กระทู้เผยแพร่การบำเพ็ญพุทธภูมิและปัจเจกภูมิ จากพระสังฆโตปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย เฮ้งตงเอี๊ยง, 14 พฤศจิกายน 2008.

  1. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    พระสังฆโตปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า มีศิษย์ที่เป็นมนุษย์จริงๆ ๔ ท่าน
    ศิษย์เอกมีทั้งสิ้น ๘ ตน เป็นมนุษย์ ๔ คน เป็นเทวดา ๔ ตน ส่วนศิษย์
    เหล่าอื่นๆ เป็นเทวดาเสียส่วนใหญ่ ไม่ใช่ศิษย์เอก


    ท่านตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อ พ.ศ. 2551 ระบุวัน เดือน ไม่ได้
    แน่นอน จากนั้น เผยแพร่ธรรมในวงแคบเพราะน้อยคนที่จะมีบุญบารมีได้
    ถึงท่าน ท่านปรารถนาพุทธภูมิ แต่แม้ว่าท่านจะบำเพ็ญบารมีเต็มพร้อม
    ตรัสรู้และสร้างศาสนา ก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากลงมาจุติผิดยุคสมัย
    ท้ายที่สุด ท่านจึงได้ปลีกวิเวก แล้วละสังขารดับขันธ์ปรินิพพานไปเมื่อ
    วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ปี 2551 (ที่ประเทศไทย)


    ข้าพเจ้าเป็น ๑ ใน ๔ ศิษย์ที่เป็นมนุษย์ของท่าน ขออนุญาตินำพระธรรม
    คำสั่งสอนมาเผยแพร่ต่อสืบไป ดังจะได้แสดงต่อไปนี้


    * หากผิดพลาดประการใด แตกต่างจากครูบาอาจารย์สอนไว้อย่างไร
    ข้าพเจ้าขอรับความผิดพลาดนั้นทุกประการแต่ผู้เดียว (โปรดใช้วิจารณญาณด้วย)
     
  2. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    1. การจะได้ตรัสรู้แท้จริง ต้องบำเพ็ญในปัจเจกภูมิและสาวกภูมิถึงที่สุดก่อนคือนิพพาน


    ท่านอาจารย์เคร่งครัดในการให้ปฏิบัติจิตถึงนิพพาน คือ ละกิเลสให้หมด
    ให้จิตบริสุทธิ์ อย่างแท้จริงก่อน ไม่ว่าจะอยู่ในภูมิของสาวก คือ การบำเพ็ญ
    โดยอาศัยคำสอนของผู้อื่น อาศัยพระธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นต้น หรือ
    ไม่ว่าจะอยู่ในภูมิของปัจเจก คือ การแสวงหาธรรมคำสอนด้วยตนเอง
    จนได้มรรควิธีเฉพาะของตนเอง

    ท่านว่าให้บำเพ็ญถึงอรหันตผลทั้งสองภูมิ แล้วหากเราไม่ใช่สองภูมินั้นจริงๆ
    แล้ว เราจะเหลือดวงจิตที่เป็นพุทธภูมิแท้ๆ ปรากฏในที่สุด ถึงจุดนี้ เท่ากับ
    เราละปัจเจกภูมิและสาวกภูมิเข้าสู่พุทธภูมิอย่างแท้จริง

    ทั้งนี้ การบำเพ็ญให้ได้ในชาติเดียวนั้น เมื่อจิตถึงอรหันตสาวก จะมีการ
    แบ่งภาคจิตแล้วนิพพานไป ก่อนนิพพาน จะมีจิตส่วนเหลือแบ่งภาคออก
    มาให้บำเพ็ญต่อ แล้วบำเพ็ญในปัจเจกพุทธเจ้าต่ออีก จนสำเร็จปัจเจก
    อรหันต์ เช่น สำเร็จอรหันต์ในกายเซียน หรือในกายอื่นๆ ที่มีจิตเป็นปัจเจก
    นี่เท่ากับบำเพ็ญสองภูมินี้สำเร็จอย่างแท้จริง

    ก็จะเหลือดวงจิตสุดท้ายที่จะต้องบำเพ็ญต่อ เป็นพุทธภูมิที่แท้จริง

    ท่านกล่าวว่าหากไม่ทำแบบนี้ เท่ากับหลงตัวเองว่าเป็นพุทธภูมิ แต่เป็น
    พุทธภูมิเทียมๆ คือ พอละจากชาติภพนี้ไปแล้ว หากเกิดในที่ไม่มีพุทธ
    ศาสนาก็อาจตรัสรู้เป็นพระปัจเจกไปก่อน หรือ หากเกิดใหม่เจอพระพุทธเจ้า
    ที่มีบารมีมากๆ เข้า ก็กลายเป็นอรหันตสาวกไปเลย ดังนั้น ท่านจึงให้ซ้อม
    บำเพ็ญให้ได้อรหันต์ ทั้งสองภูมิ (ปัจเจกภูมิและสาวกภูมิ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2008
  3. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    2. การบำเพ็ญให้ได้ตรัสรู้ จะต้องผ่านทั้งโพธิสัตว์และมหาโพธิสัตว์


    ท่านเล่าให้ฟังว่า พระพุทธเจ้าสมณโคดม ก่อนท่านจะตรัสรู้ ท่านได้
    บำเพ็ญบารมีถึงระดับ "มหาโพธิสัตว์" มีกายโพธิสัตว์แบบอวโลกิเตศวร
    (กายโพธิสัตว์มีหลายแบบ อวโลกิเตศวรเป็นแบบหนึ่งของกายโพธิสัตว์)
    บรมโพธิสัตว์มีพระนามบนสวรรค์ว่า "มหาโพธิสัตว์อาภา"


    ท่านกล่าวว่า หากยังไม่ถึงสุขาวดี ก็แสดงว่าบารมียังไม่ถึง 30 ทัศ ไป
    ให้ถึงสุขาวดี ก็ต้องให้ได้ถึงมหาโพธิสัตว์ด้วย การได้แค่โพธิสัตว์ทำให้
    นิพพานไปได้ง่ายๆ ก่อน จะทนรอคิวตรัสรู้ไม่ไหว บารมีไม่พอ พบพระ
    พุทธเจ้าก็จะยอมเป็นสาวกไปเลย

    ข้อแตกต่างของโพธิสัตว์และมหาโพธิสัตว์ก็คือ การตั้งปณิธาน กล่าวคือ
    โพธิสัตว์นั้น แค่เกิดโพธิจิต เช่น สงสารคนอยากช่วยให้พ้นทุกข์ก็ได้กาย
    โพธิสัตว์แล้ว และจุติในชั้นดุสิตได้แล้ว แต่การจะได้มหาโพธิสัตว์ต้องมี
    ปณิธานที่ยาวไกลไม่สิ้นสุด ไม่สนใจเรื่องรอคิวว่าเวลาจะยาวนานแค่ไหน
    ด้วย เช่น มหาปณิธานของพระกษิติครรภ์ที่ว่า "หากนรกไม่ว่าง ไม่ขอ
    บรรลุพุทธภูมิ" เป็นต้น
     
  4. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    3. การบำเพ็ญต้องได้ที่สุดทั้งอภิญญาและปัญญา


    ในการบำเพ็ญอภิญญา ท่านอาจารย์ได้กรุณาถ่ายทอดการบำเพ็ญ
    ให้ได้รุ้งเจ็ดสี ซึ่งเป็นฉัพพรรณรังสีเฉพาะของพระพุทธเจ้า แต่พระ
    โพธิสัตว์สามารถบำเพ็ญให้เกิดขึ้นได้ก่อน โดยพระโพธิสัตว์ที่มีกาย
    ต่างกันก็จะต้องทำกิจต่างกันด้วย เช่น กายกษิติครรภ์ ต้องไปโปรด
    สัตว์นรก, กายอวโลกิเตศวรต้องสอนกุมารชายหญิง, กายมัญชูศรี
    ต้องเรียบเรียงคัมภีร์ธรรมหรือปราบสัตว์ด้วยปัญญา ฯลฯ


    การบำเพ็ญทั้งปัญญาและอภิญญานี้ ท่านว่า อภิญญาไม่ได้สอนแบบ
    สาวกภูมิ คือ อภิญญา 6 นั้น เป็นของสำหรับพระพุทธเจ้าถ่ายทอดให้
    สาวก แต่หากปรารถนาพุทธภูมิ ต้องบำเพ็ญอภิญญามากกว่านั้น คือ
    ต้องมีฉัพรรรณรังสีขึ้น 7 สี, มีกายขึ้นกายยูไล, มีสัตว์คู่บารมี, มีอาสน์
    ดอกบัวสามชั้น, มีพันกรพร้อมอาวุธครบมือ ฯลฯ


    ซึ่งท่านอาจารย์ได้โปรดกรุณาถ่ายทอดการบำเพ็ญไว้ทั้งหมด
     
  5. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    4. การบำเพ็ญบารมีถึงโพธิจิต จะได้กายโพธิสัตว์รูปแบบต่างกัน ดังนี้


    กายอวโลกิเตศวร ถึงโพธิจิตด้วยเมตตาบารมี เช่น เห็นคนตายแล้ว
    สงสารอยากช่วยชีวิตจนยอมรับกรรมแทนเอง กายทิพย์ข้างในของเรา
    จะเปลี่ยนเป็นกายอวโลกิเตศวรได้

    ท่านว่าคนในเว็บพลังจิตได้กายนี้มากที่สุด เช่น คุณชา

    กายมัญชูศรี ถึงโพธิจิตด้วยปัญญาบารมี เช่น เห็นโทษของกามจน
    เข้าสู่ความสันโดษวิเวก แต่ยังปรารถนาสัพพัญญูญาณ อยากรู้ไปหมด
    สงสัยไปหมด กายทิพย์ก็จะเปลี่ยนเป็นกายมัญชูศรี

    ท่านว่าคนในเว็บพลังจิตได้บ้างแล้ว เช่น คุณเอกวีร์

    กายกษิติครรภ์ ถึงโพธิจิตด้วยความเสียสละอย่างที่สุดเพื่อสรรพสัตว์
    ถึงขนาดยอมทุกอย่าง แม้ตนเองต้องทุกข์ทนแทนสรรพสัตว์ กายทิพย์
    ข้างในจะเปลี่ยนเป็นกายกษิติครรภ์ (เหมือนพระถังซัมจั๋ง)

    ท่านว่าคนในเว็บพลังจิตได้แล้วมากกว่า 1 คน เช่น คุณเป่าอันถัง

    กายเมตตรัย ถึงโพธิจิตด้วยความเป็นผู้นำ ในภาวะความแตกแยก มีความ
    ปรารถนาที่จะรวบรวมสิ่งที่แตกแยกให้เป็นหนึ่งด้วยสันติภาพ ด้วยความสงบ
    สุข กายทิพย์ข้างในจะเปลี่ยนเป็นกายพระศรีอาริยเมตตรัย

    ท่านว่าคนในเว็บพลังจิตได้กันน้อย ท่านไม่เปิดเผยคนในเว็บ แต่บอกว่า
    หลวงปู่จันทา ถาวโร ได้กายเมตตรัยแล้ว แต่จิตท่านไม่ใช่จิตพระศรีอาร์ฯ องค์ปฐม

    กายสมันตภัทร ถึงโพธิจิตด้วยความรู้สึกสำนึกผิดอย่างรุนแรง จนต้องการ
    แก้ไขทุกอย่าง ทุ่มเททุกอย่างด้วยวิริยะและอภิญญา เพื่อเข็ญงานที่ผิดพลาดไป

    ท่านว่าคนที่ได้ในเว็บพลังจิตหายาก แต่มีนักทำหนังบางท่านได้แล้ว พระอานนท์ก็ได้
    กายนี้ แล้วบรรลุอรหันตโพธิสัตว์ในกายสมันตภัทรนี้ เช่นเดียวกับองค์ ร.5
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2008
  6. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    5. กายโพธิสัตว์ต่างกันไป อย่ายึดกาย ใครบำเพ็ญบารมีแบบไหนได้ดังนั้น
    เหมือนกันทุกคน


    ท่านสอนว่า แม้แต่อวโลกิเตศวร ก็เป็นแค่กายทิพย์ของโพธิสัตว์รูปแบบหนึ่ง
    เท่านั้น แม้จิตพระศรีอาร์ฯ จะบำเพ็ญจนได้กายอวโลกิเตศวรก็ได้ ขอแค่ทำบุญ
    บารมีในแบบนั้นก็ได้ตามนั้นๆ ท่านยกตัวอย่างอีกว่า ครั้งหนึ่งพระศรีอาร์ฯ ได้
    แบ่งภาคไปบำเพ็ญบารมี ที่เกาหลีเป็นกษัตริย์ชื่อ จูมง ในชาตินั้นได้กายทิพย์
    แบบเมตตรัย จากนั้นยังทรงจุติลงมาโปรดที่ประเทศไทย เป็น ร.1 บำเพ็ญจน
    ได้กายมัญชูศรี แล้วลงมาบำเพ็ญใหม่อีก เป็น ร.5 ได้กายสมันตรภัทร


    นี่คือ ตัวอย่างว่าอย่ายึดกาย ให้ดูจิตเป็นสำคัญ และที่สำคัญอีกกว่านั้นคือ
    แม้แต่พระศรีอาร์ฯ องค์ที่จะตรัสรู้นั้น ท่านยังแบ่งภาคอีกมาก ไม่แน่เลยว่า
    ภาคแบ่งไหนจะได้ตรัสรู้กันแน่


    ท่านว่าอย่ายึดกาย บำเพ็ญทุกกายโพธิสัตว์ แล้วเลือกไปอย่างที่เป็นเราอันแท้จริง
     
  7. โพธิ์แก้ว

    โพธิ์แก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    ปกติพระปัจเจกพุทธเจ้าจะไม่บังเกิดในสมัยศาสนาของพระพุทธเจ้าไม่ใช่หรอคับ..
     
  8. ปัจเจกพุทธะ

    ปัจเจกพุทธะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +121
    ช่ายๆ พระปัจเจกพุทธเจ้าจะเกิดในสมัยพุทธันดร รอยต่อระหว่างพระพุทธเจ้า2พระองค์แล้วไหงมาเกิดในพุทธศาสนาของพระศรีศากยะพุทธเจ้าของเราได้อย่างไร ง ง ง ง
     
  9. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ล่าสุด ตามที่มีกล่าวถึง ท่านปรากฏในเมื่อใดกันแน่?
    คำตอบก็คือ เมื่อ2500กว่าปีก่อน ร่วมๆสมัยกับการลงมาเกิดของเจ้าชายสิทธัตถะนั้นเอง

    ได้ยินว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ล่าสุดนี้ มีนามว่า "มาตังคะ" ท่านอาศัยกรุงราชคฤห์เป็นที่โคจรบิณฑบาต

    ในเมื่อพระโคดมโพธิสัตว์รับอาราธนาจากเทวดาในหมื่นโลกธาตุแล้ว จุติจากดุสิตเทวโลก ลงมาถือปฏิสนธิในครรภ์พระนางสิริมหามายาเทวี แห่งกรุงกบิลพัสดุ์นั้น พระมาตังคะปัจเจกพุทธเจ้า ไม่ทราบเรื่องราวนั้น.

    จนหมู่เทวดาที่อยู่ในที่อยู่ของท่านพระมาตังคะปัจเจกพุทธเจ้าได้มาแจ้งเรื่องให้ทราบว่า หลวงพ่อไม่ทราบหรือครับ ว่า พระมหาโพธิสัตว์จุติลงมาเพื่อจะมาตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วในวันนี้.

    พระมาตังคะได้ยิน ก็รู้ว่า ที่สุดแห่งอายุของท่านมาถึงแล้วในวันนั้น จึงได้รีบไปเก็บโครงกระดูกของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ไปทิ้งยังเหวทิ้งกระดูก แล้วท่านก็ปรินิพพาน
    อย่างที่ได้กล่าวไปพระปัจเจกพุทธเจ้าขนาดได้ยินแค่การประสูติของพระโพธิสัตว์เจ้ายังต้องปลงอายุสังขาร ทำปรินิพพาน เพราะเคารพในพระพุทธเจ้า เป็นพุทธประเพณีที่เป็นอจินไตย วิสัยของพระพุทธเจ้า.

    ขออนุโอกาสแสดงความคิดเห็นสักเล็กน้อยนะครับ ก็จิตนาการเหมือนกัน แต่พิจารณาด้วยเหตุและผลแล้วจึงกล่าวว่า
    ดูก่อน ท่านผู้อ้างตนว่าเป็นศิษย์ของพระปัจเจกพุทธเจ้า
    จำเดิมแต่ไรมาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่เกิดร่วมพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    หมายความเอาว่า หากผู้มีปัญญาพอที่จะตรัสรู้แต่มิได้ตั้งความปราถนาไว้ว่าจะตรัสรู้เช่นไรนั้นถือกำเนิดขึ้นหรือผู้ที่ที่ตั้งปราถนาไว้แต่เบื่อหน่ายการเวียนว่ายตายเกิดลาภูมินั้นๆก็จะตรัสรู้ตามในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้ทรงคุณที่ประกาศพุทธศาสนาพระองค์นั้น
    แต่หากไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิด ไม่มีศาสนาพุทธ ย่อมตรัสรู้เองด้วยเพราะปัญญาและบารมีที่สั่งสมมานั้น มากพอที่จะตรัสรู้เองครับ

    ถามว่า เกิดพระปัจเจกพุทธเจ้า ในสถานที่ห่างไกลไม่รุ้พระสัจจธรรมของพระพุทธเจ้าได้หรือไม่
    ตอบว่าพระธรรมของพระศาสดาสว่างรุ่งเรืองเปรียบดวงประทีป ไม่มีผู้ใดในเทวโลก พรหมโลก และโลกทิพย์ทั้งหลายมิรู้จัก เพระการจุติของพระโพธิสัตว์และตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าย่อม สั่นสะเทือนทั่วโลกธาตุ พระโพธิสัตว์พระองค์อื่นๆที่บารมีเต็มเปี่ยมหรือใกล้เต็มพอที่จะตรัสรู้เองได้นั้นย่อมรู้กาล ว่าหากตนลงไปจุติย่อมมิใช่โอกาส มิใช่ฐานะที่จะบรรลุธรรมได้ด้วยตนเองเป็นแน่ หากแต่จะลงไปจุติเพื่อสร้างสมบารมี เพื่อพัฒนาตน เพื่อช่วยสืบต่อพระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆต่อไป แต่หากเบื่อหน่ายโลกจริงๆก็จะลงมาจุติแล้วลาหรือลาพุทธหรือปัจเจกภูมิแล้วลงมาจุติ แล้วจึงตรัสรู้ตามในศาสนาของพระพุทธเจ้าที่มาบังเกิดขึ้นแล้ว(อันนี้ตามแต่ วิสัยว่าจะรักและยึดมั่นในภูมิที่ปราถนาไว้แค่ไหน)

    (ส่วนพระปัจเจกพุทธผู้ลงมาจุติก่อนพระพุทธเจ้า เมื่อได้ยินการมาจุติของพระโพธิสัตว์ผู้จะตรัสรู้และสั่งสอนผู้อื่น เพื่อเป็นการเคารพคุณของพระพุทธเจ้าและเคารพในพระธรรม มิใช่ด้วยว่าเกรงกลัวแต่อย่างใด แต่เพราะเหตุที่พระปัจเจกพุทธนั้นได้พิจารณาแล้วว่าก่อนหน้านี้ไม่มีใครรู้พระสัจธรรมนอกจากพระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งรู้เฉพาะตนบัดนี้ผู้ทรงคุณมีเมตตากรุณาต่อหมู่สัตว์สะสมบารมีมาเพื่อสอนได้จุติลงมาแล้ว ขึ้นชื่อว่าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐผู้หาผู้เสมอเหมือนมิได้ ย่อมไม่มีสองผู้ดำรงอยู่ก่อนย่อมปรินิพพานด้วยเหตุนั้น เราผู้สำเร็จกิจของตนแล้วดำรงขันธ์อยู่เพื่อสงเคราะห์สัตว์โลกตามสมควร บัดนนี้มีผู้ที่สามารถปลดเปลื้องนำพาสัตว์เหล่านั้นมาถึงแล้ว ย่อมถึงวาระที่ต้องเข้าสู่พระนิพพานด้วยเหตุนั้น )

    ดังนั้น เมื่อพุทธศาสนาบังเกิดขึ้นแล้ว จึงมิใช่โอกาสที่จะบังเกิดของพระปัจเจกพุทธเจ้า
    หากจะบังเกิดก็จะเป็นแค่ปัจเจกโพธิสัตว์ ผู้ปราถนาปัจเจกโพธิญาณ(ผู้บำเพ็ญเพียรแต่ได้ตั้งความหวังว่าจะบรรลุเอง) แต่การบำเพ็ญเพียรนั้นเป็นไปเพื่อการบริหารจิตการบ่มเพาะปัญญา และบารมีอื่นๆ มีชีวิตอยู่ด้วยการฝึกตน ศึกษาและปฏิบัติองค์คุณตรัสรู้ เมื่อฝึกสมาธิจะเข้าใกล้จุดตรัสรู้แต่จะไม่ตรัสรู้ครับหากบารมียังไม่พอ (อันนี้ไม่ใช่ว่าตนเองฝึกๆๆ ไปไม่บรรลุซักทีจึงว่าตนเป็นโพธิสัตว์จะตรัสรู้เองนะครับ 555 เราต้องฝึกตนให้ยิ่งยวดก่อน ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญต้องฝึกตนแม้ยังห่างไกล จึงต้องศึกษาต่อไป ต้องฝึกตนต่อไป)

    ด้วยความที่ว่าเคารพและนอบน้อมในพระศาสดา และด้วยความเชื่อถือ ศรัทธาในพระปัจเจกพุทธเจ้าที่แม้มิเคยเห็น จึงได้กล่าว
    อนุโมทนาในความดีที่จะเกิดขึ้นนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2008
  10. coolz

    coolz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,594
    ค่าพลัง:
    +1,337
    เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า
     
  11. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    สำหรับเรื่องของท่านมาตังคะปัจเจกพุทธเจ้า


    ได้มีผู้ถอดกายทิพย์ไปถามท่าน ท่านอธิบายอย่างนี้ว่า ท่านเองที่ไปรับพระพุทธเจ้า
    ขณะที่ท่านกำลังจะจุติ (แต่ไม่ได้ไปเป็นผู้อัญเชิญตรงๆ) แต่เมื่อตอนมีสังขารบนโลก
    เทวดาท่านไม่ทราบว่าท่านมาตังคะก็รู้ข่าวนี้แล้ว (ด้วยญาณหยั่งรู้ของพระปัจเจก)
    ท่านก็ร้อนรนมาบอกท่านมาตังคะ ท่านมาตังคะเลยแสร้งทำตามบทไปงั้นๆ ทำเหมือน
    ไม่รู้ไปเลสียอย่างนั้น (ตามวิสัยปัจเจก)


    ส่วนกระดูกเหล่านั้น ท่านกล่าวว่าท่านไม่ได้หอบไปทิ้ง แต่สลายไปเองด้วยปาฏิหาริย์
     
  12. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    ยุคที่มนุษย์อายุ 100 ปีลงไปคือ ยุคของปัจเจก


    จริงๆ แล้วพระปัจเจกมาตรัสรู้หลายองค์ หนึ่งในนั้น ก็มีท่านมาตังคะ
    หลังจากนั้นก็มี "ท่านเล่าจื้อ" ซึ่งกว่าจะท่านคลอดมาได้ ถูกรั้งให้อยู่
    ในท้องแม่ถึง 80 ปี (ถ้าจำตัวเลขผิดขออภัย) เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา
    การซ้อนทับกับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า (ท่านเกิดก็พอดีพระพุทธเจ้า
    ปรินิพพานไปแล้ว) และองค์ล่าสุดคือ พระสังฆโตปัจเจกพุทธเจ้า


    จริงๆ เรื่องเหล่านี้รวมเรียกว่า "โกลาหล 3" คือ 3 ภพจะโกลาหล เทวดา
    ทำงานกันสับสนวุ่นวายเมื่อ พระพุทธเจ้าเกิด, ตรัสรู้, นิพพาน และพระ
    มหาจักรพรรดิ์มาเกิด เช่น ยุคปัจจุบัน
     
  13. สุวรรณบัณฑิต

    สุวรรณบัณฑิต สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +0
    ขออนุญาต

    เออ ก็พิจารณาให้ดี

    ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ตรัสไว้ดีแล้ว ชอบแล้ว...

    ไม่ใช่สมัยที่พระปัจเจกฯ จะมาเกิดแน่นอน

    คนที่อนุโมทนา ก็ควรจะพิจารณาให้ดีนะครับ
     
  14. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    อนุโมทนาในความที่อธิบายให้ชี้แจ้ง
    ผมเองก็มิได้คิดว่าพระมาตังคะปัจเจกพุทธเจ้า ไม่รู้ว่าพระโพธิสัตว์บังเกิดขึ้นแล้วนะครับ
    พระองค์ย่อมรู้ด้วยญาณ แต่ผู้ที่เอามาเล่าต่อนั้นอาจไม่ได้รู้ในพระญาณ
    หรืออาจจะเป็นไปได้ที่ พระปัจเจกพุทธเจ้าที่ท่านมิได้กำหนดญาณหยั่งรู้ ยิ่งถ้าอยู่ในสมาบัติ
    หรือสมาธิขั้นสูง ก็มิได้รู้การเป็นไปของโลกตลอดเวลา
    เหล่าผู้ได้ญาณทั้งหลายมิได้ล่วงรู้ทุกอย่างตลอดเวลา
    หากเเต่จะรู้จริงเฉพาะในกาลที่ท่านเหล่านั้นประสงค์จะรู้จึงได้กำหนดจิตเพื่อที่จะทราบด้วยอำนาจแห่งญาณนั้นจึงรู้ครับ
    (แต่ผมก็หาได้รู้ความจริงไม่เพราะมิใช่วิสัยของสามัญชนอย่างผม)

    ผมมิได้แย้งความเชื่อของคุณนะครับ แต่สรุปแล้วผมก็เข้าใจว่า
    ยังไงๆ ก็มิใช่โอกาสและมิใช่ฐานะที่จะเกิดพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ เพราะพระสัจธรรมได้ประกาสออกไปจากพระโอถของพระพุทธเจ้าแล้ว ต้องสิ้นพระศาสนา หมดซึ่งผู้กราบไหว้และศึกษาพระพุทธวัจนะ หมดคนผุ้รู้จักซึ่งพระธรรมของพระศาสดา และต้องหมดไปซึ่งพระบรมสารีริกธาตุเท่านั้นจึงจะ เป็นโอกาสบังเกิดขึ้นของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายได้

    ถ้ามีคนมากล่าวว่ามีพระปัจเจกพุทธเจ้าเกิดขึ้นท่ามกลางพระศาสนาอันมีพุทธศาสดา ที่ยังพระธรรมจักรให้หมุนอยู่ นั้น
    ผมคงต้องอาศัยหลักฐานและการพิสูจน์หลายอย่าง รวมทั้งพิจารณาโดยแยบคายอย่างดีเพราะตามหลักแล้วมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมิได้

    ผมเป็นผู้รู้น้อย แต่ก็เปิดใจใคร่จะศึกษา จึงขออนุญาตเรียนถามว่า ท่านพระอาจารย์ของท่าน แสดงตนอย่างไรว่าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2008
  15. CHOTIYA

    CHOTIYA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +359
    อะไรที่ผิดเพี้ยนไปจากพระไตรปิฎกก็ต้องพิจรณาให้ดี ให้ละเอียด ให้เข้าใจในเหตุและผลไม่งั้นผลที่ออกมาจะพาไปผิดทางนะท่านนะ
     
  16. THE_TOP

    THE_TOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    706
    ค่าพลัง:
    +381
    [​IMG]

    นั้นจิ
     
  17. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    การบำเพ็ญเพื่อการเป็นพระพุทธเจ้าแบบต่างๆ


    1. การบำเพ็ญเพื่อฝึกการตรัสรู้ เช่น หลวงปู่ปานผู้มีวิชชาเอง แต่ถ่ายทอดลูกศิษย์
    ไม่กี่คน, หลวงพ่อสด ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย, นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบทฤษฎีธรรมชาติ
    การบำเพ็ญเพื่อการตรัสรู้นี้มีเสมอ ไม่มีที่ว่างเว้น ไม่ว่างจะในแผ่นดินที่มีพุทธศาสนา
    หรือไม่ก็ตาม

    2. การบำเพ็ญเพื่อการเผยแพร่ศาสนา เช่น พระเยซู (ไม่ได้ตรัสรู้ธรรมมีพระเจ้ามา
    บอกธรรมให้), หลวงพ่อฤษีลิงดำ (รับวิชชาหลวงปู่ปานไปเผยแพร่), ท่านธัมมชโย
    (โดนมารแทรกเข้าจึงมีความผิดพลาดไปบางช่วงที่เผยแพร่ ปัจจุบันยังต่อสู้กับมารอยู่)
    ท่านเล่าจื้อ ซึ่งนำหลักเต๋ามาปรับให้ง่ายแล้วเผยแพร่สร้างประเทศจีนในสงบไฟสงคราม


    การบำเพ็ญสองอย่างนี้ พระโพธิสัตว์ต้องทำให้ได้เต็มรูปแบบ ปกติ จะบำเพ็ญชาติละ
    หนึ่งแบบ เช่นบางชาติมาฝึกตรัสรู้, บางชาติมาฝึกเผยแพร่ธรรม ถ้าทำทั้งสองอย่าง
    มักนิพพานไปเสียก่อนได้ตรัสรู้จริง ยกเว้นองค์ที่บารมีมากจริงๆ เท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2008
  18. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    การบำเพ็ญด้วยการทำกิจโปรดสัตว์


    นอกจากการบำเพ็ญบารมีเพื่อเตรียมทการตรัสรู้แล้ว
    พระโพธิสัตว์ยังมีกิจโปรดสัตว์ ในแบบต่างๆ อีกด้วย
    ดังตัวอย่างต่อไปนี้


    1. การสร้างอาณาจักรด้วยตนเอง เป็นกิจทางโลก ฝึกการสร้างลัทธิศาสนาจากศูนย์
    ที่ไม่มีอะไรมาก่อนเลย เช่น พระร่วง (ไม่ใช่พ่อขุนรามฯ ท่านช่วยสร้างอาณาจักรแล้ว
    หายไปลึกลับ) สำหรับการบำเพ้ญสร้างอาณาจักรนี้ หากบารมียังน้อย จะไม่สามารถ
    ปกครองต่อได้ หากปกครองต่อก็สิ้นบุญบารมีพอดี จึงมักมีโพธิสัตว์อีกองค์มาช่วย
    สานกิจต่อแทน เช่น พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (รับกิจต่อจากพระร่วง ซึ่งบวชพระแล้วหายไป)

    2. การรวบรวมแผ่นดินที่แตกแยก เช่น กษัตริย์จูมง (บำเพ็ญได้กายเมตตรัยโพธิสัตว์)
    หากบำเพ็ญในส่วนนี้ได้เต็มเมื่อตรัสรู้แล้วศาสนาก็จะไม่แตกแยกเป็นนิกายต่างๆ ปกติแล้ว
    บำเพ็ญปัญญาธิกะ 4 อสงไขย ได้สำเร็จเป็นพระพุทะเจ้าก็จริง แต่ศาสนาจะย่ำแย่มาก
    เพราะการบำเพ็ญที่น้อยเพียง 4 อสงไขยนี่เอง

    3. การกอบกู้เอกราชย์ เช่น สมเด็จพระนเรศวร การบำเพ็ญแบบนี้ มุ่งเน้นไปทางการ
    บำเพ็ญอิทธิฤทธิ์เพื่อการปราบมารในชาติที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ในกรณีโพธิสัตว์
    ศรีอาริยเมตรัย ท่านปรารถนาไม่มีมารในศาสนาท่าน ท่านก็ต้องบำเพ็ญภาคปราบมาร
    ค่อนข้างมาก

    4. การรักษาแผ่นดินที่กำลังล่ม เช่น สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ การบำเพ็ญแบบนี้ช่วยให้
    สามารถสร้างศาสนาให้ยืนนานได้เมื่อได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระศาสนานั้นจะยืนยาว
    นาน การบำเพ็ญรักษาแผ่นดินนี้ มักเลือกแผ่นดินที่มีพุทธศาสนาเจริญดีที่สุด เช่น ประเทศ
    ไทย เมื่อบำเพ็ญสำเร็จจะได้กาย "สยามเทวาธิราช"

    5. การบำเพ็ญขยายอาณาจักร หรือที่เรียกว่าบำเพ็ญในภพภูมิ "มหาจักรพรรดิ์" เมื่อ
    บำเพ็ญจนสำเร็จในภพชาตินี้ จะได้กายทิพย์เป็นมหาจักรพรรดิ์เป็นอย่างต่ำ ขึ้นไปถึง
    กายโฑธิสัตว์ได้ แต่ก็มีโพธิสัตว์บางองค์บางชาติที่หลงโลก หลงตนเอง บำเพ็ญแล้ว
    ตกต่ำไปเพราะการได้เป็นมหาจักรพรรดิ์ก็มี การบำเพ็ญแบบนี้ อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มักล่ม
    ทันทีที่ตนเองสิ้นบุญ เช่น จิ๋นซีฮ่องเต้ มีน้อยองค์ที่ยืดต่อไปได้ เช่น พ่อขุนรามฯ
     
  19. เฮ้งตงเอี๊ยง

    เฮ้งตงเอี๊ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    668
    ค่าพลัง:
    +130
    การบำเพ็ญปัญญาบารมีผ่านปัจเจกภูมิของพระโพธิสัตว์


    เมื่อพระโพธิสัตว์มีบารมีมากแล้ว สามารถตรัสรู้เองได้แล้ว
    จะบำเพ็ญผ่านภูมิของพระปัจเจก หมายความว่าพระโพธิสัตว์
    จะต้องทดลองลงไปตรัสรู้แบบพระปัจเจกฯหากกำลังจิตอ่อน
    ก็จะเข้านิพพานเป็นพระปัจเจกฯ ไป แต่ถ้ากำลังจิตถึงนิตยโพธิสัตว์
    ก็จะบำเพ็ญมีปัญญาไม่ต่ำกว่าปัจเจกฯ แต่สามารถไม่นิพพานไป
    ก่อนได้เพื่อรอการตรัสรู้นั่นเอง


    กรณีที่พระโพธิสัตว์ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกฯ จะมีกายทิพย์แบบต่างๆ
    เช่น กายเซียน (แบบท่านเล่าจื้อ) เป็นกายทิพย์ปกติของพระปัจเจกฯ
    ทั่วไป, กายโพธิสัตว์ เช่นกายอวโลกิเตศวร ดั่งคำเทศนาของพระ
    พุทธเจ้า ในคัมภีร์มหายาน ที่ว่าพระอวโลกิเตศวรนี้ นิรมาณกาย
    มาโปรดสัตวืได้หลากรูปแบบ แบบพระปัจเจกฯ ก็มี คือท่านตรัสรู้
    เป็นพระปัจเจกฯ นั่นเอง นอกจากนี้ หากบารมีสูงขึ้นไปอีก ก็จะได้
    กายยูไล คือ กายพระพุทธเจ้าที่ยังไม่นิพพาน และหากเข้านิพพาน
    ก็จะเป็นกายทิพย์แบบพระพุทธเจ้า แต่เป็นพระปัจเจกฯ


    สำหรับพระโพธิสัตว์ที่ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกฯ ไปบ้างแล้ว เช่น
    แม่ชี เมี้ยนปานจันทร์, พระสังฆโต ปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งลงมา
    สานกิจศาสนที่หักกลางในช่วงที่บารมีมาก และโลกเข้ายุคปัจเจกฯ
    (ยุคนี้เป็นยุคพระปัจเจกฯ เพราะมนุษย์อายุต่ำกว่าร้อยปี ไม่ใช่
    ยุคปกติของพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนาเลย)
     
  20. phutsa

    phutsa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    261
    ค่าพลัง:
    +852
    งงครับ พระพุทธศาสนามีอายุ 5000 ปี ทำไมหมดยุคไปเป็นยุคพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ครับ ผมว่าใครที่บรรลุธรรมในยุคนี้ถือว่าเป็นสาวกภูมิทั้งหมดนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...