พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. ksriuta

    ksriuta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,049
    ค่าพลัง:
    +2,966
    เห็นด้วยครับ ถ้ามีคนไปทำอย่างคุณsithiphong ว่าจริงๆ คุณsithiphong ก็จะบาปไปด้วยครับ
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมทราบครับว่า ผมมีกรรมด้วย แต่กรรมนั้น ก็น้อยกว่ามาก แต่ไม่ใช่กรรมเรื่องของการปรามาสครับ

    ขอบคุณสำหรับทุกๆความเห็นครับ

    แต่บางครั้งผมเองก็ได้พยายามอดทน แต่ความอดทนผมยังไม่มีมากพอ คงต้องฝึกฝนต่อไป

    กรรมของการปรามาสมาช้า แต่หากมาแล้ว ก็หนักมาก บางครั้งผมก็อยากเร่งกรรมให้กับคนที่ปรามาส ให้ได้รับผลโดยเร็วครับ

    ผมก็คงจะอดทนให้มากกว่านี้ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับกำลังใจที่ทุกๆท่านมีให้ผม ขอบคุณครับ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมเองนั้น เสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ที่มีองค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ใช้เวลานับสิบปี ใช้เงินมามาก ที่สำคัญใช้แรงกาย แรงใจยิ่งมาก

    เมื่อเราพบแล้ว ก็ต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ครูบาอาจารย์จึงเมตตาสั่งสอนอบรม เมื่อเรารู้(บางแล้ว) ก็อย่างทนงตนว่า ข้านี่เก่ง ข้านี่แน่ บอกได้แต่เพียงว่า ไม่มีใครที่รู้จริงทั้งหมด สิ่งที่รู้มาในอดีต ไม่ใช่ว่าจะจบแค่นี้ ต้องเรียนรู้กันต่อไป เรียนรู้ในองค์ความรู้เดิมๆ ที่ครูบาอาจารย์ได้เรียนรู้มา และเรียนรู้ในองค์ความรู้ใหม่ ที่ครูบาอาจารย์ไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น และนำไปสอบถามกับครูบาอาจารย์ จะได้องค์ความรู้ขึ้นมาใหม่

    พระพิมพ์(ที่ผมลง)ที่อยู่ในกระทู้พระวังหน้า และชมรมพระวังหน้า เป็นเพียงส่วนน้อยมาก เมื่อเทียบกับพระพิมพ์ที่พบมาและค้นพบใหม่ ไม่ถึง 0.1% เท่านั้น ยังมีอีกมาก

    พระพิมพ์และวัตถุมงคลบางอย่าง(ที่พบใหม่) ก็เป็นสิ่งที่พิเศษมากกว่า พระพิมพ์และวัตถุมงคล(ธรรมดา)ที่เคยพบ เคยเห็นมา

    ผมเองก็ไหว้พี่ใหญ่อยู่บ่อยๆ เนื่องจากผมเองได้ไปรบกวนท่าน และต้องไหว้ขอขมาด้วย

    เมื่อวานนี้ พี่ใหญ่เองถึงกับมึน ลุกไม่ขึ้น พระพิมพ์และวัตถุมงคลหลายๆอย่าง ท่านอาจารย์ประถม และพี่ใหญ่ ก็พึ่งเคยเห็นก็มีมากเช่นกัน

    เมื่อวานนี้ ผมคุยกับพี่ใหญ่เรื่องของหลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หลวงปู่ท่านมายิ้มให้พี่ใหญ่ ผมเองไม่เห็นนะครับ ก็คุยกันหลายๆเรื่อง ผมก็ได้พูดว่า เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็ต้องหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร เป็นแบรนด์เนมที่ขายได้มาก เพราะฉะนั้น ต้องระวังเรื่องของกรรม หากไม่ใช่ในสิ่งที่เป็นจริงแล้ว กรรมมาก มากเพราะอะไรทราบหรือเปล่าครับ กรรมที่กระทำกับพระอรหันต์ครับ ระวังให้มากๆ

    ไว้วันนัดพบกัน ผมจะนำเรื่องนี้ไปคุยกันด้วยครับ

    ผมขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ประถม และพี่ใหญ่ ที่เมตตาสั่งสอนเรื่องของหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร และองค์ความรู้ในพระวังหน้ และเรื่องธรรมต่างๆ
     
  4. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    ถึงจะเป็นน้อง(เกือบ)เล็ก แต่ก็เป็นกำลังใจให้ท่านปาทานเสมอนะคร๊าบ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    ต้องบอกว่าทุกๆท่าน ณ ขณะนี้ที่เพิ่งเข้ามา รวมถึงตัวผมเองด้วย โชคดีเป็นอย่างมาก
    ผมลองนึกเอาเองว่า ในสมัยก่อนหากเป็นผม ต้องเคว้งคว้างอยู่ไม่มีผู้ชี้ทาง ต้องคอยหาเองเมื่ออยากจะรู้อะไร
    คงต้องลำบากมาก และต้องใช้กำลังใจ และ ศรัทธาอย่างมาก ลองคิดดูว่า ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าท่านมีจริงหรือเป็นแค่ความเชื่อ
    เมื่อหาๆไป ไม่พบคำตอบที่แน่ชัด คงต้องใจแข็งจริงๆที่จะสู้ต่อ ไม่เหมือนปัจจุบันที่มีผู้ค้นมามากแล้ว
    มีความรู้ไปพอสมควรแล้ว รู้หลักแหล่งที่จะไปสอบถามข้อมูลแล้ว อันนี้มันเลยง่าย สบายกว่าเยอะ

    ก็ต้องขอบพระคุณพี่ๆทุกๆท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
     
  7. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ขอบคุณครับพี่แมวเหมียวที่เตือน...กำลังคิดไม่ตกมา1วันเต็มๆแล้วครับ หุ หุ
     
  8. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    จริงครับ ไม่ว่าจาหลับตาหรือลืมตาจำแต่ภาพสมเด็จอัศนีของท่าน ปาทาน หุ หุ
     
  9. dragonlord

    dragonlord เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,541
    ก็หวังว่าซักวัน วาสนาและบารมีคงมาถึงค่ะ

    อนุโมทนาค่ะ ขอลาไปอบรมสองอาทิตย์ สงสัยนิสัยจะแย่มาก โดนอบรมยาวเลยค่ะ กลับมาอีกทีสงสัยกระทู้จะวิ่งไปเป็นร้อยหน้า
     
  10. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    กำลังจาเอามาโชว์และแซวเลยครับ เมื่อกลางวันไปทานขาหมูที่บางรัก ตรงข้าม เลิศสิน ไปกัน3คน สั่งขาหมูขาใหญ่คนละ 1ขา ท่านโดเหมาแต่หนัง หุ หุ
     
  11. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    พี่ไฟดูด ฝากแจ้งมาว่าเมื่อวันก่อนได้พบพระอาจารย์นิล ได้เห็นภาชนะที่บรรจุพระไตรปิฏก ทำจากสแตนเลสเพื่อความทนทาน และภาชนะ ไหดินเผาสุโขทัยสำหรับบรรจุพระพิมพ์ ครับ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    อ่า ท่านโดทานเผื่อป่าวครับ ชอบเหมือนท่านโดเลย รุ่นใกล้ๆกัน มักชอบเหมือนกัน หุหุหุ

    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ดีครับ ได้ทางลัด แต่อย่าลืมที่บอก ตอกเสาเข็มให้มากๆ บ้านที่สร้างขึ้นจะได้แข็งแรงครับ

    องค์ครูครับ องค์นี้เป็นองค์ครูเนื้อปูนสอครับ


    ได้พวกแล้วครับ พวกนิสัยไม่ค่อยดี ต้องไปอบรม

    เมื่อถึงเวลา อะไรก็ตาม ห้ามไม่ได้แน่นอนครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมอ่านแล้วดีมากๆ นำมาให้อ่านกันเผื่อท่านอื่นๆจะไม่ได้อ่านครับ


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"ครัวเรือนปลอดสุรา" หมู่บ้านต้นแบบครอบครัวอบอุ่น
    http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9510000140938
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>29 พฤศจิกายน 2551 18:07 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=280 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=280>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ปัญหาที่เกิดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลกระทบต่อทุกมิติของสังคม ก่อให้เกิดความสูญเสียหลายประการ โดยเฉพาะในหน่วยเล็กๆ ของสังคมอย่างสถาบันครอบครัว ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ปัญหาด้านสุขภาพ ความรุนแรง และความแตกแยกในครอบครัว

    นับเป็นความจำเป็นอย่างเร่งด่วนของสังคมไทย ในการผลักดันกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรณรงค์ ลด ละ เลิก การดื่มแอลกอฮอล์ โดยเน้นการสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่สังคมว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นต้นเหตุแห่งปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยปัจจุบัน

    ชุมชนบ้านหนองคูน้อย หมู่ที่ 2 ตำบลเมืองแก อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ในอดีตเป็นชุมชนที่ถูกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รุกรานเข้าสู่ทุกครัวเรือน กลืนกินวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ดีงามให้เป็นค่านิยมที่ผิดเพี้ยนในเรื่องของการนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาใช้ในประเพณีงานบุญ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มื้อเช้า สำคัญมากสำหรับเด็กนักเรียน
    http://women.kapook.com/baby00120/


    [​IMG]</PRE>
    ในแต่ละวัน อาหารทุกมื้อมีความสำคัญเท่าๆ กัน การแบ่งการรับประทานในแต่ละวันออกเป็น 3 มื้อใหญ่นั้น เป็นเหมือนกันเกือบทุกประเทศ ซึ่งบ่งบอกถึงความต้องการของร่างกายของมนุษย์ที่เมื่อถึงเวลาก็มีความจำเป็นต้องเติมอาหารมื้อใหม่ลงไป หาใช่ว่าแต่ละประเทศเลียนแบบประเทศใดประเทศหนึ่งคงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะการรับประทานอาหารอย่างน้อยวันละ 3 มื้อนั้น เป็นมาตั้งแต่อดีต ตั้งแต่ที่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
    การรับประทานอาหารวันละ 3 มื้อ จึงน่าจะถูกกำหนดโดยความต้องการภายในร่างกายของมนุษย์มากกว่า โดยที่แต่ละประเทศอาจจะมีความแตกต่างทางด้านจำนวนอาหารในแต่ละมื้อ จนกลายเป็นวัฒนธรรมการรับประทานอาหารของแต่ละประเทศ อุณหภูมิของอากาศก็มีส่วนกำหนดรูปแบบของอาหารในแต่ละมื้อและจำนวนพลังงานในแต่ละมื้อ
    ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือในประเทศเมืองหนาว อุณหภูมิในช่วงเย็นและดึกจะหนาวเย็นลงมาก การรับประทานเนื้อสัตว์ให้มากขึ้นจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย จึงทำให้นอนหลับสบาย อาหารในประเทศเมืองหนาว จึงมักเป็นเนื้อสเต๊ก ซึ่งให้พลังงานสูงเพราะมักจะทอดน้ำมันและมีมันติดอยู่ที่เนื้อด้วย เมื่อรับประทานอาหารมื้อเย็นที่มีพลังงานและโปรตีนสูงเช่นนี้ก็มักจะทำให้อิ่มนานจนเกินมื้อเช้า คนในประเทศแถบเมืองหนาวจึงมักจะรับประทานมื้อเช้าไม่มาก
    ในขณะที่คนในประเทศแถบเมืองร้อน ดังเช่นประเทศไทย ร่างกายมักจะสูญเสียน้ำออกทางเหงื่อ โดยเฉพาะในช่วงบ่ายๆ หรือแม้กระทั่งในช่วงตอนดึก ถ้าไม่ได้นอนในห้องปรับอากาศ อาหารของคนในแถบเมืองร้อนจึงมักมีน้ำเป็นส่วนประกอบมาก มีโปรตีนไม่มาก และมีผักและผลไม้พอประมาณ อาหารในกลุ่มประเทศเมืองร้อนจึงให้ปริมาณมากและมีน้ำเป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่ โดยให้พลังงานและโปรตีนไม่มาก เพราะจะทำให้นอนหลับสบายในเขตเมืองร้อน เมื่อรับประทานอาหารเช่นนี้ ปริมาณพลังงานก็จะเพียงพอไปถึงดึก ๆ เท่านั้น ตื่นขึ้นมาร่างกายก็จำเป็นต้องได้รับการเติมอาหารมื้อใหม่ที่มีรูปแบบอาหารเช่นเดิม คือ มีพลังงานต่ำ มีแป้ง ผัก และน้ำมาก เพื่อทำให้รู้สึกสดชื่น หลังรับประทานอาหารนี้
    คราวนี้มาดูเรื่องอาหารของเด็ก โดยเฉพาะเด็กนักเรียน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรับประทานอาหารเช้าให้ได้ ทั้งนี้วัยเด็กเป็นวัยที่มีการเจริญเติบโต ผิดกับผู้ใหญ่ที่ไม่มีการเจริญเติบโตแล้ว การรับประทานของผู้ใหญ่เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำหนักตัวแล้ว จึงมีความต้องการพลังงานน้อยกว่าเด็กมาก อาหารของเด็กในแต่ละมื้อจึงมีความสำคัญมาก นอกจากนั้นในวันที่เรียนหนังสือ ช่วงที่มีการใช้สมองมากนั้น สมองจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีน้ำตาลกลูโคสหล่อเลี้ยงให้มากพอสำหรับการทำงาน การรับประทานอาหารมื้อเช้า ที่มีข้าวเป็นอาหารหลักจะช่วยให้ร่างกายได้รับกลูโคสเพียงพอสำหรับการทำงานของสมองและอวัยวะต่างๆ ตลอด 4-5 ชั่วโมง หลังจากรับประทาน ซึ่งเมื่อถึงเวลาเที่ยง ก็ควรจะได้อาหารมื้อกลางวันอีก 1 มื้อสำหรับการเรียนและการออกกำลังกายในช่วงบ่าย
    มีเด็กนักเรียนจำนวนหนึ่งที่มักจะไม่รับประทานอาหารในตอนเช้า โดยอาจจะดื่มนมเพียงกล่องเดียวแล้วเข้าห้องเรียนเลย จำนวนน้ำตาลในนมนี้จะมีเพียง 10 กรัม ซึ่งจะพอเพียงสำหรับการทำงานของสมองและอวัยวะต่าง ๆ เพียง 2 ชั่วโมง และเด็กบางคนอาจจะดูดซึมน้ำตาลนมนี้ได้น้อย ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้น้ำตาลน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง เพื่อให้มั่นใจว่า ร่างกายและสมองจะได้รับน้ำตาลจากอาหารอย่างพอเพียงและอย่างสม่ำเสมอ จึงควรรับประทานข้าว ซึ่งจะเป็นข้าวต้มหรือข้าวสวยก็ได้ ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับข้าวสวยนั้น คือประมาณ 1 ทัพพีขึ้นไป และสำหรับข้าวต้มจะประมาณ 1 ถ้วย
    การดื่มน้ำผลไม้ 1 กล่องจะทดแทนอาหารเช้า 1 มื้อได้หรือไม่ คำตอบก็คือ ไม่ได้และไม่ดี โดยทั่วไปผลไม้ประกอบด้วยน้ำตาลโมเลกุลเล็ก คือ น้ำตาลซูโครส น้ำตาลกลูโคสและน้ำตาลฟรักโทส รวมกันอยู่ประมาณ 10% ของน้ำผลไม้ ใน 1 กล่องทั่วไป จึงให้พลังงาน 100 กิโลกรัม ซึ่งจะเพียงพอสำหรับลูกเพียง 2-3 ชั่วโมง และระดับน้ำตาลในเลือดจึงมักจะตกต่ำ ลงหลังจากดื่มเข้าไป 2 ชั่วโมง ซึ่งผิดกับการรับประทานข้าวที่จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างต่อเนื่องเกือบ 4 ชั่วโมง
    ปัญหาในทางปฏิบัติก็คือ พ่อแม่ทุกคนก็รู้ว่าลูกควรรับประทานข้าวในมื้อเช้า แต่ลูกติดนิสัยมาตั้งแต่เล็กแล้วที่จะไม่รู้สึกหิวในช่วงเช้า ปัญหานี้น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ และควรแก้ไขตั้งแต่เมื่อเริ่มหัดให้ลูกรับประทานอาหารเสริมเมื่อลูกอายุ 4-6 เดือน หลายคนมักจะฝึกให้ลูกได้รับอาหารเสริมในมื้อบ่ายหรือมื้อเย็น แต่ขอแนะนำให้ฝึกเป็นมื้อแรกของวันตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มให้อาหารเสริมเลย การจะประสบผลสำเร็จในการให้ลูกรับประทานอาหารเสริมมื้อเช้าได้เต็มถ้วยนั้นควรทำพร้อมๆ กับการงดนมมื้อดึก โดยให้ลูกนอนหลับไปทั้งคืน โดยไม่ต้องตื่นขึ้นมาดูดนมในกลางดึกเลย นอกจากลูกจะหลับลึก นอนโดยไม่สะดุดเพราะต้องเปียกจากฉี่และอึแล้ว ยังตื่นขึ้นพร้อมที่จะรับประทานอาหารเสริม โดยทำเช่นนี้อย่างต่อเนื่องไปจนวัยอนุบาลและวัยนักเรียน ก็จะทำให้ลูกติดนิสัยการรับประทานอาหารเช้าก่อนเข้าโรงเรียน
    อีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ลูกไม่ยอมรับประทานอาหารเช้าก็คือ การนอนดึก เด็กในช่วงวัยอนุบาลและวัยประถมต้น ควรนอนกลางคืนอย่างน้อยคืนละ 10 ชั่วโมงขึ้นไป ถ้าลูกเริ่มเข้านอนเวลา 4 ทุ่ม แล้วปลุกลูกเวลา 6 โมงเช้า จึงนอนไปได้เพียง 8 ชั่วโมง ร่างกายและสมองยังพักผ่อนไม่ได้เต็มที่ การทำงานต่าง ๆ รวมทั้งระบบการย่อยของร่างกายก็ยังไม่พร้อม ลูกจึงมักไม่หิวถ้านอนหลับไม่เต็มอิ่ม
    จะเห็นได้ว่า อาหารมื้อเช้านี้จำเป็นมากสำหรับเด็กนักเรียน การฝึกหัดรับประทานตั้งแต่เล็กจะเป็นแนวทางป้องกันการเบื่ออาหารเช้าในช่วงวัยนักเรียน ร่วมกับการให้ได้นอนอย่างเต็มที่ก่อนจะไปโรงเรียน จะทำให้ลูกมีสมองที่แจ่มใส พร้อมที่จะเรียนหนังสือได้ตลอดทั้งวัน
    ขอขอบคุณข้อมูลจาก

    [​IMG]</PRE>โดย pipopmd@hotmail.com
    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

    ----------------------------------------------

    หนูเลี่ยงเบาหวาน น้ำตาลน้อยหน่อย
    http://women.kapook.com/baby00122/


    [​IMG]</PRE>โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ จัดงานสัมมนาเรื่อง “ครอบครัวอ่อนหวาน น้ำตาลน้อยหน่อย” เพื่อรณรงค์ให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจเกี่ยวกับโรคเบาหวานในเด็ก และเห็นถึงความสำคัญในการดูแลสุขภาพลูก
    “สถานการณ์เบาหวานในบ้านเรา จำนวนผู้ป่วยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น แต่อายุของผู้ป่วยกลับลดลงเรื่อยๆ จากอายุ 40, 30, 20 ซึ่งไม่ใช่แต่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่เป็น แต่เด็กๆ เองก็มีโอกาสป่วยด้วยโรคเบาหวานเช่นกัน” คำกล่าวของ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ พ.ญ.ชนิกา ตู้จินดา ประธานโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช ศรีนครินทร์
    ในอดีตผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่อายุ 40 ปีขึ้นไป แต่ในระยะ 10 ปีนี้โรคเบาหวานในเด็กเพิ่มสูงมากขึ้น จากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ.2546 ของสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทยที่ทำร่วมกับสถาบันการแพทย์อีก 11 แห่งที่มีศูนย์เบาหวานพบว่า มีผู้ป่วยโรคเบาหวานทั้งหมด 9,419 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ประมาณร้อยละ 2.66 หรือราว 250 คน ซึ่งนับเป็นสถิติที่น่าเป็นห่วง
    ในวันเบาหวานโลกซึ่งตรงกับวันที่ 14 พฤศจิ กายนของทุกปี องค์การอนามัยโลกจึงรณรงค์เน้นในเรื่อง “Diabetes in Children and Adolescents”

    [​IMG]</PRE>โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เกิดเนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลินที่มีหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติ เมื่อกินอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล อาหารเหล่านี้จะย่อยกลายเป็นโมเลกุลของน้ำตาลเล็กๆ แล้วดูดซึมจากลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดนำไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงาน การใช้น้ำตาลให้เกิดพลังงานนี้จำเป็นต้องอาศัยอินซูลินที่สร้างจากตับอ่อน
    โรคเบาหวานอาจเกิดจากร่างกายขาดอินซูลินหรือบางทีไม่ขาด แต่อินซูลินที่มีอยู่ใช้ไม่ได้ผลเต็มที่ทำให้ร่างกายใช้น้ำตาลไม่ได้ตามปกติ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง นานเข้าทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ซึ่งเป็นเหตุให้พิการหรือเสียชีวิต
    เบาหวานในเด็กแบ่งได้ 2 แบบใหญ่ๆ คือ

    [​IMG] แบบที่ 1 เกิดจากพันธุกรรม</PRE>เป็นเบาหวานที่เกิดจากเบต้าเซลล์ของตับอ่อนถูกทำลาย ทำให้การผลิตอินซูลินลดลง ผู้ป่วยในกลุ่มนี้โดยมากจะเป็นเด็กที่ผอม แต่ป่วยด้วยสาเหตุจากพันธุกรรมเป็นสำคัญ สถาน การณ์เบาหวานแบบนี้เพิ่มขึ้นทุกปี แต่ยังไม่น่ากลัวเท่ากับเบาหวานจากความอ้วน

    [​IMG] แบบที่ 2 เกิดจากความอ้วน</PRE>เป็นปัญหาที่น่ากังวลเพราะเด็กและวัยรุ่นเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มากขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เดิมเบาหวานชนิดที่ 2 พบในวัยผู้ใหญ่ ทั้งนี้เป็นผลจากเด็กมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน มีวิถีชีวิตแบบนั่งๆ นอนๆ ขาดการออกกำลังกายเพิ่มมากขึ้น
    สาเหตุที่ทำให้เด็กป่วยด้วยโรคเบาหวานแบบนี้คือการกินอาหารหวานและภาวะโรคอ้วน ฉะนั้น พ่อแม่ควรใส่ใจลูกในเรื่องอาหารการกิน เด็กต้องมีวินัยในการรับประทาน เลือกกินอย่างไรจึงจะเหมาะสม และเพิ่มกิจกรรมทางกายให้มากขึ้น
    พ.ญ.ชนิกาแนะอาการเบื้องต้นที่สันนิษฐานว่าลูกเป็นเบาหวานว่า “หากลูกมีอาการปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย และดื่มน้ำมาก เหนื่อยง่าย มีคราบดำๆ อยู่ตามข้อพับ เหมือนขี้ไคล ขัดไม่ออก เป็นสิ่งที่เริ่มแสดงให้เห็นว่าระดับอินซูลินเริ่มบกพร่องแล้ว ตับอ่อนเริ่มทำงานน้อยลง นอกจากนี้การวัดรอบเอวบอกได้ว่าเด็กอ้วนเกินไปหรือไม่ วิธีการวัดคือยืนให้เท้าทั้งสองข้างห่างกัน 10 เซนติเมตร จากนั้นวัดบริเวณเหนือจากกระดูกเชิงกรานส่วนเอว ถ้ามีขนาดมากกว่า 80 เซนติเมตร ในผู้หญิง หรือตั้งแต่ 90 เซนติเมตรขึ้นไปในผู้ชายจัดได้ว่าอ้วนลงพุง เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน”


    [​IMG]</PRE>ด้าน ศ.น.พ. พิภพ จิรภิญโญ กุมารแพทย์ด้านโภชนาการ แนะวิธีตรวจสอบว่าสุขภาพดีอย่างง่ายๆ โดยเปรียบเทียบน้ำหนักตัวกับความสูงว่า “ผู้หญิง ใช้ความสูงลบด้วยตัวเลข 110 บวกลบนิดหน่อย ผู้ชายลบด้วย 105 ส่วนเด็กให้ความสูงลบด้วย 100 จะได้น้ำหนักมาตรฐานที่ควรจะเป็น” ทั้งยังย้ำถึงอันตรายที่เกิดจากการรับประทานไม่ถูกต้องและโรคอ้วนว่า
    สมัยก่อนเราชอบเด็กตัวอ้วนเพราะดูน่ารัก แต่พ่อแม่ควรระวังไม่ให้ลูกน้ำหนักมาก เพราะถ้าลูกเข้าสู่โรคอ้วนแล้วจะดึงลงมายาก หากเด็กอ้วนตั้งแต่เล็กจะมีเซลล์ไขมันเยอะ แม้โตขึ้นอาจจะผอมลง แต่เซลล์ไขมันมันแค่นอนหลับเฉยๆ ไม่ได้หายไป ถ้ามันตื่นเมื่อไหร่ก็จะทำให้เกิดความอยากอาหารเพิ่มขึ้น และทำให้กลับไปอ้วนเหมือนเดิมได้ง่ายกว่าเด็กปกติ
    “โดยเฉลี่ยผู้หญิงควรกินอาหารประมาณ 500 กิโลแคลอรีต่อมื้อ ส่วนผู้ชาย 600 กิโลแคลอรีต่อมื้อ การกินอาหารที่มีแคลอรีและไขมันสูงจะทำให้อ้วน และถ้าเป็นโรคอ้วนนานๆ ทำให้เป็นเบาหวานแบบซ่อนรูปคือ ดูแล้วเหมือนคนสมบูรณ์ แต่จะหิวเร็ว หิวบ่อย คอดำ ดังนั้นเราควรจะกินให้รู้ และอาหารไทยก็มีแบบที่กินแล้วไม่อ้วนเยอะแต่เราไม่ค่อยชอบกัน”
    “เด็กหรือผู้ใหญ่ที่อ้วนๆ พอน้ำหนักมากขึ้นก็จะทำให้เป็นเบาหวานได้ เนื่องจากอินซูลินที่ผลิตออกมาไม่เพียงพอกับปริมาณไขมันที่เยอะเกินไป ผู้ปกครองต้องเลี้ยงลูกไม่ให้อ้วนไปหรือผอมไป น้ำหนักตัวของเด็กจะมีเกณฑ์อยู่แล้ว เช่น เด็ก 4 ขวบควรมีน้ำหนัก 16 กิโลกรัม, 5 ขวบ 18 กิโลกรัม, 6 ขวบ 20 กิโลกรัม, 8 ขวบ 24 กิโลกรัม และ 10 ขวบ 30 กิโลกรัม เป็นต้น” ศ.น.พ.พิภพกล่าว
    ศ.น.พ.พิภพแนะเคล็ดเรื่องการกินอาหารแบบอิ่มอร่อยแต่ไม่อ้วนว่า มื้อเช้าก็กินข้าวต้มหรือโจ๊กจะได้พลังงาน 200 กิโลแคลอรี มื้อกลางวันกินก๋วยเตี๋ยวน้ำไม่ต้องพิเศษ ได้พลังงาน 200 กิโลแคลอรี ทำให้มื้อเย็น กินได้เป็น 1,000 กิโลแคลอรี ภายใน 1 วันเราควรรับประทานอาหารให้มีพลัง งานประมาณ 1,500-1,600 กิโลแคลอรี
    ถ้าเรากินวันหนึ่งประมาณ 600-700 กิโลแคลอรี น้ำหนักเราก็จะลง แต่ถ้าไม่อ้วนแล้วเราก็กินได้วันละ 1,500-1,600 กิโลแคลอรี ถ้าเราออกกำลังกาย 1 ชั่วโมง ใช้พลังงานไป 300 กิโลแคลอรี ก็กินได้อีก 300 กิโลแคลอรี ดังนั้น ในทุกวันเราควรอยู่กับตัวเลข ทำให้เรื่องอ้วนเรื่องผอมเป็นเรื่องของคณิตศาสตร์ง่ายๆ ทุกอย่างที่เข้าปากต้องเป็นตัวเลขหมด
    ศ.น.พ.พิภพ กล่าวถึงการออกกำลังกายด้วยว่า การลดน้ำหนักไม่ใช่เหงื่อออกแล้วถือว่าลดน้ำหนัก แต่เรียกว่าเป็นการลดแต่น้ำ เมื่อดื่มน้ำเข้าไปน้ำหนักก็จะเท่าเดิม การลดน้ำหนักที่ดีจะต้องมีการเคลื่อนที่ของขา เพราะขาของเราเป็นแหล่งการใช้พลังงานที่ใหญ่มากๆ เช่น เดินมากๆ วิ่งมากๆ ถ้าวิ่ง 1 ชั่วโมงใช้พลังงาน 300 กิโลแคลอรี วิ่ง 2 ชั่วโมงใช้ไป 600 กิโลแคลอรี วันหนึ่งเราใช้พลังงานประมาณ 1,600 กิโลแคลอรี ก็กลายเป็น 2,200 กิโลแคลอรี
    จำไว้ง่ายๆ ว่าถ้าเราขาดทุนวันละ 7,000-8,000 กิโลแคลอรี น้ำหนักตัวจะลงมา 1 กิโลกรัม เป็นไขมันล้วนๆ การออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องมีเหงื่อก็ได้ จะออกกำลังกายในห้องแอร์ก็ได้ ไม่แนะนำให้เหงื่อออกด้วยซ้ำ เพราะเหงื่อออกทำให้เหนื่อยเร็ว และขาดน้ำ บางคนไปเซาน่า อาบน้ำแร่แล้วจะรู้สึกตัวเบา แต่จะรู้สึกคอแห้ง พอดื่มน้ำเข้าไปน้ำหนักก็กลับมาเท่าเดิม ฉะนั้นต้องเข้าใจเรื่องการออกกำลังกายให้ดี เมื่อขาเราเผาผลาญไขมันไปเรื่อยๆ จะทำให้เบาหวานจากโรคอ้วนหายได้เลย
    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

    [​IMG]</PRE>
    ----------------------------------------------


    ฝากท่านโดด้วยครับ
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เศรษฐกิจพอเพียงศาสตร์แห่งการพัฒนามนุษยชาติ

    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=183711&NewsType=1&Template=1

    งานพัฒนาที่สำคัญประการหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนับตั้งแต่เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติมาเป็นเวลา 61 ปีแล้วนั้น คือ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งถือเป็นใบนำทางสำหรับการยกระดับคุณภาพชีวิตมิใช่เพียงสำหรับคนไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนจากทั่วโลก

    การยอมรับในระดับนานาชาติของความสำคัญของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมีมากขึ้นหลังจากที่สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Program หรือ UNDP) ได้จัดพิมพ์รายงานการพัฒนามนุษย์ของประเทศไทยฉบับปี พ.ศ. 2550 (Thailand Human Development Report 2007) ภายใต้ชื่อ เศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนามนุษย์ รายงานนี้เป็นผลของความร่วมมือนานนับปีระหว่างผู้เชี่ยวชาญไทยและผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ พร้อมด้วยความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่และนักวิชาการฝ่ายไทยหลายคน ซึ่งมุ่งมั่นที่จะทำให้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นที่รู้จักอย่าง แพร่หลาย

    ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานให้คนไทยได้ฝังรากลึกในสังคมไทย และได้กลายเป็นปรัชญาชี้นำยุทธศาสตร์และนโยบายการพัฒนาประเทศ ซึ่งรวมถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 ซึ่งมีผลบังคับใช้ระหว่างปี พ.ศ. 2550-2554

    ณ วันนี้เป็นที่ยอมรับกันว่า ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมีความเชื่อมโยงกับสภาวการณ์ของโลกในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติเศรษฐกิจ ภาวะโลกร้อนและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ยั่งยืน ปรัชญานี้มุ่งให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและมีสมดุลมากขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นทางเลือกที่เป็นที่ต้องการมากกว่าสิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบันนี้

    นายเฉลิมเกียรติ แสนวิเศษ เลขาธิการ คณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงยึดเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของพระองค์เอง โดยพระองค์ได้พระราชทานให้คนไทยเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2517 แต่ในขณะนั้นคนไทยยังไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าใดนักเพราะกำลังฟุ้งเฟ้ออยู่กับการเจริญเติบโตและการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว ซึ่งในอันที่จริงแล้วได้กลับกลายเป็นเศรษฐกิจฟองสบู่ในที่สุด

    อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ประเทศไทยกำลังทนทุกข์ทรมานกับวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานขวัญและกำลังใจให้กับคนไทย และได้ทรงแนะนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อเป็นแนวทางให้สามารถเอาตัวรอดจากวิกฤติต่าง ๆ

    เศรษฐกิจพอเพียงเป็น ปรัชญาที่เน้นทางสายกลางในการดำรงชีวิตของผู้คนทุกเพศทุกวัยและ ทุกอาชีพ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ส่งเสริมให้ประชาชนมีความพอเพียงในด้านเศรษฐกิจเทคโน โลยี และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนด้านจิตใจและสังคม และยังสามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งในระดับบุคคล ชุมชน และประเทศ

    ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมีหลักการที่สำคัญ 3 ประการ คือ ความพอประมาณ ซึ่งหมายถึงการไม่สุดโต่งและดำเนินกิจกรรมด้วยความระมัดระวัง พร้อม ๆ ไปกับการพึ่งพาอาศัยกันตามธรรมชาติของปัจจัยต่าง ๆ ความมีเหตุมีผล ซึ่งหมายถึงการดำเนินกิจกรรมด้วยความยืดหยุ่นเพื่อให้ได้มาตรฐานการดำรงชีวิตที่เป็นที่พอใจ โดยไม่ติดกับความเกินพอหรือความฟุ่มเฟือย และความมีภูมิคุ้มกันที่ดี ซึ่งหมายถึงการป้องกันกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลัก ๆ จากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายความพอเพียง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงแนะนำให้ใช้ความรู้และเทคโนโลยีในการวางแผนและดำเนินกิจกรรมด้วยความระมัดระวัง ตลอดจนการเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านศีลธรรมของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความซื่อสัตย์และความจริงใจต่อกัน

    ส่วนในระดับปัจเจกบุคคล ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้เน้นให้ประชาชนพออยู่พอกิน ซึ่งจะนำไปสู่ความพอเพียงและความมีภูมิคุ้มกันที่ดี หลังจากนั้นประชาชนจึงจะสามารถปฏิบัติตนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงในระดับชุมชนต่อไป สำหรับระดับประเทศ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้ชี้นำแนวทางใหม่เพื่อบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่มั่นคง ไม่โอนเอียงและยั่งยืน ดังนั้นประโยชน์ของเศรษฐกิจพอเพียงจึงตกอยู่กับประชาชนทุกภาคส่วน
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จับยกแก๊งไทย-เทศ ปั๊มบัตรเครดิตปลอม ทูตนิวซีแลนด์เหยื่อ
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01jud08301151&sectionid=0117&day=2008-11-30

    คอลัมน์ กลเม็ดพิชิตคดี



    ปรี๊ด...ปรี๊ด

    "เต็มถังเลยน้อง แล้วใส่แกลลอนท้ายกระบะให้เต็มด้วย"

    "ครับพี่" เด็กปั๊มรับทราบ แล้วรีบกุลีกุจอ หยิบหัวจ่ายน้ำมันเสียบใส่ถัง กดสวิตช์เติมใส่รถปิคอัพจนเต็ม ก่อนย้ายหัวใส่ลงแกลลอนทุกใบที่วางอยู่ท้ายรถจนเต็มปริ่ม ตามคำสั่งลูกค้า

    "เสร็จแล้วครับพี่ สามหมื่นสามพันแปดร้อยสี่สิบแปดบาทครับ"

    ลูกค้ายื่นบัตรเครดิตชำระค่าน้ำมันที่ราคาแพงลิ่ว ดั่งทองคำ

    เด็กปั๊มหายไปแวบหนึ่ง ก่อนยื่นสลิปให้เจ้าของรถเซ็นชื่อ พร้อมส่งเครดิตการ์ดคืนให้เจ้าของหลังเสร็จธุรกรรม

    "ขอบคุณมากครับ" เขากล่าวขอบคุณพร้อมโค้งคำนับลูกค้าชั้นเยี่ยมจนตัวงอ



    ปรี๊ด...ปรี๊ด

    "เต็มถังเลยน้อง อ้อ ใส่แกลลอนให้พี่ด้วย"

    "ครับพี่" เด็กปั๊มรับทราบ แล้วรีบกุลีกุจอ หยิบหัวจ่ายน้ำมันเสียบใส่ถัง กดสวิตช์เติมใส่รถปิคอัพจนเต็ม ก่อนย้ายหัวใส่ลงแกลลอนทุกใบที่วางอยู่ท้ายรถจนเต็มปริ่ม

    "สามหมื่นสามพันห้าร้อยแปดสิบแปดบาทครับ"

    ลูกค้าใช้เครดิตการ์ดรูดชำระค่าน้ำมันอีกเช่นกัน

    "ขอโทษครับพี่ บัตรรูดไม่ได้ครับ"

    "อ้าวเหรอ" เธอทำทีหัวเสียเล็กน้อย พร้อมรับเครดิตการ์ดใบนั้นกลับมา ก่อนเปลี่ยนเป็นบัตรเดบิตใบใหม่ในกระเป๋าสตางค์ส่งให้แทน



    ที่ห้องทำงานผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

    "ขออนุญาตครับพี่" ผู้การโก หรือ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ ผบก.ปศท. หนีบแฟ้มเอกสาร เข้าพบ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

    "พี่ครับ ผมได้รับหนังสือร้องเรียนจากสถานเอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ว่าบัตรเครดิตของท่านเอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ประจำประเทศไทย ถูกปลอมแปลงและนำมาใช้ในประเทศไทย" ผู้การโกรายงานคดีสำคัญ พร้อมส่งหนังสือร้องเรียนให้ พล.ต.ท.วรพงษ์ ดู

    วันนั้นกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางมีคำสั่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนหาตัวคนร้าย มีผู้การโก อำนวยการสั่งการ ร่วมด้วย พ.ต.ท.ประวิตร์ นัยเนตร รอง ผกก.รฟ. พ.ต.ต.อรรณพ อิ่มอุดม สว. พ.ต.ต.ทรงรักษ์ ขุนศรี สว.ช่วยราชการ บก.ปศท.

    พวกเขาเริ่มแกะรอยโดยประสานขอข้อมูลการใช้บัตรเครดิตปลอมจากธนาคาร ได้ข้อมูลแรกว่า มีการใช้บัตรเครดิตท่านเอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ประจำประเทศไทยที่เป็นของปลอม รูดจ่ายค่าน้ำมันถึงสองครั้ง ที่ปั๊มเจ็ท อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี วันที่ 31 พฤษภาคม

    แล้วล้อรถเก๋งของทีมสืบก็หมุนตรงไปที่ปั๊มทันที

    "น้องพี่เป็นตำรวจนะ เราขอตรวจสอบข้อมูลการใช้บัตรเครดิตที่เป็นชื่อ...รูดจ่ายค่าน้ำมัน วันที่ 31 พฤษภาคม หน่อยสิ" ทีมสืบแสดงตัวพร้อมขอรายละเอียด

    "เราจดทะเบียนรถไว้หลังใบเสร็จที่ใช้เครดิตการ์ดรูดทุกใบครับ" แคชเชียร์หนุ่มแจ้ง ซึ่งเขาใช้เวลาค้นข้อมูลไม่นาน ก็พบใบเสร็จบัตรเครดิตที่เป็นชื่อท่านเอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ ด้านหลังจดทะเบียน ตห 7786 กรุงเทพมหานคร กับ ทะเบียน ณธ 6976 กรุงเทพมหานคร

    "ถ้าอย่างนั้นขอตรวจสอบกล้องวงจรปิดหน่อยสิ"

    "ต้องขอที่ผู้จัดการปั๊มครับพี่"

    ซึ่งผู้จัดการปั๊มให้ความร่วมมืออย่างดี เห็นรถทั้งสองคันชัดเจน ทะเบียนตรงกับที่แคชเชียร์หนุ่มจดไว้เป๊ะ



    เบาะแสที่ได้จากแคชเชียร์ปั๊มน้ำมัน ตลอดจนภาพจากกล้องวงจรปิดที่จับหมายเลขทะเบียนไว้ได้ชัดเจน ทำให้ทีมสืบเริ่มใจชื้น พวกเขาเข้าใจว่า การสืบสวนใกล้ตัวคนร้ายเข้ามาทุกที

    ทันทีที่ออกจากปั๊ม เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นกดตัวเลขไปที่กรมการขนส่งทางบก

    กริ๊ง...กริ๊ง...

    "สวัสดีครับ กรมการขนส่งทางบก มีอะไรให้รับใช้ครับ"

    "พี่ครับ ผมเป็นตำรวจจาก ปศท. รบกวนช่วยตรวจสอบทะเบียนรถ...ด้วยครับ ผมขอถือสายรอเลยนะครับพี่ พอดีเป็นคดีเร่งด่วน"

    เขาถือหูโทรศัพท์ถือรออยู่ 2 นาที คู่สนทนาก็แจ้งผลให้ทราบ

    "ฮัลโหล"

    "ครับพี่"

    "ไม่ปรากฏทะเบียนที่ว่าเลยครับ"

    มันเป็นคำตอบที่รองประวิตร์ กับสารวัตรทรงรักษ์ ไม่อยากได้ยิน แม้จะทำใจไว้บ้างแล้วก็ตาม เพราะคำตอบทำให้ทั้งคู่มึนตึ้บ

    แต่พวกเขายังไม่สิ้นหวังเพียงเท่านี้ สารวัตรทรงรักษ์ ปิ๊งไอเดีย เอาทฤษฎีการสืบสวนสมัยใหม่เข้ามาจับ เป็นการประมวลตามสภาพภูมิศาสตร์ เพื่อสืบหาตัวคนร้าย



    แล้วสารวัตรทรงรักษ์ก็เจาะไปที่สถานีบริการน้ำมันที่รับบัตรเครดิต เขาใช้ความพยายามตรวจสอบแผนประทุษกรรมการใช้บัตรเครดิตปลอมรูดซื้อน้ำมันย้อนหลังไป 10 เดือน

    "โอ้โฮ! ไม่ใช่น้อยเลยเว้ย" สารวัตรทรงรักษ์ อุทานกับใบเสร็จที่กองอยู่ตรงหน้าเป็นหมื่นใบ

    ซึ่งเขาใช้ความพยายามนำลายเซ็นที่ได้จากปั๊มน้ำมันเจ็ท 2 แบบ มาเปรียบเทียบกับใบเสร็จกองพะเนินทีละใบ พบว่ามีการนำบัตรเครดิตปลอมไปใช้ ทั้งในกรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ พระนครศรีอยุธยา นครปฐม ปทุมธานี สมุทรสาคร กาญจนบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง นครราชสีมา นครพนม ขอนแก่น และหนองคาย

    มีการใช้ที่ปั๊มเจ็ท และปั๊มเชลล์ 43 รายการ ปั๊มคาลเท็กซ์ และปั๊ม ปตท. 46 รายการ

    ทะเบียนรถที่ใช้ในการกระทำความผิด ประกอบด้วย ตฬ 4968 บป 3611 พว 2365 กรุงเทพมหานคร บย 5202 บฉ 9353 นนทบุรี ษษ 4123 นก 2084 สิงห์บุรี บฉ 5393 สระแก้ว ตท 7786 กรุงเทพมหานคร ณธ 6976 กรุงเทพมหานคร กว 9887 กรุงเทพมหานคร ณธ 7960 กรุงเทพมหานคร ตม 8332 กรุงเทพมหานคร พว 7325 กรุงเทพมหานคร และ บต 5070 กรุงเทพมหานคร วนเวียนสลับกันไป

    "เอ๊ะ!แล้วบัตรที่รูดไม่ผ่าน พวกมันทำยังไง?" สารวัตรทรงรักษ์สุ่มถามเด็กปั๊ม

    "ผมจำได้ว่าเขาจะทำหน้างงๆ ก่อนหยิบบัตรเดบิตมาจ่ายแทนครับ"

    ซึ่งสารวัตรทรงรักษ์ไม่รีรอ ขอตรวจสอบข้อมูลบัตรเดบิตทันที พบเป็นของ ดนิตา รัตนพูล กับ ธิบดี ธีระอุดมกุล

    และตามภาพจากกล้องวงจรปิดของปั๊มที่จับไว้ได้ พบ ธิบดี เป็นหนึ่งในคนที่ชำระค่าน้ำมันด้วยบัตรเครดิตปลอม!?!

    เจ้าของบัตรเดบิตทั้งคู่ ถูกสะกดรอยทันที!?!

    อีกทางสารวัตรทรงรักษ์เข้าสแตนด์บายรอ ใกล้ปั๊มน้ำมันย่านประชาอุทิศ เป้าหมายที่คาดว่าคนร้ายจะนำบัตรเครดิตปลอมไปใช้อีก โดยประสานกับธนาคารให้แจ้งทันทีที่มีการนำบัตรเครดิตปลอมไปใช้

    จนเหยื่อเข้ามาติดกับ เมื่อ ศรินทร์นา ราวัล ใช้บัตรเครดิตปลอมรูดจ่ายค่าน้ำมัน มี จักรพันธุ์ นวนมี เป็นคนขับรถกระบะ ทะเบียน นก 2084 สิงห์บุรี ท้ายรถมีน้ำมันดีเซลบรรจุอยู่ 8 ถัง

    "หนูไม่รู้ค่ะ บัตรเครดิตเป็นของนายจ้างของหนู ชื่อ ชัย" ศรินทร์นา บอกตำรวจนอกเครื่องแบบ

    จากการตรวจสอบพบว่า "ชัย" เป็นคนเดียวกับ "ธิบดี" ก่อนที่ทีมสืบจะทำทีไม่รู้ไม่เห็นว่ามีการกระทำความผิด ปล่อยตัวศรินทร์นา กับจักรพันธุ์ไป พร้อมตามสะกดรอยไม่ห่าง เพื่อให้นำทางไปถึงตัวการใหญ่



    ชื่อ ธิบดี เริ่มปรากฏถี่ขึ้น เขาตกเป็นเป้าหมายสำคัญ สารวัตรทรงรักษ์ เช็คข้อมูลส่วนตัวธิบดีทันที และประสานตรวจสอบกระแสเงินอีกทาง

    ชัย หรือ ธิบดี ธีระอุดมกุล ชื่อเดิม ลิขิต คำสิงห์ เจ้าของบัตรเดบิต ซึ่งกลุ่มคนร้ายมักเอาไปใช้แทนบัตรเครดิตปลอมกรณีถูกธนาคารปฏิเสธการจ่าย มีประวัติเคยถูกจับคดีปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม อยู่ระหว่างหนีประกันในชั้นศาล รวมทั้งเป็นหัวหน้าแก๊งคดีปลอมบัตรเครดิตอีกหลายคดี

    หลายเดือนถัดมา ธนาคารให้ข้อมูลว่า ธิบดี โอนเงินให้กับ ก๊ก มุนเชียง หรือเบิร์ด ชาวมาเลเซีย ทีละมากๆ และจากการสะกดรอยพบว่า ธิบดี มี เอก หรือพนธกร ดีประเสริฐ เป็นมือในการติดต่อสั่งซื้อรหัสข้อมูลบัตรเครดิตจาก ก๊ก มุนเชียง แล้วให้ สมชาย จิรพิทยานนท์ อัดลงในข้อมูลแถบแม่เหล็กทำเป็นบัตรเครดิตปลอม ส่งให้เครือข่ายนำไปใช้รูดซื้อน้ำมันตามปั๊ม ประกอบด้วย นางศรินทร์นา ราวัล นายจักรพันธุ์ นวนมี น.ส.ถาวรีย์ ขันทวี นายทวี คงศรี

    การสะกดรอยตามขบวนการปลอมและใช้บัตรเครดิตปลอมที่มีท่านเอกอักครราชทูตนิวซีแลนด์เป็นผู้เสียหาย ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทำให้การสืบจับยกเครือข่ายทำได้ไม่ยากนัก

    2 พฤศจิกายน สืบ ปศท.รวบ ศรินทร์นา กับจักรพันธุ์

    5 พฤศจิกายน ธิบดี ตัวการใหญ่ กับ สมชาย จนมุม พร้อมรถยนต์ 2 คัน และ ป้ายทะเบียนปลอม 4 แผ่น

    รุ่งขึ้นทีมสืบก็รวบตัว ทวี ได้พร้อมสลิปโอนเงินให้ ธิบดี

    และ 11 พฤศจิกายน พนธกร คนกลางติดต่อซื้อรหัสข้อมูล ก็สิ้นอิสรภาพ

    คงเหลือ แต่ก๊ก มุนเชียง ชาวมาเลเซีย เผ่นหนีกลับประเทศไปได้อย่างหวุดหวิด



    "นายครับ ไอ้ พนธกร มันเป็นลูกน้อง ของ ดาบปราโมทย์ด้วยครับ ผมสงสัยว่ามันจะทำอะไรไม่ชอบมาพากล" ลูกน้องรายงานสารวัตรทรงรักษ์ ก่อนจะได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบขยายผลความเชื่อมโยง ซึ่งก็ทำให้ทีมสืบต้องตกตะลึง

    เพราะดาบปราโมทย์หรือ ด.ต.ปราโมทย์ เปียทอง สังกัดสันติบาล และ พนธกร นอกจากจะติดต่อกับแก๊งปลอมบัตรชาวมาเลเซียแล้ว ยังติดต่อกับแก๊งชาวโรมาเนียที่ลักลอบนำอุปกรณ์ขโมยข้อมูลบัตรเครดิตและเอทีเอ็มอีกด้วย

    รวมทั้งพนธกรยังรับหน้าที่นำชาวต่างชาติไปติดอุปกรณ์ที่ตู้เอทีเอ็มด้วย โดยมีดาบปราโมทย์กับพวกดูต้นทางให้

    กริ๊ง...กริ๊ง...

    "สวัสดีครับ"

    "สารวัตรทรงรักษ์ใช่มั้ยครับ ผมโทร.จากดีเอสไอนะครับ พอดีคณะกรรมการคดีพิเศษมีมติให้รับคดีปลอมบัตรเครดิตเป็นคดีพิเศษ เราจึงจะประสานขอข้อมูล เพราะเรามีหลักฐานอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว"

    "ได้ครับ ยินดี" สารวัตรทรงรักษ์ตอบรับ พร้อมทำงานร่วมกับดีเอสไอ

    หลังข้อมูลทั้งหมดนำมาแชร์รวมกัน ไม่นานนัก Rotru Robert หรือจัมโบ้ กับ Ionut BuIiarca หรือ จอห์นนี่ สองหนุ่มชาวโรมาเนีย กับดาบปราโมทย์ ก็ถูกดีเอสไอ กับ ปศท. รวบตัวพร้อมเครื่องคัดลอกข้อมูลจากตู้เอทีเอ็ม กล้องแอบถ่ายขนาดเล็ก สีดำ ที่พวกมันเอาไปติดไว้ที่ตู้เอทีเอ็ม

    เป็นการจับกุมขบวนการจัดหาอุปกรณ์ลักข้อมูลในบัตรเครดิต ปลอมบัตรเครดิต ตลอดจนจงใจเอาบัตรเครดิตปลอมไปรูดใช้ซื้อน้ำมันไว้กักตุน เพื่อปล่อยขาย หมายได้ทั้งต้นทุนและกำไรโดยไม่ต้องควักเนื้อซื้อน้ำมันเอง เพราะราคาน้ำมันพุ่งทะยานขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะแตะที่ 40 บาทต่อลิตร

    "OH...Thank you...Thank you very much." คำขอบคุณภาษาฝรั่งพร้อมรอยยิ้มจากท่านเอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ทำเอาทีมสืบสวนหายเหนื่อยไปตามๆ กัน

    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01jud08301151&sectionid=0117&day=2008-11-30
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เคล็ดวิชา"ผ่าทางตัน"
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01fun03301151&sectionid=0140&day=2008-11-30

    คอลัมน์ แท็งก์ความคิด

    โดย นฤตย์ เสกธีระ max@matichon.co.th



    สถานการณ์การเมือง เศรษฐกิจ สังคมของไทยเป็นเช่นนี้

    คนข่าวอย่างพวกเรา และคนเสพข่าวอย่างทุกท่านคงเครียด

    ความเครียดมันเกิดขึ้น เพราะสถานการณ์การเมืองถึงทางตัน

    พอการเมือง "ตัน" ก็กระทบต่อเศรษฐกิจ และสังคม

    "ไทยทั้งชาติจึงเครียด !"

    อาการเครียดเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์หลายอย่างครับ

    ความเครียดเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคอันเป็นทุกข์ทางกาย

    และความเครียดอีกเช่นกัน ที่เป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์ทางจิต

    ดังนั้น ถ้าเราสามารถผ่าทางตัน เปิดทางออกไปได้

    เราก็ไม่เครียด

    เราก็ไม่ทุกข์

    ความจริงแล้วอาการ "ตัน" นี้พร้อมจะเกิดขึ้นกับทุกๆ คน

    อย่างหนูที่ติดจั่น หาทางออกไม่ได้...มันก็เครียด

    นักเรียนที่แก้โจทย์คณิตศาสตร์ไม่ออก...คิดอะไรไม่ได้

    ที่สุดก็เครียด

    บัณฑิตจบใหม่ที่สมัครงานที่ไหนๆ ก็ไม่มีใครขานรับ

    มองไปด้านไหนก็มืดมน

    เจอทางตัน

    สุดท้ายก็เครียด

    แม้แต่คนที่ทำงานแบบพวกเราก็เหมือนกันครับ

    บางคนได้รับมอบหมายให้ทำงานชิ้นหนึ่ง แต่ทำยังไงๆ ก็คิดไม่ออก

    "สมองมันตีบตัน....ความเครียดก็มาเยือน"

    เช่นเดียวกับงานเขียนครับ

    หลายครั้งหลายเวลาที่พบว่า ไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไร

    คิดไม่ออก...เขียนไม่ได้

    เราเรียกอาการแบบนี้ว่า "ตัน" เช่นกัน

    แต่อาการแบบที่ว่ามานี้ พี่ๆ นักข่าวนักเขียนที่มีประสบการณ์มักชี้หนทางบำบัดรักษา

    บอกเคล็ดวิชา "ผ่าทางตัน"

    พี่ๆ เหล่านั้นเขาบอกว่า เมื่อใดที่คุณรู้สึกตัน เขียนอะไรไม่ออก

    สิ่งแรกที่พึงกระทำคือ หยุดคิด-หยุดเขียน

    วางปากกา เอามือออกจากแป้นพิมพ์

    ถอยตัวเองจากโต๊ะทำงาน

    พักสมองพักหัวใจสักประเดี๋ยว

    จากนั้นค่อยเคลื่อนไหว ออกไปพบปะพูดคุยกับเพื่อนฝูงญาติพี่น้อง

    หยิบหนังสือขึ้นมาพลิกอ่าน หรือเปิดโทรทัศน์ดูโน่นดูนี่

    ทำเช่นนี้ไปได้ไม่นานหรอกครับ

    เดี๋ยวเดียวจะคิดเรื่องที่จะเขียนได้เอง

    สมองที่เคยตีบตัน ก็จะปลอดโปร่ง...

    คำแนะนำเหล่านี้ ใครไม่เชื่อ โปรดอย่าลบหลู่นะครับ

    วิธีนี้เอาไปใช้ทีไร ได้ผลทุกครั้ง

    และเมื่อลองเล่าเรื่องนี้ให้บรรดากูรูทั้งหลายฟัง พวกเขายืนยันว่า คำแนะนำของพี่ๆ นักข่าวนักเขียนนั้นเป็นหนทางผ่าทางตันที่ดี

    สมควรบันทึกไว้เป็นเคล็ดวิชา เผื่อใครอยากหาวิธีผ่าทางตันจะได้นำไปใช้

    เคล็ดลับผ่าทางตันที่ตั้งชื่อไว้เท่ๆ นี้ มีหลักเพียง 2 ประการเท่านั้นครับ

    หลักประการแรก คือ อย่ายึดติด

    หมายความว่า "เมื่อใดก็ตามที่เจอทางตัน แทนที่จะถือทิฐิมุ่งแต่เอาชนะแบบหัวชนฝา"

    "ท่านว่า ให้รู้จักถอยออกมาจากปัญหาสักก้าวสองก้าว"

    การถอยนี่มีความสำคัญนะครับ เพราะช่วงเวลาที่เราตัดสินใจถอย คือช่วงเวลาที่สติเข้ามาแทนที่อารมณ์

    เมื่อเราถอยห่างออกมา เราจะเห็นภาพในมุมที่กว้างขึ้น

    "เมื่อเรายอมถอยออกห่าง สมองเราก็จะรับรู้ข้อเท็จจริงได้มากขึ้น"

    เหมือนกับที่บรรดาพี่ๆ นักข่าวนักเขียนบอกว่า ให้หยุดคิดหยุดเขียน แล้วถอยห่างออกจากโต๊ะทำงานไหม

    เหมือนกัน !

    และหลังจากยอมถอยแล้ว เราจะเข้าสู่หลักประการที่สอง

    นั่นคือ การแสวงหาข้อมูล

    อย่าลืมว่า ช่วงที่เรายอมถอย คือช่วงเวลาที่สติเริ่มกลับมาแทนที่อารมณ์

    "ณ ห้วงเวลานี้เอง เป็นห้วงเวลาที่ดีที่สุดในการมองหาข้อมูลใหม่ๆ"

    จังหวะนี้เราจึงต้องรับฟังคำปรึกษา

    คำปรึกษาที่ว่านั่น ไม่ต้องพึ่งพาระดับผู้เชี่ยวชาญอะไรหรอก

    แค่พูดคุยสอบถามจากคนใกล้ชิด มิตรใกล้ตัว

    ค้นหาจากหนังสือ หรืออินเตอร์เน็ต

    เพียงเท่านี้ ทางออกใหม่ๆ ก็จะปรากฏออกมาในความคิด

    อย่างนักเรียนที่ติดโจทย์คณิตศาสตร์ คิดเท่าใดก็คิดไม่ออก

    ลองหยุดพักสมอง

    แล้วยกการบ้านไปถามพ่อ แม่ พี่ หรือเพื่อนดูสิครับ

    บางทีคำปรึกษาที่พ่อ แม่ พี่ หรือเพื่อนบอกมานั้น อาจยังไม่สามารถทำให้เราแก้โจทย์เลขข้อนั้นได้ในทันที

    แต่คำปรึกษาที่ได้รับ อาจทำให้เราได้คิด และพบช่องทางในการแก้โจทย์เลขได้ในเวลาต่อมา

    เช่นเดียวกับบัณฑิตใหม่ที่กำลังตกงาน ยื่นใบสมัครงานไปที่ไหนๆ ก็ไม่มีใครตอบรับ

    ลองหยุดสักพัก แล้วหมุนโทรศัพท์ไปหาเพื่อนฝูง ครูอาจารย์

    คนเหล่านั้นจะมีข้อมูลสำคัญให้เราได้คิด และพบช่องทางใหม่ๆ ในการสมัครงาน

    คนทำงานอย่างเราๆ ก็ไม่ต่างกันครับ

    ใครก็ตามที่กำลังเจอทางตัน โปรดอย่ารอช้า

    ขั้นแรก ขอให้ท่านหยุดพักสิ่งที่กำลังทำอยู่

    ขั้นต่อไปคือ ขอให้ท่านเปิดประสาทการรับรู้

    แสวงหาคำปรึกษาจากรอบทิศ

    แล้วในที่สุดเราจะพบทางออกได้อย่างมหัศจรรย์

    สวัสดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...