูกครุฑตนดังกล่าวจะจำเริญวัยได้อย่างรวดเร็ว
    <O:p</O:p
    ครุฑเป็นสัตว์กึ่งโอปปาติกะ หรือกึ่งพวกกายทิพย์คล้ายชาวลับแลและพวกพญานาคอยู่อีกมิติหนึ่งจากโลกของเรา ผู้ที่จะสามารถพบเห็นครุฑได้ต้องเคยมีบุญร่วมกับพวกเขามาจึงสามารถรับรู้ถึงกันและกันได้ เหมือนกับผู้ที่สามารถติดต่อกับพญานาคได้ก็เช่นกันล้วนต้องเป็นผู้ที่มีวาสนาต่อกันมาตั้งแต่อดีตทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องสาธารณะที่จะรู้กันได้ทั่วไปเช่นเรื่องสามัญ
    <O:p</O:p
    เรื่องของครุฑเป็นเรื่องราวที่มีความอัศจรรย์โลดโผนยิ่งกว่าเรื่องราวของพญานาคเสียด้วยซ้ำไป แต่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้กันเพราะไม่ได้ศึกษาและอาจไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก ความเป็นจริงแล้วเรื่องครุฑเป็นเรื่องที่น่าศึกษามาก เพราะทางฮินดูเขานับถือครุฑว่าเป็นเทพเจ้าสำคัญพระองค์หนึ่ง แม้ในทางไทยเราเอง ทางไสยศาสตร์ก็ให้ความนับถือเกี่ยวกับครุฑนี้มาก ดูอย่างตราแผ่นดินเองก็มีรูปลักษณะเป็นครุฑ จึงน่าสนใจว่า
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    สำหรับกิจกรรมและประมาณการค่าใช้จ่ายในเดือน ธันวาคม 2551 นี้ มีรายละเอียดดังนี้


    1. การบริจาคปัจจัยสำหรับสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ


    - รพ.สงฆ์ กทม.
    - ถวายสังฆทานอาหาร สำหรับฉันเช้า 5,000.-
    (พระสงฆ์ประมาณ 200 รูป)
    - ถวายซื้อโลหิต 7,500.-
    - ถวายซื้อเวชภัณฑ์ส่วนกลาง 7,500.-

    - รพ.แม่สอด จ.ตาก 5,000.-
    - รพ.มหาราช (สวนดอก) จ.เชียงใหม่ 5,000.-
    - รพ.สมเด็จพระยุพราช (ปัว) จ.น่าน 5,000.-
    - รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น 5,000.-
    - รพ.50 พรรษามหาวชริราลงกรณ จ.อุบลฯ 5,000.-
    - รพ.สงขลา จ.สงขลา 5,000.-


    2. บริจาคสำหรับการซื้อเครื่องดูดเสมหะ

    - ซื้อเครื่องดูดเสมหะถวายพระสงฆ์อาพาธที่ รพ.ศรีนครินทร์
    จ.ขอนแก่น เป็นการเร่งด่วน คือท่านรองเจ้าคณะอำเภอบ้านไผ่ โดยได้ทำ
    การจัดส่งเครื่องไปให้แล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 4/12/51 จำนวน 1 เครื่อง เป็นเงิน5,000.-

    - ซื้อเครื่องดูดเสมหะถวายท่านหลวงปู่แฟ๊บ เพื่อสำหรับใช้ใน
    การรักษาสงฆ์อาพาธ และประชาชนทั่วไป 2 เครื่อง
    ที่ รพ.นาหว้า จ.นครพนม 10,000.-


    รวมเป็นเงินที่ต้องใช้จากบัญชีตามข้อ 1.และ 2. 65,000.-
    (หกหมื่นห้าพันบาทถ้วน)


    สำหรับยอดเงินคงเหลือในบัญชี จะได้มีการปรับปรุงสมุดบัญชี และจะนำมาแจ้งให้ทราบต่อไป


    ขอลอกมาจากหน้า 138 เมื่อวานได้ดำเนินการถอนเงินจำนวนดังกล่าวออกมาจากบัญชีแล้ว คงเหลือยอดในบัญชีราวๆ 190,000.- กว่าบาท และเมื่อวานนี้อีกเช่นกัน ได้ดำเนินการโอนเงินไปแล้วทั้ง 4 รพ. คือ

    1. รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่ 5000.-
    2. รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น ผ่านทาง กองทุนหลวงปู่เทสก์ 5000.-
    3. รพ.แม่สอด จ.ตาก 5000.-
    4. รพ.สงขลา จ.สงขลา 5000.-

    วันนี้ จะดำเนินการส่งไปรษณีย์ธนาณัติไปยังที่เหลืออีก 2 รพ. คือ

    1. รพ.50 พรรษาฯ จ.อุบล 5000.-
    2. รพ.สมเด็จพระยุพราช (ปัว) จ.น่าน 5000.-

    หลักฐานการโอนผ่านธนาคารในรายการที่ 1-4 เมื่อวานได้มอบให้นายสติเตรียมโพสท์ขึ้นกระทู้แล้ว

    เมื่อวานนี้เช่นกัน หลังจากที่ได้โอนเงินแล้ว ได้มีการประชุมคณะกรรมการทุนนิธิ เพื่อสรุปการจัดกิจกรรมในวันที่ 21/12/51 พอสรุปคร่าวๆ ได้ดังนี้

    1. จำนวนพระที่จะถวายสังฆทานจะได้ยอดที่ใกล้เคียงในวันเสาร์นี้ แต่คาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 170 รูป

    2.จะทำการสรุปรายงานทั้งหมดใน 1 ปี ที่ผ่านมา ถึงจำนวนพระที่ถวายสังฆทาน และจำนวนเงินที่บริจาคไปทั้งหมด

    3.จะให้ทุกคนได้โมทนาบุญสำหรับเครื่องดูดเสมหะทั้ง 2 เครื่อง โดยจะนำเครื่องมาให้ดูก่อนที่จะให้ท่าน อ.ประถม อาจสาคร ติดสติกเกอร์ของทุนนิธิฯ เพื่อที่จะนำไปมอบให้หลวงปู่แฟ้บต่อไป

    4.จะมอบพระสกุลวังหน้าและอื่นๆ ให้เป็นที่ระลึกแก่ผู้ร่วมไปงาน
    - พระสมเด็จปัญจสิริ
    - พระสมเด็จที่ได้รับมอบจากคุณสิทธิพงษ์ จากกระทู้พระวังหน้าฯ
    - ชายอังสะของหลวงปู่แฟ้บ (นำมาตัดเป็นริ้วๆ)

    5.กิจกรรมการสอนดูพระโดยนายสติ สำหรับนักเรียนดูพระ ซึ่งคราวนี้มีหลายพิมพ์หลายขนาด

    6. การมอบหนังสือ "ปู่เล่าให้ฟัง ฉบับสมบูรณ์" โดยเป็นลายเซ็นต์สดและรับมอบจากท่าน อ.ประถมฯ เอง

    7.กิจกรรมอื่นๆ
    - ตอบข้อซักถามเรื่องพระสกุลวังหน้า จากท่าน อ.ประถมฯ
    - การตรวจพระโดยน้องตาดี
    - การให้บูชาวัตถุมงคลคือกริช และพระสกุลพระมหาธรรมราชา

    จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ทราบแค่นี้ก่อนครับ สำหรับผู้ที่เคยทำบุญกับทุนนิธิฯ มาแล้ว คราวนี้ อยากได้พระข้างต้น บางส่วนที่เหลือจากการแจกให้ผุ้ที่มาร่วมกิจกรรมแล้ว ให้แจ้งรายชื่อมาที่คุณโสระได้เลยครับ เพราะจะได้กันพระไว้ให้ พร้อมกับค่าส่ง 100.- ค่าส่งประมาณ 50.-ที่เหลือโอนเข้าทำบุญกับทุนนิธิฯ ให้หมดเช่นกัน ถ้าพระที่แจกหมด ก็จะมีพระอื่นส่งไปให้ รับรองอิทธิคุณไม่แพ้กันเช่นกัน (แต่คิดว่าพระน่าจะมีพอส่งให้ครับ)


    พันวฤทธิ์
    15/12/51
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 8 มิถุนายน 2551 14:25:20 น.-->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๘๔ | ทรงประทับเรือขนาน
    <!-- Main -->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๘๔ : ทรงประทับเรือขนาน


    ทรงประทับเรือขนาน

    ครั้งหนึ่งได้เกิดภัยพิบัติ ๓ ประการขึ้น ในนครเวสาลี แคว้นวัชชี ได้แก่
    ( ๑ ) ทุพภิกขภัย คือ เกิดข้าวยากหมากแพง ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ประชาชนพากันอดอยากหิวโหยล้มตาย
    ( ๒ ) อมนุษยภัย คือ เหล่าภูติผีปีศาจทั้งหลายต่างเข้ามาหลอกหลอนเบียดเบียนชาวเมือง
    ( ๓ ) อหิวาตกภัย คือ เกิดอหิวาตกโรคระบาด ชาวเมืองก็ยิ่งเจ็บป่วยล้มตายมากขึ้น

    [​IMG]

    ในเวลานั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาจำพรรษา ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร เจ้าลิจฉวีนามว่า มหาลี ผู้มีความสนิทสนมกับพระเจ้าพิมพิสาร เข้าเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อทูลอาราธนาไปช่วยดับทุกข์ชาวเมือง เมื่อพระบรมศาสดาทรงใคร่ครวญดูแล้ว จึงได้รับคำอาราธนา

    ฝ่ายพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อทราบช่าว ได้เข้ากราบทูลพระพุทธองค์ ให้ทรงรอก่อน เนื่องจากวิถีทางสัญจรยังไม่ดีนัก แล้วทรงโปรดให้ปรับปรุงทางสัญจรทางสถลมารค ยาวประมาณ ๕ โยชน์จากกรุงราชคฤห์ ถึงแม่น้ำคงคา ทุกระยะวิถี ๑ โยชน์ ก็โปรดให้สร้างวิหารสำหรับประทับพัก พร้อมด้วยที่พำนัก ของพระสงฆ์ผู้ตามเสด็จ

    ครั้นทางเสร็จเรียบร้อย พระเจ้าพิมพิสาร จึงทูลเชิญพระบรมศาสดา เสด็จเดินทาง พร้อมด้วยพระสงฆ์ ๕๐๐ เดินทางไปวันละ ๑ โยชน์ รวม ๕ ราตรี จึงเสด็จถึงฝั่งแม่น้ำคงคา แล้วเสด็จลงราชนาวา เรือพระที่นั่ง โดยมีพระเจ้าพิมพิสารเสด็จส่งลงเรือ ลุยลงไปในน้ำประมาณเพียงพระศอ แล้วกราบทูลว่า “หม่อมฉันจะมารอรับเสด็จ ณ ที่นี้ ในยามที่พระชินสีห์เสด็จกลับยังกรุงราชคฤห์อีกครั้ง” เมื่อเรือพระที่นั่งเสด็จออกจากท่า มหาชนพากันทำสักการะบูชาอย่างยิ่งใหญ่ ไม่มีครั้งใดเสมอเหมือน

    [​IMG]
    พระพุทธรูปปางประทับเรือขนานทำเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งบนบัลลังก์ ทรงห้อยพระบาท แท่น พระหัตถ์ทั้งสองข้างวางคว่ำ บนพระชานุ ( เข่า ) พระบาททั้งสองวางอยู่บนดอกบัว



    ข้างฝ่ายเจ้าลิจฉวี ก็ให้ชาวเมืองไพศาลี จัดแจงวิถีทาง ต้อนรับพระบรมศาสดา ที่ทรงมาถึงท่าเรือนครเวสาลี แล้วเจ้าชายมหาลีจึงเชิญเสด็จพระพุทธองค์ขึ้นจากเรือ และถวายการต้อนรับอย่างมโหฬาร เช่นเดียวกันทั้งสองพระนคร


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE height="95%" width="99%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="75%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=2><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 8 มิถุนายน 2551 14:27:53 น.-->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๘๕ | ทรงห้ามพยาธิ
    <!-- Main -->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๘๕ : ทรงห้ามพยาธิ

    ทรงรับสั่งให้พระอานนท์สวดรัตนสูตร
    และประพรมน้ำพระพุทธมนต์ บรรเทาภัยของชาวเมือง


    เมื่อพระพุทธองค์เสด็จถึงเมืองเวสาลีตามคำกราบทูลเชิญของกษัตริย์ลิจฉวีแล้ว องค์พระบรมศาสดาทรงรำลึกถึงพระบารมีที่ทรงบำเพ็ญเพียรมาตั้งแต่อดีตชาติ ทันใดนั้น เมฆเริ่ิมตั้งเค้า ฟ้าแลบแปลบปลาบ แล้วฝนก็กระหน่ำลงมามืดฟ้ามัวดิน ไม่นานก็เกิดน้ำหลากพัดพาซากศพมนุษย์และสิ่งปฏิกูลทั้งหลายออกสู่ทะเลจนสิ้น


    [​IMG]


    เมื่อฝนหยุดตก พื้นแผ่นดินจึงสะอาดปราศจากสิ่งปฏิกูล อากาศที่ีร้อนก็พลันเย็นลง ทรงรับสั่งให้พระอานนท์สวดรัตนสูตรและประพรมน้ำพระพุทธมนต์ ให้กำลังใจประชาชนต่อสู้กับสถานการณ์เลวร้าย ด้วยการประพฤติธรรม พร้อมทั้งตรัสสอนให้รู้จักเสียสละความสุขเล็กน้อยของตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม จึงจะพบกับความสุขที่แท้จริง ในที่สุดเมืองเวสาลีก็กลับคืนสู่สภาพปรกติด้วยพุทธานุภาพ มหาชนทั้งหลายเมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนา ต่างเกิดศรัทธาประกาศตนเป็นพุทธมามกะ


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงสำหรับภาพและเนื้อเรื่อง
    http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=travelaround&date=08-06-2008&group=37&gblog=5




    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]


    ความสุข ๒ ชั้น ( ธรรมะเดลิเวอรี่)
    โลกสอนมนุษย์ว่าทุกสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง.แต่โลกก็กลับสอนให้มนุษย์ผูกพัน
    โดยพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต
    ***
    อาตมาอ่านเจอกลอนในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ที่ผู้เขียนระบายไว้ได้สาแก่ใจมากเลย
    เร็ว ก็หาว่าล้ำหน้า
    ช้า ก็หาว่าอืดอาด
    โง่ ก็ถูกตวาด
    พอฉลาด ก็ถูกระแวง
    ทำก่อน บอกไม่ได้สั่ง
    ทำทีหลัง บอกไม่มีหัวคิด
    เฮ้อ นี่แหละชีวิตคนทำงาน


    ข้างต้น น่าจะเป็นกลอนที่โดนใจบรรดาคนทำงานหลายๆ คน เพราะสะท้อนความรู้สึกกดดันอย่างชัดเจน

    ซึ่งจากการได้พูดคุยกับโยมที่เข้ามาปรึกษาหารือถึงสาเหตุที่ทำงานกันอย่างไม่มีความสุขก็มีปัจจัยมากมาย เช่น ทำงานที่ตัวเองไม่ถนัด ทำงานที่ไม่ชอบ โดนหัวหน้างานกดขี่ หรือรู้สึกว่าหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายนั้นต่ำต้อย ฯลฯ
    โดยจะว่าไปแล้ว บริษัทก็เหมือนกับบ้านหลังที่สองของเรา บางคนใช้ชีวิตในบริษัทมากกว่าที่บ้านซะอีก เพราะต้องตื่นขึ้นมาทำงานตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ กลับถึงบ้านก็ ๒-๓ ทุ่ม วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง หากต้องใช้ชีวิตในการทำงาน (รวมนั่งรถไป-กลับ) วันละ ๑๐ กว่าชั่วโมงแล้ว ถ้าโยมไม่มีความสุขกับงานที่ทำ จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมากๆ

    อาตมาชอบใจคุณยามที่บริษัทแห่งหนึ่งมาก เคยถามเขาว่า ไม่เบื่อเหรอ เปิดประตูทั้งวัน เขาตอบกลับอย่างฉะฉานว่า

    ' ไม่เบื่อหรอกครับท่าน เพราะคนจะเข้าไปที่นี่ได้หรือไม่ได้ มันอยู่ที่ผม ถ้าผมไม่เปิดประตู ไม่อนุญาตหรือบอกไม่ให้เข้า เขาก็ไม่ได้เข้านะ อย่างพระอาจารย์มาบรรยายที่นี่ ผมไม่ให้เข้าก็ได้ ... แต่ผมให้เข้าครับ' ( แล้วไป)

    อาตมาจึงไม่แปลกใจเลย เวลาไปทำธุระที่บริษัทนี้ทีไร มักเห็นเจ้าหมอนี่ ทำหน้าที่ตัวเองอย่างกระตือรือร้น ก็เพราะเขามีทัศนคติที่ดีต่อหน้าที่ เห็นความสำคัญของตัวเอง จึงทำให้เขาทำงานได้อย่างมีความสุข (แถมมีมุขอำกลับอาตมาอีกต่างหาก)

    ดังนั้นอาตมาจึงอยากจะหนุนใจญาติโยมที่กำลังรู้สึกย่ำแย่กับงานของตัวเองว่า
    ถ้าเราทำงานจนเมื่อยมือเหลือเกิน
    ก็จงดีใจเถอะ ที่มีมือให้เมื่อย
    ถ้าเราเดินไปเดินมาจนปวดขาเหลือเกิน
    ก็จงดีใจเถอะ ที่มีขาให้ปวด
    ถ้าเราเห็นหัวหน้า แล้วเซ็งเหลือเกิน
    ก็จงดีใจเถอะ ที่มีหัวหน้าให้เซ็ง
    ถ้าเราเห็นงาน แล้วเราเบื่องานเหลือเกิน
    ก็จงดีใจเถอะ ที่มีงานให้เบื่อ


    เพราะหลายคนพอไม่มีงานให้ทำ ก็จะประท้วงกัน อยากทำงาน ! อยากทำงาน ! ดังนั้นเมื่อคุณโยมมีโอกาสทำแล้ว ก็จงทำให้ดีที่สุด เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนทัศนคติต่องานที่ทำก่อน เห็นความสำคัญของหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ได้ ทำมันอย่างเต็มที่และดีที่สุด เหมือนดั่งคุณยามที่อาตมายกมาเป็นตัวอย่างข้างต้น
    อาตมาเคยอ่านเจอคำแนะนำของท่านพระธรรมปิฎก (ป.อ.ประยุตฺโต) ในหนังสือเล่มหนึ่ง ท่านเขียนชี้แนะไว้ว่า
    งานมีผลตอบแทนสองชั้นด้วยกัน
    ผลตอบแทนชั้นที่ ๑ คือ ตอนเงินเดือนออก นี่คือความสุขชั้นที่หนึ่ง ซึ่งหลายๆ คนมีความสุขในการทำงานแค่วันนั้นวันเดียว แต่ถ้าเราสามารถพัฒนาตัวเองไปพร้อมกับงานได้ มันก็จะก้าวไปสู่อีกระดับ อันนำมาซึ่งผลตอบแทนหรือความสุขชั้นที่ ๒ นั่นเอง

    หนึ่งเดือน คุณโยมอยากมีความสุขเพียง ๑ ชั้น หรือ ๒ ชั้น ก็เลือกเอาตามใจชอบเลย
    เจริญพร...


    http://www.dhammajak.net/dhamma/100.html
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]
    .. เหตุผลที่เราควรรักแม่ มากกว่าแฟน ..

    แม่. . . ไม่เคยหลอกให้เราหลงรัก
    เพราะเราเต็มใจรักแม่ โดยไม่ต้องหลง

    ...


    แม่. . . อาจเคยตีเราให้เจ็บ แต่ไม่เคยทำให้เราเจ็บหัวใจ
    แม่. . . ส่งเสียเรา แต่เราต้องส่งเสียแฟน




    ...
    แม่. . . ไม่เคยบอกเลิก
    แม่. . . เป็นแบงค์ส่วนตัวที่เวลากู้ไม่เคยคิดดอกเบี้ย
    และไม่ค่อยทวงคืน

    ...


    แม่. . . เห็นเราเดินแก้ผ้าตั้งแต่เล็ก โดยไม่เคยติเรื่องรูปร่าง
    แม่. . . เป็นคนที่เห็นเราดีกว่า แฟนของแม่เสมอ
    ขอหอมแม่ไม่ยากเท่าขอหอมแฟน




    ...
    แม่. . . ยอมตัดสะดือตัวเองเพื่อให้เราเกิดมา
    แม่. . . สอนให้เราพูดได้ เพื่อจะไปบอกรักแฟนตอนโต
    แม่. . . ยอมเป็นยายอ้วนลงพุงตั้ง 9 เดือน
    เพื่อให้เราอาศัยอยู่ข้างใน


    ...


    และในประเทศนี้ไม่มี . . .
     
  20. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285

    พระที่จะนำไปให้ชมได้ศึกษากันจะมีดังนี้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...