พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ดูแลชีวิตง่ายๆในวัยทำงาน

    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01lad02270951&sectionid=0115&day=2008-09-27

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>คนหนุ่มสาว คนวัยทำงานยุคใหม่ มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะจากภาวะตึงเครียดที่ส่งผลกระทบรุนแรงทำให้เกิดโรคต่างๆ ง่ายขึ้น โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดตีบที่กำลังเพิ่มมากขึ้นทุกที

    นายแพทย์ฉัตรชัย ศรีบัณฑิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์การแพทย์บูรณาการ แอ๊บโซลูท เฮลท์ ซึ่งให้บริการตรวจรักษาในแนวทางการแพทย์แบบบูรณาการ กล่าวถึงโรคหลอดเลือดตีบว่า ปัจจุบันนักวิจัยพบว่าในผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน 85% ไม่ได้เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดที่เกิดจากคราบไขมันชนิดแข็ง จนทำให้หลอดเลือดตีบ แต่ส่วนใหญ่กลับพบว่าเกิดจากคราบไขมันชนิดไม่เสถียร ซึ่งไม่ได้ตีบตันหรือตีบตันไม่เกิน 50% ที่เรียกว่า vulnerable plaque โดยมีการอักเสบเกิดขึ้น และง่ายต่อการฉีกขาด ก่อให้เกิดลิ่มเลือดเข้าไปจุกอยู่ในเส้นเลือดในที่สุด <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    "หากเรามีอาการเจ็บหน้าอก จากหัวใจขาดเลือดแล้ว การฉีดสีสวนหัวใจไม่พบการตีบตัน เราก็ยังมีโอกาสเกิดหัวใจขาดเลือดได้อีก จาก vulnerable plaque แต่ทั้งหมดนี้แก้ไขได้ หากใช้วิธีรักษาแบบคีเลชั่น ในประเทศไทย คีเลชั่นถือเป็นศาสตร์การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกองการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข แพทย์ที่มีสิทธิใช้คีเลชั่นในการรักษาผู้ป่วยจะเป็นแพทย์ที่ผ่านการฝึกอบรมจากกองการแพทย์ทางเลือก ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานและความปลอดภัยต่อผู้ป่วยเป็นสำคัญ" <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    นพ.ฉัตรชัย ศรีบัณฑิต


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    นายแพทย์ฉัตรชัยบอกว่า คนหนุ่มสาวยุคใหม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดตีบ แต่ถ้ารู้จักดูแลตัวเองจะทำให้ห่างไกลโรคร้ายได้ โดยคำแนะนำเบื้องต้นในการดูแลสุขภาพ เริ่มจาก 1.มองไปที่สิ่งที่เราเอาเข้าไปในร่างกาย อากาศ น้ำและอาหาร ต้องเลือกให้มากขึ้น 2.เอาพิษออก ด้วยวิธีง่ายๆ คือ ตื่นเช้าเอามะนาว 2 ลูก บีบใส่น้ำ 1 เหยือก ดื่มไปเรื่อยๆ ทานแต่ผักผลไม้ที่มีกากใย กินโยเกิร์ตธรรมชาติ 3 แก้ว ปฏิบัติง่ายๆ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง 3.ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 ครั้ง 4.นั่งสมาธิหรือสวดมนต์เช้า 30 นาที ทำไปสักระยะ จิตจะนิ่ง ความเครียดจะหาย

    เพียงเท่านี้ก็เลิกกังวลเรื่องโรคภัยไข้เจ็บได้เลย
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หาเรื่องหย่า ภริยาไม่ยอม
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01lad03270951&sectionid=0115&day=2008-09-27

    คอลัมน์ ฎีกาชีวิต

    โดย รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>เกิดเป็นหญิงให้แสนลำบากหนักใจถูกสามีขอหย่า เธอมีสามีและลูกน้อยสองคน ก่อนนี้นั้นจำต้องจำใจจากสามีที่รักชั่วคราว ใช่ว่ายากจนหรือหนีเจ้าหนี้ แต่เพื่อสร้างอนาคตให้ลูกและช่วยกันสร้างครอบครัวให้เป็นปึกแผ่น ภริยาจึงเสียสละตัดใจสละสุขเดินทางไปทำงานต่างแดน ที่ไหนขอไม่บอก รู้แต่ว่าสามีห้ามไว้แต่เธอไม่ฟัง นั่นคือจุดเริ่มต้นของรักร้าว

    เธอต้องปรับตัวปรับความคิดให้กลมกลืนกับผู้คนต่างวัฒนธรรม ไม่รู้จักผู้ใดนอกจากทำงานและทำงาน เธออดทนมุ่งมั่นสู้งานหนักไม่ลดละ อยู่อย่างโดดเดี่ยวและเดียวดาย บางคืนนอนไม่หลับคิดถึงลูกและสามี

    เธอถามตัวเองบ่อยครั้งว่าตัวเธอกำลังทำอะไร ทำไมต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ อยู่เมืองไทยกับครอบครัวสบายกว่า ไม่มีคำตอบ ได้แต่ย้อนถามตัวเองว่าใครบังคับให้ต้องทำเช่นนี้ ต้องห่างทั้งสามีและลูกน้อย อดคิดไม่ได้ในบางครั้งว่าเขาจะนอกใจมีหญิงคนใหม่ให้หงุดหงิด

    สามปีผ่านไปอย่างรวดเร็วมีเสียงกระซิบมาตามสายโทรศัพท์ว่าสามีติดพันผู้หญิงคนใหม่ หาใช่ใครอื่นเพื่อนสนิทของเธอเอง ได้แต่ข่มใจคิดจะถามสามีให้รู้เรื่องให้เกรงใจกลัวว่าเขาจะย้อนถามว่าไม่ไว้ใจเขารึยังไงกัน

    ใจหนึ่งต้องสู้กับข่าวของสามี ใจหนึ่งต้องสู้กับความเหงาเปล่าเปลี่ยวละเหี่ยใจ ได้แต่หยิบรูปลูกน้อยน่ารักน่าชังมาแนบอก บางคนจ้องมองภาพสามีเสมือนจะบอกว่าอีกไม่นานเราคงจะอยู่ด้วยกันเหมือนสามีภริยาคู่อื่นขอได้อดใจรอคอยอีกไม่นานและให้กำลังใจเธอด้วย

    เธอกำลังเก็บเงินก้อนสุดท้ายไว้สร้างบ้านหลังเล็กบนที่ดินของเธอและเขาร่วมกันซื้อไว้ในปีแรกของการใช้ชีวิตคู่ อาจเป็นบ้านหลังเล็กแต่เป็นวิมานของเราพ่อแม่ลูก เธอวาดฝันและม่อยหลับไป

    วันแห่งการพิสูจน์มาถึง วันที่เธอกลับบ้านเพื่อรับลูกไปเรียนต่อ มีเหตุให้ต่อสู้แก้ปัญหาสามี เธอแก้ไขไม่สำเร็จสามีขอหย่าขาด

    เธอเจ็บที่หัวใจ สะเทือนใจสุดสุด สมองมึนชามือไม้สั่นควบคุมไม่ได้คิดอะไรไม่ถูก เธอไม่คาดคิดจะได้ยินคำพูดจากปากเขา

    หลังจากตั้งสติ ถามสามีว่าเธอทำผิดอะไรถึงขอหย่า สามีย้อนถามว่าเธอไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไปในระยะนี้

    เธอตอบสามีว่าทำเพื่อเตือนสติได้ทำไปเพื่อปกป้องสิทธิภริยาและต้องการให้ลูกๆ มีพ่อเหมือนเด็กอื่น

    สามีไม่พอใจและยื่นคำขาดขอหย่าสถานเดียว

    เธอเชื่อว่าชีวิตนี้มีแต่ความดีงาม เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อสามีและลูก ไม่มีคำชมและรางวัลจากสามีมอบให้ก็ไม่ว่ากัน แต่ถูกสามีขอหย่า มันน่าเจ็บใจ เธอฮึดสู้เป็นตายร้ายดีไม่ยอมหย่า

    สามีฟ้องศาลขอหย่าขาดทันทีไม่ลังเล อ้างเหตุว่าเธอทิ้งร้างให้เขาอยู่คนเดียวกับลูกห้ามไม่ให้ไปทำงานเมืองนอกดื้อรั้นไม่ยอมรับฟังตราบจนเวลาล่วงเลยไปหลายปี กลับมาถึงเมืองไทยแทนที่จะอยู่กันอย่างมีความสุขก็หาไม่ อ้างเหตุกลับไปทำงานต่อหรือจะไปหาชายชู้กันแน่และได้แสดงอารมณ์ท่าทีเลวร้ายดุด่าเขาต่อหน้าเพื่อนๆ ให้ได้รับความอับอายขายหน้าหลายครั้ง เลวร้ายยิ่งกว่านั้นไม่อาจให้อภัยได้ เธอกล่าวหาว่าแม่ของเขากำลังหาลูกสะใภ้คนใหม่ให้สามี

    คดีหย่าใช่ว่าศาลจะฟังโจทก์กล่าวหาแต่ฝ่ายเดียว พยานและหลักฐานคือปัจจัยชี้ขาด แพ้หรือชนะขึ้นอยู่กับน้ำหนักพยานเป็นสำคัญ

    เรื่องนี้สามีผิดหวัง ไม่อาจฟังเป็นที่ยุติตามข้อกล่าวหาภริยา พยานโจทก์จึงรับฟังไม่ขึ้น ศาลพิพากษายกฟ้องในที่สุด
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เตือนภัยโรคฉี่หนูถึงตาย อย่าปล่อยเด็กเล่น"น้ำท่วม"
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01tec09270951&sectionid=0143&day=2008-09-27


    ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ที่ปรึกษาด้านวิชาการศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สวทช. กล่าวว่า โรคฉี่หนูในประเทศไทยพบระบาดรุนแรงมากในช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะในเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่น้ำฝนชะล้างเอาเชื้อโรคจากสิ่งแวดล้อมเข้ามารวมกันอยู่ในบริเวณน้ำท่วมขัง โดยโรคฉี่หนูเป็นโรคระบาดในคนที่ติดต่อมาจากสัตว์ มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ เลปโตสไปรา (Leptospira sp.) เป็นเชื้อที่อยู่ในปัสสาวะของสัตว์พาหะซึ่งไม่ใช่แค่หนู แต่ยังรวมถึงวัว ควาย หรือสัตว์เลี้ยงใกล้ตัวอย่าง แมวและสุนัข เป็นต้น การติดเชื้อมักเกิดขึ้นผ่านทางบาดแผลที่เกิดจาการแช่น้ำเป็นเวลานานๆ โดยเชื้อแบคทีเรียจะชอนไชเข้าสู่ผิวหนัง อีกทั้งยังผ่านเข้าทางเยื่อเมือก เช่น ตาและปาก ฉะนั้น ผู้ปกครองจึงไม่ควรปล่อยให้เด็กๆ ลงเล่นน้ำที่ท่วมขัง เพราะเสี่ยงติดเชื้อโรคนี้ ซึ่งอาจมีผลร้ายแรงทำให้เสียชีวิตได้

    สำหรับอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ติดเชื้อโรคฉี่หนู มี 2 แบบ คือ แบบที่ไม่รุนแรงจะมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา ปวดหัว ตัวร้อน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นอาการที่ไม่ต่างจากโรคติดเชื้ออื่นๆ อีกหลายชนิด แต่ในกรณีที่มีอาการรุนแรง เชื้อจะเข้าไปอยู่บริเวณที่ร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกัน เช่น ลูกตา จะทำให้มีอาการตาอักเสบแดง น้ำตาไหล สู้แสงไม่ได้ หากเชื้อเข้าไปอยู่ในสมองจะทำให้มีอาการเพ้อ ไม่รู้สึกตัว และถ้าเชื้ออยู่ในท่อไต จะทำให้ไตวาย ที่สำคัญเมื่อมีการติดเชื้อทั่วร่างกายจะทำให้มีเลือดออกในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผู้ติดเชื้อเสียชีวิต

    ดร.นำชัยกล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเนื่องจากโรคฉี่หนูมากในทุกปี อาจเนื่องมาจากอาการของโรค ซึ่งในเบื้องต้นจะคล้ายกับโรคไข้หวัดธรรมดา หรือโรคติดเชื้อที่มีสาเหตุมาจากเชื้อโรคอื่นๆ ที่พบมากในฤดูฝนหรือพบในบริเวณที่ประสบปัญหาน้ำท่วม จึงยิ่งทำให้การวินิจฉัยโรคเป็นค่อนข้างยาก ดังนั้น การตรวจวินิจฉัยอย่างแม่นยำในห้องปฏิบัติการจึงเป็นวิธีการที่ให้ข้อสรุปได้ชัดเจนว่า ผู้ป่วยติดโรคฉี่หนูหรือไม่ ซึ่งปัจจุบันมีนักวิทยาศาสตร์ที่สามารถคิดค้นและพัฒนาชุดตรวจโรคฉี่หนูในเวลาอันสั้นได้สำเร็จ อาทิ พญ.สุทธิพันธ์ สาระสมบัติ กับ ดร.ปัทมา เอกโพธิ์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนาชุดตรวจโรคฉี่หนูที่มีความแม่นยำต่อสายพันธุ์ที่พบในประเทศสูงและให้ผลการตรวจที่เที่ยงตรง ทั้งยังได้รับความนิยมและมีหลายหน่วยงานนำไปใช้งานจริงแล้ว เช่น ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ จ.นครราชสีมา และภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เป็นต้น ขณะที่ ศ.ดร.วันเพ็ญ ชัยคำภา ได้พัฒนาเทคโนโลยีชุดตรวจโรคที่สามารถตรวจเชื้อโรคฉี่หนูได้ทุกสายพันธุ์ โดยใช้หลักการตรวจโปรตีนที่พบเฉพาะในผู้ติดเชื้อโรคฉี่หนู ซึ่งเป็นวิธีที่แม่นยำและใช้เวลาในการวินิจฉัยเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น มีการนำใช้ในโรงพยาบาลหลายแห่ง เช่น โรงพยาบาลขอนแก่น อีกทั้งล่าสุด นพ.ดร.อมรพันธุ์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ พัฒนาชุดตรวจโรคฉี่หนูที่สังเคราะห์จากอนุภาคทองคำขนาดเล็กระดับนาโนเมตร ทำให้การตรวจเป็นไปอย่างแม่นยำและมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
     
  4. oledbcs4

    oledbcs4 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0

    ขอทักอะไรนิดส์นึงนะคับ..

    คือว่า ทั่นท้าวชินนะ เนี่ย เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาด้วยหรือ..

    ท่านเคยเป็นศิษย์ของพระมหาโมคคัลลานะด้วยหรอเนี่ย..แถมยังบรรลุอรหันต์ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบอีกด้วย..

    ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว จะไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดมิใช่หรือ?เหตุฉะไหน ท่านจึงไปเกิดเป็นพรหมอีกเล่า..

    ขอความเห็นด้วยคับพี่น้อง..
     
  5. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,310
    ที่ผมอ่านมาท่านเคยเกิดเป็นพ่อของสมเด็จโตและท่านเป็นคนสอนการสร้างพระเครื่องให้สมเด็จโตว่าต้องจัดพิธีอย่างไรทำอย่างไรทุกขั้นตอนตั้งการสร้างผสมมวลสารพิธีกรรม การปลุกเสกต่างท่านเป็นคนสอนสมเด็จโต
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ guawn [​IMG]
    ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญชระ

    ในอดีตกาลครั้นองค์สมณโคดมเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ครานั้นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า คือ พระโมคคัลลานะ ผู้เลิศในอิทธิฤทธิ์ และ พระสารีบุตร ผู้เลิศในปัญญา ณ.เมืองพาราณสี มีเด็กน้อยนามว่า ชินนะ บุตรของมะติโตะ พราหมณ์และนางยะถานา พราหมณี โคตร ปัญจะระ เลื่อมใสในพระพุทธ ศาสนาแห่งองค์พระศาสดาแต่ครั้งเยาว์วัย ได้บวชเป็นสามเณร และ เป็นศิษย์ของ พระโมคคัลลานะ สามเณรชินนะ ทรงภูมิปัญญา เป็นที่เฉลียวฉลาดเป็นอย่างยิ่ง ศรัทธาในการบิณฑบาตอย่างสงบ ขยันหมั่นเพียรเป็นนิจ ครั้นอายุได้เพียง 7 ปี ก็สำเร็จอรหันต์ สามเณร ชินนะ ปัญจะระ นับว่ามีรูปงาม เสียงไพเราะ รู้พิธี มีระเบียบ รอบคอบ สะอาด ตั้งอยู่ในศีลาจารวัตรอันงดงาม ครั้นย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม รูปร่างของท่านชินนะปัญจระ ยิ่งสวยสดงดงาม ผิวขาวละเอียดประดุจหยก หน้าแดง ระเรื่อสีชมพู ไว้ผมเกล้าจุก คิ้วรูปงามเหมือนคันศร ตางามเหมือนเหยี่ยว จมูกโด่งงาม เดินดั่งพญาราชสีห์ กายนั้นมีแสงเหมือนพระอาทิตย์ เสียงไพเราะเหมือนนกการะเวก เป็นที่ต้องตาต้องใจสตรีเพศ จึงมีสตรีเพศต่างหลงใหลในตัวของท่านชินะเป็นอย่างยิ่ง ด้วยท่าน ชินนะนั้น ยึดพรหมจรรย์เป็นสรณะจึงมีแต่ความสงบ

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>ท่านชินนะ นับว่าเป็นผู้รอบรู้พิธีการต่าง ๆ ของโลกวิญญาณ ท่านสามารถสวดมนต์ พระคาถา ได้อย่างเยี่ยมยอด ยามท่านสวดพระคาถาไม่ว่าบนโลกหรือสวรรค์ เสียงของท่านจะก้องกังวาลทั่วนรกภูมิ และ สวรรค์สามสิบสามชั้น เทพพรหมได้ยินจะสะเทือนจิตออกจากสมาบัติ เพื่อรับทราบพิธีการที่ท่านชินนะจัดขึ้น แล้ววันหนึ่ง ขณะที่ท่านชินนะ ได้ออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ ได้มีหญิงผู้หนึ่ง ซึ่งแอบหลงรักท่านชินนะ มิอาจยับยั้งใจเอาไว้ได้ จึงได้โผผวาเข้ากอดท่านชินนะอย่างลืมตัว ท่านชินนะเห็นอาการของผู้หญิงคนนั้นกระทำแก่ท่าน ดังนี้ ก็บังเกิดความสังเวชอย่างใหญ่หลวง อันพรหมจรรย์ของท่านต้องมาแปดเปื้อนเสียดังนี้ ความยึดมั่นในพรหมจรรย์ของท่านต้องมาสะบั้นลง ท่านจึงดำริขึ้นว่า........ ตัวท่านนี้มีรูปงามเช่นนี้ ย่อมก่อให้เกิดอกุศลกรรมแก่อิตถีเพศ เป็นการสร้างบาปให้เกิดขึ้นด้วยรูปกายนี้เป็นเหตุ จะมีอีกสักเท่าใดกันหนอ ที่ปรารถนาล่วงพรหมจรรย์ของท่านเช่นหญิงคนนี้....... ท่านจึงละสังขารไว้เมื่อยังไม่ถึงกาล อายุท่านเพียง 23 ปี 6 เดือน กายละเอียดไปบังเกิดในพรหมโลก เป็นหัวหน้ารูปพรหม 16 ชั้น ควบคุมดูแลชั้นพรหม ทั้งนี้ด้วยท่านละสังขารก่อนถึงกาล และเจตนาคติในกาลเกิดมาเพื่อช่วยงานศาสนกิจ พุทธกิจ แห่งองค์สมเด็จพระทศพล พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านชินนะคิดดังนี้ เห็นกายเป็นเหตุ กายทำให้พรหม์จรรย์จิตเสื่อมสลาย กายก่ออกุศลจิตเป็นบาป กับอิตถีเพศผู้ยังมัวเมาในรูป ท่านจึงเดินสมาบัติถอดกายออกจากร่าง แต่งานที่ตั้งใจมาเกิดยังไม่แล้วเสร็จ จึงยังตนให้อยู่ชั้นพรหมโลก เพื่อสืบสานสายงาน อาณาจักร พุทธจักร มรรค ผล นิพพาน แด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในตำแหน่งหัวหน้าพรหม หน้าที่เป็นหน้าที่ ท่านต้องยังอยู่พรหมโลก เพื่อดำรงคติตามหน้าที่ที่รับมอบหมายมาจากต้นธาตุ ต้นธรรม วงศ์มังกร ฉะนั้น รูปจำลองของท่านจึงเป็น รูปยืน เท้าเหยียบเต่าและงู ตำแหน่งผู้พิชิตมาร ดังปรากฏอยู่ทุกวันนี้ พระโอวาทของท่านมีว่า…… เกิดเป็นมนุษย์มีเวลาสั้นมาก ควรจะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และ มีคุณค่าต่อจิตวิญญาณ ของตนเอง การจะทำงานเพื่อมนุษยชาตินั้น ต้องมีใจเด็ดเดี่ยว ยอมทนทุกข์เพื่อสุขในบั้นปลาย เรื่องส่วนรวมต้องมาก่อนส่วนตัว งานนั้นก็สำเร็จได้



    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ผมไม่ทราบว่า ใครที่เป็นผู้ที่เขียนเรื่องนี้

    สำหรับผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ท่านจะไม่มายุ่งในเรื่องต่างๆอีก รวมทั้งการเวียนว่ายตายเกิด

    สำหรับหับผู้ที่ละจากโลกนี้ หรือเป็นเทพเทวาชั้นที่ต่ำกว่าชั้นพรหม ที่ขึ้นไปเป็นพรหม หากหมดบุญหรือเมื่อถึงเวลา ก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก แต่ถ้าปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ สามารถเลื่อนขึ้นไปในชั้นที่สูงกว่าชั้นเดิมได้

    ส่วนการสร้างพระพิมพ์หรือวัตถุมงคลต่างๆ ผมขอยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ไม่ได้สร้างพระพิมพ์และวัตถุมงคลต่างๆเอง ท่านไม่ใช่ช่างสิบหมู่ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2008
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  8. Shinray01

    Shinray01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,310
    สวัสดีตอนเช้า(สาย)อิอิ sithiphong ถุงกับถามหากันเลยหรอครับอิอิเงียบบบบจังครับ
     
  9. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    มาแล้วครับ ไปนอนบ้านนูนมาครับ หุ หุ คนมีหลายบ้านครับ ....
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สารเมลามีน มหันตภัยใกล้ตัว

    http://hilight.kapook.com/view/29339

    [​IMG]

    [​IMG]


    เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม
    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

    ถึงคราวที่ทั่วโลกต้องตื่นตัวอีกครั้ง เมื่อนมผงมรณะที่มีสารเมลามีนปนเปื้อนได้คร่าชีวิตทารกชาวจีนไป 4 คน และเด็กอีกครึ่งแสนต้องเผชิญกับโรคนิ่วในไต เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนมผงซึ่งนำเข้าจากประเทศจีน ถูกสั่งเก็บจากท้องตลาดมาตรวจสอบอย่างเร่งด่วน

    หลายคนสงสัยว่า สารพิษชนิดนี้คืออะไร ทำไมถึงส่งผลร้ายแรงต่อชีวิตได้ วันนี้เราจึงจะพาไปทำความรู้จักเจ้าสารอันตรายนี้กันค่ะ

    [​IMG] "เมลามีน" ถึงเวลาที่ต้องรู้จัก

    จะว่าไปแล้ว เราคงจะเคยได้ยินชื่อ "เมลามีน (Melamine)" มาบ้างแล้ว เช่น ชามเมลามีน หรือ จานเมลามีน นั่นก็เพราะเจ้าสารเมลามีนนี้มีคุณสมบัติทนความร้อน จึงนิยมใช้ทำผลิตภัณฑ์พลาสติก ไม่ว่าจะเป็นภาชนะพลาสติก ถุงพลาสติก น้ำยาดับเพลิง น้ำยาทำความสะอาด กาว หมึกสีเหลือง รวมถึงพบในยาฆ่าแมลงด้วย

    สารเมลามีนนี้จัดเป็นสารอินทรีย์ มีสารฟอร์มาลดีไฮด์ หรือที่เรารู้จักกันว่า ฟอร์มาลีน เป็นส่วนประกอบมีไนโตรเจนสูงถึง 66% เป็นผงสีขาว ลักษณะคล้ายนมผงจนแยกไม่ออก เมื่อนำไปละลายน้ำ หรือผสมในนมจะตรวจพบปริมาณไนโตรเจนสูง ซึ่งการจะตรวจว่าน้ำนมนั้นมีโปรตีนสูงหรือไม่ จะวัดจากค่าของไนโตรเจน ดังนั้นถ้าผสมสารเมลามีนซึ่งมีไนโตรเจนสูงเข้าไปในน้ำนม จะถูกทำให้เข้าใจว่า น้ำนมมีโปรตีนสูง ซึ่งไม่เป็นความจริง

    นี่จึงเป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการชาวจีนที่เห็นแก่ตัว และตั้งใจนำสารเมลามีนมาผสมกับนมผง เพื่อให้นมมีความเข้มข้นขึ้น เป็นการเพิ่มปริมาณโปรตีนให้ได้ตามที่มาตรฐานกำหนด


    [​IMG]


    [​IMG] ย้อนเหตุการณ์สารเมลามีนปนเปื้อนในอาหาร

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตรวจพบสารเมลามีนปนเปื้อนมาในอาหารที่นำเข้าจากจีน เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อปีก่อน สหรัฐอเมริกาได้สั่งเก็บอาหารสุนัข และแมวที่ทำจากแป้งสาลีซึ่งนำเข้าจากจีนเช่นกัน เนื่องจากตรวจพบสารเมลามีนในอาหารสัตว์เหล่านั้น โดยสารเมลามีนนี้มีคุณสมบัติเร่งการเจริญเติบโต เพิ่มปริมาณโปรตีน จึงทำให้พ่อค้าหัวใสเห็นช่องทางที่จะทำกำไร รวมทั้งผู้เลี้ยงสัตว์เมื่อเห็นราคาถูกกว่าจึงไม่รีรอที่จะซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้

    ในครั้งนั้นมีอาหารสัตว์กว่า 100 ชนิดถูกเรียกคืน และมีสัตว์เลี้ยงจำนวนมากเจ็บป่วยล้มตายจากภาวะตับ และไตล้มเหลว กระทรวงเกษตรฯ ของสหรัฐอเมริกาจึงประกาศห้ามเตือนไม่ให้มีการนำสารเมลามีนไปผสมในอาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคได้รับสารเมลามีนเข้าไปในร่างกาย


    [​IMG]


    [​IMG] การส่งออกของสารเมลามีน

    ในประเทศจีนนั้น มีการผลิตเมลามีนจำนวนมาก และออกวางขายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพราะได้รับการรับรองมาตรฐาน ซึ่งสารเมลามีนนี้จะใช้ในกระบวนการผลิตภาชนะ อาหารสัตว์ และนอกจากจีนจะขายในประเทศแล้ว ยังส่งออกไปขายยัง 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ในรูปของเศษเมลามีนที่เหลือจากโรงงานพลาสติก ซึ่งมีราคาถูก โดยผู้ขายจากจีนจะใช้ชื่อว่า "ไบโอโปรตีน" หรือโปรตีนเทียม แทนชื่อเมลามีน ให้ผู้เลี้ยงสัตว์นำไปผสมในอาหารสัตว์ เพราะมีราคาถูกกว่าโปรตีนอื่นๆ ที่เป็นพวกธัญพืชหรือเนื้อสัตว์เกือบ 5 เท่า จึงลดต้นทุนการผลิตได้ แต่ในประเทศไทยเองยังตรวจไม่พบว่ามีสัตว์เสียชีวิตจากสารอันตรายนี้
    อาหารที่เสี่ยงปนเปื้อนสารเมลามีน

    สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ มีสารเมลามีนปนเปื้อนมาในนมผง ดังนั้นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีส่วนประกอบของนมผงที่นำเข้าจาก 22 บริษัทของประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นขนม ลูกอม นม คุ้กกี้ ไอศกรีม โยเกิร์ต ฯลฯ ก็เข้าข่ายเสี่ยงไปด้วย
    ในประเทศไทยเองสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก็ได้สั่งงดนำเข้า และขอร้องให้ร้านค้าต่างๆ งดจำหน่ายขนมที่มีแหล่งผลิตจากจีนแล้ว โดยสินค้าที่ต้องนำไปตรวจสอบก่อน ได้แก่

    [​IMG] ไอศกรีมวอลล์ มู
    [​IMG] ขนมปังกรอบ และข้าวโอ๊ตรสกาแฟ ตราเหมาฮวด หรือคอฟฟี่ โอทมีล แคร็กเกอร์
    [​IMG] เวเฟอร์สติ๊กไวท์ช็อคโกแลต เวเฟอร์เคลือบช็อคโกแลตขาว เครื่องหมายการค้าโอรีโอ
    [​IMG] ช็อคโกแลตนมตราโดฟ
    [​IMG] ถั่วลิสงคาราเมล และนูกัตเคลือบช็อคโกแลตนม ตราสนิกเกอร์ส
    [​IMG] เมนทอส โยเกิร์ต มิกซ์ หรือลูกอมโยเกิร์ตกลิ่นผลไม้รวม
    [​IMG] ลูกอมรสนม ยี่ห้อกระต่ายขาว
    [​IMG] คุ้กกี้ช็อกโกแล็ตรูปการ์ตูนหมีโคอาล่า และ ช็อคโกแลตนมเคลือบน้ำตาลสีต่างๆ ตราเอ็มแอนด์เอ็ม ซึ่ง 2 รายการหลังนี้ได้ผ่านการตรวจสอบแล้วว่าไม่พบสารเมลามีน ขณะที่รายการอื่นๆ ต้องรอผลการตรวจสอบในอาทิตย์หน้า


    นอกจากนี้ ยังพบสารเมลามีนปะปนในอาหารสัตว์ ไม่ว่าจะปลาป่น รำสกัด โปรตีนจากพืช โปรตีนจากวุ้นเส้น ฯลฯ ซึ่งขณะนี้ได้ส่งผลให้สัตว์หลายตัวในสวนสัตว์ของจีนป่วยเป็นโรคไต


    ทั้งนี้ในความเป็นจริงแล้ว การที่พบสารเมลามีนในอาหารสัตว์ และนมล้วนมีความเชื่อมโยงกันอยู่ นั่นคือ ผู้ผลิตอาหารสัตว์จะผสมเมลามีนในอาหารสัตว์ที่ขาย เมื่อคนเลี้ยงวัวให้วัวรับประทานอาหารสัตว์นี้ วัวจะผลิตน้ำนมที่มีโปรตีนในน้ำนมต่ำกว่าร้อยละ 3 ไม่ถึงเกณฑ์ที่โรงงานนมกำหนดจะรับซื้อ ดังนั้นคนเลี้ยงวัวจึงเติมสารเมลามีนเข้าไปในน้ำนมอีก เพื่อหลอกให้ผ่านการตรวจคุณภาพ เมื่อนมนั้นผ่านมาตรฐานแล้วก็จะนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ ต่อไป

    ยังไม่รวมถึงการปลูกพืชอาหารสัตว์ที่อาจมีการผสมเมลามีนลงในดิน เพื่อเพิ่มโปรตีน และเร่งการเจริญเติบโต นั่นหมายความว่า เมลามีนได้ถูกผสมมาตั้งแต่ต้นทางของห่วงโซ่อาหารก่อนจะมาถึงปลายทางที่ผู้บริโภค ดังนั้นจึงไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์นมเท่านั้นที่เสี่ยงต่อสารเมลามีน แต่ทั้งดิน น้ำ พืชผัก หรือเนื้อสัตว์ก็มีโอกาสปนเปื้อนสารเมลามีนได้เช่นกัน

    ขณะที่ทางไต้หวันยังพบว่า มีสารเมลามีนปนเปื้อนมาในชีสซอสบรรจุซอง สำหรับทานกับพิซซ่า จึงเป็นผลิตภัณฑ์อีกหนึ่งประเภทที่ต้องถูกตรวจสอบว่าเกี่ยวข้องกับกรณีนมผงที่ปนเปื้อนหรือไม่

    [​IMG]


    [​IMG] พิษของสารเมลามีน

    ฤทธิ์ของสารเมลามีนนั้น ไม่จำเป็นต้องรับประทานเข้าไปโดยตรง เพียงแค่สูดดมเข้าไป หรือผิวหนังสัมผัสก็ทำให้เกิดการระคายเคือง จนส่งผลให้ผิวหนังอักเสบได้แล้ว ฉะนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ถ้ารับประทานเข้าไป จะเกิดอะไรขึ้น เพราะร่างกายเราไม่สามารถย่อยสารเมลามีนได้ ไตจึงไม่สามารถขับสารพิษออกมาทางปัสสาวะ

    ดังนั้นเมื่อสารนี้เข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปสะสม จนกลายเป็นนิ่วในท่อปัสสาวะ และไต ก่อให้เกิดมะเร็งที่ท่อปัสสาวะ ทำลายระบบสืบพันธุ์ และทำให้ไตวายได้อย่างเฉียบพลัน เช่นเดียวกับเด็กทารกชาวจีนทั้ง 4 คนที่เสียชีวิต เพราะรักษาไม่ทันการณ์ ขณะที่ยังมีเด็กอีกกว่า 53,000 คน ทั้งชาวจีน ฮ่องกง ไต้หวัน และมาเก๊า กำลังป่วยเป็นนิ่วในไตอันเป็นผลพวงมาจากสารเมลามีนนี้

    ในส่วนของภาชนะที่ทำจากเมลามีนก็ต้องระวังการใช้เช่นกัน แม้ผู้ผลิตจะบอกว่า สามารถทนความร้อนได้ถึง 100 องศา แต่ก็ควรใช้งานที่อุณหภูมิไม่เกิน 60 องศาเซลเซียส เนื่องจากหากใช้งานกับความร้อนสูง เช่น น้ำเดือดๆ อาหารที่ทอดใหม่ๆ ก็อาจทำให้สารฟอร์มัลดีไฮด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งแพร่ออกมาได้ เช่นนั้นแล้ว หากจะใช้ภาชนะปรุงอาหาร หรืออุ่นไมโครเวฟ ควรใช้ผลิตภัณฑ์จากเซรามิกจะดีกว่า



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    charintr.wordpress.com
    thainewsland.com
    thaipr.net
    healthcorners.com
    newswit.net
    tlcthai.com
    prachatai.com
    nrct.net

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">

    </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ไปไหนกันหมดครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เหอๆๆ มีหลายบ้าน เวลาไปนอน ทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถู รดน้ำต้นไม้มั่งป่าว ระวังฝุ่นหน้าเป็นกิโลเมตรนะครับ

    เมื่อวานนี้ พาคุณหมอถึง 2 ท่าน ไปตกระกำลำบากมา พาเดินซะ น่าจะหลายกิโลอยู่ครับ

    .
     
  12. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    อ่ะใครบอกไม่มี ชาน ไม่มี ยาน ยังทราบอีกเมื่อวานเพ่งไปซ้อชุดถูบ้านมาครบชุด กลับไปลุยซะเหนื่อยเลยครับ หุ หุ พาเดินมาเดินไป ระวังงงเองนะครับ....
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">



    </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ไปไหนกันหมดครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    เหอๆๆ มีหลายบ้าน เวลาไปนอน ทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถู รดน้ำต้นไม้มั่งป่าว ระวังฝุ่นหน้าเป็นกิโลเมตรนะครับ

    เมื่อวานนี้ พาคุณหมอถึง 2 ท่าน ไปตกระกำลำบากมา พาเดินซะ น่าจะหลายกิโลอยู่ครับ

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ผมไปข้างนอกก่อนนะครับ ไว้เจอกันตอนค่ำๆครับ

    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ระวัง! ถ้ำมองยุคไฮเทค

    http://hilight.kapook.com/view/29348


    [​IMG]

    เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจากหนังสือพิมพ์โพสต์ ทูเดย์

    ดูคลิปหรือยัง?
    ฉันมีหลักฐานว่าเธอนอกใจ ทั้งภาพ ทั้งเสียง อย่ามาปฎิเสธ จะหย่าดีๆ หรือให้มีคดีฟ้องศาล?
    วีซีดีโป๊ หน้าตาเหมือนเด็กที่เราเคยเห็นในตลาด?
    เฮ้ย! น้อง...มหาวิทยาลัย ถูกแอบถ่ายลงขายวีซีดี? ​

    หลากหลายคำถาม คำสนทนา เกิดขึ้นจากต้นตอเดียวกัน นั่นคือความก้าวไกลของเทคโนโลยี ที่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด และไม่แน่วันหนึ่งคุณอาจโชคร้าย กลายเป็นดาราจำเป็นโดยไม่รู้ตัว ไม่ได้ตั้งใจ อย่างเช่นกรณีของ 2 นักร้องสาวคู่หูดูโอ้ ที่โดนแอบถ่ายคลิปวีดีโอขณะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วนำมาเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต หนำซ้ำยังปั๊มเป็นวีซีดีออกมาขายกันเกลื่อน ​

    ถึงแม้จะเป็นการแอบถ่ายด้วยอุปกรณ์ที่ไม่ซับซ้อน แต่เวลานี้เทคโนโลยีในโลกสายลับก้าวหลุดออกมาถึงมือปุถุชนทั่วไป และเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเรายังมีพื้นที่ที่เป็นส่วนตัวอยู่ และจะจัดการอย่างไรกับอุปกรณ์ที่เป็นได้ทั้งความปลอดภัย และคุกคามสิทธิส่วนบุคคลในเวลาเดียวกัน

    ย้อนกลับไปในอดีต สายลับเคจีบีประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่สายลับ เวลาออกไปปฏิบัติการอยู่ประมาณ 2-3 ชิ้น ที่ได้รับการเปิดคือ กล้องกระดุมเสื้อโค้ต เครื่องดักฟังใต้โรงเท้า และกล้องนาฬิกาข้อมือที่ใช้ถ่ายได้ 6 รูป แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ต้องมีราคาแพง แต่ในปัจจุบันแทบไม่น่าเชื่อว่าเราสามารถเปลี่ยนตัวเองไปเป็นนักสืบหรือสายลับจับบ้านเล็กเฉพาะกิจ เพื่อสืบความลับของผู้อื่นได้ ด้วยการลงทุนเพียงไม่กี่หมื่นบาท แถมยังได้ประสิทธิภาพในการทำงานค่อนข้างดี ​

    ซึ่งอุปกรณ์สายลับที่วางขายเกลื่อนเมืองแบ่งการใช้งานได้เป็น 2 อย่างหลักๆ คือ กล้องขนาดจิ๋วสำหรับแอบถ่ายภาพ และเครื่องดักฟังเสียงระยะไกล โดยกล้องขนาดจิ๋วมีทั้งแต่ขนาดเท่าหน้าเลนส์ เท่ากระดุม ไปจนถึงแท่งสำหรับสอดเสียบในที่แคบๆ หรือที่เรียกกันว่า กล้องรูเข็ม และโดยเฉพาะกล้องกระดุมมักจะถูกนำมาติดตั้งแฝงตัวไปกับสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นกระดุมเสื้อ ฝังไว้ในผนัง หรือรูนอตในห้องโดยสารรถยนต์ เพราะสามารถแฝงตัวได้เนียนและใช้งานได้ดี บางรุ่นถึงขนาดมาในรูปแบบกล้องอินฟราเรด เพื่อเก็บภาพในเวลากลางคืนและในสภาพแสงน้อย ส่วนความละเอียดอยู่ที่ 420 เส้น ซึ่งหากเทียบกับความละเอียดของคอมพิวเตอร์ถือว่าน้อยกว่ามาก แต่ถ้าเปิดดูในโทรทัศน์ตามบ้าน ภาพก็ค่อนข้างชัดเจนถึงขนาดรู้ว่าใครเป็นใครเลยทีเดียว

    นอกจากกล้องสายลับแล้วสิ่งที่ขาดไม่ได้คือเครื่องดักฟัง ซึ่งอุปกรณ์เครื่องดักฟังมีอยู่ 2 แบบ คือ การติดตั้งไมโครโฟนไร้สายไว้ในพื้นที่เป้าหมาย ที่รู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว อยู่ในระยะส่งสัญญาณ ได้ผลแน่นอน และเครื่องดักฟังแบบปืนเล็งใช้นอกสถานที่ แต่เสียงที่ได้จะไม่ชัดเจนนัก เพราะมีระยะการทำงานไกล ​

    มื่อมีอุปกรณ์คุกคามสิทธิส่วนบุคคล พ่อค้าหัวใสก็ผลิตอุปกรณ์ตรวจจับและป้องกันตามออกมาเป็นธรรมดา แต่อุปกรณ์ที่ได้รับความสนใจจากผู้หญิงมากที่สุดคือ เครื่องตรวจจับกล้องแอบถ่ายหรือกล้องสายลับ มีอยู่ 2 แบบ ได้แก่ เครื่องตรวจจับกล้องอินฟราเรด และเครื่องตัดสัญญาณวิทยุ ในช่วงที่กล้องแอบถ่ายชนิดไร้สายทำงาน ​

    แต่ยังมีวิธีดีๆ ที่ช่วยตรวจจับกล้องแอบถ่ายในห้องน้ำหรือห้องลองเสื้อ ด้วยวิธีการ...

    - เปิดโหมดกล้องของโทรศัพท์ แล้วส่องไปยังจุดที่คิดว่าน่าจะมีกล้องแอบถ่ายซ้อนอยู่ หากเป็นกล้องอินฟราเรดหรือมีแสงอินฟราเรดทำงานอยู่ จะเห็นแสงเรืองออกมาจากตรงจุดนั้น ผ่านหน้าจอเครื่องโทรศัพท์ (สามารถทดสอบได้กับรีโมตโทรทัศน์)

    - หากกล้องแอบถ่ายไม่ใช่กล้องอินฟราเรด ก็คือปิดไฟในห้องแล้วใช้ไฟฉายส่องไปตามมุมจุดอับหรือช่องระบายอากาศต่างๆ หากมีแสงสะท้อนออกมาเหมือนเลนส์ ก็แสดงว่ามีกล้องแอบถ่ายติดอยู่

    อย่างไรก็ตาม ทางที่ดีต้องระวังตัวเอง เพราะถึงแม้ว่าจะป้องกันดีแค่ไหน แต่สำหรับพวกที่ตั้งใจจะแอบถ่ายแล้ว คงยากที่จะป้องกัน ​


    ขอขอบคุณข้อมูล โพสต์ทูเดย์
    [​IMG]
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กิน (อาหาร) เจ
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01fod02280951&sectionid=0125&day=2008-09-28

    คอลัมน์ หิวหรืออิ่มก็ยิ้มพอกัน

    โดย พัชรพน

    วันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11159 มติชนรายวัน





    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ตั้งแต่พรุ่งนี้ วันจันทร์ที่ 29 กันยายน 2551 ไปถึงวันอังคารที่ 7 ตุลาคม 2551 รวม 9 วัน สำหรับผู้มีเชื้อสายจีน ชีวิตจะเข้าสู่วิถีกินเจ ใครที่เคร่งหน่อยก็จะเริ่มตั้งแต่วันนี้ 28 กันยายน ไปจบเอาวันที่ 8 ตุลาคม

    แต่เพื่อนที่มีเชื้อสายคนจีนที่ผมเห็น ส่วนใหญ่ก็เคร่งกันทั้งนั้น

    ผมไม่ได้เข้าพิธีกินเจเหมือนเพื่อนเขา เพราะเป็นคนไทยแท้ แถมโตมาแบบบ้านนอก จับปู จับปลา หาผักในท้องนามาทำกับข้าวกันตั้งแต่เล็ก จนโต รู้ว่ามีกินเจก็เข้ามาเมืองมาเรียนมัธยมแล้ว

    เรียนมัธยม มีเพื่อนกินเจกันหลายคน ทำให้ผมซึ่งไม่กินเจ พลอยได้ลองอาหารเจทุกปี ตามประสาคนชอบตามใจเพื่อน

    ถึงวันนี้ เมื่อถึงเทศกาลกินเจเมื่อไร คนไม่กินเจอย่างผมต้องหาโอกาสไปลองอาหารเจทุกคราว ชอบครับ

    ไม่ใช่เรื่องอร่อยหรอก แต่พลอยรู้สึกอิ่มบุญไปด้วย กินแล้วสบายใจ

    เคยถามเพื่อนว่า "กินเจ" แปลว่าอะไร

    คำตอบก็คือ ไม่กินอาหารที่เจือปนเนื้อสัตว์ หรืออะไรก็ตามที่ได้มาจากสัตว์ รวมทั้งผักบางอย่างที่กลิ่นแรง เช่นกระเทียม หัวหอม

    ตอนผมเด็กๆ อาหารเจไม่ได้มีขายเยอะขนาดนี้ จะมีมากก็แค่แถวโรงเจ ปีหนึ่งก็ไปเยี่ยมๆ มองๆ แถวโรงเจ หาอาหารเจลองกินกันทีหนึ่ง โรงเจจะคึกคักมาก

    ในช่วงหลังๆ นี้ ความนิยมอาหารเจมีมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะคนคิดถึงสุขภาพกันมาก และมีการบอกกล่าวกันอยู่เรื่อยๆ ว่ากินผักแล้วสุขภาพดี คนก็เลยถือโอกาสที่มีอาหารซึ่งปรุงจากผักขายมากๆ จากเทศกาลนี้ พากันอาหารเจตามไปด้วย

    ร้านอาหารเจเลยเกิดขึ้นทั่วทุกหนแห่ง

    ความคึกคักของคนกินอาหารเจ โดยไม่ได้กินเจ จึงไม่ต้องเคร่งในเรื่องถือศีลเหมือนกันกินเจนี่เอง ที่ทำให้มีอาหารที่ปรุงด้วยผักแบบประหลาดๆ ขึ้น

    ที่บอกว่าประหลาดก็คือ แม้จะทำด้วยผัก แต่ทำให้เป็นรูปของเนื้อสัตว์สารพัด ไม่ว่าเป็นเนื้อไก่ เนื้อปลา เนื้อวัว เนื้อหมู สารพัดรูปแบบเหมือนที่ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเนื้อทำได้

    หลังๆ นี่โฆษณาว่าทั้งกลิ่นทั้งรส ใกล้เคียงกับเนื้อจริง

    เห็นแล้ว ฟังแล้ว คนไม่ได้กินเจอย่างผมได้แต่ขำ

    อยากลองอาหารเจทั้งที ทำไมต้องลองแบบที่มีรูป รส กลิ่นยังเป็นเนื้อสัตว์ ถ้าเป็นแบบนั้นผมเลือกกินเนื้อสัตว์ไปเลยดีกว่า

    ที่กินอาหารเจก็บอกแล้วว่าเป้าหมายไม่ได้อยู่ที่ความอร่อย ตอนแรกกินตามเพื่อน แต่ตอนหลังกินบ้างบางมื้อ เพราะรู้สึกว่ากินแล้วสบายใจ

    อย่างน้อยเว้นการมีส่วนร่วมกับการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตบ้าง ถือศีล 5 ข้อแรกแบบเต็มๆ บ้างในบางมื้อ

    จริงอยู่ ผู้ที่กินเจอาจจะมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันไป ตามตำราก็มีว่า

    กินเพื่อสุขภาพ อาหารเจเป็นอาหารประเภทชีวจิต เมื่อกินติดต่อกันไปช่วงเวลาหนึ่งจะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกายได้ ปรับระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินอาหารให้มีเสถียรภาพ

    กินด้วยจิตเมตตา เนื่องจากอาหารที่เรากินอยู่ในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้มีจิตเมตตา มีคุณธรรมและมีจิตสำนึกอันดีงามย่อมไม่อาจกินเลือดเนื้อของสัตว์เหล่านั้นซึ่งมีเลือดเนื้อ จิตใจและที่สำคัญมีความรักตัวกลัวตายเช่นเดียวกับคนเรา

    หรือ กินเพื่อเว้นกรรม ผู้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งย่อมตระหนักว่าการกินซึ่งอาศัยการฆ่าเพื่อเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นองเราเป็นการสร้างกรรม แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าเองก็ตาม การซื้อจากผู้อื่นก็เหมือนกับการจ้างฆ่าเพราะถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย กรรมที่สร้างนี้จะติดตามสนองเราในไม่ช้าทำให้สุขภาพร่างกายอายุขัยของเราสั้นลงเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อผู้หยั่งรู้เรื่องกฎแห่งกรรมนี้จึงหยุดกินหยุดฆ่าหันมารับประทานอาหารเจ ซึ่งทำให้ร่างกายเติบโตได้เหมือนกัน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น

    แต่เมื่อจะกินสักมื้อก็ให้รู้กันไปเลย ว่ากินผัก

    จะไปกินผักแบบให้รู้สึกว่ากินสัตว์ หลอกความรู้สึกตัวเองทำไม
     
  16. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    จาแจ้งให้ทราบว่ากำลังจาเปลี่ยนพระของท่านโด จากอกครุฑรุ่น2 เป็น พระ(ปู่5องค์เสก) เพราะว่า ไม่ว่ายุง แมลง หรือวันนี้เจอ ตัวต่อบินตามแต่ท่านโดคนเดียวครับ เมตตามากไปนิดครับ หุ หุ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เขาบอกว่ารัชกาลที่ ๑๐ นี่ไม่มี ?
    http://palungjit.org/showthread.php?t=150807

    โพสโดย คุณtamsak

    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ถาม : เมื่อก่อน โบราณเขาบอกว่ารัชกาลที่ ๑๐ นี่ไม่มี ?

    ตอบ : ไม่มีได้ไง เยอะแยะไป ถ้าไม่ตายซะก่อนเดี๋ยวก็ได้รู้ รับประกัน ราชวงศ์จักรีอายุยาวมากเป็นร้อยๆ รัชกาลล่ะคราวนี้ ต่อไปในภายภาคหน้าพวกประเทศต่างๆ ที่มีกษัตริย์อยู่เห็นว่าระบบกษัตริย์แบบไทยดี ช่วยให้ประเทศชาติร่มเย็นประชาชนเป็นสุข ก็พยายามจะฟื้นระบบกษัตริย์ของตัวเองคืนมา ประเทศที่ไม่มีเห็นว่าดีบางทีอยากจะมีบ้าง ก็อาจจะมีการตั้งราชวงศ์กันขึ้นมา

    ถ้าหากว่าใครเกิดใหม่ก็ตามดู ต่อไประบบกษัตริย์จะปกครองเยอะมาก พื้นฐานใหญ่ก็ รัชกาลที่ ๙ นี่ล่ะ กลายเป็นคนของโลกไปแล้ว เจอฝรั่งเดนมาร์กคนหนึ่งห้อยเหรียญในหลวง บอกเฮ้ย ! ยูเอาคิงของไอไปห้อยได้ยังไง ? เขาบอกว่าเราใจคับแคบ ในหลวงเป็นคนของโลกไม่ใช่คนของคนไทย เขาย่อมมีสิทธิ์ เขาว่าอย่างนั้น อ๋อ ... มันว่าเราเสียหมาเลย (หัวเราะ) เราก็ปากเสียเจอฝรั่งความคิดเค้าอิสระดี เขาเห็นว่าอะไรดีอะไรเหมาะสมเขารับไว้เลย เขาไม่มีการมาดัดจริตกัน เห็นว่าสมควรก็เอาแล้ว เขาเห็นว่าพระมหากษัตริย์ของไทยดีเขาก็เก็บไว้เป็นที่ระลึก เอาเหรียญไปเลี่ยมห้อยคอเฉยเลย เหรียญที่เราใช้ซื้อของกันนี่ล่ะ ก็ไม่ได้เลือกที่ดีที่เด่นอะไรอย่างของเรา อาตมาอุตสาห์หาเหรียญพระมหาชนกมาให้ ของเขาๆไม่หาหรอก แสดงว่ากำลังใจมันเต็มกว่าเรา เอาเหรียญบาทเลี่ยมใส่คอ ทุกประเทศพูดถึงในหลวงก็มีแต่ชื่นชม

    จนกระทั่งบางประเทศบอกว่า ถ้าหากว่าคนไทยทำงานให้ได้ครึ่งหนึ่งของในหลวงนี่รับรองว่าไม่มีประเทศไหนในโลกสู้ได้ แต่ญี่ปุ่นนี่แสบที่สุด ญี่ปุ่นมันบอกว่าคนไทยนอกจากในหลวงแล้วมันโกงทั้งนั้นล่ะ (หัวเราะ) เหมารวมพระไปด้วย (หัวเราะ) คำว่าโกงของเขา เขาใช้คำว่าคอร์รัปชั่น คอร์รัปชั่นนี่ฟังดูแล้วมันเบา คำว่าโกงแรงหน่อย นอกจากในหลวงแล้วคอร์รัปชั่นทั้งนั้น เล่นเหมาหมดทุกวงการเลย

    อย่างน้อยๆ ของเราถ้าเอาตั้งแต่ราชวงศ์จักรีมาเราก็มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรมเป็นพระมหากษัตริย์ที่เหมาะกับยุคสมัยตลอดมา ตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ ๑ ยังมีศึกเสือเหนือใต้อยู่เป็นปกติต้องรบทัพจับศึกอยู่เป็นปกติ เราก็มีรัชกาลที่ ๑ ที่เข้มแข็งเก่งกล้าในการรบ พอมาถึงรัชกาลที่ ๒ แผ่นดินเริ่มสงบลง ของท่านเองท่านก็มาทางด้านศิลปวัฒนธรรม วรรณคดี ดนตรีการ จนขนาดฝากฝีมือเอาไว้ที่ปานประตูวัดสุทัศน์ โอ้โห... แกะสลักลายนี่ประเภทที่พูดง่ายๆ ว่าแทบจะหลุดจะบินออกมาจากข้างในได้เลย

    พอมาถึง รัชกาลที่ ๓ พวกฝรั่งต่างชาติเข้ามาเยอะ ท่านเองท่านมองการณ์ไกล ค้าขายกับต่างประเทศถึงขนาดมีกองเรือพาณิชย์ของตัวเอง ค้าขายกับจีนหาเงินเข้าท้องพระคลังเอาไว้ถ้าหากว่ารัชกาลที่ ๔ ขึ้นครองราชย์จะได้มีเงินส่วนนี้เอาไว้กอบกู้ประเทศชาติเวลาที่ฝรั่งยุโรปมาเบียดเบียน

    พอ รัชกาลที่ ๔ เข้ามา พวกฝรั่งเยอะแล้วนี่ แล้วรัชกาลที่ ๔ เก่งภาษาอังกฤษมากเลยเก่งอย่างชนิดที่ฝรั่งเขาทึ่ง เขาบอกว่านึกไม่ถึงว่าคนที่อยู่ไกลขนาดนี้จะใช้ภาษาได้ดีขนาดนี้ แล้วก็ยังมีการเอาพวกข้าราชการฝรั่งอะไรต่างๆ มารับราชการสำรวจทำแผนที่บอกเขตประเทศให้ชัดเจน บังเอิญว่ายังทำไม่สำเร็จ พอมา รัชการที่ ๕ นี่พวกบรรดาอังกฤษ ฝรั่งเศสก็แย่งกันครอบครองดินแดน เราก็มีพระมหากษัตริย์ที่เปรื่องปราชญ์ปรีชาสามารถ สามารถตัดสินใจยอมเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนมากได้ มีการเลิกทาส มีการนำความเจริญสมัยใหม่มา ไม่ว่าจะเป็นโทรเลข โทรศัพท์ การไฟฟ้า รถไฟ อะไรพวกนี้

    มาถึง รัชกาลที่ ๖ สมัยนี้แผ่นดินจนหน่อย เพราะว่ารัชกาลที่ ๕ ทุ่มเทเพื่อแผ่นดินมาก รัชกาลที่ ๖ ก็จะมีการดุลข้าราชกาล คือว่าปรับสมดุล สมัยนี้ก็เหมือนกับเลย์เอ้าท์ให้ออกเพื่อให้ส่วนที่เหลืออยู่สามารถทำงานได้ พระองค์ท่านก็เปรื่องปราชญ์ถือเป็นนักปราชญ์เอกเลย แต่งหนังสือหนังหาเอาไว้เยอะมาก พอมาถึง รัชกาลที่ ๗ นี่ยุคสมัยของประชาธิปไตยโดยท่านเองท่านตั้งใจจะให้อยู่นานแล้วแต่คณะราษฏร์ใจร้อนไปหน่อย รีบเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าแปลงดินไปเลย ท่านก็ไม่ได้หวงพระราชอำนาจอะไร วินิจฉัยได้ถูกต้องซะด้วยซ้ำไปว่า ท่านมอบพระราชอำนาจให้ประชาชนทั้งประเทศไม่ได้ให้แก่หมู่คณะใดคณะหนึ่ง

    มาถึงรัชกาลที่ ๘ ช่วงสงครามโลกพอดี เราก็มีพระราชาที่เรียกว่าเป็นหนุ่มน้อยน่ารักใครเห็นก็รักใครเห็นก็ชม พระองค์ท่านสามารถวางพระองค์ได้ถูกต้องกับเหตุการณ์ได้หมดจนคนเขาทึ่ง ครองราชย์ตั้งแต่ยังเล็กๆ ทำไมถึงทำได้ดีขนาดนี้ อันนี้ต้องยกเครดิตทั้งหมดให้กับสมเด็จย่า สมเด็จย่าอบรมมา พอมาถึงรัชกาลที่ ๙ นี่อายุท่านยืนยาวกว่า ท่านต้องทำงานเหมือนกับทำงานสองรัชกาลเลย พี่สวรรคตตั้งแต่อายุยังน้อยอยู่ น้องขึ้นครองราชย์เท่ากับว่าทำงานยาวมาถึงปัจจุบันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่เหมือนยังกับว่ามันเป็นไปตามวาระ ตามเวลาถึงกรรมจะมีแต่บุญก็แรงอยู่ เราก็เลยมีพระมหากษัตริย์มีผู้นำที่พูดง่ายๆ ว่าเหมาะสมกับยุคสมัยตลอดมา เพราะฉะนั้นรัชกาลที่ ๑๐ ก็ต้องเหมาะสม

    ถาม : จะเป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย ?

    ตอบ : เขาว่าอะไรน่ะ โบราณคำทำนายของ สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ สมัยอยุธยาว่า มหากาฬผ่านมหายักษ์ รัชกาลที่ ๑ กับสมเด็จพระเจ้าตากสิน พอรัชกาลที่ ๒ ก็รู้จักธรรม ไม่รู้จักธรรมได้ไงบูรณะวัดไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ขนาดสร้างวัดสุทัศน์แกะสลักบานประตูเอง รัชกาลที่ ๓ จำต้องคิด ไม่คิดก็ไม่ได้ฝรั่งมันล่าเมืองขึ้นอยู่

    รัชกาลที่ ๔ สนิทธรรม บวชเองตั้งยี่สิบกว่าพรรษา กำเนิดธรรมยุติด้วย รัชกาลที่ ๕ จำแขนขาด ต้องเสียแผ่นดินบางส่วนเพื่อรักษาประเทศเอาไว้ รักษาความเป็นเอกราชเอาไว้ รอบข้างของเรากลายเป็นทาสของฝรั่งเศสกับอังกฤษแต่ประเทศไทยอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ รัชกาลที่ ๖ ราษฏร์ราชาจน จนถึงกับเงินหมดพระคลัง

    รัชกาลที่ ๗ นั่งทนทุกข์ ปฏิวัติต้องระเห็จไปอยู่ต่างประเทศแล้วก็สิ้นพระชนม์ต่างประเทศด้วย รัชกาลที่ ๘ ยุคทมิฬ ยุคสงครามโลกนับอีกทีก็พระมหากษัตริย์โดนปลงพระชนม์ด้วย รัชกาลที่ ๙ นี่ ถิ่นกาขาว โดดเด่นไม่เหมือนใคร เขาเป็นคอมมิวนิสต์ก็ไม่เป็นกับเขา เศรษฐกิจล่มประเทศอื่นจะเป็นจะตายคนไทยก็เชื่อในหลวงอย่างเดียว

    รัชกาลที่ ๑๐ นี่ชาววิไล ถึงเวลาสบายซะที เพราะรัชกาลที่ ๙ วางพื้นฐานเอาไว้ดีแล้ว พอรัชกาลที่ ๑๑ ก็ ไทยมหารัฐ เริ่มมีอำนาจขึ้นมารอบข้างเราต้องพึ่งพา พอรัชกาลที่ ๑๒ จักรพรรดิราช ถึงเวลาประเทศอื่นๆ เขาปกครองด้วยระบบพระมหากษัตริย์ก็ต้องลอกเลียนแบบของเราไป ก็เท่ากับว่ามาจากของเรานั่นเอง ว่าไปเรื่อยเดี๋ยวครบ ๑๕๐ รัชกาลแล้วจะยุ่ง

    ถาม : ...........................................

    ตอบ : บอกว่าอยู่เป็นพันปี ตอนนี้เพิ่ง ๒๒๐ ปี เมื่อวานมีใครไป วัดพระแก้ว มั่งมั้ย ? ประสาทพระเทพบิดร เปิด พระบรมรูปทั้ง ๘ รัชกาลก็อยุ่ที่นั่น พระบรมอัฐิก็อยู่ที่นั่น ถ้ามีโอกาสก็ไปกราบไหว้ให้เป็นสิริมงคลแก่ตัวบ้าง พวกเรานานๆ ไปนี่จิตสำนึกเกี่ยวกับชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์มันจางลงๆ ต้องไปดูจะได้รู้ว่าบรรพบุรุษของเราน่ะทำมาอย่างไร ? ปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร ? ประเทศชาติบ้านเมืองทุกตารางนิ้วสละเลือดทาแผ่นดินเอาไว้เขาว่าอะไร ..ดาบไทยหลายแสนเล่มตกอยู่เต็มปฐพี




    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนเมษายน ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ



    .
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เปลี่ยนเป็นรุ่นไหนครับ

    รุ่นพิเศษสุดยอดหรือเปล่าครับ
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับท่านที่อยู่ในกรุงเทพฯ วันอาทิตย์นี้อย่าลืมไปใช้สิทธิของตนเอง ในการเลือกผู้ว่ากรุงเทพฯ ด้วย

    วันอาทิตย์นี้ ผมจะถ่ายรูปพระพิมพ์ในชุดพิเศษ 3 นำมามอบให้กับท่านที่ร่วมทำบุญ ผมจะนำมาแจ้งอีกครั้งนะครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  20. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ตกลงงงครับ ลับ ลวงพรางกันมากไปหน่อยครับ 555 ตกลงรุ่นพิเศษนี้ยังไม่ใช่พิเศษของพิเศษใช่มั้ยครับ องค์นี้พิเศษกว่าปกติใช่ครับ (5องค์) ส่วนอกครุฑแม้แต่รุ่น2ก็ต้องขอเก็บจากเขาแล้วครับ เนื้อหวานมากกกก มด แมลง ยุง ตัวต่อ ตามหลบยังไงก็ตามครับ หุ หุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...