พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "สังฆราช"ถวายพระพรในหลวง

    http://www.matichon.co.th/matichon/...1p0101271151&sectionid=0101&selday=2008-11-27

    เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีคำถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม 2551 ใจความว่า พระพุทธภาษิตบทหนึ่ง ความว่า "ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธานทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ" และ "ใจของเรามีค่าสูงสุด ไม่พึงนำไปแลกกับสิ่งใดทั้งสิ้น เป็นพระพุทธพรสำคัญ ปกปักรักษาชีวิตให้สวัสดี มีความร่มเย็นเป็นสุข แม้กำลังอยู่ในท่ามกลางโลกที่ร้อนแรงเช่นในปัจจุบัน ผู้ใดปฏิบัติตาม ผู้นั้นย่อมได้รับพระพุทธพรจากพระพุทธเจ้า ผู้เข้าใจ และมุ่งมั่นปฏิบัติรักษาใจของตนให้ดีที่สุด ให้พ้นจากความคิดไม่ดีทั้งปวง ผลสำเร็จย่อมปรากฏแก่ใจผู้นั้น เป็นความสุขความทุกข์ตามความคิดในจิตใจผู้นั้น เพราะความคิดไม่ดีของตนเองจะเกิดผลแก่ตนเองแน่นอนเสมอไป
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "โอบามา"ดักคอซีอีโออย่ารับโบนัส-เอไอจีประกาศไม่เอา
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01ecb03271151&sectionid=0141&day=2008-11-27


    รอยเตอร์รายงานว่า นายบารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนใหม่ ให้สัมภาษณ์กับโทรทัศน์เอบีซีว่า บรรดาประธานบริหาร (ซีอีโอ) ของธนาคารต่างๆ ไม่ควรรับโบนัส เพื่อแสดงความรับผิดชอบท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้ เพราะในขณะที่ผู้บริหารมีรายได้หลายสิบล้านดอลลาร์ และได้กำลังจะปลดพนักงาน อย่างน้อยที่สุดผู้บริหารเหล่านี้ก็ควรจะเสียสละบ้าง

    ด้านอเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (เอไอจี) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทขนาดใหญ่ที่เข้ารับความช่วยเหลือจากรัฐบาลเป็นเงิน 1.5 แสนล้านดอลลาร์ อันเนื่องจากวิกฤตการเงิน มีแถลงการณ์ว่า นายเอ็ดเวิร์ด ลิดดี้ ประธานบริหารของเอไอจี รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงอีก 7 คน จะไม่รับโบนัสทั้งในปีนี้และปีหน้า นอกจากนี้ผู้บริหารอีก 50 คนจะไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือนในปีหน้า

    รายงานข่าวเปิดเผยว่า แถลงการณ์ของเอไอจี มีขึ้นหลังจากนายแอนดรูว์ คูโอโม อัยการรัฐนิวยอร์ค ได้ขอให้เอไอจีเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับโบนัสผู้บริหารและการขึ้นเงินเดือนเมื่อต้นเดือนนี้ ซึ่งนายคูโอโม ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่าตนกำลังกดดันให้บริษัทการเงินและธนาคารอื่นๆ ที่รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องโบนัส ทั้งนี้หวังว่าบริษัทเหล่านี้จะเอาอย่างเอไอจี

    นายคูโอโม ระบุด้วยว่า เอไอจี ยังได้ตกลงที่จะระงับการจ่ายโบนัส 19 ล้านดอลลาร์แก่นายมาร์ติน ซัลลิแวน อดีตประธานบริหารเอไอจี

    -------------------------------------
    -------------------------------------

    ไม่รู้ว่า เมืองไทยทำได้หรือเปล่า สำหรับหน่วยงานต่างๆหรือบริษัทต่างๆ ที่จะปลดพนักงานหรือคนงาน แทนที่จะปลดพนักงานหรือคนงาน

    ก็แค่งดโบนัสและการขึ้นเงินเดือนของผู้บริหาร(ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูง ,ระดับกลาง หรือระดับล่าง) คนเหล่านี้กินกันมาเยอะแล้ว

    เมื่องดโบนัสและการขึ้นเงินเดือนของผู้บริหารแล้วนำเงินที่ได้ ไปจ้างงานพนักงานหรือคนงานต่อ ทางครอบครัวของพนักงานหรือคนงานก็ไม่เดือดร้อนด้วย ได้อีกหลายๆชีวิต หุหุหุ
     
  3. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo [​IMG]
    อ่า....มาแล้วครับตาลุงเจ้าเก่าฝากมาโชว์ในวันเหงาๆครับ หุ หุ
    [​IMG] [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    คนแก่นี่ขี้เหงาจริงนะ เอ้าเดี๋ยวผมเต้นให้ดูแก้เหงา เย่....ช่า:z7
    วู้...:z5:z2
    :z6denceepig_ballet
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]

    ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

    sithiphong
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 11.jpg
      11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      476.2 KB
      เปิดดู:
      55
    • 12.jpg
      12.jpg
      ขนาดไฟล์:
      183.2 KB
      เปิดดู:
      53
    • 13.jpg
      13.jpg
      ขนาดไฟล์:
      388.3 KB
      เปิดดู:
      72
    • 14.jpg
      14.jpg
      ขนาดไฟล์:
      248.3 KB
      เปิดดู:
      59
    • 15.jpg
      15.jpg
      ขนาดไฟล์:
      284.9 KB
      เปิดดู:
      59
    • 16.jpg
      16.jpg
      ขนาดไฟล์:
      268.5 KB
      เปิดดู:
      55
    • 17.jpg
      17.jpg
      ขนาดไฟล์:
      403.3 KB
      เปิดดู:
      60
    • 18.jpg
      18.jpg
      ขนาดไฟล์:
      408.5 KB
      เปิดดู:
      60
    • 19.jpg
      19.jpg
      ขนาดไฟล์:
      226.1 KB
      เปิดดู:
      57
    • 20.jpg
      20.jpg
      ขนาดไฟล์:
      277.2 KB
      เปิดดู:
      73
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,310
    วันที่ 26
    1.สวดมนต์ไหว้<O:p></O:p>
    2.ภาวนาทำสมาธิ<O:p></O:p>
    3.รักษาศีลสมาทานศีล<O:p></O:p>
    4.รับงับความโกรธกับความโลภอันเป็นกิเลส<O:p></O:p>
    5.ช่วยแม่จัดของให้เป็นที่เป็นทาง<O:p></O:p>
    6.ยินดีในบุญของผู้อื่น<O:p></O:p>
    7.ทำบุญอธิฐานใส่บาตรกับแม่<O:p></O:p>
    8.ศึกษาธรรมะต่างๆ<O:p></O:p>
    9.เพียรที่ปิดกั้นระวังความชั่วต่างๆมิให้เกิด<O:p></O:p>
    10.ขยันทำงานอ่านหนังสือตั้งใจเรียนทดแทนคุณพ่อแม่<O:p></O:p>
    11.เพียรที่กำจัดบาปและอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว<O:p></O:p>
    12.เพียรที่จะสร้างความดี<O:p></O:p>
    13.เพียรรักษาความดี รักษาความดีอย่างตั้งมั่น<O:p></O:p>
    14.แผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย<O:p></O:p>
    15.เชื่อฟังพ่อแม่<O:p></O:p>
    16.มีความรับผิดชอบในหน้าที่ที่สัญญากับเพื่อน<O:p></O:p>
    17.เจริญพรหมวิหาร 4<O:p></O:p>
    18.ใช้อิทธิบาท4เข้าช่วยในการเรียน<O:p></O:p>
    19.ช่วยพ่อแม่ขายของเฝ้าร้าน
    20.หมั่นระลึกและเคารพคุณพระรัตนตรัยพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เคารพเวลามีปัญหาให้เกิดความกำลังใจและมีแรงหรือเวลากลัวต่างๆให้มีความกล้าระลึกเป็นกำลังใจว่าท่านคอยคุ้มครองช่วยเหลือเรา
    21.อภัยทานแก่คนที่มาแกล้งหรือทำร้ายเราคิดมิดีกับเรา<O:p></O:p>
    22.ช่วยแม่ล้างจาน
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD>เฟดอัดงบเพิ่มอีก 8 แสนล้านหวังกระตุ้นเครดิต



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.posttoday.com/international.php?id=19678


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD>วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    สหรัฐอัดงบกู้วิกฤตเศรษฐกิจและการเงินอีก 8 แสนล้าน ด้านอียูคลอดมาตรการกระตุ้นตลาดเช่นกัน ส่วนจีนหั่นดอกเบี้ยลงครั้งใหญ่ในรอบบ 11 ปีหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ

    ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทุ่มงบประมาณถึง 8 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 28 ล้านล้านบาท) เพื่อกระตุ้นตลาดสินเชื่อที่ชะงักงันมาระยะหนึ่ง โดยงบประมาณส่วนนี้จะแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรก 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 21 ล้านล้านบาท) จะนำมาซื้อหลักทรัพย์ที่อิงกับสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ส่วนอีก 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 7 ล้านล้านบาท) จะนำมาเป็นแหล่งเงินกู้สำหรับธุรกิจขนาดย่อมและสำหรับผู้บริโภคทั่วไป
    [​IMG]ทั้งนี้ เฟดยังจะทุ่มงบประมาณอีก 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.5 ล้านล้านบาท) เพื่อซื้อสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์จากสถาบันการเงิน ภายใต้การดูแลของรัฐในสัปดาห์หน้า และจะเริ่มซื้อสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์อีก 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 17 ล้านล้านบาท) ในช่วงสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ เฟดยังจะซื้อหลักทรัพย์ที่อิงกับเงินกู้ นักศึกษา เงินกู้ซื้อรถยนต์ เงินกู้บัตรเครดิต และหลักทรัพย์ที่อิงเงินกู้ประเภทอื่นๆ ด้วย
    การผลักดันแผนฟื้นฟูตลาดล่าสุดในครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อ เพื่อการบริโภคที่เริ่มชะงักในเดือน ต.ค. และเพื่อเสริมสภาพคล่องในระบบการเงิน รวมถึงช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมสินเชื่อในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและ การเงิน
    คณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) ผลักดันแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะเล็งผลนาน 2 ปี เพื่อดึงยุโรปจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยเรียกร้องให้สมาชิกอียูผ่อนคลายมาตรการรัดเข็มขัดงบประมาณภาครัฐ รวมถึงผ่อนคลายมาตรการด้านภาษี เพื่อผันงบช่วยพยุงสถานการณ์ โดยแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของอียูยังเน้นการใช้จ่ายเพื่อลงทุนด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์และก่อสร้าง
    ทั้งนี้ โฮเซ มานูเอล บาร์โรโซ ประธานอีซี เรียกร้องให้อีซีผ่านแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยใช้งบประมาณในสัดส่วนของเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายใน (จีดีพี) ที่ 1.5% หรือราว 1.3 แสนล้านยูโร (ราว 5.7 ล้านล้านบาท) ขณะที่แหล่งข่าวระบุว่า งบประมาณอาจอยู่ที่ 2 แสนล้านยูโร (ราว 8.8 ล้านล้านบาท)
    คริสทีน ลาการ์ด รัฐมนตรีคลังฝรั่งเศส มีแผนการที่จะอัดทุน 1.9 หมื่นล้านยูโร (ราว 8.3 แสนล้านบาท) เข้าสู่อุตสาหกรรมภาคหลัก โดยงบประมาณดังกล่าวเท่ากับสัดส่วนจีดีพีที่ 1% ของฝรั่งเศส ทั้งนี้ ฝรั่งเศสยังแสดงความคาดหวังด้วยว่า ทุกประเทศในอียูจะผ่านงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจในสัดส่วน 1% ของจีดีพีเช่นกัน
    ด้านประธานาธิบดี คริสตินา เฟอร์นานเดซ แห่งอาร์เจนตินา เปิดเผยแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 7.1 หมื่นล้านเปโซ (ราว 7.4 แสนล้านบาท) โดยเน้นที่การสร้างงานโดยเฉพาะในภาคก่อสร้างราว 4 แสนตำแหน่ง และดึงนักลงทุนต่างชาติกลับสู่อาร์เจนตินา นอกจากนี้ ยังจะเพิ่มภาษีอีก 8% สำหรับธุรกิจที่ลงทุนต่างประเทศ ขณะเดียวกันจะลดภาษีสำหรับผู้ที่ลงทุนภายในประเทศ [​IMG]
    ล่าสุด ธนาคารกลางจีนตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง โดยดอกเบี้ยเงินกู้ระยะ 1 ปี ลดลง 1.08% มาอยู่ที่ 5.58% ส่วนดอกเบี้ยเงินฝากระยะ 1 ปี อยู่ที่ 2.52% นับเป็นอัตราลดดอกเบี้ยที่มากกว่าปกติถึง 4 เท่า บ่งว่าจีนพร้อมทุ่มกำลังเต็มที่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากธนาคารโลกลดคาดการณ์ตัวเลขขยายตัวของจีนในปีหน้าลงอย่างฮวบฮาบ ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นวันที่ 26 พ.ย. เป็นไปอย่างสับสน ดัชนีนิกเกอิของญี่ปุ่นติดลบ 1.33% เนื่องจากนักลงทุนรอจังหวะเก็งกำไร ดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกงบวก 3.8% หลังจาก เฟด เปิดเผยแผน 8 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และ ดัชนีสเตรตไทมส์ของสิงคโปร์บวก 3.5% ด้วยปัจจัยเดียวกัน ส่วนราคาน้ำมันดิบตลาดสิงคโปร์ยังคงที่ที่ 51 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตกงานอาจถึง 2 ล้าน! 'กฏหมายการค้า' ตัวช่วย? หรือตัวซ้ำ?

    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=66338&NewsType=2&Template=1

    [​IMG]

    "เพื่อความชัดเจนและตอบสังคมให้ได้ ก็ต้องเปิดรับฟังความคิดเห็นด้วย...” ...เป็นการระบุเมื่อเร็ว ๆ นี้ของ โอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับ “กฎหมายร้อน” ฉบับหนึ่ง ซึ่งมี การดำเนินการผลักดันมานาน กฎหมายที่เมื่อเร็ว ๆ นี้มีข่าวว่า สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี เร่งให้กระทรวงพาณิชย์นำร่างเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่มีมาแต่ต้น... จนวันนี้

    กฎหมายนี้ก็คือ “พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง”

    ที่มีข้อปุจฉาว่าเนื้อหาเหมาะสมแค่ไหน-ดีต่อคนกลุ่มใดแน่ ??

    ทั้งนี้ การผลักดัน พ.ร.บ.ฉบับนี้ ประเด็น “ช่วยโชห่วย” ถูกชู ขึ้นมาเป็นไฮไลต์ อย่างไรก็ตาม เมื่อร่าง พ.ร.บ.ถูกเปิดเผยออกมา ก็มีเสียงท้วงติงจากภาคธุรกิจบางฝ่าย ประมาณว่า... “กฎหมายควรให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ปฏิบัติต่อทุกฝ่ายด้วยความเสมอภาค ไม่ใช่ผลักภาระทั้งหมดให้กับผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ และเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ โดยไม่มีมาตรการที่ชัดเจนในการช่วยเหลือร้านค้าปลีกรายย่อย และการส่งเสริมผลประโยชน์ของผู้บริโภค”

    ขณะที่ทางภาควิชาการ อันเนื่องจากร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ก็มีนักวิชาการบางส่วนออกมาระบุตั้งแต่ก่อนหน้านี้ว่า... “การกำหนดนโยบายสาธารณะที่ถูกต้อง จะต้องยึดผลประโยชน์โดยรวมของคนทุกกลุ่ม”

    ล่าสุด ในขณะที่ “พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง” ยังไม่ผ่านออกมาเป็นกฎหมายบังคับใช้ ในขณะที่นักการเมืองซีกรัฐบาลส่วนหนึ่งแสดงท่าทีเร่งผลักดัน แต่บางส่วนเห็นว่าต้องรอบคอบนั้น กระแสปุจฉา-การแสดงความกังขาก็ยังคงมีออกมาจากบางฝ่ายอยู่ โดยอิงอยู่กับสถานการณ์ปัญหาเศรษฐกิจปัจจุบัน

    ด้านหนึ่งก็ยังมีการข้องใจเนื้อหาบางมาตราของร่างกฎหมาย

    ในอีกด้านหนึ่งก็ตั้งคำถามยึดโยงถึง “ปัญหาว่างงาน” ด้วย...

    ท่ามกลางข่าวคราวการเลิกจ้างแรงงานในบางพื้นที่ และสภาอุตสาหกรรมฯคาดการณ์ว่าปี 2552 อาจจะมีคนตกงาน-ว่างงานถึง 1.5- 2 ล้านคน จากยอดตกงาน-ว่างงานเดิมราว 4.5 แสนคน จากการถูก ปลด-ถูกเลิกจ้างราว 0.5-1 ล้านคน รวมผู้สำเร็จการศึกษาระดับต่าง ๆ ที่ไม่สามารถหางานทำได้อีกราว 4-5 แสนคน...
    การประกอบ “อาชีพค้าขาย” หรือการเป็น “พนักงานในธุรกิจค้าขาย” จะ “เป็นทางออกหนึ่ง” ในช่วงที่ในเมืองไทยมีตำแหน่งงานลดน้อยลงกว่าจำนวนคนต้องการทำงานมาก อันเนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว จากวิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ลุกลาม ยอดผลิต-ส่งออกสินค้าของไทยลดลง...

    แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่าถ้า พ.ร.บ.ธุรกิจค้าปลีกฯยังมีเนื้อหาไม่เหมาะสม แล้วเร่งบังคับใช้ในช่วงที่เศรษฐกิจไทย-สถานการณ์การจ้างงาน ในไทยน่าเป็นห่วง จะ “ซ้ำเติมปัญหาหรือไม่ ?”

    บางฝ่ายที่มองว่าเนื้อหาของร่าง “พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง” ที่กำลังมีการผลักดัน ยังไม่เหมาะสม-ไม่รัดกุม-ไม่เป็นธรรม ระบุประมาณว่า... ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่หรือโมเดิร์นเทรดเกิดขึ้นก็เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบดีพาร์ท เมนท์สโตร์, ซูเปอร์มาร์เกต, คอนวีเนียนสโตร์, ดีสเคาท์สโตร์ ฯลฯ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการขยายตัวตามการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศ การขยายตัวของชุมชน การเพิ่มขึ้นของประชากร และก็ช่วย “สร้างงาน” ได้หลายแสนตำแหน่ง รวมถึงช่วย “สร้างผู้ประกอบการรายย่อย” ที่ตั้งกิจการในสถานประกอบการค้าปลีกสมัยใหม่ และในระบบแฟรนไชส์ได้ไม่น้อย

    ถึงวันนี้มีคนทำงานเป็นพนักงานในธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่กว่า 3 แสนคน มีซัพพลายเออร์เกี่ยวข้องกว่า 3,600 ราย มีร้านค้าย่อยที่ซื้อสินค้าหรือเป็นสมาชิกกว่า 9 แสนราย มีสินค้าที่ผลิตในประเทศจำหน่ายกว่า 90% ซึ่งหมายถึงน่าจะมีคนเกี่ยวข้องกว่า 10 ล้านคน และการขยายตัวของธุรกิจก็จะสร้างงานในพื้นที่ต่าง ๆ ได้เพิ่มขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีการระบุอีกว่า... การที่ร้านโชห่วยแบบดั้งเดิมลดน้อยลงไป ส่วนหนึ่งเพราะลูกหลานที่มีการศึกษาดีไม่ได้สืบทอด แต่เลือกไปทำงาน-ทำอาชีพอื่น แต่ก็มีร้านค้าย่อยที่พัฒนาขึ้นจากโชห่วย รวมถึง มินิมาร์ท เกิดและขยายตัวขึ้นมาแทน เช่นปี 2548 ร้านแบบใหม่ลักษณะที่ว่านี้ก็มียอดเพิ่มขึ้นกว่า 2 หมื่นร้าน ซึ่งส่วนหนึ่งที่มิใช่ส่วนน้อย ๆ ก็อาศัยธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ขนาดใหญ่เป็นคลังสินค้า-ซื้อสินค้าไปจำหน่ายต่อ
    หากมีกฎหมายควบคุมที่ไม่เหมาะสม...จะสกัดจุดดี ๆ ที่มีอยู่

    ยิ่งถ้ามีคนถือ-มีคนใช้อำนาจตามกฎหมายไม่เหมาะสม...ยิ่งแย่

    ทั้งนี้ การมีกฎหมายควบคุมดูแลการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่งที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันจะเป็นเรื่องดี ซึ่งมุมมองดังที่ว่ามาข้างต้นก็ถือว่าน่าคิด โดยเฉพาะในยุคนี้ที่ “เมืองไทยต้องกลัวปัญหาคนตกงาน-ว่างงาน” และก็น่าจะสอดคล้องกับที่ โอฬาร ไชยประวัติ รองนายกฯด้านเศรษฐกิจ บอกไว้ว่า... พ.ร.บ.ฉบับนี้ทางกระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการจัดทำประชาพิจารณ์ทั่วประเทศ “ก็ต้องเปิดรับฟังความคิดเห็นด้วย”

    หากรับฟังจริงจัง แล้วสรุปออกมาเสมอภาค-เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย มีมาตรการช่วยเหลือร้านค้าย่อยชัดเจน-จริง ๆ ขณะที่ผู้บริโภคที่เป็นคนจ่ายเงินซื้อสินค้า-คนที่ต้องการงานทำ...ก็ได้ประโยชน์ ก็น่าจะเป็นเรื่องดี

    เฉพาะหน้าระหว่างนี้...ก็น่าจะมีวิธีอื่น ๆ ที่ดูแลเรื่องนี้ได้

    รอมีกฎหมาย...เพื่อประโยชน์โดยรวมของคนทุกกลุ่ม !!.
     
  10. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    มีไปทำไม ? >>ว.วชิรเมธี
    --------------------------------------------------------------------------------

    มีเงินนับแสนล้าน แต่ใช้จริงวันละไม่ถึง ๑๐๐ บาท
    มีไปทำไม ?

    มีบ้านใหญ่โตเหมือนกับวัง แต่อยู่กันแค่ ๔ คนพ่อแม่ลูก
    มีไปทำไม ?

    มีรถนับสิบคัน แต่ใช้งานจริงแค่คันเดียว
    มีไปทำไม ?

    มีเตียงใหญ่โตมโหฬาร แต่นอนเพียงแค่เต็มแผ่นหลัง
    มีไปทำไม ?

    มีนาฬิกาแสนแพง แต่ไม่เคยทำอะไรตรงเวลา
    มีไปทำไม ?

    มีเวลาอยู่ในโลกไม่ถึงร้อยปี แต่กลับแบ่งเวลาไปริษยาคนอื่น
    ทำไปทำไม ?

    มีกฎหมายนับพันมาตรา แต่มีอาชญากรอยู่เต็มเมือง
    มีไปทำไม ?

    มี ส.ส. อยู่เต็มสภา แต่มาประชุมไม่เคยครบเลย
    มีไปทำไม ?

    มีพ่อแม่อยู่ที่บ้าน แต่ไม่เคยปรนนิบัติท่านเลย
    มีไปทำไม ?

    มีอำนาจอยู่เต็มมือ แต่ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเลย
    มีไปทำไม ?

    มีภรรยาแสนดี แต่ไม่เคยแบ่งเวลาให้เธอเลย
    มีไปทำไม ?

    มีลูกแสนน่ารัก แต่ไม่เคยโอบกอดลูกเลย
    มีไปทำไม ?

    มีพระไตรปิฎกอยู่เต็มตู้ แต่ไม่เคยเปิดออกมาศึกษาเลย
    มีไปทำไม ?

    มีวัดอยู่แทบทุกหมู่บ้าน แต่ศีลธรรมของสังคมอยู่ลงทุกวัน
    มีไปทำไม ?

    มีรองเท้าเป็นพันคู่ แต่ใส่จริงแค่วันละคู่
    มีไปทำไม ?

    มีพี่น้องนับสิบคน แต่แตกสามัคคีกันทุกคน
    มีไปทำไม ?

    มีมือมีเท้าสมบูรณ์ แต่ไม่เคยลงแรงทำอะไรเลย
    มีไปทำไม ?

    มีหูอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยฟังธรรมเลย
    มีไปทำไม ?

    มีตาอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยมองหาสิ่งที่ดีเลย
    มีไปทำไม ?

    มีเท้าอยู่อยู่สองข้าง แต่ไม่เคยเดินเข้าหาโอกาสเลย
    มีไปทำไม ?

    มีปัญญาอยู่กับตัว แต่กลับใช้อารมณ์เป็นใหญ่
    มีไปทำไม ?
     
  11. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    อ่า....ท่านเพชรมีพระพิมพ์เป็นพันๆองค์ ห้อยไม่กี่องค์ แบ่งน้องๆรึกันครับ หุ หุ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>กินอาหารครบ 3 มือก็มี "เปปไทด์” ไว้ใช้ความคิดดีๆ
    http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9510000140113
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>27 พฤศจิกายน 2551 11:42 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>กินอาหารให้ครบห้าหมู่ ในสัดส่วนพอเหมาะทั้งสามมื้อ ช่วยตุนสารอะมิโนสำหรับสร้างสื่อประสาทให้พร้อม (ภาพจากinstablogsimages.com)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>(ซ้ายไปขวา) ดร.ชาญชัย สิริเกษมเลิศ, ผศ.ดร.รมรี สงวนดีกุล, รศ.ดร.วีระพงษ์ แพสุวรรณ รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และโฆษกกระทรวงฯ เป็นประธานเปิดเสวนา,ภญ.ยุวดี พัฒนวงศ์ และ นายจุมพล เหมะคีรินทร์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>บรรยากาศการเสวนา</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>นักโภชนาการ จุฬาฯ ระบุกินอาหารครบ 3 มื้อในสัดส่วนพอเหมาะ ก็ให้ "เปปไทด์" ไปย่อยเป็น "กรดอะมิโน" สร้างสารสื่อประสาท ด้านนักวิชาการสิ่งทอแจง "ชุดนาโน" กระชับสัดส่วนด้วยสารให้รังสีอินฟราเรด เป็นแนวคิดที่เป็นไปได้ แต่ยากจะทอเส้นใยผ้าให้แข็งแรง และเพิ่มความร้อนในระดับที่ลดไขมันได้

    หลังจากโฆษณาเครื่องดื่ม "ซอยเปปไทด์” โปรตีนจากถั่วเหลืองโลดแล่นอยู่บนจอทีวีมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ทางศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้จัดเวทีเสวนาคุยกันฉันวิทย์ เรื่อง "วิทยาศาสตร์กับการโฆษณาสินค้า” เมื่อวันที่ 26 พ.ย.51 ณ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

    ผศ.ดร.รมณี สงวนดีกุล หัวหน้าภาควิชาเทคโนโลยีอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิทยากรที่ร่วมวงเสวนากล่าวว่า เปปไทด์ (peptide) คือโปรตีนที่ย่อยแล้ว ซึ่งสุดท้ายจะย่อยเป็นกรดอะมิโน โดยแหล่งของโปรตีนมีอยู่หลายแหล่ง อาทิ นม ถั่วเหลือง เป็นต้น โดยแต่ละแหล่งโปรตีนให้กรดอะมิโนที่ต่างชนิดกัน

    “ในแง่โภชนาการสุดท้าย โปรตีนจะย่อยไปเป็นกรดอะมิโน ซึ่งร่างกายดูดซึมได้แน่ๆ และเป็นรูปแบบที่ร่างกายนำไปใช้สร้างโปรตีนอื่นๆ แต่ก็มีได-เปปไทด์ (di-peptide) ซึ่งเป็นกรดอะมิโน 2 ตัว และไตร-เปปไทด์ (tri-peptide) ที่มีช่องทางในการดูดซึมเข้าไปได้ จากอาหารที่เรารับประทาน ถ้ารับประทานอย่างครบถ้วนเหมาะสมทั้งสามมื้อ ไม่เว้นมื้อนานเกินไป เราก็น่าจะมีสารอะมิโนไว้เตรียมพร้อม และอาหารฟังก์ชันก็อาจไม่ใช่สิ่งจำเป็น" ผศ.ดร.รมณี

    อย่างไรก็ดี นักโภชนาการจากจุฬาฯ ระบุว่า สารเปปไทด์จากโปรตีนถั่วเหลืองที่วางจำหน่ายนั้นคงไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ แต่น่าจะเป็นทางเลือกในเรื่องอาหารเสริมมากกว่า ซึ่งถ้าจำเป็นก็ใช้เป็นทางเลือกได้ และคงไม่ใช่รับประทานแล้วจะสมองดีตลอดเวลา และผู้บริโภคเองก็ต้องพิจารณาว่าสิ่งที่ได้รับคุ้มกับราคาหรือไม่ พร้อมกล่าวด้วยว่าเครื่องปรุงอาหารไทยๆ หลายชนิดก็มีเปปไทด์อยู่เหมือนกัน อาทิ ซีอิ๊ว น้ำปลา ถั่วเน่า หรือสมุนไพรบางชนิด เป็นต้น

    ทางด้าน ภญ.ยุวดี พัฒนวงศ์ ผู้อำนวยการกองควบคุมเครื่องมือแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้กล่าวถึงการลงโทษการโฆษณาเกี่ยวกับสินค้าที่เข้าข่ายเป็นเครื่องมือแพทย์ ซึ่งปัจจุบันมีพระราชบัญญัติที่มีบทลงโทษรุนแรงขึ้น จากเดิมที่มีการโฆษณาเครื่องมือแพทย์โดยไม่ได้อนุญาตจะถูกปรับ 1 หมื่นบาท เพิ่มเป็นปรับ 5 หมื่นบาท และโทษจำคุกอีก 6 เดือน หรือทั้งจำและปรับ อีกทั้งยังมีบทลงโทษสำหรับโฆษณาเกินจริงหรือทำให้เข้าใจสาระสำคัญของเครื่องมือแพทย์ผิดไป โดยจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    ทั้งนี้ ทางกองควบคุมเครื่องมือแพทย์ได้จ้างบริษัทให้อัดเทปและตัดโฆษณาที่เข้าข่ายทำผิดพระราชบัญญัติ โดยมีความร่วมมืกับกองอื่นๆ ในสำนักงาน อย.ด้วย แต่ ภญ.ยุวดีบอกว่า ยังเปิดให้ประชาชนร่วมกันเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสผู้กระทำผิดได้ที่สายด่วน 1556 หรือเว็บไซต์ http://www.fda.moph.go.th โดยผู้ที่เก็บหลักฐาน เช่น เอกสารโฆษณา เทปอัดคำพูดโฆษณา เป็นต้น แล้วเมื่อเจ้าหน้าที่พิสูจน์ว่ามีการโฆษณาเกินจริง ผู้แจ้งเบาะแสจะได้สินบนนำจับ 15% ของค่าปรับ และกรณีที่มีการโฆษณาหลายสื่อ ก็ถือเป็นความผิดหลายคดี ซึ่งค่าปรับก็จะคูณตามจำนวนสื่อและช่วงเวลา และกว่า 50% ของผู้แจ้งเบาะแสแก่ อย.คือคู่แข่งทางธุรกิจ

    พร้อมกันนี้ ในเวทีเสวนาที่ผู้จัดการวิทยาศาสตร์ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ ยังได้พูดถึง "ชุดกระชับสัดส่วนนาโน-อินฟราเรด” ที่มีการโฆษณาว่าใส่สารระดับนาโนเพื่อให้เนื้อผ้าสามารถปล่อยรังสีอินฟราเรดได้ เพื่อช่วยสลายไขมันและกระชับสัดส่วน ซึ่ง ดร.ชาญชัย สิริเกษมเลิศ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมเทคโนโลยี สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ กล่าวว่า เป็นไปได้ที่จะผลิตสิงทอซึ่งให้รังสีอินฟราเรด แต่เท่าที่มีข้อมูลนั้นมีผู้ผลิตสิ่งทอที่ทำให้อุรหภูมิเพิ่มขึ้น 0.9 องศาเซลเซียส ซึ่งผู้บริโภคต้องพิจารณาเองว่าอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นระดับนี้เพียงพอที่จะสลายไขมันได้หรือไม่

    ดร.ชาญชัยกล่าวอีกว่า หากจะผลิตสิ่งทอที่ให้ผลในการสลายไขมัน ต้องทำให้เนื้อผ้าสามารถเพิ่มอุณหภูมิได้ในระดับห้องอบซาวน่า ซึ่งในทางปฏิบัติเมื่อใส่อนุภาคนาโนลงไปในกระบวนการผลิตเส้นใย จะทำให้เส้นใยผ้ามีความแข็งแรงลดลง ขาดง่าย อย่างไรก็ดี เขากล่าวว่าไม่อยากโจมแนวคิดในการพัฒนาสินค้า ซึ่งจะทำให้ไม่มีใครกล้าเสนอแนวคิดใหม่ๆ

    “ไม่อยากมองด้านลบอย่างเดียว เพราะต่อต้านไปแล้วจะไม่มีใครกล้าออกแนวคิดใหม่ แต่ผู้ผลิตก็ต้องมีระบบรับรองว่าสินค้าได้มาตรฐานแค่ไหน อย่างไต้หวันก็จะมีห้องปฏิบัติการรับรอง ซึ่งจากที่มีข้อมูล เขาก็ให้ข้อมูลแค่ว่าชุดอินฟราเรดของช่วยเพิ่มอุณหภูมิแค่ 1 องศาเซลเซียส แล้วผู้บริโภคก็ต้องพิจารณาว่าจะช่วยได้หรือไม่ ซึ่งแฟร์ และสินค้าอยู่ได้ยาว" ดร.ชาญชัยกล่าว พร้อมเผยด้วยสินค้าหลายอย่างที่นำเข้าจากต่างประเทศ ถูกนำมาโฆษณาจนเกินจริง

    ทางด้าน ผศ.ดร.รมณี และ ภญ.ยุวดี เสริมว่า วิธีที่จะกระชับสัดส่วนและลดไขมันที่ดีสุดคือการออกกำลังและควบคุมอาหาร โดย ภญ.ยุวดีได้ยกตัวอย่างรุ่นน้องในที่ทำงานซึ่งมีรูปร่างดีว่า เขาออกกำลังกายด้วยการซิท-อัพวันละ 200 ครั้ง จึงทำให้รักษารูปร่างที่ดีไว้ได้
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บทเรียนของเอดส์ในสังคมไทย...
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act01281151&sectionid=0130&day=2008-11-28
    โดย เฉลิมพล พลมุข

    เมืองไทยได้รับบทเรียนเกี่ยวกับสถานการณ์เอดส์มามากกว่า 24 ปี ผู้ติดเชื้อ HIV+ และผู้ป่วยเอดส์ยังคงสร้างตำนานอีกยาวนานสำหรับสังคมไทยและสังคมโลก

    หลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมาในแวดวงเอดส์ ทั้งในส่วนของผู้ป่วยเอง ทีมในการดูแลรักษา ครอบครัว ชุมชน กฎหมาย นโยบายของรัฐมีทั้งความชัดเจน คลุมเครือ และไม่ชัดเจนอยู่อีกหลายๆ อย่าง สิ่งหนึ่งที่ทุกคนทราบกันเป็นอย่างดีก็คือ แทบทุกๆ หนแห่งสถานที่ของสังคมไทย มีผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยเอดส์กันถ้วนหน้า...

    ตัวเลขผู้ติดเชื้อเอดส์ทั้งประเทศไทยที่เป็นรายงานของกระทรวงสาธารณสุขสิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาก็คือ ในกรุงเทพมหานครมีมากกว่า 38,743 คน ตายไปแล้วมากกว่า 8,927 คน และผู้ป่วยเอดส์ทั้งประเทศมากกว่า 440,079 คน และตายไปแล้วมากกว่า 92,111 คน

    ขณะเดียวกัน เมืองไทยมีผู้ป่วยเอดส์รายใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี ปีละกว่า 20,000 คน ในจำนวนนั้นพบว่าวัยรุ่นเป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีการเฝ้าระวังมากที่สุด รองลงมาก็คือกลุ่มชายรักร่วมเพศ สำหรับในวัยรุ่นมีการพบกามโรคต่างๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ อาทิ หนองใน ซิฟิลิส แผลริมอ่อน...

    ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงของคนในสังคมไทยยังคงมีอยู่ทุกๆ ระดับ เริ่มตั้งแต่วัยรุ่น วัยเรียน วัยทำงาน ไปจนถึงวัยชรา การไปรับเชื้อเอชไอวีก็นำมาจากหลากหลายทางด้วยกัน อาทิ มีเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกันตัวด้วยการใช้ถุงยางอนามัย ติดเหล้า ติดยาเสพติด สักยันต์ ควงแฟนไม่ซ้ำหน้า ติดแช็ต ไฮไฟว์ การนุ่งสั้น ควงตี๋ ไฮโซ โชว์อึ๋ม และอยากโกอินเตอร์

    และเอดส์ไม่กลัว แต่กลัวอด...

    ขณะนี้ธุรกิจทางเซ็กซ์มีความหลายหลาก มีพัฒนาการที่สลับซับซ้อนมากกว่าสังคมไทยสมัยก่อน ระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยของโลกปัจจุบัน อินเตอร์เน็ตหลากหลายเว็บไซต์ มีการขายบริการทางเพศกันในระบบขายตรงทางโทรศัพท์มือถือ

    ในขณะนี้สังคมไทยยังไม่มีหน่วยงานใดของรัฐเข้ามาจัดการอย่างจริงจัง ระบบการปลุกเร้า กระตุ้นทางเพศเพื่อสนองอารมณ์ความรู้สึก มีทั้งยาแผนปัจจุบัน แผนโบราณ ยาสมุนไพร เครื่องดื่มทั้งกิน ทา ป้าย พ่น สูดดม และฉีด รวมทั้งยาสงบ ยานอนหลับ ยาทำให้อวัยวะเพศแข็งตัว ใหญ่ยาว ยาชะลอการหลั่ง และยาทำให้มีความสัมพันธ์ทางเพศยาวนานขึ้น ตลอดถึงยาขับเลือดและยาทำแท้ง...

    กลุ่มเสี่ยงที่ยังคงทำสถิติเสมอต้นเสมอปลายอย่างต่อเนื่องก็คือ วัยรุ่นที่มีเพศสัมพันธ์ชนิดที่ไม่ป้องกันในกลุ่มต่างๆ อาจจะด้วยความไว้วางใจกับคนที่ตนคบกันอยู่ รู้จักเห็นหน้าตากันทุกวัน

    การอยู่กินชนิดผัวเมียนักศึกษาที่เป็นแฟชั่นนิยมกันทั่วไป นักศึกษาบางคนคิดว่าการกินยาคุมกำเนิดสามารถป้องกันเอดส์ได้ การมีกิ๊กนอกใจแฟน การสักยันต์ บางคนผ่าตัดเสริมสวย

    และกลุ่มที่กำลังถูกจับตามองจากภาพรัฐในขณะนี้ก็คือ กลุ่มชายรักชาย ประเภทเกย์คิง เกย์ควีน กะเทย หรือแอบแฝง และบางคนสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง...

    สถานศึกษาต่างๆ โดยเฉพาะของรัฐ มีความพยายามที่จะจัดหลักสูตรเพศศึกษาในโรงเรียนเพื่อให้นักเรียนนักศึกษาเข้าใจจากครูผู้สอน มีการประชุมสัมมนาอบรมกันบ่อยครั้งในปีที่ผ่านๆ มา

    ขณะเดียวกัน เด็กวัยรุ่น วัยเรียนศึกษาปฏิบัติการเรื่องเพศสัมพันธ์จากซีดี หนังโป๊ คลิปวิดีโอ เว็บ และการมีเพศสัมพันธ์จริงจากเพื่อนในชั้นเรียน บางโรงเรียนในขณะนี้พบนักเรียนตั้งท้องเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งผู้บริหารบางโรงเรียนเกิดการยอมรับนักเรียนที่ตั้งท้องสามารถเล่าเรียนศึกษาให้โอกาสเล่าเรียนจนจบการศึกษาได้

    นักเรียนบางคนท้องแล้วไปทำแท้งเพราะกลัวพ่อแม่จะรู้ อายเพื่อน ถึงกับมีพระสงฆ์บางรูปช่วยอนุเคราะห์ความทุกข์ทางใจ จัดให้มีพิธีสวดอุทิศส่วนกุศลให้กับเด็กที่ถูกทำแท้ง...

    ผู้ป่วยเอดส์ยุคนี้น่าเห็นใจหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งที่น่าวิตกกังวลมาเป็นระยะยาวนานก็คือเรื่องสุขภาพร่างกาย ขณะนี้ยังไม่มียาชนิดใดสามารถรักษาเอดส์ให้หายขาดได้ ผู้ป่วยเอดส์จำนวนหนึ่งเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงยาต้าน ARV ยังมีผู้ป่วยเอดส์อีกนับหลายแสนรายที่ไม่สามารถเข้าถึงยาต้านดังกล่าว

    ผู้ติดเชื้อบางคนไม่สามารถเปิดเผยตนเองได้ กลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าตนเองเป็นเอดส์ และบางคนไม่กล้าไปตรวจเลือดเพื่อค้นหาเชื้อ HIV+ เกรงว่าคนอื่นรู้แล้วชีวิตตนจะลำบากและเปลี่ยนวิถีชีวิตไป...

    ผู้ติดเชื้อที่กินยาต้านไวรัสหลายคนต้องเปลี่ยนสูตรยาที่กิน บางคนไม่มีระเบียบวินัยในการกินยาต้าน ทำให้ประสิทธิภาพของการรับยาได้ผลไม่เท่าที่ควร หรือบางคนอาจจะไปใช้ชีวิตแบบเดิม อาทิ สูบบุหรี่ กินเหล้า อดนอน กินของแสลง เครียด ทำให้อาการป่วยกำเริบ ยากที่จะรักษาให้อาการทุเลาเบาบางลงได้ อาการต่างๆ ที่แทรกซ้อนหลังจากกินยาต้านมีมากมาย

    ผู้ป่วยเอดส์บางคนให้สมญานามยาต้านไวรัสว่า ยายืดความตายออกไปอย่างทุกข์ทรมาน บางคนจะตายก็ตายไม่ได้ มีชีวิตอยู่ในแต่ละวันก็มีความทุกข์ทรมานทั้งจากโรค ญาติพี่น้อง เศรษฐกิจและสังคมรอบข้าง...

    ผู้ป่วยเอดส์ยุคปัจจุบันมีเป็นจำนวนมากที่มีโรคแทรกอื่น เป็นมิติใหม่ของการดูแลรักษาของทีมแพทย์ พยาบาล ก็คือ โรคมะเร็ง โรคเรื้อน โรคจิต-ประสาท และโรคอื่นๆ ที่ตามมาอีกหลายโรค...

    มีผู้ป่วยเอดส์บางครอบครัวที่ต้องการมีลูกเป็นของตนเอง หลายคนยอมตั้งท้อง เมื่อคลอดลูกแล้วหลายครอบครัวพ่อแม่เป็นเอดส์ตายไป ลูกเมื่อตรวจเลือดบางคนเป็นผู้ติดเชื้อ บางคนอาจจะโชคดีเด็กไม่ได้ติดเชื้อแต่กลายเป็นเด็กกำพร้า เมื่อเขาเหล่านั้นเติบโตขึ้น

    ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบชีวิตเขาเหล่านั้นต่อไป...

    ขณะนี้ในโรงพยาบาลภาครัฐหลายแห่งยังไม่มีความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์อย่างครบวงจร ทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม ประเพณีวัฒนธรรม รวมทั้งเรื่องกฎหมาย ผู้ป่วยเอดส์เหล่านั้นส่วนใหญ่ไปที่ไหน เป็นอยู่กันอย่างไร เจ้าหน้าที่ของภาครัฐแทบทุกส่วนงานส่วนใหญ่ก็จะให้การแนะนำ ทำการส่งตัวผู้ป่วยไปวัดพระบาทน้ำพุ ซึ่งเป็นสถานที่ดูแลผู้ป่วยเอดส์ โดยทั้งตัวผู้ป่วยและญาติไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เพียงแห่งเดียวของเมืองไทย

    วัดพระบาทน้ำพุเองก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธในการรับผู้ป่วยเอดส์ได้ เนื่องจากมีเหตุผลต่างๆ นานา อาทิ ผู้ป่วยเอดส์ไม่มีญาติในการดูแล ไม่มีเงินใช้จ่าย สังคมส่วนหนึ่งยังรังเกียจและกลัวที่จะอยู่ร่วมกัน และเมื่อผู้ป่วยเอดส์ตายแล้วไม่รู้ว่าจะจัดการศพอย่างไร...

    ภาครัฐเองก็มีความพยายามที่จะหาทางช่วยคนเป็นเอดส์ เช่น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยมีความพยายามให้ผู้ป่วยเอดส์เข้าถึงยาต้านไวรัส ให้คำปรึกษา ตรวจเลือด และโครงการตรวจการดื้อต่อยาต้านไวรัส ซึ่งทั้งประเทศมีอยู่ 7 แห่ง ขณะเดียวกันก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง อาทิ น้ำยาที่ใช้ตรวจมีราคาแพง บุคลากรบางส่วนยังไม่มีความพร้อม และปัญหาอื่นๆ

    ขณะนี้การบริหารจัดการเกี่ยวกับปัญหาเอดส์ ซึ่งเป็นปัญหาระดับชาติรัฐบาลพยายามกระจายระบบงานต่างๆ ไปยังกระทรวงอื่นๆ นอกจากกระทรวงสาธารณสุข อาทิ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ อปท. ทั่วประเทศร่วมกันรับผิดชอบในปัญหาเอดส์ทั้งระยะสั้นและระยะยาว...

    หลวงพ่อของวัดพระบาทน้ำพุ พระอุดมประชาทร ในขณะนี้ท่านต้องรับภาระหน้าที่รับผิดชอบต่อประชากรเอดส์ตั้งแต่เด็กเอดส์ วัยรุ่นเอดส์ ผู้ใหญ่ที่ติดเอดส์ มีทั้งประเภทโสดและครอบครัว ล่าสุดมีบางครอบครัวนำคนแก่ คนชราไปให้ท่านได้เลี้ยงดู ญาติๆ เขาเหล่านั้นต่างมีความคิดว่า เมื่อหลวงพ่อดูแลผู้ป่วยเอดส์ได้ ก็ควรที่จะดูแลคนแก่ คนชรา ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ปัญญาอ่อน วัวควายที่ถูกซื้อจากโรงฆ่าสัตว์เพื่อไถ่ถอนชีวิตและสุนัขจรจัด ที่ถูกนำไปปล่อยไว้ให้ดูแลอีกเป็นจำนวนมาก...

    ช่วงที่ผ่านมาและช่วงนี้ระบบเศรษฐกิจของโลกและประเทศไม่ค่อยดี วัดพระบาทน้ำพุพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย แต่ไม่ถึงกระทั่งจะต้องปิดกิจการ ขณะนี้หลวงพ่อเองทำงานหนักมากขึ้น ผู้ป่วยเอดส์และเจ้าหน้าที่ในวัดทุกคนต้องช่วยกันประหยัดมากขึ้น

    ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาคุณภาพการดูแลผู้ป่วยให้ดี มั่นคง ยาวนาน เป็นที่พึ่งของคนไทยในระยะยาว หากเป็นเพราะว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่มีผู้ป่วยในบ้าน ในครอบครัว ยังมีความหวังที่จะส่งผู้ป่วยไปพักรักษาที่วัดพระบาทน้ำพุ...

    วันเอดส์โลก 1 ธันวาคม เวียนมาอีกครั้งหนึ่ง หน่วยงาน องค์กรต่างๆ ก็ออกมารณรงค์ในแคมเปญต่างๆ กันวันสองวัน หลังจากนั้นก็เงียบหายไปอีกหนึ่งปี รัฐบาลเองมีนโยบายประชานิยม โปรโมชั่นเพื่อซื้อเสียงจากประชาชน โดยถือว่าเป็นผลงานของรัฐบาล

    ขณะเดียวกัน ปัญหาเอดส์ของสังคมไทยถูกละเลย เมินเฉย ไม่ใส่ใจอย่างจริงจังจากรัฐบาลเท่าที่ควร ปัญหาเอดส์ยังเป็นปัญหาทั้งรูปธรรมและนามธรรม ผู้เขียนได้แต่หวังว่า

    วันหนึ่งกรุงศรีฯคงไม่สิ้นคนดีที่จะเข้ามาบริหารจัดการปัญหาเอดส์ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ให้ลดทุเลาเบาบางจากสังคมไทยได้บ้าง

    เมื่อนั้นสังคมไทยจะเป็นสังคมแห่งการอยู่ดีมีสุข ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะโรคเอดส์หรือโรคเวรกรรม...

    -----------------------------------------------------

    โรคเอดส์ในเด็กเล็ก ...ป้องกันได้
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act02281151&sectionid=0130&day=2008-11-28

    โดย รศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ สมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย



    เด็กเล็กที่ติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทยเกือบทั้งหมดเกิดขึ้นจากการได้รับเชื้อจากแม่ขณะตั้งครรภ์และขณะคลอด ซึ่งมาตรฐานในการป้องกันการติดเชื้อจาแแม่สู่ลูกที่ดีที่สุด คือการให้ยาด้านไวรัสเอชไอวีแก่หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ และในทารกแรกเกิด รวมทั้งการให้ทารกงดนมแม่

    ประเทศไทยเคยได้รับการยกย่องจากนานาชาติทั่วโลก ว่าเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีระบบการตรวจโรคเอดส์ และให้ยาต้านไวรัสแก่หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อทั่วประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพก่อนประเทศอื่นๆ โดยกรมอนามัยจัดระบบบริหารจัดการให้มีการตรวจเลือด ให้ยาแก่หญิงตั้งครรภ์ให้นมผงฟรีแก่ทารก จึงทำให้อัตราการติดเชื้อจากเดิมกว่าสองพันรายต่อปี ลดเหลือ 300 กว่ารายต่อปี

    ในความเป็นจริงขณะนี้หญิงตั้งครรภ์ทั่วประเทศที่ติดเชื้อเอชไอวีมีประมาณ 8,000 รายต่อปีด้วยมาตรการที่กรมอนามัยจัดสรรให้ ยังมีเด็กติดเชื้อเกิดขึ้น 300 กว่ารายทุกปี

    คำถามคือ เราจะลดตัวเลขเด็กที่ไร้เดียงสา ที่จะต้องติดเชื้อให้น้อยลงกว่านี้ได้หรือไม่ เพราะโรคเอดส์เป็นโรคที่ยังไม่มีทางรักษาให้หายขาด นับเป็นโรคร้ายที่ติดตัวตลอดชีวิต เราไม่อยากให้มีเด็กป่วยเป็นโรคเอดส์เลยแม้แต่คนเดียว

    ในปัจจุบันมาตรฐานการให้ยาต้านไวรัสเอชไอวีของกรมอนามัย มี 2 มาตรการใหญ่ๆ

    มาตรการแรกให้เป็นสูตรยา 3 ขนาน ประกอบด้วย เอแซดที, 3 ทีซี, เนวิราปีน ซึ่งมีประสิทธิภาพและราคาถูกแก่หญิงตั้งครรภ์ที่มีข้อบ่งชี้ว่าถึงเวลาต้องให้การรักษาโรคเอดส์ เพราะมีเม็ดเลือดขาวซีดีโฟร์ ต่ำกว่า 200 ตัว เพื่อทำให้สุขภาพของแม่ดีขึ้น

    และมาตรการที่สอง ให้ยา เอแซดที ตัวเดียวระหว่างตั้งครรภ์ ร่วมกับการให้ยาเนวิราปีน 1 ครั้ง ระหว่างคลอดแก่หญิงที่มีสุขภาพดี แข็งแรง ไม่ป่วย ยังไม่ถึงเวลาที่จะให้ยา 3 ขนาน เพราะมีเม็ดเลือดขาว ซีดีโฟร์ สูงกว่า 200 ตัว เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก

    มาตรการหลังนี้มีผลเสียคือ ทำให้หญิงที่ได้ยาเนวิราปีน 1 ครั้ง และทารกที่ติดเชื้อ เกิดการดื้อยากลุ่มเนวิราปีน ซึ่งเป็นยาหลักที่ต้องใช้ต่อไปในการรักษาเพราะเป็นยาที่ดีและราคาถูก หญิงหลังคลอดจะกลายเป็นแม่ที่ต้องดูแลทารกให้เติบโต จำเป็นที่แม่ต้องแข็งแรงมิฉะนั้นผลเสียจะเกิดกับเด็ก

    ดังนั้น ถ้าแม่เกิดดื้อยาเนวิราปีน จำเป็นจะต้องใช้ยาสูตรสอง ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงต้องกินยาหลายเม็ดต่อวันและมีราคาแพงมาใช้แทน

    ได้มีความพยามให้ยานิวคลีโอไซด์หลังคลอดช่วงสั้น เพื่อป้องกันการดื้อเนวิราปีน แต่ก็ยังป้องกันการดื้อยาไม่ได้ทั้งหมด

    ในต่างประเทศที่มีเงิน และมียาเพียงพอจะไม่สนับสนุนให้มีการใช้ยาเนวิราปีน 1 ครั้งเลย ประเทศบราซิล ซึ่งมีฐานะเศรษฐกิจไม่ต่างจากประเทศไทย แต่มีความตื่นตัวในเรื่องโรคเอดส์เป็นอย่างมากเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ไม่สนับสนุนการให้ยาเนวิราปีนครั้งเดียว

    คำถามก็คือเราจะมีมาตรการที่ดีกว่านี้ และเลิกใช้ยาเนวิราปีนครั้งเดียวในหญิงไทยได้หรือไม่

    ที่จริงแล้วมาตรการที่ดีที่สุดและเป็นมาตรฐานในประเทศที่พัฒนาแล้ว คือการใช้ยาต้านเอดส์ที่มีประสิทธิภาพสูง 3 ขนาน ในหญิงตั้งครรภ์ทุกราย โดยไม่คำนึงถึงระดับซีดีโฟร์ในเลือด ซึ่งจะลดอัตราการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกลงเหลือแค่ร้อยละ 1 แปลว่าเราจะลดการติดเชื้อในเด็กลงจากปีละกว่า 300 คนให้เหลือประมาณ 80 คนต่อปี นอกจากนี้การใช้ยา 3 ขนานพร้อมกันยังช่วยแก้ปัญหาเรื่องการดื้อยาเนวิราปีนในแม่ ส่งผลดีต่อทั้งแม่และลูก

    หลายคนสงสัยว่าทำไมไม่ให้สูตรยา 3 ขนาน ที่มีเนวิราปีนแก่หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อทุกคน คำตอบก็คือ สูตรยาที่มีเนวิราปีนให้ได้เฉพาะหญิงที่มีซีดีโฟร์ต่ำกว่า 250 ตัว ถ้าให้สูตรยานี้กับหญิงที่มีซีดีโฟร์สูงกว่า 250 ตัว อาจทำให้เกิดอาการแพ้ทางผิวหนังและตับอักเสบรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

    แล้วทำไมเราไม่ทำในสิ่งที่ดีที่สุด

    คำตอบคงจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่าย หลายปีก่อนคงเป็นเรื่องยากเพราะสูตรยา 3 ขนานที่ให้กับหญิงที่มีซีดีโฟร์สูงกว่า 250 ตัว ต้องเป็นสูตรที่มี เอแซดที, 3 ทีซีและโลพินาเวียร์ + ริโทนาเวียร์ ซึ่งมีราคาแพง แต่ปัจจุบันยาที่เคยราคาแพงก็ถูกลงมากแล้วเพราะการบังคับใช้สิทธิบัตรหรือมาตรการซีแอล

    การลงทุนให้หญิงตั้งครรภ์กินยา 3-4 เดือน เมื่อคลอดแล้วสามารถหยุดยาต้านไวรัสทุกตัวในกรณีที่มีซีดีโฟร์สูงก่อนเริ่มยาจึงคุ้มค่ามาก เพราะว่าค่ารักษาเด็กที่ติดเชื้อตลอดชีวิตจนโตและยังอาจไปแพร่เชื้อต่อนั้นมีมูลค่านับล้านบาทต่อราย หรืออาจประเมินค่าไม่ได้เลยในแง่ของจิตใจและสังคม ค่ายาสูตร 3 ขนาน ในปัจจุบันราคา 1,300-3,000 บาทต่อเดือน เท่านั้นเอง ขึ้นกับว่าใช้สูตรยาที่มีเนวิราปีนหรือสูตรที่มีโลพินาเวียร์+ริโทนาเวียร์คำนวณคร่าวๆ หากใช้ยาสูตร 3 ขนานแก่หญิงตั้งครรภ์ทุกคนน่าจะลงทุนไม่ถึง 50 ล้านบาท จะป้องกันไม่ให้เด็กติดเชื้อเกือบ 2,000 คน เท่ากับป้องกันได้ในราคารายละ 25,000 บาทเท่านั้น

    ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องผลักดันสิ่งที่ดีที่สุดให้ทั้งแม่และเด็ก ในเมื่อประเทศไทยมิได้ยากจนและยาก็ราคาถูกลงมากแล้ว เห็นเงินที่รัฐบาลลงทุนในโครงการต่างๆ แล้ว ขอเจียดงบประมาณมาป้องกันเด็กๆ จากโรคเอดส์บ้าง

    ขอให้ท่านผู้มีอำนาจกำหนดนโยบายได้โปรดพิจารณาเรื่องนี้โดยด่วน
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ช่วงนี้ เศรษฐกิจของประเทศเราไม่ดี ผมเข้าไปอ่านในเว็บๆนึง ซึ่งผมเห็นว่าดี ผมจะนำมาให้ทุกๆท่านได้อ่านกัน เพื่อเป็นการวางแผนให้กับตนเองนะครับ

    ที่มา http://www.ktam.co.th/th/edu_01.php

    เงินๆ ทองๆ
    การจัดสรรเงิน

    การบริหารเงินส่วนบุคคล เพื่อประโยชน์สุขในปัจจุบันและอนาคตนั้น เราควรแบ่งทรัพย์สินที่มีหรือหามาได้ออกเป็นส่วนๆ ดังนี้
    - ส่วนที่ 1 ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันทั่วไป ซึ่งเงินใน ส่วนนี้ควรจะกันไว้ให้เพียงพอสำหรับระยะเวลา 6 เดือนขึ้นไป
    - ส่วนที่ 2 เก็บสะสมไว้ใช้ยามจำเป็น
    - ส่วนที่ 3 ใช้จ่ายเพื่อทดแทนผู้มีพระคุณ
    - ส่วนที่ 4 ใช้เพื่อสร้างสรรค์ความดีงามให้แก่สังคม

    จะเห็นได้ว่าเงินในส่วนที่ 2 เราจะต้องเก็บสะสมไว้ใช้ยามจำเป็น แต่การที่จะเก็บไว้เฉยๆ จะทำให้ค่าของเงินเล็กลงไปเรื่อยๆ ดังนั้น เมื่อมีเงินออมก็ควรลงทุน อย่างน้อยก็เพื่อรักษาค่าเงินเอาไว้
    ทางเลือกในการลงทุน
    - ลงทุนด้วยตัวเอง
    - ให้คนอื่นจัดการลงทุนให้ เช่น ลงทุนในกองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล กองทุนอสังหาริมทรัพย์กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น

    ไว้มาต่อครับ
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผวา"ปลดคน"ดันหนี้เสียพุ่ง แบงก์งัดแผนต่อลมหายใจ
    http://www.matichon.co.th/prachacha...g=02p0101271151&day=2008-11-27&sectionid=0201


    แบงก์ผวาผลกระทบโรงงานทั่วประเทศลดกำลังผลิต-เลิกจ้าง หวั่นตัวเลขหนี้เสียพุ่ง งัดแผนรับมือลูกหนี้มีปัญหาแต่เนิ่นๆ สาขาแบงก์ใหญ่ใน จ.พระนครศรีอยุธยาระส่ำ หลังหลายบริษัททยอยปลดคนงาน ธอส.ไม่ประมาท เตรียมทางเลือกให้ลูกค้าเข้าโครงการประนอมหนี้แต่เนิ่นๆ ส่วนค่ายสินเชื่อน็อนแบงก์ทำใจ ตัวเลขลูกค้าเบี้ยวเพิ่มแน่ อีซี่บาย-เฟิร์สช้อยส์หันคุมเข้มสกรีนลูกค้าหนักขึ้น



    แม้ว่าเจ้าหน้าที่ระดับบริหารของธนาคารขนาดใหญ่หลายแห่งในส่วนกลางจะให้ข้อมูลในลักษณะเดียวกันว่า ปัญหาเศรษฐกิจและแนวโน้มการเลิกจ้าง ปลดคนงานในภาคอุตสาหกรรมนั้น ยังไม่ส่งผลกระทบที่ชัดเจนต่อตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในภาพรวม แต่ธนาคารส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะวางแนวปฏิบัติด้วยการเพิ่มความเข้มงวดเข้าไปดูตัวเลขเตรียมพร้อมตั้งรับอย่างใกล้ชิด

    อย่างไรก็ตาม ภาพหรือปรากฏการณ์ ดังกล่าวเริ่มเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งปัญหาการเลิกจ้างเริ่มมีผลเป็นรูปธรรม ทำให้ผู้บริหารในระดับสาขาเชื่อว่าจะมีผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ และมีผลกับการดำเนินงานของแต่ละธนาคารในจังหวัดดังกล่าวแน่นอน

    แบงก์ใหญ่จัดแผนรับมือ

    ทั้งนี้ นายรุ่งเรือง สุขเกิดกิจพิบูลย์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผย"ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ธนาคารติดตามอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับปัญหาการเลิกจ้างที่อาจจะส่งผลมาถึงภาคสินเชื่อ โดยตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณที่ผิดปกติแต่อย่างใด และ เชื่อว่ากลุ่มคนที่ถูกเลิกจ้างอาจจะมีปัญหาด้านการชำระหนี้ราว 20-30% เท่านั้น เพราะลูกค้ามีการออมเงินอยู่ระดับหนึ่ง เช่นกัน รวมถึงธนาคารได้พิจารณาความสามารถในการชำระคืนอย่างเข้มงวดก่อนอนุมัติสินเชื่ออยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ธนาคารก็ได้เตรียมพร้อมสำหรับลูกค้าที่มีปัญหาจริงๆ และต้องพยายามช่วยเหลือด้วยการปรับเงื่อนไขสินเชื่อ หรือปรับโครงสร้างหนี้

    "ปัญหาตอนนี้ยังไม่รุนแรง แต่เราก็ไม่ประมาทเหมือนกัน ซึ่งถ้าเกิดปัญหาที่กระทบต่อภาคสินเชื่อจริง กลุ่มแรกที่จะโดนผลกระทบคือ สินเชื่อบุคคล แต่ไทยพาณิชย์มีพอร์ตนี้ไม่มาก ส่วนบัตรเครดิตเราถือเป็นเจ้าใหญ่ แต่เชื่อว่าจะมีผลกระทบไม่มากนัก เพราะส่วนใหญ่เป็นฐานลูกค้าเดิมของแบงก์ที่มีรายได้ระดับกลาง-บนขึ้นไปอยู่แล้ว ขณะที่สินเชื่อบ้านน่าจะโดนผลกระทบเป็นลำดับท้ายๆ ขึ้นอยู่ว่าปัญหานี้จะกินเวลานานแค่ไหน ถ้าเกิน 10 เดือนขึ้นไปก็น่าจะมีผลกระทบเหมือนกัน ซึ่งธนาคารเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดมากขึ้นแล้วในตอนนี้" นายรุ่งเรืองกล่าว

    ด้านนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ทุกธนาคารกังวลเรื่องความสามารถชำระคืนของลูกค้าพอสมควร ซึ่งธนาคารก็ต้องตั้งรับในระยะ 1-2 ปีนี้ด้วยการติดตามลูกค้าเก่าอย่างใกล้ชิด และต้องรีบช่วยแก้ปัญหาก่อนที่จะกลายเป็นเอ็นพีแอล ขณะที่ลูกค้ารายใหม่ๆ ก็ต้องพิจารณาเข้มงวดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงมากในช่วงนี้อย่างธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าฟุ่มเฟือยและธุรกิจท่องเที่ยว

    สาขาแบงก์อยุธยากุมขมับ

    แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ใน จ.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากการที่สภาอุตสาหกรรมฯ อยุธยา สำรวจและประเมินว่าจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้ภาคแรงงานใน จ.พระนครศรีอยุธยาตกงานถึง 1 แสนคน และเริ่มมีการทยอยปลดพนักงานบ้างแล้วนั้น ขณะนี้ผู้บริหารธนาคารกำลังวิตกว่าหากมีการเลิกจ้างจริงจะทำให้เกิดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ตามมา

    เนื่องจากแรงงานส่วนใหญ่ในนิคมอุตสาหกรรมหลักเช่นนิคมอุตสาหกรรมบางปะอินและโรจนะนั้นส่วนใหญ่จะกู้เงินไปซื้อบ้าน เพราะไม่ต้องการเช่าบ้าน เนื่อง จากค่าเช่ากับค่างวดส่งบ้านใกล้เคียงกัน และบ้านจัดสรรส่วนใหญ่ราคาไม่แพง ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 500,000-1,000,000 บาท ผ่อนชำระเดือนละประมาณ 4,000-5,000 บาท เมื่อตกงานก็จะไม่มีเงินมาชำระเงินกู้ นอกจากนี้การกู้บางส่วนจะใช้บุคคลค้ำประกันกันเป็นทอดๆ เพราะฉะนั้นปัญหาการกู้จะตามมาอีกมาก

    นอกจากนี้สัญญาณของการเลิกจ้างเริ่มมีเข้ามาแล้ว เห็นได้จากการพูดคุย สอบถามกับลูกค้าของธนาคาร เช่น พนักงานโรงงานของโซนี่ นิคมอุตฯไฮเทค บางปะอินบอกว่าขณะนี้ทำงานแค่ 4 วัน หยุด 3 วัน (ศุกร์-อาทิตย์) โรงงานเวสเทิร์น ดิจิตอล ที่นิคมอุตฯบางปะอินลดการทำงานโอทีบางโรงงาน

    ล่าสุดโรงงานนิคอนที่ลดคนถึง 2,000 คนเมื่อปลายสัปดาห์แล้ว และบอกว่าอาจจะมีการลดคนอีก

    "ปัญหาที่ประเมินกัน ไม่ใช่เฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัยเท่านั้น ธุรกิจต่อเนื่องที่อาจจะมีปัญหาตามมา เช่น ธุรกิจรถรับส่งพนักงานที่มีทั้งรถตู้ รถบัส ธุรกิจเช่าซื้อมอเตอร์ไซค์ เครื่องใช้ไฟฟ้า รวมทั้งบัตรเครดิตพวก น็อนแบงก์อย่างอิออน ซึ่งแรงงานเหล่านี้ล้วนใช้บริการดังกล่าวทั้งสิ้น และถ้าดูจากการส่งค่างวด ผ่อนชำระ บางรายก็เริ่มตึงตัวบ้างแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ปีหน้าพนักงานธนาคารคงต้องตามหนี้กันอย่างเดียวแน่"

    แบงก์รัฐเปิดทางเจรจาลูกหนี้กู้บ้าน

    นายเลอศักดิ์ จุลเทศ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ขณะนี้ธนาคารยังไม่ได้รับผลกระทบ เพราะส่วนใหญ่ลูกค้าเป็นข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ซึ่งหน่วยงานต้นสังกัดจะหักเงินเดือนนำส่งธนาคารออมสินทุกเดือน ส่วนกลุ่มลูกค้าทั่วไป อาทิ กลุ่ม ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี พ่อค้า แม่ค้า ยอมรับว่ามีบางรายที่มีปัญหาผ่อนชำระไม่ตรงตามกำหนดเวลา แต่จำนวนไม่มากนัก ขณะที่ปัจจุบันธนาคารมีหนื้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ประมาณ 3.6% ลดลงจากเดิม 4%

    "สำหรับลูกค้ารายใดที่มีปัญหาผ่อนชำระหนี้ไม่ไหว ในช่วงนี้ให้ไปติดต่อกับสาขาของธนาคารได้เพื่อขอประนอมหนี้ ซึ่งทางธนาคารคงจะพิจารณาหาทางช่วยเหลือให้เป็นรายกรณีไป บางรายอาจจะใช้วิธีการขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระหนี้ออกไป เพื่อให้ยอดผ่อนรายเดือนน้อยลง บางรายที่มีปัญหาหนักอาจจะต้องลดดอกเบี้ยช่วย คงจะไม่มีสูตรแน่นอนตายตัว ต้องดูกันเป็นรายกรณี ที่ผ่านมาทางธนาคารได้ปล่อยสินเชื่อเคหะมียอดคงค้างอยู่ 1.5 แสนล้านบาท" นายเลอศักดิ์กล่าว

    ธอส.อุ้มลูกค้าเต็มที่

    ด้านความเคลื่อนไหวของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ซึ่งเป็นแหล่งปล่อยสินเชื่อหลักให้กับผู้ซื้อบ้านที่มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลาง ก็กำลังจับตามองสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจโดยเฉพาะการเลิกจ้างพนักงานของบริษัทเอกชนในช่วงนี้

    โดยนางจามรี เศวตจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธอส. เปิดเผย "ประชา ชาติธุรกิจ" ว่า ธอส.ได้เตรียมการรับมือกรณีที่ลูกค้าธนาคารประสบปัญหาถูกเลิกจ้างด้วยการเปิดโอกาสให้ลูกค้าเข้ามาเจรจาแนวทางแก้ไขปัญหาเพื่อไม่ให้เกิดเป็นหนี้เสียขึ้น เพราะทราบดีว่าในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีความสามารถในการผ่อนชำระของลูกค้าลดลง จึงเสนอทางเลือกให้ลูกค้าที่มีประสบปัญหาด้านรายได้เข้าโครงการประนอมหนี้ โดยใช้วิธีขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระค่างวดออกไปอีก หรือเลือกรีฟิกซ์อัตรา ดอกเบี้ยใหม่ให้เป็นแบบคงที่ กรณีเลือกชำระค่างวดแบบอัตราดอกเบี้ยคงที่

    นอกจากนี้ ธอส.อยู่ระหว่างเจรจากับสำนักงานประกันสังคม (สปส.) โดยได้เสนอมาตรการช่วยเหลือพนักงานบริษัทเอกชน โดยการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้ผู้ใช้แรงงานหรือพนักงานบริษัทเอกชนที่เป็นสมาชิก สปส.หลายมาตรการ เช่น สปส.ให้วงเงินกู้กับธนาคารเพื่อนำมาปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้กับสมาชิก สปส.อัตราดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น

    นางจามรีกล่าวต่อว่า สำหรับสถานการณ์การผ่อนชำระหนี้ของลูกค้า ธอส. ปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่สถานะยังอยู่ในขั้นปกติ มีเพียงบางจังหวัดเท่านั้นอย่างจังหวัดพะเยาที่ทางสำนักงานสาขาได้รายงานเข้ามายังสำนักงานใหญ่ว่า บริษัทเอกชน บางแห่งที่เข้าโครงการเงินกู้สวัสดิการกับธนาคารแจ้งว่าอาจมีพนักงานบางรายต้องออกจากงาน ซึ่งเป็นผลมาจากการถูกเลิกจ้าง โดยบางรายที่ได้รับเงินชดเชยการถูกเลิกจ้างต้องการนำเงินมาปิดบัญชี ขณะที่บางรายที่ได้รับเงินชดเชยไม่เพียงพอได้ ยื่นขอคงสิทธิ์การผ่อนชำระค่างวดบ้านตามสิทธิ์เดิมต่อไป

    น็อนแบงก์ยอมรับลูกค้าเบี้ยวหนี้

    อีกด้านหนึ่งของผู้ให้บริการการเงินที่มิใช่ธนาคารหรือน็อนแบงก์ มีข้อมูลระบุชัดว่า ตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา ธุรกิจสินเชื่อทยอยปรับเกณฑ์คุมการอนุมัติสินเชื่อเข้มงวดมากขึ้น เช่น "อีซี่บาย" ที่ปรับเกณฑ์เครดิตสกอริ่งให้เข้มงวดมากขึ้นตามสภาพตลาดเพื่อเพิ่มคุณภาพของสินเชื่อ ส่วนสินเชื่อผ่อนชำระ "เฟิร์สช้อยส์คาร์ด" จากจีอี มันนี่ ก็ได้ปรับเพิ่มเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำของผู้สมัครสินเชื่อไปช่วงกลางปี จาก 4-5 พันบาท เป็นขั้นต่ำ 7 พันบาท เช่นเดียวกับสินเชื่อบุคคลเคทีซีที่ปรับเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำขึ้นเป็น 1 หมื่นบาท ตั้งแต่ช่วงต้นปี จากเดิม 8 พันบาท

    แหล่งข่าวจากบริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัญหาการเลิกจ้างงานของโรงงานหลายๆ แห่งที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบกับหลายๆ ธุรกิจ รวมทั้งกลุ่มผู้ให้บริการสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค หรือคอนซูเมอร์ไฟแนนซ์ แต่ในแง่ของความรุนแรงนั้นอาจจะมีระดับที่แตกต่างกันไป สำหรับอิออนขณะนี้แม้ว่าจะยังไม่ได้ประเมินถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยละเอียด แต่ก็คาดว่าจะได้รับผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนทำงานโรงงานนั้นมีอยู่ประมาณ 5% ของจำนวนลูกค้าทั้งหมด และลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่ก็เป็นข้าราชการและพนักงานบริษัทเอกชน

    "ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการติดตามเข้าไปดูแลปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิดมากขึ้น และสำหรับลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการใหม่บริษัทก็จะต้องระมัดระวังมากขึ้น และคงจะไม่พิจารณาเฉพาะในแง่ของเงินเดือนเพียงอย่างเดียว แต่เราจะต้องพิจารณาเรื่องอื่นๆ ประกอบด้วย เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดตามมาในอนาคต"

    แหล่งข่าวจากวงการน็อนแบงก์ยอมรับว่า ผลกระทบจากการเลิกจ้างหรือปิดโรงงานจะทำให้กลุ่มผู้ประกอบการน็อนแบงก์ โดยเฉพาะผู้ที่ปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลหรือเพอร์ซันนอลโลน มีความเสี่ยงกับปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ที่จะมีตัวเลขที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นสินเชื่อที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน จึงมีโอกาสสูงที่ลูกค้าจะไม่ชำระหนี้ก่อนในกรณีที่เขาไม่มีรายได้หรือถูกเลิกจ้าง
     
  16. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    5555 งั้นหนูจองพระกรุฮอดเลยนะค้า
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากชมรมพระวังหน้า

    28-11-2551 11:21 AM
    zeedflower
    คนบาป ในคราบนักบุญ น่าขำนัก ตกลงที่คุณ sithiphong พูดว่าจะเหยียบ พระธาตุให้ละเอียดแล้วแตะลงน้ำจะว่าอย่างไรคับ ยังไม่ให้คำตอบพวกผมเลย ถ้าผมไม่อยู่ก็ฟากบอกกับคุณชาญก็ได้นะ หัวหน้าห้องที่ใจบุญ
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    28-11-2551 12:05 PM
    sithiphong

    ---------------------------------------
    28-11-2551 11:23 AM
    zeedflower

    คนบาป ในคราบนักบุญ น่าขำนัก ตกลงที่คุณ sithiphong พูดว่าจะเหยียบ พระธาตุให้ละเอียดแล้วแตะลงน้ำจะว่าอย่างไรคับ ยังไม่ให้คำตอบพวกผมเลย ถ้าผมไม่อยู่ก็ฟากบอกกับคุณชาญก็ได้นะ หัวหน้าห้องที่ใจบุญ พวกผมรู้กันหมดนะว่าคุณเป็นคนอย่างไร

    --------------------------------------------

    เรื่องของการปรามาส เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ผมจะบอกว่า ยังมีคนอีกมากที่ไม่รู้เรื่องของพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระธาตุ และพระวังหน้า ว่ามีหรือไม่อย่างไร
    อย่างที่ผมบอก มีคนบางกลุ่ม ซึ่งไม่เชื่อว่า ผมมีพระบรมสารีริกธาตุจริงๆ และพระวังหน้ามีจริง ที่ผมบอกว่าจะเหยียบนั้น ผมหมายความว่า ให้ผู้ที่ไม่เชื่อ ซึ่งมีอยู่หลายคนที่โจมตีผมอยู่นั้นเป็นผู้ที่พิสูจน์เองว่า ใช่หรือไม่ โดยกรรมจะเป็นผู้ที่บอกเอง

    ใครจะคิดอย่างไรกับผม ผมไม่สนใจ ผมถือว่า ผมทำหน้าที่ของผม ผมไม่รู้ว่า บาปผมมีมากน้อยแค่ไหน บุญมีมากน้อยแค่ไหน นั่นถือว่า เป็นส่วนของการกระทำของตนเองมาตั้งแต่ในอดีตและปัจจุบัน
    และคำตอบผม ผมลงในกระทู้พระวังหน้า และชมรมพระวังหน้าไปแล้วครับ
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระบรมสารีริกธาตุที่ผมมีอยู่นั้น สันฐานก็ไม่มีในหนังสือที่เกี่ยวกับพระบรมสารีริกธาตุเลย ก็เลยมีคนโพสในเว็บพลังจิตว่า จะมีพระบรมสารีริกธาตุมากมายได้อย่างไร

    คำตอบผมจะนำลงให้อีกครั้งสำหรับคำตอบที่ผมได้ตอบไปแล้วครับ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นี่คือโพสแรก

    21-11-2008 08:20 PM
    sithiphong
    จะบอกว่า หากมีใครที่ไม่เชื่อว่า พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามสมณโคดม ที่ผมมีอยู่นั้นเป็นพระบรมสารีริกธาตุจริงๆ

    ผมอยากนัดมาพบกัน ผมจะได้เตรียมไว้ให้ทดสอบกัน การทดสอบก็ไม่ยาก เพียงแค่หยิบจากผมไปแล้วเหยียบให้แตก แล้วโยนทิ้งน้ำ เพียงแค่นี้เอง ไม่ยาก อยากเจอคนจริงซะด้วย หุหุหุ

    โพสต่อมา
    22-11-2008 12:23 PM
    zeedflower
    ทำไมต้องใช้คำว่า เหยียบ ด้วยคับ ! ผมว่ามันไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง .....จากตัวแทนสมาชิกทุกคน

    คำตอบ

    23-11-2008 07:59 PM
    sithiphong
    คือมีคนบางกลุ่ม บางพวก ไม่เชื่อว่า เป็นพระบรมสารีริกธาตุจริง เนื่องจากสันฐานไม่เคยมีปรากฎในหนังสือที่เกี่ยวกับพระบรมสารีริกธาตุ และไม่เชื่อว่าผมมีจริงๆ
    และผมอาจจะนำมาอ้างอิงว่าตนเองดี

    ดังนั้น ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองว่า พระบรมสารีริกธาตุที่ผมมีนั้น เป็นพระบรมสารีริกธาตุจริงๆ แท้ๆ ครับ

    แต่การพิสูจน์นี้ ต้องแลกอย่างมหาศาล เพราะว่าถ้าเป็นพระบรมสารีริกธาตุจริงๆ ผู้ที่เหยียบนั้น เตรียมไปนรกขุมที่ลึกมากได้เลย

    ผมนำพระบรมสารีริกธาตุ ไปให้ท่านๆนึง ตรวจสอบดูว่า เป็นพระบรมสารีริกธาตุจริงหรือไม่ องค์พระพรหมที่อยู่ในพระพุทธรูปซึ่งพระพรหมองค์นี้ เป็นองค์ใหญ่มากๆ ยังมานมัสการองค์พระบรมสารีริกธาตุเลยครับ

    ในคณะของกลุ่มวังหน้าฯเอง มีคนหลากหลายอาชีพ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีหน้าที่การงานที่ดี บางท่านเป็นถึงผู้บริหารระดับสูง ซึ่งหากเอ่ยชื่อบริษัท(หรือ บริษัทมหาชน) ออกมาแล้ว ต้องรู้จักกันทั่วประเทศ บางท่านรับราชการในระดับสูง ซึ่งมีความคิด ความเห็น และการศึกษาต่อพระวังหน้ามามากพอสมควร มีเจตนาที่จะร่วมกันสืบทอดอายุพระศาสนา โดยมิได้หวังเป็นการค้า ไม่ใช่เป็นแค่เด็กเดินของ ที่รับเศษตังมาตีคนอื่น โดยนำข้ออ้างมาว่า รับเงินเข้ากระเป๋าตนเอง ทั้งๆที่ท่านที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องด้านการเงิน(เช่น สนส.บ่อเงินบ่อทอง ,น้องชา(บัญชีที่โอนเงินเพื่อทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง) ออกมาชี้แจงแล้วว่า เงินนั้นไปไหน ไปทำอย่างไร อีกทั้งเรื่องของบัญชีที่รับโอนเงินทำบุญของสภากาชาดไทย ,มูลนิธิชัยพัฒนา ,มูลนิธิพระดาบส ผมเองก็ไม่สามารถที่จะไปเบิกเงินออกมาได้ แถมผมท้าไป ก็ดีแต่โพสบนบอร์ด ไม่กล้ามาเจอ เพื่อพิสูจน์ หุหุหุ

    ผมเองจะได้เตรียมพระบรมสารีริกธาตุ ที่ไม่เชื่อว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุจริง ไปให้พิสูจน์โดยให้หยิบจากมือผมไปเหยียบ และนำพระวังหน้า ไปให้หักกลางแล้วโยนทิ้งน้ำกัน เหอๆๆๆๆๆๆๆๆ

    อย่านึกโมทนาและหรือกดโมทนาในโพสนี้ครับ

    เช่นกัน อย่านึกโมทนาและหรือกดโมทนาในโพสนี้ครับ

    ผมเองก็ไม่เคย pm ไปหาใครๆ เพื่อสร้างเครดิตให้กับตนเอง หวังในอนาคตว่า ผู้ที่ได้รับ pm จะมาเช่าพระของตนเอง จะได้มีเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตนเอง

    คำตอบ (ต่อ)

    23-11-2008 08:07 PM
    sithiphong
    สำหรับคนที่เหยียบนั้น ในความเห็นผม องค์พระศรีอาริยเมตตรัยท่านเสด็จมาตรัสรู้ และปรินิพพานแล้ว คนนั้นก็ยังไม่ได้ขึ้นมาจากขุมนรกเลย

    เช่นเดียวกันกับพระวังหน้า หากมีผู้ที่ไม่เชื่อแล้วหักพระวังหน้าแล้วโยนทิ้ง ก็เตรียมไปนรกเช่นกัน

    ผมเองเป็นอย่างนี้ ดีก็ดีใจหาย หากร้ายก็ร้ายสุดขั้ว ตอนนี้พยายามปรับนิสัยอยู่ แต่ผมเอง ไม่ชอบคนที่ไม่จริง ท้าสาบานก็ไม่เอา ท้านัดพบกัน(คุณยายผีป่าให้เบอร์โทร. ให้โทร.ไปหา ก็ไม่มีใครโทร.ไปหาสักคนเดียว) ก็ไม่เอา เพราะผมจะเตรียมพระวังหน้า ไปให้หักกัน

    พวกนี้ดีแต่ไปโจมตีพระวังหน้าในกระทู้อื่นๆทั่วๆไป

    ตอนที่กระทู้พระวังหน้าฯมีปัญหา ก็มีเพียงแต่ ผม ,คุณเพชร ,คุณnongnooo ,คุณยายผีป่า และอีกไม่กี่คนเท่านั้น ที่ออกมาตอบโต้ แต่เวลาที่ท้าเจอกัน ไม่ยักมีใครมากันสักคนเดียว

    คนก็คือคน คนกันให้มั่วไปหมด

    คำตอบ (อีก)
    23-11-2008 08:14 PM
    sithiphong
    สิ่งที่ไม่รู้ ไม่เคยเห็น ไม่ใช่ว่าไม่มี

    เพียงแต่ตนเอง มีปัญญาในการค้นคว้าว่า สิ่งนี้หรือสิ่งนั้น มีจริงหรือไม่ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...