พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

แฮ่! แฮ่! คือว่าไม่ได้ถ่ายเองซักรูปค่ะ ถ้าถ่ายเองขนาดใช้กล้องautofocusยังถ่ายไม่ชัดเลยค่ะ นอกจากไม่ชัดแล้วยังไม่ครบด้วย ประเภทหัวแหว่งอะไรเงี้ยค่ะ ขอยกเครดิตทั้งหมดให้ตากล้องของเรานะคะ มืออาชึพจริงๆค่ะ อ่านอยู่หรือเปล่าคะ

 

เล่าเรื่องตลกหน่อยค่ะ พอวันที่2 เราก็เริ่มมองหาซื้อแป้งที่พม่าเค้าทากัน ได้มา3กระปุกเราก็เอามาลองทากัน ตอนแรกไม่ค่อยมีคนยอมทาหรอกนะคะ แล้วเราก็ซื้อโสร่งเอาไว้แต่งตัวให้พวกหนุ่มๆด้วย เพราะบอกให้เค้าซื้อแล้วเค้าไม่ยอมซื้อกัน แป้งนี้ทำจากต้นไม้ชื่อทานาคา ตอนแรกโดนไกด์พม่าหลอกว่าทำจากต้นอะรูมิร้าย งงอยู่พัก เพื่อนคิดออกก่อนว่าอะรายมิรู้ ไงคะ เราก็นัดกันว่าวันที่3 ใส่ผ้าถุงปะแป้งขึ้นเครื่องกัน ส่วนผู้ชายบังคับได้2คน คนนึงเป็นแฟนหนูเอง อีกคนก็เพื่อนวิศวะนี่แหละค่ะ ก็นุ่งโสร่งทับกางเกงแล้วปะแป้ง พอตอนลงเครื่องที่พุกามสวนกับทัวร์ไทย ได้ยินเสียงเค้าคุยกันว่า พวกนี้เค้ามาจากไหนกัน เราก็ขำทำเป็นไม่รู้เรื่อง เพราะแต่ละคนหน้าตาตลกสิ้นดี ปะแป้งลายพร้อย(เพื่อนบอกเหมือนอินเดียนแดงมากกว่าพม่า)นุ่งผ้าก็ไม่เรียบร้อย เดินไปเหยียบหลุดกันไป แล้วตอนเย็นต้องไปปีนเจดีย์ดูพระอาทิตย์อีกค่ะ ทั้งสูงทั้งชัน โดนด่าก็ตอนนี้แหละค่ะ ว่าหาเรื่องแท้ๆ

ถ่ายรูปเก็บไว้ดู ตลกมากๆค่ะ

 

7 วิธีใช้คอมพิวเตอร์ แบบทำร้ายตัวเอง

http://hilight.kapook.com/view/31248

​

สำหรับคนที่อยู่ดีไม่ว่าดี ชอบหาเรื่องแผลงๆ มาทดลองและไม่เห็นค่าของความ "อโรคยา"...SHE's smart ก็มีวิธีง่ายๆ มาสนองเจตนารมย์ค่ะ วิธีเหล่านี้ง่ายมากสามารถทำได้โดยใช้คอมพิวเตอร์ธรรมดานี่แหละเป็นอุปกรณ์ แล้วก็ไม่เสียเวลามากด้วย เพราะเราสามารถบั่นทอนสุขภาพของตัวเองไปพร้อมๆ กับที่นั่งทำงานได้เลย เห็นมั้ยคะว่าสะดวกแค่ไหน ค่อยๆ ทำตามกันไปทีละข้อนะคะ​

วิธีที่ 1 ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ จอ เพราะระยะห่างที่ปลอดภัยระหว่างดวงตาของเรากับจอคอมพิวเตอร์อยู่ที่ 20-24 นิ้ว ดังนั้นถ้าเรายื่นหน้าเข้าไปให้ใกล้กว่านั้น ดวงตาเราก็จะได้รับทั้งรังสีปริมาณมาก และได้เพ่งจอใกล้ๆ ด้วย ผลที่จะได้ระยะสั้นคือปวดหัว ปวดตา ส่วนระยะยาวคืออาจจะเป็นต้อหินและตาบอดได้ในที่สุดค่ะ

วิธีที่ 2 ตั้งจอให้แสงสะท้อนเข้าตา พยายามหันหน้าจอให้มีแสงจ้าๆ สะท้อนเข้าตาเรา เช่น วางจอไว้ใกล้หน้าต่างตอนกลางวัน หรือตั้งโคมไฟไว้ใกล้ๆ หน้าจอ เพราะแสงที่สะท้อนออกมาจากจอคอมพิวเตอร์สามารถทำให้ดวงตาของเราเมื่อยล้าได้ง่ายๆ สมใจค่ะ

วิธีที่ 3 จ้องจอนานๆ พยายามจ้องจอคอมพิวเตอร์ให้มากกว่าครั้งละ 30 นาที ถ้าเริ่มรู้สึกปวดตาเมื่อไหร่แสดงว่าใช้ได้แล้ว เพราะนั่นหมายถึงดวงตาเริ่มล้าแล้ว ทำบ่อยๆ คุณภาพตาจะแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าไม่กระพริบตาเลยจะยิ่งดี เพราะจะทำให้ตาแห้ง แล้วก็แสบตาในที่สุด ส่วนแผนกระจกกรองแสงถ้ามีก็ถอดออกเสีย เพราะจะเป็นการกรองรังสีจากจอ ดวงตาจะปลอดภัยเกินไปค่ะ

วิธีที่ 4 นั่งให้ผิดท่า ชุดเก้าอี้และโต๊ะที่ใช้ถ้าหาแบบที่ต่างระดับกันได้มากๆ จะทำให้ท่านั่งผิดสุขลักษณะ ซึ่งจะส่งผลเสียโดยตรงต่อกล้ามเนื้อกับกระดูกที่แขน ไหล่ หลัง และคอ และเราสามารถเพิ่มระดับความอักเสบของกล้ามเนื้อให้มากขึ้นด้วยการนั่งที่ผิดท่า นั่นก็คือเวลาใช้คอมพิวเตอร์อย่านั่งหลังตรง ให้นั่งค้อมไปข้างหน้าบ้าง แอ่นไปข้างหลังบ้าง

วิธีที่ 5 วางคีย์บอร์ดให้ผิดทาง เวลาพิมพ์งานลองหามุมวางคีย์บอร์ดแล้วทำให้ต้องวางมือยากๆ ควรวางข้อมือบนโต๊ะหน้าคีย์บอร์ดถ้าหากจำเป็น การพิมพ์ก็ให้กดแป้นพิมพ์ควรกดแป้นพิมพ์แรงๆ เพราะเมื่อทำต่อเนื่องไปนานๆ จะเมื่อยและเจ็บนิ้ว และยังของแถมคือคีย์บอร์ดจะเจ๊งเร็วขึ้น เก้าอี้ที่ใช้ให้เลือกใช้แบบที่ไม่มีที่ให้วางแขน เพื่อที่แขนจะได้เกร็ง เมื่อเกร็งมากๆ ก็จะเมื่อยแขน ปวดไหล่ ปวดนิ้ว ลามไปถึงคอและหลังได้ด้วย

วิธีที่ 6 กินขนมหน้าคอมฯ ให้หาขนมมากินขณะที่ใช้คอมพิวเตอร์ไปด้วย เพราะมีโอกาสที่เศษขนมหรือเกล็ดน้ำตาลจะหล่นลงไปในแป้นคีย์บอร์ด แล้วกลายเป็นอาหารของแบคทีเรีย ซึ่งถ้าเราใช้คีย์บอร์ดสลับกับกินขนมครั้งแบบนี้อีก เราอาจจะโชคดีได้ท้องเสีย เพราะนิ้วของเราย่ำยีอยู่กับแหล่งเพาะเชื้อตลอดเวลานั่นเอง

วิธีที่ 7 แช่แข็งตัวเองอยู่หน้าจอ พยายามหาเรื่องอะไรมาทำให้ตัวเองเพลินๆ จะได้นั่งอยู่หน้าเครื่องนานๆ จะได้ลืมให้หมดว่าการที่ไม่เปลี่ยนอิริยาบถนานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เครียดจนเมื่อยจนปวด จะได้ลืมว่าควรกินน้ำชั่วโมงละ 1 แก้ว จะได้ลืมว่าถ้าปวดฉี่แล้วไม่ยอมไปห้องน้ำจะทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

แค่คุณทำตาม 7 วิธีนี้ก็เชื่อว่าสุขภาพคุณคงจะย่ำแย่ลงได้บ้างล่ะค่ะ ถ้าอยากเจ็บป่วยแบบไหนก็เลือกกันตามอัธยาศัยเลยค่ะ เมื่อสุขภาพแย่ลงการทำงานก็จะแย่ลงไปด้วย และในที่สุดชีวิตคุณก็จะอับเฉาลงเรื่อยๆ ด้วย 7 วิธีนี้เราหวังว่าคุณจะสมหวังค่ะ


อ่านบทความ เทคโนโลยี, คอมพิวเตอร์, อินเทอร์เน็ต, เกร็ดความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี คลิกที่นี่เลยค่ะ

​

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

โดย : สมร นอนใกล้รุ่ง ​

 

คุณKaticat เล่าเรื่องtripนี้ได้น่าสนุกดีนะครับ และภาพที่นำมาpostนั้นสวยงามมากเลยครับ แม้ว่าจะไม่ได้ถ่ายภาพเองแต่ก็ถือว่าเลือกภาพมาpostประกอบได้สวยครับ (รู้สึกน่าไปเที่ยวนะครับ) ดูบรรยากาศเรียบง่าย เป็นธรรมชาติ และสงบดีนะครับ

 

ล้มละลาย
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01jud11241151&sectionid=0117&day=2008-11-24

คอลัมน์ สัพเพเหระคดี

โดย โอภาส เพ็งเจริญ o-pas@matichon.co.th




<TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>

</TD></TR></TBODY></TABLE>
ล้มละลาย คือ อะไร

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายไว้ว่า

ล้มละลาย ก. สิ้นเนื้อประดาตัว, หมดทรัพย์สมบัติของตัว, (กฎ) มีหนี้สิ้นล้นพ้นตัว และศาลได้มีคำพิพากษาให้ล้มละลาย

เพื่อความเข้าใจมากขึ้นอีกนิด อาจขยายความว่า ล้มละลายนั้น เป็นภาวะหรือสถานะอย่างหนึ่งของบุคคล (ทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล) ผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว และได้ถูกศาลมีคำพิพากษาให้ล้มละลาย

ทีนี้คงต้องเข้าใจด้วยว่า ที่เรียกว่า "หนี้สินล้นพ้นตัว" นั้นเป็นฉันใด

"หนี้สินล้นพ้นตัว" หมายความว่า มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน

พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 บัญญัติไว้ในมาตรา 7 ว่า "ลูกหนี้ที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวอาจถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลายได้..."

ถัดจากนั้นที่มาตรา 9 ก็ได้บัญญัติถึงเงื่อนไขที่เจ้าหนี้จะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายไว้ว่า

มาตรา 9 "เจ้าหนี้จะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ก็ต่อเมื่อ

(1) ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว

(2) ลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คนเดียวหรือหลายคนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท หรือลูกหนี้ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คนเดียวหรือหลายคน เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าสองล้านบาท และ

(3) หนี้นั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกำหนดชำระโดยพลัน หรือในอนาคตก็ตาม"

โดยก่อนจะพิพากษาให้ล้มละลาย ศาลต้องมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของลูกหนี้เสียก่อน

แต่สำหรับกรณีของลูกหนี้ที่เป็นนิติบุคคลนั้น แม้กิจการจะตกอยู่ในสภาพ "หนี้สินล้นพ้นตัว" แล้วก็ตาม การจะให้ล้มละลายไป อาจไม่เป็นผลดีต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวม ต่อสังคม เช่น จะมีคนตกงาน จึงมีทางเลือกให้อีกทางคือ "การฟื้นฟูกิจการ"

ถ้ากิจการฟื้นได้ บริษัทหรือกิจการนั้นก็ยังอยู่ ก็จะเป็นผลดีต่อทั้งเจ้าหน้าที่จะได้รับการชำระหนี้มากกว่าการที่จะได้รับชำระหนี้จากการที่ลูกหนี้ล้มละลาย และจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมด้วย

กฎหมายจึงบัญญัติให้มีการ "ฟื้นฟูกิจการ" บริษัทที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวขึ้นมา โดยมี

มาตรา 90/3 "เมื่อลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวและเป็นหนี้เจ้าหนี้คนเดียวหรือหลายคนรวมกันเป็นจำนวนแน่นอนไม่น้อยกว่าสิบล้านบาท ไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกำหนดชำระโดยพลันหรือในอนาคตก็ตาม ถ้ามีเหตุอันสมควรและมีช่องทางที่จะฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ บุคคลตามมาตรา 90/4 อาจยื่นคำร้องขอต่อศาลให้มีการฟื้นฟูกิจการได้"

บริษัทไหนมีหนี้สินล้นพ้นตัว และหนี้สินไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท เจ้าหนี้หรือตัวลูกหนี้เองก็สามารถยื่นขอทำแผนฟื้นฟูกิจการมา

ว่าอย่าเอากันถึงล้มละลายเลย นี่ๆ มีแผนอย่างนี้ๆ จะทำให้ได้สตางค์มาอย่างนี้เท่านี้ ภายใน 5 ปีจะฟื้นได้

ถ้าฟื้นได้ก็รอด ถ้าไม่ฟื้นก็ล้มละลายได้

ดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 90/70 วรรคลง ความว่า

"เมื่อระยะเวลาดำเนินการตามแผนสิ้นสุดลง แต่การฟื้นฟูกิจการยังไม่เป็นผลสำเร็จตามแผน ให้ผู้บริการแผน ผู้บริหารแผนชั่วคราว หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ แล้วแต่กรณี รายงานให้ศาลทราบภายในสิบสี่วันนับแต่ระยะเวลาดำเนินการตามแผนสิ้นสุดลง ในกรณีเช่นนี้ ให้ศาลนัดพิจารณาเป็นการด่วนและแจ้งวันเวลานัดให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ส่งแจ้งความให้ลูกหนี้ และเจ้าหนี้ทั้งหลายทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามวัน ในการพิจารณาให้ศาลพิจารณาพยานหลักฐานในสำนวนและฟังคำชี้แจงของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าหนี้ และคำคัดค้านของลูกหนี้ ถ้าศาลเห็นสมควรให้ลูกหนี้ล้มละลาย ให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด แต่ถ้าศาลไม่เห็นสมควรให้ลูกหนี้ล้มละลาย ก็ให้มีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ"

ถึงบรรทัดนี้ คงพอได้รู้จักเรื่องของ การล้มละลาย และการฟื้นฟูกิจการ ไปนิดนึงขนาดเท่าขี้เล็บแล้ว

ถ้าจะให้รู้จักมากขึ้น ต้องนี่เลย พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 ที่มีประมาณไม่ต่ำกว่า 270 มาตรา

 

'สถิติพุ่ง'ไม่กลัวไม่ได้ ! 'มะเร็งลำไส้ใหญ่' นับวันยิ่งร้าย 'ฆ่าเงียบ'
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=66191&NewsType=2&Template=1



สถานการณ์เกี่ยวกับ

 

นำมาฝากทุกๆท่าน ช่วงหัวค่ำ หุหุหุ
http://www.dailynews.co.th/web/html/...e=2&Template=1

















http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Columnid=66074&NewsType=2&Template=1
.

 

ไตรมาส 4 ธุรกิจหลักทรัพย์ร่อแร่ขาดทุนอีกเพียบ

http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=19142

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD>วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

</TD></TR></TBODY></TABLE>
ถึงตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าวิกฤตการเงิน-เศรษฐกิจ

 

พม่าวันที่4 ตื่นแต่เช้าขึ้นเครื่องบินไปมัณฑะเลย์กันค่ะ อีกหนึ่งพุทธานุภาพของพม่านะคะ คือพระมหามัยมุนี มีรูปถ่ายพระองค์เดิมไว้เปรียบเทียบกับปัจจุบันไว้ให้คนดู เพราะคนปิดทองกันจนจำองค์เดิมแทบไม่ได้ พวกผู้ชายที่เข้าไปปิดทองบอกว่าพระองค์นิ่มไปหมดเพราะทองคำ

เราไปเที่ยวสะพานไม้สักยาวที่สุดในโลกกันก่อน ไม่เห็นมีอะไรเลยค่ะ ได้ปล่อยนกเหยี่ยวและนกเค้าแมวที่เค้าจับมา แต่ที่เราสนใจมากคือหมู่บ้านใกล้ๆมีคนบอกว่าพระเจ้าอุทุมพรหรือขุนหลวงหาวัดสิ้นพระชนม์ที่นี่ เราก็เปลี่ยนโปรแกรมอีกแล้วค่ะให้ไกด์พาเราไปดูหน่อย ทางเดินเข้าไปต้องฝ่ากองขยะเข้าไปลึก เมื่อไปถึงมีเจดีย์เล็กๆอยู่ในพงหญ้ารกๆ ทิ้งร้างไว้ พอเดินไปถึงเท่านั้นแหละ ตัวเองกับแม่เพื่อนจอมซ่าน้ำตาไหลพราก พระอาจารย์นำอุทิศบุญแล้วบอกว่าเจดีย์นี้มีอัฐิของพระเจ้าอุทุมพรจริง เรายืนร้องไห้กันสองคนอยู่นานมาก ตอนเดินกลับขึ้นรถตาไกด์พม่าของเราเห็นอีกแล้วค่ะ บอกว่าตอนที่อุทิศบุญเห็นท่านมาแต่แว้บเดียว พระอาจารย์ก็บอกว่าท่านอยู่บนวิมานแต่รับรู้ว่าเรามากราบไหว้ เราสองคนที่โศกเศร้าเป็นเพราะได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น แต่ไม่รู้ว่าเราอยู่ในภูมิใดขณะนั้น (อาจจะเป็นเชลยที่ถูกกวาดต้อนมาก็ได้ค่ะ) พระอาจารย์บอกว่าให้ถอนคำอธิษฐานและอโหสิกรรม เพราะเมื่อเราอยู่ในเหตุการณ์เราย่อมเกลียดชังและสาปแช่งไว้ จะปิดกั้นทางนิพพาน

ตอนบ่ายไปไหว้พระมหามัยมุนี และฝนต้นทานาคาทำแป้งเตรียมเป็นน้ำล้างพระพักตร์ในวันรุ่งขึ้น ที่นี่ได้ปล่อยนกอีกหลายร้อยตัว เราเหมาได้2เจ้า ก็ปรากฏว่าทุกเจ้าในวัดวิ่งมาหาเรากันหมด พระอาจารย์บอกว่าช่วยได้เท่าที่ช่วย ช่วยทั้งหมดไม่ไหวหรอก

สะพานไม้สักยาวที่สุดในโลก

เจดีย์บรรจุพระอัฐิ ของพระเจ้าอุทุมพร

พี่ๆฝนแป้งทานาคากันขมักเขม้น

พระมหามัยมุนี ทองอร่ามค่ะ

บริเวณวัดสวยงามค่ะ

ต่อจากนั้นตามโปรแกรมเดิมไปเที่ยวพระราชวัง เราขอเปลี่ยนอีกแล้วค่ะ(ไกด์เริ่มมึน)เราขอไปวัดกุโศดอแทน คือที่ต้องไปเพราะมีน้องคนนึงเค้ามีนิมิตว่ามีพระรอเค้าอยู่ที่นี่ตั้งแต่ก่อนเราจะจัดtripซะอีกค่ะ

พอเข้าไปในวัด น้องเค้าก็เริ่มน้ำตาคลอ ส่วนตัวเองพอเห็นพระไตรปิฎกที่จารึกบนแผ่นหินก็ปิติขึ้นมาทันที เพราะเคยร่วมบุญสร้างพระไตรปิฎกแกรนิตกับวัดป่าหนองหลุบ(เป็นกระทู้แรกๆที่ร่วมบุญตั้งแต่เป็นสมาชิกเว็บนี้เลยค่ะ)หน้าตาเหมือนกันเลยค่ะ แล้วเราก็นั่งสมาธิกันยาวนาน ตอนนั่งอยู่รู้สึกเหมือนมีอะไรวางลงมาบนหัว ก็ได้ยินเสียงพระอาจารย์บอกให้ทุกคนก้มลงหมอบกราบกับพื้น
พอออกจากสมาธิท่านก็บอกว่า บรรดาพระอรหันต์ที่ร่วมสังคายนาพระไตรปิฎกมาและประทับฝ่าเท้าลงบนหัวของพวกเรา ตาไกด์พม่าค่ะเห็นอีกแล้ว ชักอิจฉาแล้วนะ ต่อจากนั้นท่านก็อธิษฐานให้รายคน น้องที่มีนิมิตก้เพราะพระอาจารย์ในอดึตของเค้ามาตามค่ะ

ในแต่ละเจดีย์จะมีพระไตรปิฏกจารึกบนแผ่นหิน1แผ่นค่ะ ขนาดเท่ากับคน รายล้อมเต็มไปหมด

 

ที่วัดนี้เราอยู่กันจนมืด แม่นักล่าเทวดาของเราก็ไล่ถ่ายภาพไปเรื่อย พี่อีกคนถ่ายภาพอยู่ก็ปรากฏเหมือนฝูงอะไรทั้งฝูงบินอยู่แต่แสงสว่างมาก เราก็รีบกดถ่ายกันใหญ่ เพื่อนอีกคนก็ชี้เหนือหัวเราแล้วบอกว่า อยู่บนหัว เราเงยหน้าขึ้นไปมองห่างจากเราแค่มือเอื้อมถึง ทุกครั้งที่มีแสงแฟลช เราเห็นกลุ่มแสงระยิบระยับเหมือนพลุเต็มไปหมด กลุ่มแสงนี้ปรากฏอยู่นานมากเกือบสิบนาที ทุกคนเห็นด้วยตาเปล่า ชาวพม่าที่อยู่ในวัดต่างวิ่งมาดู เมื่อเราขยายภาพดูปรากฏว่าเป็นครุฑค่ะ มีปีกหางแขนขาครบสมบูรณ์ และไม่ได้มาองค์เดียว มาเป็นฝูงค่ะ ไม่น่าเชื่อเลย เมื่อก่อนกว่าเราจะถ่ายได้ต้องรอตามมุมและจะมาทีละองค์เดียว เอาไว้ได้ภาพแล้วจะเอามาให้ดูนะคะ

ทีนี้พี่ที่ได้ถ่ายภาพครั้งแรกก็เริ่มสนุกแล้วซีคะ พอไปถึงโรงแรม เรากินอาหารกลางแจ้งและมีเวทีแสดงด้วย พี่ท่านนี้ก็ไปกับแม่นักล่าเทวดา ชี้ชวนกันกระหนุงกระหนิงถ่ายรูป ฟังดูไม่แปลกนะคะ แต่ที่แปลกจนทุกคนในโรงแรมหันมามองคือ เธอไม่ได้ถ่ายการแสดงค่ะ กลับไปยืนตามที่ที่ไม่มีวิวไม่มีอะไร ออกจะมืดตื๋อซะด้วยซ้ำ แถมเวลาถ่ายชูกล้องขึ้นเหนือหัวด้วย คนอื่นก็งงว่ามันถ่ายอะไรกันวะ เราก็ได้แต่ยิ้มแบบว่าเพื่อนหนูบ้าอ่ะค่ะ

 

ของพี่หนุ่มยังสบายๆครับ ก็แก้ไขตามที่แนะนำไปยังไม่ถึงระดับต้องกินยาลดไขมันครับ
ส่วนเรื่องการตรวจสุขภาพเป็นสิ่งที่แนะนำมากๆครับ เพราะถ้าเจอเร็วก็รักษาเร็ว โอกาสหายมากกว่าครับสำหรับบางโรค

 

พม่าวันที่5 ตะกายตื่นแต่เช้าค่ะ นัดกันตี3ครึ่งเพราะจะไปดูพิธีล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี พิธีนี้มีมานานมากแล้วไม่รู้เป็นร้อยปีไหม แต่พระสงฆ์ที่จะมาทำพิธีจะต้องผ่านการคัดเลือกและองค์ปัจจุบันรับหน้าที่มา10กว่าปีแล้วค่ะ (ท่านบรรลุธรรมชั้นสูงแล้วค่ะ)พิธีมีทุกวัน มีวงปี่พาทย์ มีกลุ่มสวดมนต์ จัดได้อลังการนะคะ ชาวพม่าเองก็มาเฝ้าดูกันเป็นร้อยๆคนทุกวัน


พวกเราได้น้ำล้างพระพักตร์กลับมาบูชากันด้วยค่ะ ต่อจากนั้นขึ้นเครื่องไปเที่ยวกันแล้วค่ะที่ทะเลสาบอินเล ที่นี่เป็นทะเลสาบน้ำจืดน่ารักมากค่ะ ไม่ต้องไปไกลถึงมัลดีฟแถมอาหารหารกินอุดมสมบูรณ์ ที่นี่เค้าใช้ขาพายเรือกันนะคะ





ที่พักเราค่ะ น่ารักมากๆ


ทิวทัศน์ในทะเลสาบ

 

อินเลอยู่ในรัฐฉานซึ่งใหญ่ที่สุดในพม่า ผู้คนเป็นชาวไทยใหญ่ค่ะ คำว่าพม่าหมายถึงชนเผ่าหนึ่งในพม่าเท่านั้น อังกฤษเข้าใจผิดเอามาตั้งเป็นชื่อประเทศ ดังนั้นถ้าเราถามพวกคนงานในบ้านเราว่าเป็นพม่ารึเปล่าเค้าจะส่ายหน้า แต่ถ้าถามว่าเป็นเหมียนหม่า(myanmar)รึเปล่าเค้าจะพยักหน้าค่ะ ที่นี่น้ำจะตื้นมองเห็นสาหร่ายเลยค่ะ เค้าเพาะปลูกกันบนน้ำเลย โดยใช้แผ่นจักสานลอยน้ำแล้วเก็บผักตบชวากับสาหร่ายมากองโปะไว้แล้วปลูกพืชไว้กิน ส่วนมากเป็นมะเขือเทศ มะเขือเทศที่นี่กินเขียวๆ รสอร่อยไม่เปรี้ยวเลยค่ะ

การเดินทางใช้เรือหางยาว มีที่นั่งเรียงกัน4-5ที่ มีนกนางนวลคอยบินตามขออาหารตลอด เราเหมาขนมปังเอาไว้โยนให้ คนเรือบอกให้โยนออกข้างๆ ไอ้เพื่อนเราดันโยนขึ้นไปตรงๆ ทีนี้ลมมันแรงไงคะ มันก็เลยไปเข้าปากเข้าหน้าคนนั่งข้างหลังกับคนเรือแทน

ขนาดอยู่ในทะเลสาบ เราก็ได้ไปกราบหนึ่งเดียวของไทยใหญ่ คือพระบัวเข็มค่ะ พระบัวเข็มของเมืองไทยหมายถึงพระอุปคุตแต่ที่นี่หมายถึงพระพุทธเจ้าค่ะ มีคนpostเรื่องนี้แล้วค่ะ พระบัวเข็มของไทยใหญ่มี5พระองค์หมายถึงพระพุทธเจ้าของกัปป์นี้


วัดกลางน้ำค่ะ

ภาพพระบัวเข็มสมัยก่อน

ภาพปัจจุบันค่ะ น่ารักจริงๆ ฝรั่งเรียกท่านว่า golden ball ค่ะ ดูไม่ออกเลยว่าเป็นพระพุทธรูป ทองหนามากๆค่ะ

 

อ่านที่พี่ katicat โพสแล้วอยากไปพม่า ขึ้นมาทีเดียวครับ แต่ไม่มีคนนำไปก็คงไม่ได้บรรยากาศอย่างนี้
ไว้ถ้ามีโอกาสวาสนาได้ไปเมื่อไร จะกลับมาอ่านกระทู้นี้อีกทีเพื่อจะได้ไปตามรอยบุญด้วยคนครับ

สำหรับวันนี้มีโพสที่ได้ไปชมบริเวณพระราชพิธีมาให้ดูกันครับ พาคุณพ่อคุณแม่ไปชมมา คนเยอะมากครับ
โชคดีที่ได้เข้าเป็นกลุ่มสุดท้ายพอดีครับ

 

เห็นด้วยครับ บางท่านก็ยึดติดอะไรบางอย่างหรือเชื่อ ง่ายเกินไปครับ...

 

อุ๊ยลืมพี่ แมวเหมียวไปเลยครับ ผมได้รับการสอนมาว่าให้พูดอารายที่ฟังดู ยากๆ คนอื่นไม่เข้าใจ เข้าใจเองคนเดียว เค้าจะได้นึกว่าเก่งไงครับ 55555ที่แท้ก็งั้นๆ ครับ หุ หุ

 

ปี2553 จะไปพม่าอีกครั้งค่ะ ปีหน้าขอไปอินเดียก่อน น้องหมอถ่ายรูปเก่งเนอะ ยังไม่ได้ดูของจริงเลยค่ะ

 

ทำไมใต้รูปถึงมีทองด้วยอ่ะ หรือปิดทองมากไปเลยตามมาด้วยคะ

 

เค้าถึงบอกว่าgenius กับ idiot นั้นห่างกันเส้นยาแดงผ่าแปดไงคะ เอ! แล้วอยู่ฝั่งไหนล่ะคะเนี่ย?

 

โมทนาบุญด้วยล่วงหน้าครับ ยินดีกับพี่ katicat จริงๆครับ ผมกับแฟนฟังพี่เล่าเพลินเลยครับ
ผมยังชวนแฟนยิกๆอยู่ แต่แฟนยังไม่ตอบรับครับ ว่าจะยอมไปพม่า

จริงๆผมแอบคิดในใจว่าอยากไปฮันนีมูนที่อินเดีย หรือพม่า แต่ไม่กล้าบอกแฟน กลัวถูกบ่นอ่ะครับ - -"

ส่วนเรื่องถ่ายรูปขอบคุณที่ชมครับ ถ่ายพอได้ครับ แต่เดิมสนใจจะศึกษาทางด้านนี้เหมือนกัน กำลังวางแผนจะซื้อ DSLR อยู่ทีเดียว
ระหว่างที่กำลังรอ ผบทบ. อนุมัติงบประมาณ บังเอิญชีวิตผกผันเข้าหาพระธรรม
ปัจจุบัน ตัดใจจากกล้อง DSLR เพราะกว่าจะซื้ออุปกรณ์ครบคงเหยียบแสน เอาเงินมาทำบุญ กับ บูชาพระ ดีกว่าครับ
เรื่องกล้องตอนนี้ก็ว่าจะซื้อที่พอใช้ได้ เอาไว้ไปถ่ายรูปตอนฮันนีมูนสักตัวก็พอครับ เพราะถ้าไปเที่ยวแล้วไม่มีกล้องก็คงกะไรอยู่ครับ
ตัวที่ถ่ายนี่ยืมกล้องน้องสาวครับ เป็นกล้องเล็กๆ แต่มีเลนส์มุมกว้างทำให้ได้ภาพในมุมที่อยากได้ เสียดาย noise เยอะเชียว เลยตัดใจครับ ไม่ชอบ noise