พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    พิมพ์"กลับร้ายกลายเป็นดี" ก็มีนะครับ

    อย่าลืมนะครับ วันนัดพบกัน จะนำไปให้ชมกัน ผมออกไปธุระก่อนครับ
    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ถ้าถ่ายไฟฉายตรากบ ต้องถามคุณตั้งจิตครับ คุณตั้งจิตรู้ดีแน่เลยครับ

    ไว้พบกันในวันนัดพบกัน แล้วจะยิ่งทั้งสั่นลุ้น และสั่นสู้แน่นอน จะบอกว่า สิ่งที่เราไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น ยังมีอีกมากมาย และสิ่งเหล่านี้ ต้องบอกว่า ไม่ธรรมดา เป็นพิเศษมากจริงๆ

    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  4. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    สาธุ โมทนาด้วยค่ะ ตรงไปตรงมาและตรงใจดีจัง
     
  5. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    unapproved group message คืออะไรคะ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  7. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    ใกล้เทศกาลปีใหม่แล้ว มีเพลงมาฝากค่ะ(กรุณาร้องในทำนอง santa claus is coming to townนะคะ) มอบสำหรับคุณnongnoooโดยเฉพาะเลย

    Subject: New Chrismas Song

    You'd better watch out
    You'd better not cry
    You'd better keep cash
    I'm telling you why:
    Recession is coming to town.

    It's hitting you once,
    It's hitting you twice
    It doesn't care if you've been careful and wise
    Recession is coming to town

    It's worthless if you've got shares
    It's worthless if you've got bonds
    It's safe when you've got cash in hand
    So keep cash for goodness sake, HEY
    You'd better watch out
    You'd better not cry
    You'd better keep cash
    I'm telling you why:
    Recession is coming to town!

    Finance products are confusing
    Finance products are so vague
    The banks make you bear the cost of risk

    So keep out for goodness sake,OH
    You'd better watch out
    You'd better not cry
    You'd better keep cash
    I'm telling you why:
    Recession is coming to town
     
  8. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    ก่อนราตรีสวัสดิ์กัน มีเรื่องน่ารักมาฝากอีกเรื่อง จาก fwd mail นะคะ เดี๋ยวมีแซวอีก

    เงินสิบบาท ถ้ามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร?

    ครูคนหนึ่งตั้งคำถามกับเด็กว่า 'ถ้ามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร'
    เด็กส่วนใหญ่ตอบว่า '7 บาท' แต่มีเด็ก 2คนที่ตอบไม่เหมือนกับคนอื่น
    คนหนึ่งตอบว่า '2 บาท'
    อีกคนหนึ่งตอบว่า 'ไม่ต้องทอน'

    ครูถามเด็กคนแรกว่าทำไมถึงได้เงินทอน 2 บาท
    คำตอบที่ได้ก็คือภาพในใจของเขา สำหรับเงิน 10 บาทคือ เหรียญห้า 2 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ให้เหรียญห้า 1 เหรียญ ดังนั้น จึงได้เงินทอน2 บาท

    ถามเด็กคนที่สองว่าทำไมไม่เหลือเงินทอนเลย
    คำตอบก็คือเด็กคนนี้คิดว่าในกระเป๋ามีเหรียญบาท 10 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3บาท เขาก็ส่งเหรียญบาทให้ 3 เหรียญ เพราะฉะนั้น คนขายจึงไม่ต้องทอนเงินให้เขา

    โชคดีที่เป็นการถาม-ตอบในห้องเรียน ลองนึกดูสิครับว่าถ้าโจทย์นี้เป็นข้อสอบที่มีคำตอบเป็น ก-ข-ค-ง
    เด็ก 2 คนนี้ก็คงไม่ได้คะแนนจากคำตอบที่ผิดเพี้ยนจากคนส่วนใหญ่

    การสร้างโจทย์ที่ 'เสมือนจริง' จินตนาการของ 'ครู' อาจถูกจำกัดเพียงแค่ 'ตัวเลข' แต่สำหรับเด็กจินตนาการของเขาไร้กรอบ 10 บาท จึงสามารถเปลี่ยนเป็นเหรียญสิบ เหรียญห้า หรือเหรียญบาท เมืองไทยมีเหรียญ 2 บาท เราจึงได้คำตอบเพิ่มอีก 1 คำตอบ คือ ได้เงินทอน 1 บาท

    โลกในห้องเรียนกับโลกของความเป็นจริงนั้นแตกต่างกัน โลกในห้องเรียนทุกคำถาม ส่วนใหญ่มีเพียง 1 คำตอบ

    แต่โลกของความเป็นจริง ทุกคำถามอาจมีคำตอบที่ถูกต้องได้เกิน 1 คำตอบ

    'อย่าตัดสินความผิดของคนๆ นั้น เพียงแค่ คำตอบ ของเรา'
     
  9. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    น้องหมอ พี่ไม่ได้นอนหัวค่ำหรอกค่ะ เป็นคนนอนดึกมากๆ พอดีช่วงนี้มีกิจกรรมต้องทำยามดึกน่ะค่ะ คงอีกไม่กี่วันก็เสร็จค่ะ(หวังว่า)
     
  10. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    ดูรอบแรก โชคดีได้มีโอกาสดูเต็มๆ ยังคิดในใจว่าโฆษณาอะไร ทำไมนานจัง
    แต่ดูจนจบแล้วซึ้งมากครับ ไม่เบื่อจริงๆเช่นกัน แล้วก็ได้ดูเขาตัดให้สั้นลงเรื่อยๆ ก็ยังซึ้งอยู่ดี ประทับใจบริษัทนี้มาตลอดครับ
    (แต่ไม่ได้ทำประกัน เหอๆ)
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 13 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 11 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, ตั้งจิต+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีตอนเช้าครับคุณตั้งจิต

    ผมกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ หลังจากถวายน้ำชาพระที่บ้านครับ

    ไว้คุณตั้งจิตมาอยู่ใกล้ๆแล้วได้เจอกันบ่อยแน่

    เพื่อนๆทุกคนคิดถึงนะครับ

    .
     
  12. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    อาไรหรือครับ ถ่านไฟฉายตรากบ อืม...เคยได้ยินคุณยายผมพูดถึงเหมือนกันนะ
    ....แต่ถ้านัดพบกัน ก๊อต้องเพลงนี้เลย....(สงสัยอะไรก็ต้องถาม คุณป้าแอ๊ว คุณป้าตุ่นแล้วนะครับ อิอิ
    [​IMG]
    จากhttp://lovemaajan.net78.net/web/index.php?topic=19.0
    ;aa9
     
  13. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 11 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 9 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">

    </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>ตั้งจิต, sithiphong+ </TD></TR></TBODY></TABLE><!-- currently active users -->
    <!-- popup menu contents -->อ้าว ท่านปาทานมาแล้น ผมขอตัวไปดูหนังเกาหลีก่อนนะฮับ;43
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ake7440 [​IMG]
    ขออนุญาตขุด โพสนี้ขึ้นมาสักหน่อย
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    อันนี้ผมไม่ทันจริงๆครับ เหอๆ
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ถ้าเป็น BMX ละก็ ผมไม่ไหวแล้วครับ
    เห็น BMX นึกถึงโอเลี้ยง ยกล้อครับ อยากกินอีก


    ส่วนตีกบขอบาย แต่ถ้าเพลงถ่ายไฟฉายตรากบ ก็ค่อยOK ครับ.
    [​IMG]
    ที่มา http://www.bloggang.com/viewdiary.ph...group=5&blog=1

    และสามารถเข้าไปฟังเพลงได้ ผมนำเนื้อร้องมาให้คุณตั้งจิตก่อน เพื่อระลึกถึงความหลังครับ

    ถ่านไฟฉายตรากบ
    Original Version


    ต้นตระกูลผม แต่ปางบรรพ์
    หลังย่ำสายัณห์ ดวงตะวันเลี่ยงหลบ
    จะเดินทางเยื้องย่างไปไหน
    จำเป็นต้องใช้ จุดไต้จุดคบ

    ปัจจุบันเห็นจะไม่ดี
    ขืนจุดไต้ซี ถ้ามีใครพบ
    อาจจะอายขายหน้าอักโข
    เขาต้องฮาต้องโห่ ว่าผมโง่บัดซบ

    ยุคนี้มันต้องทันสมัย
    เพื่อนผมทั่วไปใช้ถ่านไฟตรากบ
    ทั้งวิทยุ และกระบอกไฟฉาย
    คุณภาพมากมาย สะดวกสบายครันครบ

    ถ่านก็มีหลายอย่างวางกอง
    เขากลับรับรองว่า ต้องแพ้ตรากบ
    เหตุและผลเขาน่าฟังครับ
    ขอให้ลองสดับนะท่านที่เคารพ

    (...คือเขาบอกว่า ถ่านไฟฉายตรากบ ไม่ใช่ของนอกส่งมาขยอกเงินไทย และไม่ใช่ของทำภายในที่โกยกำไรส่งออกนอก...ถ่านไฟฉายตรากบ ทำในเมืองไทย โดยให้เงินกำไรหมุนเวียนอยู่ในเมืองไทย ทำให้ดุลการค้าของไทยดีขึ้น ...ฉะนั้น นอกจากผมจะเคยชอบตีกบ ชอบกินกบ ชอบเพลงพม่าแทงกบ และชอบเล่นไพ่กบแล้ว เดี๋ยวนี้...ผมยังชอบถ่านไฟฉายตรากบอีกด้วย อ๊บๆ)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- / message --><!-- sig -->__________________


    [/color][/size]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    พิมพ์"กลับร้ายกลายเป็นดี" ก็มีนะครับ

    อย่าลืมนะครับ วันนัดพบกัน จะนำไปให้ชมกัน ผมออกไปธุระก่อนครับ
    .

    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    ถ้าถ่ายไฟฉายตรากบ ต้องถามคุณตั้งจิตครับ คุณตั้งจิตรู้ดีแน่เลยครับ

    ไว้พบกันในวันนัดพบกัน แล้วจะยิ่งทั้งสั่นลุ้น และสั่นสู้แน่นอน จะบอกว่า สิ่งที่เราไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น ยังมีอีกมากมาย และสิ่งเหล่านี้ ต้องบอกว่า ไม่ธรรมดา เป็นพิเศษมากจริงๆ

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ผมใส่สีและขยายข้อความให้แล้วครับ เหอๆๆๆๆ

    เดี๋ยวผมต้องไปข้างนอกแล้วครับ หากบ่ายๆไม่มีอะไรก็จะกลับมารอ ผบทบ.ผม วันเสาร์และอาทิตย์นี้ ผบทบ.ผมไปสัมมนา ไม่เหมือนผมที่ต้องไปอบรม(สงสัยนิสัยไม่ดีมากๆ ก็เลยอบรมบ่อย) หุหุหุ

    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เล็บบอกโรคได้
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=66434&NewsType=2&Template=1

    <TABLE style="WIDTH: 480px"><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD><TD vAlign=top>มีใครเชื่อหรือไม่ว่า เล็บก็สามารถบอกโรคได้ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาบอก...
    โดยทั่วไปเล็บเป็นส่วนที่งอกออกมาจากผิวหนัง เป็นเซลที่ตายแล้ว มีส่วนประกอบหลักเป็นสารประเภทโปรตีนที่ชื่อว่า เคราติน (Keratin) เล็บที่ปกตินั้นจะมีสีชมพูอ่อน ๆ เสมอกัน เนื้อเล็บแข็งเรียบ ลื่น แต่บางครั้งเล็บอาจมีรูปร่างหรือสีผิดปกติได้ ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติหรือโรคภัยบางอย่างที่เกิดขึ้นในร่างกาย ดังนี้

    - เล็บขาวซีด อ่อน แบน และบุ๋ม : มักพบในคนที่เป็นโรคโลหิตจางซึ่งอาจมาจากการขาดธาตุเหล็ก

    - เล็บขาวเป็นแผ่นตรงกลาง : เป็นความผิดปกติที่พบในโรคตับ,
    - เล็บเป็นหลุม ขรุขระ ไม่เรียบเกลี้ยงเกลา : พบในโรคผิวหนังที่เรียกว่าสะเก็ดเงิน หรือเรื้อนกวาง

    - เล็บหนากว้าง และโค้งมนตามลักษณะของปลายนิ้วที่โตขึ้นและมีสีออกม่วงคล้ำ : พบในผู้ป่วยโรคหัวใจ (ลิ้นหัวใจรั่ว) โรคตับ และโรคท้องเสียเรื้อรัง

    - เล็บเป็นดอกหรือจุดขาว ๆ หรือเป็นเสี้ยวพระจันทร์ : แสดงว่ามีปัญหาสุขภาพเจ็บป่วยหนัก หรือขาดสารอาหารบางอย่างที่ทำให้เซลสร้างเล็บได้ไม่สมบูรณ์

    - เล็บเหลือง : ถ้าเป็นบางเล็บบนนิ้วที่ถนัด อาจเป็นสารนิโคตินจากบุหรี่ที่มาเกาะเล็บที่ใช้คีบบุหรี่ หรือพบในโรคปอดบางชนิด โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต

    - เล็บเปลี่ยนสีเป็นครึ่งขาวครึ่งชมพู : พบในโรคไตบางชนิด

    - เล็บเป็นจุดหรือเส้นสีม่วง เกิดจากเส้นเลือดฝอยแตก : พบในโรคลิ้นหัวใจอักเสบ โรคลิ้นหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดอักเสบ โรคตับ โรคขาดวิตามินซี

    - เล็บสีดำ : พบในโรคลำไส้ผิดปกติ มีจุดดำๆ ตามเนื้อเยื่อของลำไส้เยื่อบุปาก ริมฝีปาก ส่วนมากขาดวิตามินบี 12
    - เล็บที่ออกสีเทา ๆ หรือดำคล้ำ : พบในคนที่ได้รับตัวยาบางชนิดเช่น Phenolphthalein ในยาระบาย และยารักษาโรคมาลาเรีย
    อยากรู้ว่าเป็นโรคอะไร สังเกตดูจากเล็บกันเลย.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระศิลาปางป่าเลไลยก์

    http://www.thairath.co.th/news.php?section=specialsunday03&content=113305


    คนไทยเราดูจะคุ้นๆกับพระพุทธรูปปางนั่งห้อยพระบาท หรือที่เรียกว่าปางป่าเลไลยก์ กันมาช้านาน เช่น หลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์ที่สุพรรณบุรี
    แต่เมื่อพูดถึงพระปางนั่งห้อยพระบาท ที่เป็น ต้นแบบสมัยทวาราวดีกันจริงๆ มีน้อยคนที่จะรู้ว่า ทั้งเมืองไทยมีอยู่แค่สี่องค์เท่านั้น แต่จำนวนสี่องค์ที่ว่านี้ เทียบกับองค์ที่วัดเมนดุต ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีองค์เดียว และที่พม่าเขมรไม่มีเลยสักองค์
    ก็ต้องนับว่าเมืองไทยเรามีพระพุทธรูปปางนี้มากกว่าใคร อย่างน้อยก็ในละแวกประเทศนี้ (สมเด็จฯ กรมดำรงราชานุภาพ)
    ฉัตรสุมาลย์ เขียนเรื่องพระพุทธรูปศิลาขาว ไว้ในวารสารเมืองโบราณ ปีที่ 34 ฉบับที่ 4 ว่า กลับจากไปประทับใจกับพระประเมนดุตของอินโดนีเซียถึงไทยแล้ว จึงนึกขึ้นได้ว่า ที่นครปฐม ก็มีพระพุทธรูปปางห้อยพระบาทเช่นกัน
    อาจารย์ธนิต อยู่โพธิ์ เล่าถึงพระเจดีย์โบราณในตำบลปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐมว่า ที่เจดีย์ นี้เคยมีพระพุทธรูปศิลาประจำอยู่ที่มุขทั้งสี่ทิศ
    บริเวณที่ว่านี้ ในรัชสมัยของสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว (ร.6) เรียกว่าสวนนันทอุทยาน ปัจจุบันชาว บ้านเรียกว่าพระเมรุ ทางการได้กั้นแนวรั้วไว้ว่าเป็นโบราณสถาน
    พระพุทธรูปปางนั่งห้อยพระบาทนี้ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้ย้ายองค์หนึ่งไปไว้ที่วัดมหาธาตุในพระนคร ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3 พระยาไชยวิชิต (เผือก) อัญเชิญมาไว้ที่วัดหน้าพระเมรุ
    สมเด็จฯกรมดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าว่า ได้มีการขุดพบศิลาทับหลังเรือนแก้วที่วัดพระเมรุในจังหวัดนครปฐม จึงทราบว่า พระพุทธรูปในวัดหน้าพระเมรุ พระนครศรีอยุธยานั้น
    แท้จริงแล้ว มาจาก“พระเมรุ” ในจังหวัดนครปฐมนั่นเอง
    มีข้อสังเกตจากการเลียนแบบชื่อวัด ชื่อเดียวกัน จากนครปฐมไปพระนครศรีอยุธยา แต่องค์ที่วัดหน้าพระเมรุ พระนครศรีอยุธยาเป็นพระศิลาเขียว ขนาดและรูปทรงใกล้เคียงกับพระพุทธรูปศิลาขาว ที่อยู่ในพระอุโบสถวัดปฐมเจดีย์มาก
    อีกองค์หนึ่ง เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ขุดพบที่“พระเมรุ” ในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้คุมงานการบูรณะพระเจดีย์นครปฐม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ โปรดให้เป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์สืบมาจนทุกวันนี้
    และอีกสององค์ต่อมา มีเรื่องเล่าว่า นายธนิต อยู่โพธิ์ ได้รับรายงานใน พ.ศ.2501 ว่า มีคนนำเศียรพระพุทธรูปศิลาแบบทวาราวดีสององค์ มาขายร้านขายของเก่า ที่เวิ้งนาครเกษม
    ไปตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นศิลาขาวเหมือนชิ้นส่วนพระพุทธรูปศิลาหลายองค์ที่เก็บรักษาไว้ในวิหารคด ระเบียงองค์พระปฐมเจดีย์
    รูปแบบขององค์พระเหมือนกับพระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาทที่หน้าพระอุโบสถวัดขุนพรหม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สืบทราบจากผู้นำมาขายว่า นำมาจากพระนครศรีอยุธยาจริง
    เข้าใจว่าน่าจะเป็นของที่ขุดพบที่วัดพระยากง ตำบลสำเภาล่ม เพราะพระพุทธรูปที่วัดขุนพรหม นำมาจากวัดนั้น
    จึงพอจะยืนยันได้ว่า พระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาท ที่อยู่ในอยุธยานั้น ไม่ได้อยู่ที่อยุธยามาแต่เดิม สันนิษฐานว่า มีการขนย้ายมาจากที่อื่น ในสมัยพระบรมราชาที่ 1 (พ.ศ.1931-1938)
    ชิ้นส่วนพระพุทธรูปศิลาขาวที่ว่านี้ ช่างได้พยายามปะติดปะต่อให้ครบองค์ ประดิษฐานไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา 1 องค์ ประดิษฐานไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร 1 องค์
    ต่อมาพระธรรมศิริชัย เจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ในสมัยนั้น ขอองค์หนึ่งไปประดิษฐานไว้ที่พระปฐมเจดีย์ พระพุทธรูปองค์นี้ ประดิษฐานไว้ ณ ลานลดชั้นทางด้านทิศใต้ขององค์พระปฐมเจดีย์
    ทำพิธีฉลองเมื่อ พ.ศ.2510 ถวายพระนามว่า พระพุทธนรเชษฐ์ เศวตอัศมมัยยมุนี ศรีทวา-ราวดี ปูชนียบพิตร.
    0 บาราย 0
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นิสัยของแฟนน่ารักหรือน่าทิ้ง?
    http://www.thairath.co.th/news.php?section=specialsunday07&content=113314


    นิสัยแบบนี้มีอยู่ในตัวของแฟนคุณบ้างไหม? เอ๊ะ หรือแม้แต่ตัวคุณเองล่ะ?
    1. เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่สุด โดยเฉพาะกับคนพิเศษ, คนรู้ใจ หรือแฟนเนี่ย เฮ่อ!ไม่รู้ทำมั้ยทำไมถึงได้เอาแต่ใจกันจัง สงสัยคงคิดมั้งว่าในเมื่อตัวเองเป็นแฟนนี่หว่า จึงอยากทำอะไรกะ “คนใกล้ชิดสนิทแนบ” ยังไงก็ได้ใช่ม้า แถมหากถูกขัดใจนะ “เป็นต้องงอนหรือมีปากเสียงทะเลาะกัน” ไปอีกนาน แล้วอย่าคิดนะว่า จะใจอ่อนง่ายๆ เพราะเค้าจะงอนตุ๊บป่อง จนกว่าจะได้สติ...เอ้ยจนกว่าจะอารมณ์ดี รู้ไว้เหอะ
    2. ขี้หึงได้ทุกเวลาและทุกสถานการณ์ ถือว่ามี “ความสามารถรอบจัด” ในเรื่องการแสดงความหึงหวงว่างั้นเถอะ แถมบางคนนะ เป็นฝ่ายหึงได้แต่อย่าให้เห็นเชียวว่า แฟนของเค้าเหล่ตาตามหึงตูละกัน เพราะคิดว่าเรื่องพรรค์นี้ เค้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์ทำได้...มีงี้ด้วยเรอะ
    3. ปากเค้างี้ขยัน เพ้อพูดคำหวานเจี๊ยบ และ บอกบ่อยเหลือเกินว่ารักอย่างโง้น อย่างงี้ แต่เท่าที่คุณสังเกต คำพูดแบบนี้ก็เป็นเพียงลมปากที่เค้าชอบพูดให้คุณตายใจ เวลาที่เค้าต้องการขอให้คุณทำอะไรให้เค้าน่ะเซ่! โธ่ นึกว่าไม่รู้รึ
    4. หรือ ปากพร่ำโม้อยู่ได้ว่า รัก อย่างโง้น หยั่งงี้ แต่ที่ แท้ มัวเอาเวลาว่างหรือเวลาที่เค้าขลุกอยู่กะเพื่อนๆ แอบจีบคนอื่นเป็นประจำ
    เจ้าตัวดีบางรายมีงี้ด้วย คือจีบเปิดเผยให้แฟนเห็นต่อหน้าต่อตา ไม่ได้ยำเกรงหรือคำนึงถึงความรู้สึกของ “แฟนตัวจริง” เล้ย แล้วหลังจากนั้นก็จะแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ตลอดเวลาว่า จีบเล่นๆ หรือเข้าไปกระแซะงั้นแหละ อ่ะงั้นอย่าลืมดีดกะโหลกเค้ากลับ หากเค้าพูดเรื่อยเปื่อยไม่คำนึงถึงใจเค้าใจเรา ด้วยการลองจีบใครเล่นๆเพื่อความหนุกหนานมั่งก็ได้ แล้วตู่ว่า ถ้าชีวิตมีความสุขจะได้อายุยืน ดูดิเค้าจะเป็นไง
    5. แฟนของคุณชอบให้คนอื่นแตะอั๋ง บ้างปะ?
    เอ้า มีนะ แฟนใครก็ไม่รู้ ชอบอ่อยเหยื่อให้ใครๆ เข้ามาลวนลามเล็กๆ น้อยๆ เสมอ...ไม่ทราบเค้าเป็นบ้าอะไรของเค้า คงชอบโดน “ฝีมือการคลำนู่นคลำนี่” ของคนอื่น นอกจาก “ฝีมือของแฟน” ละซี แต่ยังดีนะ ถ้า...ปล่อยให้ (คนอื่น) แตะอั๋งนิดๆ เพราะขืนแฟนคุณชอบโดนปู้ยี่ปู้ยำมากกว่านี้ ตูว่าอย่าเป็นแฟนกันเลยวะ โถแสดงว่า อาการเค้าชักไม่ สมประกอบน่ะสิ เผลอๆ เพิ่งรู้ทีหลังว่า เป็นพวกชอบโชว์ออฟกับทุกคน แล้วคุณยอมจะยอมรื้อ
    6. เวลาอยากเจอแฟน เค้าเป็นต้องโทร.หาจิกคุณให้รีบมาบริการอย่างทันทีทันใด เพราะตอนนั้นเค้า (need) ปรารถนาแฟนให้มาอยู่เป็นเพื่อน, มาพูดคุยด้วย หรือไปเป็นเพื่อนซื้อของด้วยกัน ไม่งั้นมาเป็น กรรมกรช่วยกันยกของก็ได้ ถ้าไม่รีบเผ่นไปเจอเค้าละก็ โอ้ย เป็นตายหยั่งเขียดแหงๆ แต่ดีนะที่เค้ายังต้อง การแฟนอยู่ หากต้องการ “คนอื่น” และไม่ถามหาแฟนละก็ ฮี่ ฮี่ ฮี่ วันนั้นคงเป็นสัญญาณว่า เริ่ม “รักร้าว” แล้วเฟ้ย
    7. บ้านางแบบ, นายแบบ รึไม่งั้น ก็เห็นดารา, นักร้อง เป็นไม่ได้ เล่นจ้องเขม็งมองไม่กะพริบตา...งั้นเลย! โถ...ก็คนเหล่านี้น่ามองจะตาย แล้วจะไม่ให้แควนของคุณหันไปมองพวกเขาอย่างสนใจได้ไง แม้แต่ตัวคุณเองหากเจอดาราสุดโปรดก็คงเข้าไปกรี๊ดใส่ด้วยใช่ม้า? หากแค่สนใจดาวดังก็ยังโอเคนะ แต่ถ้าเค้ารู้สึก “มันเขี้ยว” หรือ “อยากขยุ้มขย้ำ” พวกนี้ด้วย เห็นทีคนเป็นแฟนต้องพิจารณาเค้าใหม่แล้วว่าจะคบกันต่อไปดีมะ เดี๋ยวเกิดเค้ามั่วอยากขยายกิจกามไปขย้ำคนอื่นที่ไม่ใช่คนดังดารานางและนางแบบ แต่เป็น “คนหน้าเหมือนคนเด่นคนดัง” เข้าล่ะ เอิงเอย...ไม่เสียใจเรอะจ๊ะ เออแต่มีบางคนอยากให้แฟนไปสนใจคนอื่นเหมือนกันแฮะ เพราะขืนปล่อยให้แฟนมาเกาะแกะตัวเองมาก เดี๋ยวจะเสียตังค์มาก เพราะไอ้แฟนดันเป็นมารช่างไถเหลือเกินนี่หว่า จึงอยากไล่ไปซะไกลๆ มีนะไม่ใช่บ่มี
    8. ชอบใจลอยบ๊อยบ่อย ไม่รู้ลอยไปถึงไหนบ้างมะ?
    พวกชอบใจลอยเคว้งคว้างน่ะ ต้องมีอะไรในใจแหงเลย ไม่งั้นสติต้องอยู่กับเนื้อกับตัวสิ จะปล่อยให้ใจลอยไปลอยมาได้ไง แถมอาการใจลอยมักทำให้ใจเค้าไม่อยู่กับแฟนด้วยดิ่ ใจว่อนหายไปไหนอยากรู้จัง? หากใจเค้าไม่อยู่ใกล้ๆ แฟนก็มีโอกาสนอกใจ นอกกายเร็วขึ้นเท่านั้น...ฮ้า แต่ไม่น่าที่ใจลอยเพราะกำลังคิดว่าจะซื้ออะไรเป็นของขวัญปีใหม่ให้คุณดีมากกว่า... ก็ขอให้เป็นงั้นจริงๆเหอะว้า
    9. เมื่อไหร่เจอเพื่อน (ของตัวเอง) ละก็ เป็นลืมเทกแคร์แฟนไปเลย
    ในทางกลับกัน แฟนของเค้านั่นแหละที่ต้องกลายเป็นฝ่ายเอาอกเอาใจ ในช่วงเวลาที่เค้ากำลังหรรษาเฮฮาหัวเราะร่าแบบนี้ ซึ่งหากนานๆ เป็นทีก็หยวนๆได้ (กัดฟันพูด) ทว่าขืนทำตัวเฮฮากะเพื่อนๆแบบนี้ทุกวัน ซ้ำเป็นเพื่อนเค้าฝ่ายเดียว ไม่มีเพื่อนคุณด้วย แล้วคุณจะทำไงดีน้า? แหมชักอยากรู้ซะแล้วซี จะแจกหมัด, เตะผ่าหมาก, ตบเปรี้ยงหรือปล่อยเค้าไปตามทางเวลาอยู่กะเพื่อนๆก็ว่ามา
    10. ชอบฟื้นฝอยหาตะเข็บเป็นประจำทุกทีเรอะป่าว?
    แบบเวลาทะเลาะกันทีไร ซัดกันแค่เรื่องที่กำลังเป็นปัญหาปัจจุบันไม่พอ จะยกเรื่องที่โกรธกันเมื่อปีมะโว้, ปีก่อนหรือเมื่อไม่นานมานี้ มาขึ้นเสียงกะคุณด้วย คงอยากให้คู่ของตัวแตกแยกกันมากขึ้นมั้ง หรือเอ๊ะต้องการบอกว่า ถึงยังไงเค้าก็เป็นคนดีกว่าคุณหลายร้อยเท่ากันแน่? อู้หู คุณก็อย่าลืมคุยฟุ้งความเป็นเยี่ยมของตัวเองมั่งสิ อย่างน้อยความเลิศเลอเพอร์เฟกต์ของคุณก็ต้องมีบ้าง เอ๊ะหรือหาไม่ได้เช่นกัน? ไอ้หยา! หากเป็นงี้ คงต้องรีบสร้างสมความประเสริฐเลิศสะแมนแตนให้ตัวเองซะซีฮ้า.
    @@@​
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รับลมหนาวที่เมืองปาย
    http://www.thairath.co.th/news.php?section=specialsunday08&content=113299

    ในช่วงเทศกาลลอยกระทง ผมขึ้นไปหาเพื่อนชาวเยอรมันคนที่ทูลเกล้าฯ ถวายเงินร่วมกับคอนเสิร์ตสวนสามพราน เป็นเงินสามล้านห้าแสนบาท ทำให้มีเงินถวายห้าล้านสองแสนห้าหมื่นบาท
    เพื่อนคนนี้คบกันมา 45 ปี จนแก่เฒ่าไปตามๆกัน คราวนี้เขามาฟื้นความหลังงานลอย กระทงที่เราเคยไปเที่ยวด้วยกันเมื่อ 30 ปีก่อน
    [​IMG]
    เขาพักอยู่โรงแรมดาราเทวี สองอาทิตย์ บังเอิญเป็นเวลาที่ผมต้องขึ้นไปเชียงใหม่ในงานเปิด รีสอร์ต สวนเฟื่องฟ้า ริมแม่ปิง ของ คุณประกิต อภิสารธนรักษ์ จึงเชิญเขามาร่วมงานในคืนวันเพ็ญฉลองการเปิดรีสอร์ต
    สวนเฟื่องฟ้ามีเนื้อที่เลียบฝั่งแม่ปิงตอนเหนือยาวกว่าสองร้อย ห้าสิบเมตร มีที่พักท่ามกลางสวนที่มีดอกไม้ประดับเต็มพื้นที่ มองไปทางไหนก็เห็นแต่แมกไม้และสายน้ำ ไม่มีสิ่งก่อสร้างสูงๆ มาบังสายตา
    คนที่เคยชินกับการอยู่ในป่าคอนกรีต เมื่อได้มาพักที่สวนเฟื่องฟ้าท่ามกลางบรรยากาศที่โล่ง โปร่ง สบาย ท่ามกลางสวนอันงดงามจะรู้สึกว่าได้รับยาอายุวัฒนะ มีแรงที่จะกลับไปสู้ชีวิตในเมืองหลวงได้อย่างเข้มแข็ง ทีเดียว
    [​IMG]
    รีสอร์ตริมแม่น้ำปิง แบบนี้ยังมีอีกแห่งหนึ่งชื่อ “ลานนา มนตรา” อยู่ชายเมืองเชียงใหม่ เป็นรีสอร์ตเล็กๆที่บรรยากาศสวยงาม ซึ่งผมได้ไปพักมาแล้วทั้งสองแห่ง
    คืนวันลอยกระทง ผมไม่ได้ออกไปเที่ยวงานกับเขา เพราะรู้ตัวว่า อายุมากแล้ว ไม่ร่วมงานที่มีคนมากๆ มีเสียงประทัด เสียงพลุตลอดเวลา มันรับไม่ได้ จึงชวน คุณวิลาศ วินิจผล ผู้จัดการโรงแรมนครพิงค์ พาเลซ ไปนั่งกิน หัวปลาต้มเผือกกับแฮ่กึ๊น ี่ ร้าน อ.เกียรติชัย อิ่มสบาย เข้านอนท่ามกลางเสียงปึงปังของประทัดที่ดังอยู่เกือบทั้งคืน
    ไปเชียงใหม่ในช่วงบั้นปลายของ ชีวิต ทำให้นึกถึงความหลังสมัยยังหนุ่ม ร่วมห้าสิบปีมาแล้ว หน้าหนาวเชียงใหม่หนาวกว่าทุกวันนี้ ผมจะไปนั่งดื่ม ไวน์แดงหน้าเตาผิงที่บ้านของ ยรรยง อนุมานราชธน ที่อยู่เชิงดอย ไวน์ในแก้วเมื่อกระทบกับเปลวไฟในเตาผิง มันงดงามมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
    [​IMG]
    บรรยากาศแบบนี้จะไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว เพราะเพื่อนๆที่เคยคบหา กินกันมาต่างก็จากไปสวรรค์กันเกือบทุกคนแล้ว
    ในบรรดาเพื่อนฝูงที่รุ่นราวคราวเดียวกันมีผมอยู่คนเดียวที่ยังทำงานอยู่ เทพจรลงเท้าให้ไปที่โน่นที่นี่ ทั้งต่างประเทศและในประเทศ ซึ่งไปที่ไหนก็ จะแสวงหาแหล่งท่องเที่ยวที่ได้พบเห็นมาออกอากาศให้ดูกันทางโทรทัศน์
    คราวนี้ก็เหมือนกันมีแหล่งท่องเที่ยวที่คนรู้จักกันดีกับที่ไม่ค่อยรู้จักอย่างที่เรียกว่า “อันซีน” นั่นแหละ ที่หนึ่งอยู่ที่ เมืองเชียงใหม่ กับที่ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน แต่แหล่งท่องเที่ยว “อันซีน” ที่ว่านี้อยู่ทางตะวันออก ในเขตกิ่งอำเภอแม่ออน ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ประมาณ 60 กิโลเมตร
    [​IMG]
    เป็นที่ตั้ง ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยตีนตก ซึ่งเป็นที่ราบเชิงเขา เป็น ศูนย์สาธิตและส่งเสริมอาชีพให้เพาะเห็ดหอมและปลูกกาแฟ นอกเหนือจากการปลูกเมี่ยง (ใบชา) บนที่สูงเกินสามพันฟุต ผลิตผลที่ขึ้นชื่อคือ “หมอนยัดใบชา”
    ที่ตั้งศูนย์อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้ นอกจากศูนย์ฯ ยังมีน้ำตกอยู่ 6 แห่ง มีการปลูกต้น “วานิลลา” ผลิตหมอนใบชาซึ่งเป็นหมอนสุขภาพ เป็นที่นิยมกันแพร่หลาย
    เราไปแค่ น้ำตกแม่กำปอง ซึ่งมีน้ำตกไหลลงตามชั้นหินเจ็ดชั้น สวยงามมาก ยังเหลืออีกตั้ง 5 แห่ง ซึ่งมีความสวยงามแตกต่าง กันไป มี เส้นทางไปยังจุดชมวิวที่บ้านแม่กำปอง และมี ทางข้ามเขาไปยังอุทยานแห่งชาติ แจ้ซ้อน จังหวัดลำปาง ซึ่งผมตั้งใจจะไปชม ดอกเสี้ยวบาน ในหน้าฝนบนเส้นทางสายนี้
    [​IMG]จาก ห้วยตีนตก ก็เปลี่ยนเส้นทางไปเมืองปาย โชคดีวันนั้นเป็นวันที่ลมหนาวมาถึงพอดี ผมเดินทางด้วยรถยนต์ ผ่านแม่แตง แยกเข้า เส้นทางแม่มาลัย-ปาย ทางคดเคี้ยวบนเขากี่โค้งไม่รู้เพราะขี้เกียจนับไปจนแวะ เข้า โป่งเดือด ที่ กม. 42 โป่งเดือดที่เห็นคราวนี้มีการพัฒนาบริเวณ รอบแหล่งน้ำพุร้อนให้นักท่องเที่ยว ได้รับความสะดวกในการเดินชม เป็นทางเรียบไม่เหมือนแต่ก่อน ซึ่งกว่าจะถึงน้ำพุที่พุ่งขึ้นมาจากใต้ดินก็เหนื่อยแทบจะหอบแทบทุกคน ไปคราวนี้ผมก็เลยไปนั่งรอที่ร้านอาหารซึ่งมีบริการนักท่องเที่ยว จนกว่าคณะของเราจะกลับมา
    เราออกเดินทางไปจนถึงกิโลเมตรที่ 65 ตรงทางแยกเข้าห้วยน้ำดัง ซึ่งเราไม่ได้เข้าไปเพราะเคยไปชม ดอยช้างที่จุดชมวิวห้วยน้ำดัง มาแล้ว แวะเข้าหาข้าวกลางวันกินที่ร้านริมทาง พออิ่มหนำสำราญก็ไปต่อจนถึงเมืองปายที่ห่างออกไปประมาณ 30 กิโลเมตร
    ผมไปเมืองปายครั้งแรกเมื่อ 11 ปีก่อน ไปคราวนี้ เมืองปายคึกคักมาก บ้านเรือนหนาแน่น มีรีสอร์ตริมน้ำปายและร้านรวงเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวฝรั่ง เราไปกินอาหารที่ ครัวเบญจรงค์ และ ร้าน น้องเบียร์ ที่เคยกินเมื่อ 11 ปีก่อน เจ้าของร้าน ซึ่งเป็นแม่น้องเบียร์เสียชีวิตแล้ว แต่น้องเบียร์ก็ทำร้านต่อจนเป็นร้านใหญ่ ในเมืองปาย แกงฮังเล ข้าวซอย หมูสะเต๊ะ ยังอร่อยเหมือนเดิม
    [​IMG]สถานที่ท่องเที่ยวก็ยังเป็นที่เคยไปชม น้ำร้อนในลำธาร วัดน้ำฮู ตลาดนัดข้างสนามบิน ไปเมืองปายคราวนี้ได้ไปพักที่นอกเมือง กม. 95 เป็นจุดชมวิว มีบ้านพักเป็นตึกสีเหลือง ชื่อ ปลายฟ้า ปลายฝน ซึ่ง เป็นบ้านเจ้าของ รีสอร์ต ปายวิมาน ริมน้ำปาย ข้างๆบ้านมี ร้าน กาแฟชื่อ “คอฟฟี่ อินเลิฟ” บรรยากาศดีมากแสนจะโรแมนติก
    หน้าหนาวนี้ขึ้นไปรับลมหนาวให้ชื่นใจที่เชียงใหม่กันเถอะครับ
    ปลีกวิเวกหนีความวุ่นวายในเมือง ความเครียดจะหายไป เหมือนปลิดทิ้ง จะบอกให้.
    ม.ร.ว. ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เพื่อความเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับหลักกรรม 6 ว่าด้วยผลกรรม 3 ระดับ
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01bud01301151&sectionid=0121&day=2008-11-30

    คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ

    โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    จับเข่าคุยมาเกี่ยวกับเรื่องกรรมมาหลายคราแล้ว (จนเข่าด้านแล้วมั้ง) ยังไม่จบ ยังมีเรื่องเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ ไม่ใช่เรื่องตายตัวที่ถูกกำหนดมาโดยอำนาจสูงสุดใดๆ เราทำกรรมเอง ดีหรือชั่ว เราเป็นผู้ทำขึ้นมา แล้วเราก็แก้ไขเองได้ เรื่องของกรรมเป็น "อัตโนลิขิต" (ตัวเองเป็นผู้ลิขิต ผู้สร้าง) ไม่ใช่ "เทวลิขิต" (เทพสร้าง) หรือ "พรหมลิขิต" (พรหมสร้าง)

    พูดให้เห็นง่ายๆ เราอยากเป็นดอกเตอร์ (ดอกเตอร์ปริญญาเอก มิใช่ดอกเตอร์นวด) ใครทำให้ เราทำเองทั้งนั้น เราต้องขยันหมั่นเพียรเรียนหนังสือ ไต่เต้าขึ้นไปจากประถม มัธยม มหาวิทยาลัยระดับปริญญาตรี โท แล้วก็ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก ใครทำให้ เราทำเอง คร่ำเคร่งเรียนแทบเป็นแทบตาย กว่าจะได้ปริญญามา

    ทั้งหมดนี้คือกฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ ที่เราสร้างเอง คนอื่นมีส่วนเพียงช่วยอุดหนุนภายนอกเท่านั้น

    อีกสักตัวอย่างหนึ่ง มหาโจรชื่อดัง ถูกประกาศจับตาย หนีหัวซุกหัวซุน ในที่สุดถูกจับได้ ศาลพิพากษาประหารชีวิต เพราะไปก่อกรรมทำเข็ญไว้มากมายหลายคดี ก่อนตายโอดครวญว่า สังคมโหดร้ายต่อเขา บังคับให้เขาเป็นโจร

    หนังสือพิมพ์รายงานข่าวอย่างละเอียดว่า มหาโจรคนนี้เดิมเป็นเด็กยากจน ไปหลงรักลูกสาวคหบดี เมื่อถูกกีดกันก็ฉุดลูกสาวเขา ถูกตำรวจจับฐานพรากผู้เยาว์ ตอนหลังคนรักที่ว่ารักกันแทบจะกลืนก็เปลี่ยนใจบอกว่าถูกข่มขู่ข่มขืน ออกจากคุกแค้นมาก เอาระเบิดไปถล่มคนรักตายเรียบพร้อมครอบครัว ตั้งแต่นั้นมาก็กลายเป็นไอ้มหาโจรปล้นฆ่า ข่มขืนไม่รู้ว่ากี่ศพต่อกี่ศพ ผลที่สุดถูกจับถูกพิพากษาประหารชีวิตดังกล่าว เขาว่าเขาถูกบังคับให้เป็นโจร

    ความจริงเขากลายเป็นโจร ก็เพราะการกระทำของเขาเอง สังคมมิได้บังคับให้เขาเป็น คนที่อยู่ในสังคมเช่นเดียวกับเขา และถูกเอารัดเอาเปรียบพอๆ กัน หรือมากกว่าเขาก็มีไม่น้อย ทำไมเขาไม่เป็นโจรล่ะ

    นี่แหละครับที่พระท่านว่า คนเราจะเป็นอะไรก็เพราะ "กรรม" (การกระทำ) ของตนเอง อย่างนี้ไม่เรียกว่า "อัตโนลิขิต" แล้วจะให้เรียกอะไร

    เคยตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นั่นไม่จำเป็นจะต้องเป็นไปตามนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจจะสัก 99.9 เปอร์เซ็นต์อะไรทำนองนั้น ส่วนที่เหลือก็เผื่อไว้ให้ "เงื่อนไข" อื่นเข้ามาแทรกบ้าง อย่างไรก็ตาม ผลดีผลชั่วของกรรมนั้น ควรพิจารณาถึง 3 ระดับ จึงจะเข้าใจชัดคือ

    1.ผลดีผลชั่วระดับสังคม สังคมเราถือสิ่งใดว่าดีหรือไม่ดี สิ่งนั้นแหละเรียกว่าดีชั่วระดับสังคม เช่น ในสังคมวัตถุนิยมอย่างปัจจุบัน เราถือว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ความร่ำรวย เป็นสิ่งที่ดี ตรงข้ามจากนี้ว่าเป็นสิ่งไม่ดีหรือสิ่งที่ชั่ว พอใครพูดว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" ก็นึกแล่นไปถึงสิ่งเหล่านี้ "อ้อ ทำดีต้องได้ลาภ ยศสรรเสริญ สุข และความรวย ทำชั่วต้องได้ความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ หันหาทุกข์และความจน"

    ครั้นเห็นใครทำดีไม่ได้เลื่อนยศสักที หรือยิ่งทำดีก็ยิ่งจนลงๆ ก็ชักจะไขว้เขวแล้วว่า "เอ ทำดีทำไมไม่ได้ดี" หรือเห็นคนทำชั่ว (โกง เห็นชัดๆ ว่าอย่างนั้นเถอะ) แต่กลับได้เลื่อนยศ และรวยเห็นทันตา ก็งงว่า "เอ ไอ้หมอนี่ทำชั่วเห็นชัดๆ ทำไมได้ดี"

    จึงขอเรียน (ความจริงไม่ต้องเรียน เพราะค่าเทอมแพง ขอพูดเลย) ว่า ความจน ความรวย ลาภเสื่อมลาภ ยศเสื่อมยศ สรรเสริญนินทา สุขทุกข์ มิใช่ผลโดยตรงของกรรมดีกรรมชั่วดอกครับ ถ้ามันจะเป็นผลก็ขอให้ถือว่าเป็นเพียง "ผลพลอยได้"

    ทำดีก็รวยได้ ทำชั่วก็รวยได้เช่นกัน ทำดีก็จนได้ ทำชั่วก็จนได้ เป็นไปได้ทั้งนั้น ไม่ควรถือเอามาเป็นผลโดยตรงของกรรมดีกรรมชั่ว

    2.ผลดีผลชั่วระดับบุคลิกภาพและอุปนิสัย กรรมที่ทำลงไป ทำให้เกิดผลในการสร้างเสริมลักษณะนิสัย ปรุงแต่งลักษณะความประพฤติ การแสดงออกต่างๆ ด้านดี เช่น ความมีเมตตาอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่อิจฉาริษยา ไม่อาฆาตพยาบาท ด้านชั่ว เช่น ใจแคบ มุ่งร้าย วู่วาม ก้าวร้าว

    สิ่งเหล่านี้ มิใช่อยู่ๆ เป็นขึ้นมาเอง หากเป็นผลของการกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนหล่อหลอมเป็นอุปนิสัยใจคอของคนคนนั้น

    3.ผลดีผลชั่วระดับพื้นของจิต กรรมที่ทำลงไปแต่ละครั้งเป็นการสั่งสมคุณภาพของจิต พูดอีกนัยหนึ่งว่าเป็นการ "ประทับลงไปในจิต" จนกลายเป็น "พื้น" ของจิต จิตนั้นเหมือนผ้าขาว การกระทำแต่ละครั้งดุจเอาสีแต้มลงไปที่ผืนผ้า ทำดีทีก็ดุจเอาสีขาวแต้มลงที ทำชั่วทีก็ดุจเอาสีดำแต้มลงที อะไรทำนองนั้น

    ทุกครั้งที่เราด่าหรือนินทาคนอื่น เราได้สร้างเชื้อแห่งความไม่ดี ซึ่งทางศาสนาเรียกว่า "กิเลส" หรือ "อาสวะ" ขึ้นในใจ ทำให้สภาพจิตตกต่ำ มัวหมอง หากทำเช่นนี้บ่อยๆ จิตจะหยาบกระด้างขึ้น มีคุณภาพต่ำลงเรื่อยๆ

    ตรงกันข้าม ถ้าเราทำแต่สิ่งที่ดีงาม เช่น คิดเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เมตตากรุณา เห็นอกเห็นใจและช่วยเหลือคนอื่น ทำบุญทำทานอยู่เสมอ พลังฝ่ายดีจะสะสมในจิตใจเป็นพื้นของจิต สร้างคุณภาพและสมรรถภาพที่ดีแก่จิต

    สรุปให้เข้าใจง่ายก็คือ การทำดีหรือทำชั่วแต่ละครั้งนั้น มีส่วนช่วยให้พื้นของจิตละเอียด หรือหยาบขึ้นได้ ความละเอียดประณีต และความหยาบกระด้างของจิตมิใช่อยู่ๆ จะเป็นขึ้นมาเอง ย่อมมีการสะสมการกระทำ (กรรม) ต่อเนื่องมาเป็นลำดับจนกลายเป็นการกระทำที่ปกติ

    อาแปะ คนหนึ่งเชือดคอเป็ดทุกเช้า เพราะแกมีอาชีพทำก๋วยเตี๋ยวเป็ดขาย แกกระทำเช่นนี้ทุกเช้าจนชิน ไม่รู้สึกขวยเขิน เหนียมอายแต่อย่างใด สภาพจิตของอาแปะแกหยาบกระด้าง ไม่มีหิริโอตตัปปะแม้แต่น้อย

    เมื่อครั้งเชือดคอเป็ดตัวแรกในชีวิต แกมือไม้สั่น จิตใจกล้าๆ กลัวๆ แต่พอเชือดตัวที่สอง ที่สาม ที่สี่... ความรู้สึกเช่นนั้นค่อยๆ หายไป จนกระทั่งไม่เป็นเรื่องผิดแต่ประการใด นี้แสดงว่าผลของการกระทำนั้นทำให้จิตใจหยาบกระด้างขึ้น

    อาตี๋อีกคนมีอาชีพขายลูกน้ำ เดิมทีก็ไม่คิดอะไร ต่อมาได้อ่านหนังสือธรรมะและได้คุยกับผู้รู้ และผู้รู้นั้นก็มาเยี่ยมที่ร้านบ่อยๆ ทำให้เกิดความละอายว่าตนมีอาชีพเบียดเบียนสัตว์ จึงเลิกขายลูกน้ำ ดัดแปลงร้านให้เป็นร้านขายหนังสือธรรมะในเวลาต่อมา

    ไม่ต้องบอกก็ได้ว่า สภาพจิตของอาตี๋คนนี้ เริ่มละเอียดประณีตขึ้นๆ เพราะเป็นผลของการกระทำดี (สนทนาธรรม, พิมพ์หนังสือธรรมะเผยแผ่...)

    สรุปว่า ผลดีผลชั่วระดับสังคม ไม่ควรถือเป็นผลโดยตรงของกรรมดี กรรมชั่ว ผลดีผลชั่วระดับบุคลิกภาพ และอุปนิสัย กับผลดีผลชั่วระดับพื้นของจิตเท่านั้น ที่จัดว่าเป็นผลของกรรมดีกรรมชั่ว ที่ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หมายเอาดีชั่วสองระดับนี้ ทำดีแล้วอุปนิสัยและบุคลิกดีขึ้น พื้นจิตใจสะอาดประณีตขึ้น ทำชั่วแล้วอุปนิสัยและบุคลิกเลวลง พื้นจิตใจสกปรกหยาบกระด้างขึ้น ผลของกรรมเห็นจะจะ อย่างนี้แหละโยมเอ๋ย
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คุณnongnooo เมื่อวานนี้ผมไปคุยกับพี่ใหญ่มา คุยกันหลายเรื่องทั้งเรื่องคุณแมวเหมียวด้วย คุณแมวเหมียว ไว้ผมโทร.ไปคุยดีกว่าออกอากาศครับ

    สำหรับคุณnongnooo ผมเล่าให้พี่ใหญ่ฟังว่า คุณnongnooo ชอบนำพระพิมพ์ต่างๆ มาวางไว้หน้าคอมฯ แล้วก็นั่งส่อง นั่งดูบ่อยๆ พี่ใหญ่ฝากบอกว่าดีมาก ดูให้เป็นพุทธานุสติด้วย จับภาพพระพิมพ์(ให้นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ไว้ ต่อให้ลืมตาก็เห็นเป็นรูปพระ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ไว้ผมโทร.บอกนะครับ ว่าดีอย่างไร แต่ไม่หลงตายแน่นอนครับ

    ส่วนน้องหมอ ก็ตามที่โทร.บอกนะครับ สู้ตายโว้ย

    ส่วนท่านอื่นๆ (ซึ่งยังมีอีกหลายท่าน) ไว้ผมโทร.ไปคุย และยังมีอีกหลายท่านที่ผมต้องคิด ๆๆๆๆๆๆ ก่อน และยังไม่ทราบว่าจะคุยอย่างไร มีบางท่านผมติดต่อไม่ได้เช่นกัน ซึ่งผมจะบอกอย่างไรได้ก็แล้วแต่วาสนาและบารมีของแต่ละท่านครับ

    โมทนาสาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...