พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. gnip

    gnip สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +14
    เมื่อวานเป็นยั่งนี้
    [​IMG]

    และ
    [​IMG]
    คงจะทำให้ใครบางคน...เป็นแบบนี้
    [​IMG]
    และแบบนี้
    [​IMG]
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  3. Chayaporn

    Chayaporn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    768
    ค่าพลัง:
    +4,641
    โมทนาสาธุกับคุณปกรณ์ พี่สมพร และคุณหนุ่ม ที่สละ
    โลกียทรัพย์ มาแปลงเป็นอริยทรัพย์ เพื่อร่วมบุญกับ
    หลวงพี่เล็ก และหลวงพี่หน่อย วัดท่าขนุน
    พี่ถ่ายรูปพระทั้ง 30 องค์แล้วจะมาโพสให้ชมค่ะ
     
  4. gnip

    gnip สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +14
    ถูกต้องแล้วค่ะ
    ธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนและทรงแสดงไว้นั้น สมบูรณ์และดีที่สุดแล้วล่ะค่ะ ขอให้เราปฏิบัติตามแล้วเราจะเข้าใจได้เอง(อย่าไปสงสัยหรือคิดอะไรมากให้ ปฏิบัติไปตามที่ท่านสอนนั่นแหละ) สักวันก็จะเห็นผลเอง บางส่วนที่พี่ๆในกระทู้นี้ได้มอบพระให้แก่ท่านๆนั้น พี่ๆเหล่านี้ต่างก็เป็นผู้ส่งมอบแก่บุคคลรุ่นหลังต่อไป การที่จะทำให้ตัวเองเป็นผู้ซึ่งถึงพร้อม ต่างหากนั้นเล่าจะทำให้พระ(พระภายใน+พระภายนอก)เสด็จมาหาเอง ถึงแม้ว่าบางทีจะต้องเริ่มจากก้าวเล็กๆก็ตามที แต่ก็เป็นก้าวแรกที่จะนำเราสู่พระนิพพานในที่สุด
    [​IMG]


     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    -----------------------------------------------------------

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    พี่ตุ่นครับ ผมเตรียมพระสมเด็จไว้ให้เรียบร้อยแล้ว พี่ปกรณ์มอบพระสมเด็จ 20 องค์ ,พี่สมพรมอบพระสมเด็จอรหัง 5 องค์ และผมมอบพระสมเด็จ 5 องค์ รายละเอียดมีดังนี้ครับ

    1.พระสมเด็จ จำนวน 20 องค์(ที่พี่ปกรณ์มอบให้) ให้ร่วมทำบุญสร้างพระ ชำระหนี้สงฆ์ ทำบุญ 5,000 บาท รับพระสมเด็จ 1 องค์)

    2.พระสมเด็จ จำนวน 5 องค์(ที่ผมมอบให้) ให้ร่วมทำบุญสร้างพระ ชำระหนี้สงฆ์ ทำบุญ 5,000 บาท รับพระสมเด็จ 1 องค์)

    3.พระสมเด็จอรหัง จำนวน 5 องค์(ที่พี่สมพรมอบให้) ให้ร่วมทำบุญสร้างพระ ชำระหนี้สงฆ์ ทำบุญ 2,000 บาท รับพระสมเด็จอรหัง 1 องค์)

    รายละเอียด ต้องสอบถามกับพี่ตุ่นอีกครั้งนะครับ
    โมทนาสาธุครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    -----------------------------------------------------------

    -----------------------------------------------------------

    โมทนาครับพี่

    แล้วตกลงนิ้วใคร พี่พอทราบหรือเปล่าครับ หุหุหุ

    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ธรรมะของพระพุทธองค์ สุดยอดของจักรวาลแล้วครับ

    เพียงแต่ทำตามเท่านั้นเอง

    แค่ทำตามยังทำกันได้ยากเลย

    พระพุทธองค์หรือพระอรหันต์หรือพระโพธิสัตว์ ไม่สามารถพาเราไปนิพพานได้ เราต้องปฎิบัติด้วยตัวของเราเอง ปฎิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ แล้วเราจะไปได้เอง

    ผมและพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ บางท่านก็เคยได้รับฟังธรรมะจากสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านมาสอนว่า "อย่าไปลังเล สงสัยอยู่เลย ให้รีบปฎิบัติธรรมกัน" ครับ

    โมทนานะครับคุณgnip

    .
     
  7. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  8. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    ของน้องปิงน่ารักอ่ะ ของพี่เหมียวแบบนี้ค่ะ

    [​IMG]
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เช็คสอบจิตกันนิดหน่อย

    ได้ผลสรุป เงียบครับ

    ก็อย่างที่บอกไว้หลายๆเรื่อง ทั้งความศรัทธา ,ความมุ่งมั่น ,ความเพียร ,ความพยายาม ,ความอดทน และอื่นๆอีกมากมาย เหอๆๆๆๆ

    เรื่องนิดหน่อยยังไม่ผ่านเลย แล้วเรื่องที่ใหญ่กว่านี้จะผ่านได้อย่างไร หุหุหุ

    .
     
  11. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    หุหุ แปลว่าผมซ่อนไว้เนียน โพสผมท่านปาทานอ่านไม่เจออะไร

    ปล. หุหุ อีกทีครับ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    วัดมณีชลขัณฑ์
    http://www.tru.ac.th/culture2008/book_1-1-4.php

    [​IMG]

    แม่น้ำลพบุรีบริเวณวัดมณีชลขัณฑ์หน้าน้ำหลาก
    ทุ่งพรหมาสตร์ยามหน้าน้ำหลาก เรือกระแชงจำนวนนับร้อยๆ ลำถูกลากโยงขึ้นมาเพื่อลำเรียงสินค้าขาส่งและ นำไปขาย เช่น ข้าวเปลือก พืชไร่ ดินสอพอง ไม้ฟืน อิฐ ในภาพเห็นเรือกระแชงจอดหัวเสยตลิ่ง "เกาะแก้ว" วัดมณีชลขัณฑ์เต็มไปหมด กลางลำน้ำมีเรือสำปั้นแจว คงจะเป็นเรือจ้างรับส่งคนโดยสารข้ามฟาก เป็นภาพถ่าย
    เมื่อครั้งแม่น้ำ ยังมีบทบาทต่อวิถีชีวิตผู้คน

    [​IMG]

    วัดมณีชลขัณฑ์และเจดีย์หลวงพ่อแสง
    วัดมณีชลขัณฑ์เดิมชื่อวัดเกาะแก้ว เป็นวัดเก่าแก่ จดหมายเหตุครั้งรัชกาลที่4 จ.ศ. 1216 (พ.ศ. 2397) ฉบับหนึ่ง
    ซึ่งรักษาอยู่ ณ หอสมุดแห่งชาติเป็นร่างตราถึงเมืองลพบุรีให้เกณฑ์เลก ข้าพระ เผาปูนทำวัดเกาะแก้ว มีรายละเอียดว่า "หนังสือเจ้าพระยาจักรีมาถึงพระลพบุรี ด้วยมีพระบรมราชโองการตรัสเหนือเกล้าฯ สั่งว่าวัดเกาะแก้วเมืองลพบุรี แต่ก่อนเคยเสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปนมัสการพระและประทับแรมอยู่บ้าง แต่พระอุโบสถ กุฏิศาลาการเปรียญ และศาลาท้องพรหมาสตร์ชำรุดยับเยินมาช้านาน โปรดเกล้าฯให้สถาปนาขึ้นใหม่ให้รุ่งเรืองสุกใส จะได้เป็นที่กราบไหว้ที่สักการะบูชา
     
  13. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    เดี๋ยวคืนนี้จะไม่ได้เข้ามติดภาระกิจบางอย่าง เลยเล่าไว้ก่อนนะคะ เมื่อเดือนกรกฏาคมปีนี้ไปเข้าคอร์สกรรมฐานของยุวพุทธมา ได้ฟังบรรยายเรื่อง31ภพภูมิจากอาจารย์วรากร ไรวาแล้วรู้สึกชอบมากๆ คือสามารถอธิบายฟังง่าย สนุก ไม่ต้องมีศรัทธาหรือพื้นฐานมาก่อน คือพูดถึงผลที่ได้จาการรักษาจิตในชาตินี้กันเห็นๆ ไม่ต้องเชื่อเรื่องชาติหน้าก็ได้ ก็คิดว่าจะต้องเอามาเปิดให้เด็กๆที่ทำงานดูให้ได้ เพราะเด็กๆส่วนมากมาจากต่างจังหวัดกัน มีปัญหาเรื่องต่างๆ แฟนทิ้ง ยากจน ติดเหล้า หลายอย่าง บางทีเห็นเค้าร้องไห้เราก็ไม่รู้จะช่วยยังไงดี

    พอวันนี้โอกาสดี คือเป็นช่วงปิดประจำปี3วัน หนูอยู่โยงเฝ้าoffice แล้วจัดให้เด็กๆไปเที่ยวกัน เพราะโอกาสจะพร้อมหน้ากันทั้งหมดไม่ค่อยมี กลับมาวันนี้ครึ่งวันเลยขอเวลาเค้าชั่วโมงครึ่งบอกว่าจะสอนธรรมะ บางคนก็ดูเซ็ง บางคนดูตื่นเต้น ทั้งหมด 40กว่าคนรวม มีนิสิตฝึกงานสองคน ก็เกริ่นเริ่มต้นเรื่องธรรมะว่าเป็นการเรียนเรื่องตัวเรานี่เอง แล้วเปิดVCDให้ดู เด็กๆทุกคนตั้งใจกันมาก ผิดคาด ช่วงที่ถามตอบในVCDยังช่วยกันตอบด้วยค่ะ ตอนดูจบก็บอกเค้าว่านี่เป็นสิ่งดีๆที่เราอยากจะมอบให้เค้าเพราะมันจะเป็นสมบัติติดตัวที่เค้าจะเอาไปด้วย พูดแล้วน้ำตาจะไหลต้องรีบจบ ประทับใจที่เห็นหน้าตาแต่ละคนดูเข้าใจและตั้งอกตั้งใจกัน เป็นความรู้สึกดีๆที่สื่อถึงกันได้ทั้งผู้ให้และผู้รับเลยค่ะ บางคนก็มาขอVCDจะเอาไปให้พ่อแม่ดูบ้าง เราก็ดีใจ บางคนก็อยากจะดูตอนต่ออีก คิดว่าตอนปีใหม่มีโอกาสพร้อมหน้าก็จะทำเป็นคอร์สต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ให้เค้าได้มีพัฒนาการกัน

    การให้ธรรมทานยิ่งใหญ่กว่าทานใดทั้งปวงจริงๆค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2008
  14. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    รบกวนจัดส่งให้ผมสักชุดได้ไหมครับพี่ ผมกำลังจะทำโครงการอบรมธรรมะให้กับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลครับ

    ขอแค่ชุดเดียวพอนะครับ ที่เหลือเดี๋ยวผมคัดลอกเอง พี่จะได้มีเวลาแจกจ่ายให้กับผู้อื่นต่อไปครับ

    อนุโมทนาบุญยิ่งครับ
     
  15. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    ได้ค่ะ รอแม่บ้านกลับมาก่อนนะคะ ตอนนี้ไม่ว่างไปส่ง ของน้องหมอยังมีของที่พี่ติดค้างต้องส่งให้ใหม่ด้วย ยังไม่ลืมค่ะ แล้วมีแผ่นทองคำเปลวอธิษฐานจิตมาครบทั้ง5พุทธานุภาพของพม่าเอาไว้ปูรองในกระถางธูปด้วยค่ะ
     
  16. สำรวจโลก

    สำรวจโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +579
    อนุโมทนาครับ
    --------------------------------------------------------------
    วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เดิมเป็นวัดราษฎร์ ชื่อ “วัดแหลม” เนื่องจากอยู่ปลายแหลมที่สวนต่อกับทุ่งนา และมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วัดไทรทอง ไม่มีหลักฐานว่าสร้างเมื่อใด
    ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ใน พ.ศ. 2372 จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ พระนามเดิมพระองค์เจ้าพนาวัน พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเจ้าจอมมารดาศิลาทรงเป็นแม่ทัพรักษาพระนคร ได้ทรงตั้งกองบัญชาการทัพที่วัดแหลม หลังจากปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์แล้ว กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์มีพระประสงค์จะปฏิสังขรณ์วัดแหลม พร้อมพระอนุชาและพระขนิษฐาร่วมเจ้าจอมมารดาเดียวกันอีก 4 พระองค์ คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิทักษ์เทเวศร์ (พระองค์เจ้าชายกุญชร ต้นราชสกุล กุญชร) พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ (พระองค์เจ้าชายทินกร ต้นราชสกุล ทินกร) พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอินทนิล และ พระองค์เจ้าหญิงวงศ์ ทรงร่วมกันบูรณปฏิสังขรณ์วัดแหลม ซึ่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “วัดเบญจบพิตร” หมายความว่า “วัดของเจ้านาย 5 พระองค์”
    ใน พ.ศ. 2441 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสวนดุสิต โดยใช้วัดดุสิตเป็นที่สร้างพลับพลา และใช้สถานที่วัดร้างตัดถนน ซึ่งต้องสร้างวัดขึ้นทดแทนตามประเพณี ได้ทรงเลือกวัดเบญจมบพิตรเป็นวัดที่ทรงสถาปนาตามพระราชดำริว่า การสร้างวัดใหม่หลายวัดยากต่อการบำรุงรักษา ถ้ารวมเงินสร้างวัดเดียวให้เป็นวัดใหญ่ และทำโดยฝีมือประณีตจะดีกว่า จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ทรงออกแบบก่อสร้างพระอุโบสถและถาวรวัตถุอื่น ๆ และมีพระยาราชสงคราม (กร หงสกุล) เป็นนายช่างก่อสร้าง เริ่มสถาปนาวัดในราว พ.ศ. 2442 และโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อวัดจาก “วัดเบญจบพิตร” เป็น “วัดเบญจมบพิตร” หมายถึง วัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 5 และทรงเพิ่มสร้อยนามว่า ดุสิตวนาราม เพื่อให้คล้องกับพระราชวังดุสิตที่ทรงสร้างขึ้นใหม่
    วัดเบญจมบพิตรมีสิ่งสำคัญในวัด เช่น พระอุโบสถที่มีสถาปัตยกรรมงดงามมาก และใช้หินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ในการก่อสร้าง ส่วนพระประธานในพระอุโบสถมีพระพุทธชินราชจำลอง พระที่นั่งทรงผนวชซึ่งรื้อมาจากบริเวณพุทธรัตนสถานในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยประทับเมื่อทรงพระผนวชใน พ.ศ. 2416 และศาลาสี่สมเด็จซึ่งเป็นศาลาจตุรมุขสร้างด้วยทุนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทรมณฑล กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ศาลาบัณณรศภาค เป็นศาลาจตุรมุข สร้างด้วยทุนทรัพย์ของพระมเหสี เจ้าจอม พระราชโอรส พระราชธิดาและพระญาติในรัชกาลที่ 5 รวม 15 พระองค์
    <TABLE class=gallery cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร เมื่อแรกสร้าง



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- start content -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2008
  17. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    ขอบพระคุณครับ สำหรับเวลาจัดส่งนั้นแล้วแต่ที่พี่สะดวกเลยครับ ช่วงนี้ผมกำลังเร่งงานอื่นอยู่พอดีครับ
    แต่โครงการนี้ก็อยากจะทำให้อยู่กับโรงพยาบาลไว้ก่อนที่ผมจะกลับไปเรียนครับ
    ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขนั้น ผมมองว่าสวัสดิการของทางภาครัฐนั้นค่อนข้างต่างกับภาคเอกชนมาก
    ผมมองว่าแรงจูงใจเพียงอย่างเดียวที่จะนำมาโน้มน้าวได้นั้นก็คือบุญ ที่ได้จากการช่วยเหลือผู้อื่น
    จึงต้องการปลูกฝังธรรมะให้อยู่คู่กับทุกๆคนในหน่วยงานครับ
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>สุดมหัศจรรย์ พลังแห่งดาวเคราะห์สีน้ำเงิน
    http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9510000138742
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>23 พฤศจิกายน 2551 18:46 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>ก่อนจะเป็นดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงสวยงามที่เห็นเช่นทุกวันนี้ โลกใบนี้ผ่านการเปลี่ยนแปลงมายาวนานนับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อกว่า 4 พันล้านปีก่อน (บีบีซี)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ทะเลแมกมาที่ร้อนระอุจนทำให้หินใต้พิภพหลอมละลายได้ (บีบีซี)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>น้ำพุร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมาเหนือพื้นดินเป็นเครื่องชี้ว่าใต้พิภพโลกซ่อนพลังงานมหาศาลเอาไว้ (บีบีซี)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ความร้อนใต้พิภพทำให้เกิดธารหินไหลเวียนอยู่ใต้แผ่นดิน และเป็นพลังที่ขยับให้แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ (บีบีซี) </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>ในอดีตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และกำมะถันที่ออกมาจากภูเขาไฟเป็นแหล่งพลังงานสำคัญที่ทำให้ก่อเกิดชีวิตแรกบนโลก (บีบีซี)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>พลังแห่งดาวเคราะห์สีน้ำเงินที่แอบซ่อนตัวอยู่ใจกลางโลกและพร้อมแสดงพลานุภาพออกมาได้ทุกเมื่อ (บีบีซี)</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ปริศนาแห่งการก่อกำเนิดดาวเคราะห์สีน้ำเงิน และวิวัฒนาการของสรรพชีวิตบนโลก เป็นเรื่องที่น่าค้นหาและท้าทายให้นักวิทยาศาสตร์พยายามไขกุญแจแห่งความลับนี้มาอย่างยาวนาน และหลายต่อหลายคนก็อยากรู้เรื่องราวความเป็นมาของโลกตั้งแต่อดีตกาลอันไกลโพ้นด้วยเช่นกัน "โทมัส ไรเทอร์" นักบินอวกาศชาวเยอรมัน ขันอาสาพาเราค้นหาปริศนาแห่งโลก

    ใต้ผืนโลกยังคงคุกรุ่นด้วยพลังงานอันมหาศาลมานานกว่า 4 พันล้านปี และส่งอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกมานับครั้งไม่ถ้วน เป็นพลังที่ทรงอานุภาพจนสามารถทำลายล้างทุกชีวิตบนโลกได้ แต่ขณะเดียวกันก็คอยช่วยปกป้องสรรพชีวิตไม่ให้สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ได้เช่นกัน ผู้จัดการวิทยาศาสตร์ขอพาคุณผู้อ่านไปรู้จักพลังที่ว่าผ่านภาพยนตร์ร่วมสร้างระหว่างบีบีซี (BBC) และซีดีเอฟ (ZDF) "พลังแห่งดาวเคราะห์สีน้ำเงิน" ในเทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ ครั้งที่ 4 โดยมีโทมัส ไรเทอร์ นักบินอวกาศชาวเยอรมัน เป็นผู้นำทาง

    จากการเดินทางท่องไปยังที่ต่างๆ เพื่อค้นหาว่าดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้ใช้พลังงานส่วนไหนก่อร่างสร้างตัวเองขึ้นมาผ่านกาลเวลาอันยาวนาน กระทั่งเป็นดาวเคราะห์ดวงสวยงามเช่นทุกวันนี้ ไรเทอร์ก็ตามรอยจนพบเบาะแสบางอย่าง

    นั่นคือควันกำมะถันและบ่อน้ำพุร้อนขนาดใหญ่ที่พวยพุ่งออกมาจากใต้ดินบนเกาะไอซ์แลนด์ ซึ่งเป็นหลักฐานชี้ว่าใต้พิภพของเรามีพลังงานมหาศาลซ่อนอยู่ พลังงานที่อยู่ใต้พิภพนี้เป็นความร้อนมหาศาลที่ทำให้หินหลอมละลายเป็นของเหลวไหลเวียนอยู่ใต้โลก และอาจปรากฏให้เราเห็นได้เมื่อไหลออกมาเป็นลาวาจากภูเขาไฟ

    เขาเดินทางต่อไปยังหน้าผายักษ์ที่เป็นพรมแดนระหว่างแผ่นดินยูเรเชียและอเมริกาเหนือ เมื่อเรายืนอยู่บนหน้าผาที่เป็นเขตสิ้นสุดของ 2 ทวีป เราอาจรู้สึกอัศจรรย์ใจในความยิ่งใหญ่ของหินผาแห่งนั้น ทว่าเราต้องอัศจรรย์ในยิ่งกว่า หากมองลงมาจากอวกาศเบื้องบน จะเห็นว่าหน้าผานั้นทอดยาวลงไปทางใต้เป็นระยะทางยาวสุดกู่ ซึ่งเป็นหนึ่งในขอบเขตที่แบ่งผิวเปลือกโลกออกเป็น 7 ส่วน

    ในอดีตแผ่นดินยูเรเชียและอเมริกาเคยเป็นผืนเดียวกัน แต่เพราะธารหินร้อนใต้พิภพที่เคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา เป็นพลังงานที่ผลักดันให้แผ่นเปลือกโลกทั้ง 7 ส่วนเคลื่อนเข้าหากันหรือหนีห่างออกจากกัน บริเวณที่เคลื่อนห่างออกจากกันจะปรากฏเป็นรอยแยกบนแผ่นดินเหมือนกับหุบผารอยต่อระหว่างยูเรเชียและอเมริกาเหนือ และนักวิทยาศาสตร์ศึกษาแล้วพบว่าแผ่นดิน 2 ทวีปนี้ค่อยๆ เคลื่อนออกจากกันปีละประมาณ 2 เซนติเมตร ซึ่งอาจมองไม่เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนในช่วงชีวิตเรา

    ส่วนที่เคลื่อนที่เบียดเข้าหากัน ก่อให้เกิดการยกตัวของแผ่นดินเป็นภูเขาสูงใหญ่ เช่น เทือกเขาหิมาลัย เทือกเขาแอนดีส และเทือกเขาอัลไพน์ แต่ไม่ว่าภูผาจะแข็งแกร่งปานใด ก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับพลังแห่งน้ำที่กัดเซาะหินผาให้ผุกร่อนลงได้ และจากการวิจัยก็ได้ข้อมูลว่าในแต่ละปีมีดินตะกอนจากเทือกเขาแอนดีสที่ถูกกระแสน้ำพัดพาลงมหาสมุทรนับหลายล้านตัน ซึ่งพลังแห่งน้ำเหนือพื้นพิภพและพลังแห่งไฟใต้พิภพนี้เป็น 2 พลังยิ่งใหญ่ที่ถ่วงดุลกันและทำสงครามกันมาอย่างยาวนาน

    เมื่อราว 4 พันกว่าล้านปีก่อน สภาพบนผิวโลกร้อนระอุ แห้งแล้ง และเต็มไปด้วยอันตรายจากภูเขาไฟและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นสภาพที่ไม่เอื้ออำนวยให้สิ่งมีชีวิตไหนดำรงอยู่ได้เลย แต่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายแบบนี้นี่เองที่บ่มเพาะให้ชีวิตแรกเกิดขึ้นบนโลก และฟูมฟักเลี้ยงดูจนเติบใหญ่และมีวิวัฒนาการหลากหลายผ่านกาลเวลายาวนานนับพันล้านปี ซึ่งสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวในยุคแรกเริ่มที่เป็นเหมือนมงกุฎแห่งประวัติศาสตร์การสร้างโลก ได้อาศัยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และกำมะถันที่ออกมาจากภูเขาไฟใต้ทะเลเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีพ

    ทว่าชีวิตน้อยๆ เหล่านั้นเกือบหมดโอกาสวิวัฒนาการและอาจต้องสูญสิ้นไป เพราะนักธรณีวิทยาพบหลักฐานบางอย่างในแอฟริกา ที่บ่งชี้ว่าเมื่อประมาณ 700 ล้านปีก่อน โลกของเราถูกปกคลุมด้วยธารน้ำแข็งและตกอยู่ในความหนาวเย็นต่ำกว่าจุดเยือกแข็งนานนับร้อยล้านปี หลักฐานที่ว่าเป็นก้อนหินจำนวนมากที่พบอยู่ในชั้นน้ำแข็งบริเวณขั้วโลก แต่มาอยู่ผิดที่ผิดทาง โดยฝังตัวอยู่ในชั้นหินที่ในอดีตบริเวณนั้นเคยเป็นดินตะกอนใต้ทะเลมาก่อน จึงสันนิษฐานว่าอาจมาพร้อมกับธารน้ำแข็งจากขั้วโลก และเมื่อน้ำแข็งละลายลง ก้อนหินเหล่านี้ก็จมลงสู่ก้นทะเล

    ทว่าน้ำแข็งจากขั้วโลกเดินทางมาถึงเขตศูนย์สูตรได้อย่างไรกันโดยที่ไม่ละลายไปจนหมด และกรณีที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นได้ บริเวณเขตศูนย์สูตรก็ต้องหนาวเย็นจนเป็นน้ำแข็งด้วยเหมือนกัน และเหตุปัจจัยในยุคนั้นก็ส่งให้เรื่องนี้มีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง อะไรจึงทำให้น้ำแข็งที่ปกคลุมโลกเกินขอบเขตขั้วโลกละลายหายไป

    เมื่อปี 2547 เหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดในไอซ์แลนด์สามารถทำลายชั้นน้ำแข็งได้ จึงสันนิษฐานว่าเหตุการณ์แบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นในยุคนั้น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากที่ออกมาจากภูเขาไฟก็ช่วยให้ความอบอุ่นแก่โลก และทำให้ชั้นน้ำแข็งที่อยู่ผิดที่ผิดทางหลอมละลายลงจนหมดสิ้น และเข้าสู่ยุคทองของสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ ผ่านช่วงเวลาวิวัมนาการยาวนานจนมีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>GDPไตรมาส3:สัญญาณชะลอตัวศก.ไทย
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9510000139690</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>26 พฤศจิกายน 2551 10:35 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> “หลายฝ่ายจึงคาดหวังต่อบทบาทเชิงนโยบายของทางการในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน และใช้มาตรการกระตุ้นทางการคลัง เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจไทยให้ฝ่าพ้นวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่หนักหน่วงในครั้งนี้”

    ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ได้จัดทำบทวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจไว้อย่างน่าสนใจ โดยเรื่องดังกล่าวสะท้อนถึงผลกระทบของภาคอุตสาหกรรมจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งอ้างอิงข้อมูลตัวเลขGDP ไตรมาส3/2551 ที่ได้มีการประกาศออกมาจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) เมื่อเร็วๆนี้ และถือว่าเป็นเรื่องที่นักลงทุนหลักทรัพย์อย่างพวกเราไม่ควรมองข้าม

    ทั้งนี้ สภาพัฒน์ฯ ประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 3/51 เติบโต 3.96 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (yoy) หรือเติบโต 0.58% จากไตรมาสที่ผ่านมา (qoq) หากปรับผลของฤดูกาลออก ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่ต่ำที่สุดนับแต่ไตรมาส 1/48 อัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลงนี้ไม่ได้เกินความคาดหมายแต่อย่างใดและตัวเลขดังกล่าวจะแย่กว่านี้หากไม่นับรวมคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงในสินค้าคงคลัง ตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ถึงลางร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

    แท้จริงแล้วตลาดหุ้นไทยได้มองล่วงหน้าไปยังอนาคตและได้สะท้อนการปรับประมาณการอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2551 และปี 2552 ลงแล้วด้วย เราเองได้ปรับลดประมาณการอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของปี 2551และปี 2552 ลงเหลือ 4.5% และ 3.5% ตามลำดับ และตัวเลข GDP ไตรมาส 3/51 ที่เพิ่งประกาศออกมานั้นก็บ่งชี้ว่าประมาณการดังกล่าวยังคงมีความเป็นไปได้สูง
    ตัวเลข GDP จะแย่กว่านี้

    การบริโภคในประเทศหลังปรับด้วยตัวเลขอัตราเงินเฟ้อแล้ว ขยายตัว 2.64% yoy ในไตรมาส 3/51 ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐปรับตัวลง 2.89% และการลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้นเพียง 0.64% การส่งออกสุทธิไม่ได้เป็นตัวขับเคลื่อนการเจริญเติบโตในไตรมาสนี้ โดยการส่งออกสุทธิเติบโตเพียง 0.27% yoy จากราคาฐานปี 2531 ในทางตรงกันข้ามเกิดการเปลี่ยนแปลงในสินค้าคงคลังสุทธิครั้งใหญ่จากติดลบ 8 พันล้านบาท ( ณ ราคาฐานปี 2531) ในไตรมาส 3/50 เป็นบวก 2 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 3/51 ถือเป็นปัจจัยผลักดันที่สำคัญที่สุด หากพิจารณาในรูปของราคาปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงในสินค้าคงคลังปรับตัวขึ้นจากระดับติดลบ 1.8 หมื่นล้านบาทเป็นบวก 6.5 หมื่นล้านบาท

    สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากการลดจำนวนสินค้าคงคลังในช่วงที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งสูงขึ้นและเพิ่มจำนวนสินค้าคงคลังในช่วงที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลงในไตรมาส 3/51 อย่างไรก็ตามหากเราตัดรายการการเปลี่ยนแปลงในสินค้าคงคลังออก GDP ในไตรมาสนี้จะโตเพียง 1.23% yoy เท่านั้น

    ภาคเกษตรกรรมช่วยหนุนเศรษฐกิจ

    อัตราการเจริญเติบโตของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 36% ของ GDP ณ ราคาปัจจุบัน เติบโตชะลอตัวลงเหลือเพียง 6.06% yoy หากปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อแล้ว สิ่งนี้สะท้อนถึงอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนตัวลงต่อเนื่อง รวมถึงภาคส่งออกที่ชะลอตัวลงมากเช่นกัน ขณะที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวมได้รับแรงหนุนหลักจากภาคเกษตรกรรม (10.58% ของ GDP) ซึ่งเติบโตกว่า 9.94% yoy เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มสูงขึ้นช่วยผลักดันให้มีการผลิตเพิ่มมากขึ้น

    สำหรับภาคเศรษฐกิจอื่นๆนั้นต่างชะลอตัวลงทั้งสิ้น โดยกิจกรรมก่อสร้างปรับตัวลง 4.46%, การศึกษาหดตัวลง 3.33%, สาธารณสุขและสวัสดิการสังคมปรับตัวลง 2.60% และภาคการบริหารราชการและการป้องกันประเทศติดลบ 2.94%

    การเติบโตทางเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงอย่างหนัก

    ก่อนหน้านี้ได้ปรับลดประมาณการอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2551 และ 2552 ลงเหลือ 4.50% และ 3.50% ตามลำดับ โดยตัวเลขเหล่านี้ยังคงมีความเหมาะสมสำหรับมุมมองของเราในตอนนี้ หาก GDP เติบโตในอัตรา 5.97% ในไตรมาส 1/51, 5.28% ในไตรมาส 2/51 และ 3.96% ในไตรมาส 3/51, อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4/51 เพียง 2.90% ก็จะทำให้อัตราการเจริญเติบโตทั้งปีในปี 2551 ออกมาที่ระดับคาดการณ์ที่ 4.50% แล้ว ซึ่งไม่เชื่อว่านี่เป็นมุมมองที่อนุรักษ์นิยมเกินไป เนื่องจากการส่งออกชะลอตัวลงอย่างชัดเจนในช่วงที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ

    อีกทั้งปัญหาการเมืองในประเทศก็เป็นอีกปัจจัยที่กำลังบั่นทอนการบริโภคในประเทศ รวมถึงส่งผลให้การใช้จ่ายในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งในช่วงนี้ต้องล่าช้าออกไปด้วย

    โดยประมาณการอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ระดับ 3.5% ในปีหน้านั้นตกอยู่ในช่วงกลางของกรอบประมาณการปีหน้าของสภาพัฒน์ฯที่ระดับ 3-4% สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสนใจคือ สภาพัฒน์ฯได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายเงินงบประมาณในโครงการต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนการใช้จ่ายในประเทศ รวมถึงเพื่อเตรียมรับมือกับการปลดพนักงานและอัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาย่ำแย่เช่นนี้น่าจะเพียงพอที่จะกระตุ้นให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งหน้าในวันที่ 3 ธันวาคม

    เมื่อเร็วๆนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า จากตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ที่ชะลอตัวลงกว่าที่คาด โดยมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 4.0 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับความเสี่ยงเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในไตรมาสถัด ๆ ไปนี้ จึงคาดว่า เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ปีนี้อาจมีอัตราการขยายตัวชะลอลงมากขึ้น โดยอาจต่ำกว่าร้อยละ 3.0

    นอกจากนี้ การที่สภาพัฒน์ฯ ได้ปรับลดประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2551 เป็นร้อยละ 4.5 จากประมาณการเมื่อครั้งก่อนหน้าอยู่ที่ร้อยละ 5.2-5.7 เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงกว่าที่คาดไว้รวมถึงความไม่สงบภายในประเทศในช่วงไตรมาส 3 ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและบริการมากกว่าที่คาดไว้ขณะที่คาดการณ์แนวโน้มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2552 อยู่ระหว่างร้อยละ 3.0-4.0

    ดังนั้นประเมินการเติบโตเศรษฐกิจไว้ที่ร้อยละ 2.8 ซึ่งจะส่งผลให้อัตราขยายตัวของปี 2551 ทั้งปี อาจมีค่าเฉลี่ยประมาณร้อยละ 4.5 ใกล้เคียงกับที่ สศช. คาดไว้ ส่วนการรับรู้ผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ น่าจะยิ่งเพิ่มขึ้นในช่วง 2 ไตรมาสต่อ ๆ ไป ทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 อาจจะยิ่งเผชิญการชะลอตัวที่รุนแรงเพิ่มขึ้นอีก

    โดยอัตราการขยายตัวในช่วงครึ่งแรกปีหน้าอาจจะลงไปต่ำกว่าร้อยละ 2.0 ซึ่งประเด็นที่ต้องจับตามองในไตรมาสถัด ๆ ไป คือผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลกที่ผ่านลงสู่การชะลอตัวของอุปสงค์ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกและจะกระทบการส่งออกของไทย ซึ่งผลกระทบจะยิ่งปรากฏชัดเจนมากขึ้น

    สุดท้ายจากความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ปรับลดประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2552 โดยมีค่ากลางในกรณีพื้นฐานที่ร้อยละ 3.5 จากประมาณการเดิมที่ร้อยละ 4.0-5.0 ในขณะที่ อัตราการขยายตัวในกรณีเลวร้ายจะอยู่ที่ร้อยละ 2.5

    “นับเป็นความท้าทายในเชิงนโยบาย ที่สำคัญคือ พื้นฐานเศรษฐกิจไทยในด้านเสถียรภาพด้านต่างประเทศ และระบบการเงินยังค่อนข้างแข็งแรง ขณะที่รัฐบาลและธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังมีช่องทางและเครื่องมือที่สามารถนำมาใช้จัดการกับปัญหาเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นได้ แตกต่างจากในช่วงปี 2540 ที่ทางการแทบไม่มีมาตรการออกมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลายฝ่ายจึงคาดหวังต่อบทบาทเชิงนโยบายของทางการในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน และใช้มาตรการกระตุ้นทางการคลัง เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจไทยให้ฝ่าพ้นวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่หนักหน่วงในครั้งนี้”
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>26 พฤศจิกายน 2551 10:35 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> “หลายฝ่ายจึงคาดหวังต่อบทบาทเชิงนโยบายของทางการในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน และใช้มาตรการกระตุ้นทางการคลัง เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจไทยให้ฝ่าพ้นวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่หนักหน่วงในครั้งนี้”

    ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ได้จัดทำบทวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจไว้อย่างน่าสนใจ โดยเรื่องดังกล่าวสะท้อนถึงผลกระทบของภาคอุตสาหกรรมจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งอ้างอิงข้อมูลตัวเลขGDP ไตรมาส3/2551 ที่ได้มีการประกาศออกมาจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) เมื่อเร็วๆนี้ และถือว่าเป็นเรื่องที่นักลงทุนหลักทรัพย์อย่างพวกเราไม่ควรมองข้าม

    ทั้งนี้ สภาพัฒน์ฯ ประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 3/51 เติบโต 3.96 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (yoy) หรือเติบโต 0.58% จากไตรมาสที่ผ่านมา (qoq) หากปรับผลของฤดูกาลออก ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่ต่ำที่สุดนับแต่ไตรมาส 1/48 อัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลงนี้ไม่ได้เกินความคาดหมายแต่อย่างใดและตัวเลขดังกล่าวจะแย่กว่านี้หากไม่นับรวมคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงในสินค้าคงคลัง ตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ถึงลางร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

    แท้จริงแล้วตลาดหุ้นไทยได้มองล่วงหน้าไปยังอนาคตและได้สะท้อนการปรับประมาณการอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2551 และปี 2552 ลงแล้วด้วย เราเองได้ปรับลดประมาณการอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของปี 2551และปี 2552 ลงเหลือ 4.5% และ 3.5% ตามลำดับ และตัวเลข GDP ไตรมาส 3/51 ที่เพิ่งประกาศออกมานั้นก็บ่งชี้ว่าประมาณการดังกล่าวยังคงมีความเป็นไปได้สูง
    ตัวเลข GDP จะแย่กว่านี้

    การบริโภคในประเทศหลังปรับด้วยตัวเลขอัตราเงินเฟ้อแล้ว ขยายตัว 2.64% yoy ในไตรมาส 3/51 ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐปรับตัวลง 2.89% และการลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้นเพียง 0.64% การส่งออกสุทธิไม่ได้เป็นตัวขับเคลื่อนการเจริญเติบโตในไตรมาสนี้ โดยการส่งออกสุทธิเติบโตเพียง 0.27% yoy จากราคาฐานปี 2531 ในทางตรงกันข้ามเกิดการเปลี่ยนแปลงในสินค้าคงคลังสุทธิครั้งใหญ่จากติดลบ 8 พันล้านบาท ( ณ ราคาฐานปี 2531) ในไตรมาส 3/50 เป็นบวก 2 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 3/51 ถือเป็นปัจจัยผลักดันที่สำคัญที่สุด หากพิจารณาในรูปของราคาปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงในสินค้าคงคลังปรับตัวขึ้นจากระดับติดลบ 1.8 หมื่นล้านบาทเป็นบวก 6.5 หมื่นล้านบาท

    สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากการลดจำนวนสินค้าคงคลังในช่วงที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งสูงขึ้นและเพิ่มจำนวนสินค้าคงคลังในช่วงที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลงในไตรมาส 3/51 อย่างไรก็ตามหากเราตัดรายการการเปลี่ยนแปลงในสินค้าคงคลังออก GDP ในไตรมาสนี้จะโตเพียง 1.23% yoy เท่านั้น

    ภาคเกษตรกรรมช่วยหนุนเศรษฐกิจ

    อัตราการเจริญเติบโตของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 36% ของ GDP ณ ราคาปัจจุบัน เติบโตชะลอตัวลงเหลือเพียง 6.06% yoy หากปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อแล้ว สิ่งนี้สะท้อนถึงอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนตัวลงต่อเนื่อง รวมถึงภาคส่งออกที่ชะลอตัวลงมากเช่นกัน ขณะที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวมได้รับแรงหนุนหลักจากภาคเกษตรกรรม (10.58% ของ GDP) ซึ่งเติบโตกว่า 9.94% yoy เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มสูงขึ้นช่วยผลักดันให้มีการผลิตเพิ่มมากขึ้น

    สำหรับภาคเศรษฐกิจอื่นๆนั้นต่างชะลอตัวลงทั้งสิ้น โดยกิจกรรมก่อสร้างปรับตัวลง 4.46%, การศึกษาหดตัวลง 3.33%, สาธารณสุขและสวัสดิการสังคมปรับตัวลง 2.60% และภาคการบริหารราชการและการป้องกันประเทศติดลบ 2.94%

    การเติบโตทางเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงอย่างหนัก

    ก่อนหน้านี้ได้ปรับลดประมาณการอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2551 และ 2552 ลงเหลือ 4.50% และ 3.50% ตามลำดับ โดยตัวเลขเหล่านี้ยังคงมีความเหมาะสมสำหรับมุมมองของเราในตอนนี้ หาก GDP เติบโตในอัตรา 5.97% ในไตรมาส 1/51, 5.28% ในไตรมาส 2/51 และ 3.96% ในไตรมาส 3/51, อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4/51 เพียง 2.90% ก็จะทำให้อัตราการเจริญเติบโตทั้งปีในปี 2551 ออกมาที่ระดับคาดการณ์ที่ 4.50% แล้ว ซึ่งไม่เชื่อว่านี่เป็นมุมมองที่อนุรักษ์นิยมเกินไป เนื่องจากการส่งออกชะลอตัวลงอย่างชัดเจนในช่วงที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ

    อีกทั้งปัญหาการเมืองในประเทศก็เป็นอีกปัจจัยที่กำลังบั่นทอนการบริโภคในประเทศ รวมถึงส่งผลให้การใช้จ่ายในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งในช่วงนี้ต้องล่าช้าออกไปด้วย

    โดยประมาณการอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ระดับ 3.5% ในปีหน้านั้นตกอยู่ในช่วงกลางของกรอบประมาณการปีหน้าของสภาพัฒน์ฯที่ระดับ 3-4% สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสนใจคือ สภาพัฒน์ฯได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายเงินงบประมาณในโครงการต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนการใช้จ่ายในประเทศ รวมถึงเพื่อเตรียมรับมือกับการปลดพนักงานและอัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาย่ำแย่เช่นนี้น่าจะเพียงพอที่จะกระตุ้นให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งหน้าในวันที่ 3 ธันวาคม

    เมื่อเร็วๆนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า จากตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ที่ชะลอตัวลงกว่าที่คาด โดยมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 4.0 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับความเสี่ยงเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในไตรมาสถัด ๆ ไปนี้ จึงคาดว่า เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ปีนี้อาจมีอัตราการขยายตัวชะลอลงมากขึ้น โดยอาจต่ำกว่าร้อยละ 3.0

    นอกจากนี้ การที่สภาพัฒน์ฯ ได้ปรับลดประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2551 เป็นร้อยละ 4.5 จากประมาณการเมื่อครั้งก่อนหน้าอยู่ที่ร้อยละ 5.2-5.7 เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงกว่าที่คาดไว้รวมถึงความไม่สงบภายในประเทศในช่วงไตรมาส 3 ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและบริการมากกว่าที่คาดไว้ขณะที่คาดการณ์แนวโน้มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2552 อยู่ระหว่างร้อยละ 3.0-4.0

    ดังนั้นประเมินการเติบโตเศรษฐกิจไว้ที่ร้อยละ 2.8 ซึ่งจะส่งผลให้อัตราขยายตัวของปี 2551 ทั้งปี อาจมีค่าเฉลี่ยประมาณร้อยละ 4.5 ใกล้เคียงกับที่ สศช. คาดไว้ ส่วนการรับรู้ผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ น่าจะยิ่งเพิ่มขึ้นในช่วง 2 ไตรมาสต่อ ๆ ไป ทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 อาจจะยิ่งเผชิญการชะลอตัวที่รุนแรงเพิ่มขึ้นอีก

    โดยอัตราการขยายตัวในช่วงครึ่งแรกปีหน้าอาจจะลงไปต่ำกว่าร้อยละ 2.0 ซึ่งประเด็นที่ต้องจับตามองในไตรมาสถัด ๆ ไป คือผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลกที่ผ่านลงสู่การชะลอตัวของอุปสงค์ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกและจะกระทบการส่งออกของไทย ซึ่งผลกระทบจะยิ่งปรากฏชัดเจนมากขึ้น

    สุดท้ายจากความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ปรับลดประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2552 โดยมีค่ากลางในกรณีพื้นฐานที่ร้อยละ 3.5 จากประมาณการเดิมที่ร้อยละ 4.0-5.0 ในขณะที่ อัตราการขยายตัวในกรณีเลวร้ายจะอยู่ที่ร้อยละ 2.5

    “นับเป็นความท้าทายในเชิงนโยบาย ที่สำคัญคือ พื้นฐานเศรษฐกิจไทยในด้านเสถียรภาพด้านต่างประเทศ และระบบการเงินยังค่อนข้างแข็งแรง ขณะที่รัฐบาลและธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังมีช่องทางและเครื่องมือที่สามารถนำมาใช้จัดการกับปัญหาเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นได้ แตกต่างจากในช่วงปี 2540 ที่ทางการแทบไม่มีมาตรการออกมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลายฝ่ายจึงคาดหวังต่อบทบาทเชิงนโยบายของทางการในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน และใช้มาตรการกระตุ้นทางการคลัง เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจไทยให้ฝ่าพ้นวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่หนักหน่วงในครั้งนี้”
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ปลดล็อกLTF ถ้าลงทุนเกิน5ปี ขายคืนได้ทุกวัน
    http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9510000139667
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>26 พฤศจิกายน 2551 09:24 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> ก.ล.ต.ใจดีปลดล็อกกำหนดเวลาขายLTF เปิดทางนักลงทุนขายคืนได้ทุกวันทำการ หลังลงทุนครบ 5 ปี มั่นใจทุกบลจ.ปรับตัวตามกลไกตลาด ให้บริการครบทั้งอุตสาหกรรม ด้านผู้จัดการกองทุน งง! ก.ล.ต.แทงกั๊กวางเกณฑ์ 2 มาตรฐาน ปิดช่องลูกค้าที่ยังลงทุนไม่ครบ 5 ปีใช้หลักเกณฑ์เดิม ทั้งที่ต้องคืนสิทธิ์ภาษีเช่นเดียวกัน

    นายประเวช องอาจสิทธิกุล ผู้ช่วยเลขาธิการอาวุโส สายงานกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ทางสำนักงานก.ล.ต.ได้มีมติให้ยกเลิกเกณฑ์ที่กำหนดให้ขายคืนหน่วยลงทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) สำหรับผู้ลงทุนที่ลงทุนครบตามเงื่อนไขการลงทุนโดยถือหน่วยลงทุนมาแล้ว 5 ปีปฏิทิน สามารถวางแผนการขายคืนหน่วยลงทุนได้ตามความเหมาะสมตลอดทั้งปีเมื่อไรก็ได้เสมือนเป็นการลงทุนในกองทุนหุ้นปกติที่สามารถซื้อขายได้ทุกวัน จากเดิมที่มีการกำหนดช่วงเวลาการขายเอาไว้

    “การที่กองทุน LTF เปิดให้ขายคืนหน่วยลงทุนได้เพียงไม่เกินปีละ 2 ครั้งทำให้นักลงทุนที่ลงทุนครบตามเงื่อนไขแล้วอยากจะขายคืนในบางครั้งเสียโอกาสที่ดีในการที่จะขายหน่วยลงทุนไปในช่วงที่ตลาดหุ้นดี ทางสำนักงานก.ล.ต.จึงได้ปลดล็อคเรื่องนี้ให้สำหรับผู้ที่ลงทุนครบตามเงื่อนไขแล้วเท่านั้น"นายประเวชกล่าว

    อย่างไรก็ตามนักลงทุนที่ยังลงทุนไม่ครบตามเงื่อนไขการลงทุนยังคงขายคืนหน่วยลงทุนได้เพียงไม่เกินปีละ 2 ครั้งเหมือนเดิม ดังนั้นนักลงทุนในกองทุน LTF จะมีเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน

    ทั้งนี้ การจะเปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถทำการซื้อขายได้ในช่วงเวลาไหนบ้างนั้นเป็นเรื่องของแต่ละบริษัทจัดการกองทุน (บลจ.) จะต้องไปพิจารณากันเองตรงนี้สำนักงานก.ล.ต.เพียงแค่ปลดล็อคให้เท่านั้น แต่ไม่ได้บังคับว่าแต่ละบลจ.ต้องทำ

    ส่วนการที่แต่ละบลจ.จะอำนวยความสะดวกให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนของตัวเองหรือไม่ คงต้องให้กลไกตลาดเป็นตัวผลักดัน เพราะถ้าบลจ.อื่นสามารถให้บริการได้หลังผู้ถือหน่วยทลงทุนครบตามกำหนดแล้วทำการขายคืนได้ทุกวัน ขณะที่บลจ.อีกแห่งไม่มีเชื่อว่านักลงทุนก็จะย้ายไปลงทุนกับบลจ.ที่ให้บริการดีกว่า โดยนับเป็นกลไกตลาดที่จะเป็นตัวผลักดันข้อกำหนดดังกล่าวนั่นเอง ซึ่งสำนักงานก.ล.ต.คงจะมีประกาศอย่างเป็นทางการออีกครั้งในเร็วๆ นี้

    นายวศิน วัฒนวรกิจกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาด บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า บริษัทพร้อมที่จะเปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุน LTF ที่ลงทุนครบตามเงื่อนไขสามารถทำการไถ่ถอนหน่วยลงทุนได้ทุกวัน ซึ่งไม่คิดว่าน่าจะมีปัญหาอะไรเหมือนกับการบริหารกองทุนหุ้นปกติ

    อย่างไรก็ตามมองว่าการปลดล็อคเงื่อนไขดังกล่าวน่าจะปลดล็อคทั้งหมดให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุน LTF ทุกคนเสมอเหมือนกัน ไม่ควรที่จะมาแบ่งกลุ่มว่าผู้ที่ลงทุนครบตามเงื่อนไขแล้วจึงจะมีสิทธิ์ไถ่ถอนหน่วยลงทุนเมื่อไรก็ได้ในขณะที่ผู้ลงทุนที่ยังลงทุนไม่ครบเงื่อนไขต้องขายคืนได้เพียงไม่เกินปีละ 2 ครั้ง เพราะมองว่าท้ายที่สุดถ้าผู้ถือหน่วยขายคืนหน่วยลงทุนก่อนครบกำหนดเงื่อนไขการลงทุนก็ต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับไปคืนให้รัฐอยู่ดี คล้ายกับกรณีของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) จึงไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแบ่งแยกเป็น 2 กลุ่ม

    “จริงๆ ถ้าจะปลดล็อคให้ผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุน LTF สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันเหมือนกองทุนหุ้นทั่วไป ก็ควรจะให้สิทธิกับทุกคนมากกว่า อย่างไรก็ตามบลจ.บัวหลวงพร้อมที่จะเปิดให้บริการสำหรับผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุน LTF ได้ทุกวัน”

    นายนคร ตามไท ผูอำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย กล่าวถึงกรณีที่ทางการปลดล็อคการขายคืนหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ได้มากกว่าปีละ 2 ครั้ง มองว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะที่ผ่านมาการเปิดให้ขายได้พร้อมๆ กัน เป็นการดึงให้ตลาดปรับตัวลงพร้อมๆกัน เพราะเวลาที่ผู้ลงทุนขายคืนกองทุน LTF ทำให้ผู้จัดการกองทุนก็ต้องขายหุ้นที่ถือออก เพื่อนำเงินคืนให้ผู้ถือหน่วยลงทุน ดังนั้นการกระจายหรือเปิดให้ขายหน่วยลงทุนในช่วงเวลาใดก็ได้เป็นการกระจายกันออกไปเป็นเรื่องดีและผู้ลงทุนน่าจะชอบ เพราะมุมมองของลูกค้าต้องการช่วงที่ขายคืนได้มากกว่า 2 ครั้งที่บลจ.กำหนดไว้อยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันบลจ.กสิกรไทยมีกองทุน LTF จำนวน 6 กองและกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) จำนวน 6 กอง โดยนโยบายการลงทุนหลากหลายให้ผู้ลงทุนเลือกได้ตาม
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...