สมภารไม่ยอม ถอดป้ายหมิ่นฯ

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย เฮียปอ ตำมะลัง, 29 กรกฎาคม 2008.

  1. eternity_man66

    eternity_man66 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ลองอ่านพระไตรปิฎกดู แล้วจะรู้ว่าสิ่งที่เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า คือพระธรรม หรือธรรมวินัย ไม่ใช่วัตถุหรือพระพุทธรูป ที่เราทั้งประเทศเข้าใจผิดกันมานาน พระเกษมท่านได้กล่าวไว้ถูกต้องแล้วเพียงแต่ขัดความรู้สึกของพวกเราที่ชอบนับถือพระพุทธรูป แต่ชอบที่จะทำผิดธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงบัญญัติไว้เสมอๆ...
     
  2. boko0121

    boko0121 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +7,736
    ใช่ครับ
    ทำไมเราไม่สืบทอดศาสนาทางพระพุทธรูปละ
    เรามีธรรมวินัยกับการระลึก ก็พอแล้ว ต้องไปค้นคว้าหาอะไรให้เกิดกิเลสละ

    นี้คือคำสอนของคริสเตียนครับ มันน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับพวกท่านครับ
    "จงอย่ากล่าวโทษผู้อื่น แล้วท่านจะไม่ถูกกล่าวโทษ"
    "จงรักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตนเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2008
  3. BRAVA

    BRAVA สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +2
     
  4. BRAVA

    BRAVA สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +2
    เอาละนะ จากคำถามข้อที่1 ตอบว่า โดยกำเนิดของพระพุทธรูปนั้นไม่มีในพุทธกาล ถึงแม้ว่าจะมีการทูลถามว่าจะให้มีสิ่งใดเพื่อระลึก พระพุทธองค์ตอบว่า ให้พระธรรมเป็นตัวแทน ส่วนที่ระลึกอันเป็นวัตถุนั้น กำหนดไว้ แต่โดยหลักใหญ่ 2อย่างคือ บริโภคเจดีย์ หมายถึงสถาณที่บรรจุ บริขาร เครื่องใช้ของ พระพุทธเจ้าเมือยังมีชีวิตอยู่ และอีกอย่างคือ ธาตุเจดีย์ หมายถึงเจดีย์ อันบรรจุพระธาตุของพระพุทธเจ้า หรืพระอรหันต์ เนี่ยเเหละมีแค่2 อย่างนี้เท่านั้น ที่พระพุทธเจ้าว่า เป็นวัตถุอันควรบูชาเพื่อระลึกถึงพระองค์ ส่วนที่พระบางรูป อ้างว่าพุทธรูปเป็นอุเทสิกเจดีย์นั้น ก็เป็นการอ้งที่เข้าใจผิดอย่างแน่นอน เพราะอุเทสิกเจดีย์ต้องมีพระธาตุบรรจุด้วยจึงกราบไหว้ได้ แตพุทธรูปในปัจจุบัน รวมทั้งที่กำลังเป็นข่าวอยู่นั้น ไม่มีพระธาตุอยู่ภายใน
     
  5. BRAVA

    BRAVA สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +2
    คำตอบข้อที2 คือ ท่านท่องสวดสิขาบท ได้โดยไม่ต้องพุทธรูปไงคะ ทำไมเหรอคะ ๔ที่บ้านไม่มีพุทธรูปแล้ว ไหว้ระลึกถึงรัตนตรัยไม่ได้เหรอคุณน่ะ
     
  6. BRAVA

    BRAVA สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +2
    ตอบข้อที่1 มีทางเนไปได้ทั้งบุญและบาป ขึ้นอยู่ที่วัตถุนั้น ปลุกเสกด้วยแบบใด คาถาใด และมีพระธาตุบรรจุหรือไม่ รวมทั้งจิตของผู้กราบด้วยกราบเพื่อระลึกพระรัตนตรัยแต่กลับมากราบไหว้ เอาสิ่งนอกรัตนตรัย แต่ที่เเน่ๆ คือ ขาดจากรัตนตรัยไปเเล้วขณะกราบ
     
  7. BRAVA

    BRAVA สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +2
    โทษที ด้านบนเป็นคำตอบสำหรับข้อ3 และนี่คือคำตอบของข้อ4 ท่านลบล้างความเชื่อที่ผิดเหล่านั้น แต่ดำรงไว้ซึ่งคำสอนที่เเท้ของพระพุทธเจ้า เรียกง่ายๆว่า ชำระล้างความมัวหมอง ที่ครอบกั้นความจริงอยู่
     
  8. BRAVA

    BRAVA สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +2
    ข้อที่5 ท่านกราบสิคุณ ทำไมจะไม่ หลวงตาบัวก็อาจารย์ท่าน ท่านก็กราบ เพราะเป็นบุคลผู้ควรกราบ ในพระไตรก็มีอยู่ว่า ใครเป็นผู้ควรกราบ ก็มีอยู่ ส่วนพุทธรูปที่ไม่มีพระธาตุ ท่านก็เคยเหมือนกัน แตหลังจากได้ศึกษาพระไตรอย่างแท้จิง ท่านไม่กราบแล้ว
     
  9. BRAVA

    BRAVA สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +2
    ข้อ 6ท่านไม่ได้กล่าวเช่นนั้นค่ะ อย่าพยามใช้วิธีถามแบบทนายหัวหมอเลยคุณ
     
  10. BRAVA

    BRAVA สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +2
    ข้อที่ 7 ท่านตีความหมายของพุทรูปที่ไม่มีพระธาตุบรรจุอยู่ ว่าเป็น เช่นนั้น และเป็นแต่เพียงเครื่องหมายแห่งศรัทธาของคน ไม่ใช่เครื่องหมายของพระพุทธเจ้า แต่ยกเว้น ถ้ามีพระธาตุบรรจุก็อีกเรื่องนึง
     
  11. BRAVA

    BRAVA สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +2
    ข้อที่8 ชาวพุทธ กำลังจะลืมบัญญัติของพระพุทธเจ้า และกำลังตกเป็นเหยื่อของผู้เเสวงหาผลประโยชน์ ถ้าใครทำเพื่อศรัทธาจริงๆ ก็อย่าขายสิ อยาเรียกทุนคืนด้วย ทำไมไมแจกฟรี แต่ต้องไม่แจกไปเก็บไว้ส่วนตัวด้วย ขอให้แจกไว้ในที่ส่วนกลาง และบรรจุพระธาตุด้วย นี่อะไรกัน บอกว่าเคารพพระพุทธเจ้า แต่ขัดขืนพระธรรมของพระองค์
     
  12. BRAVA

    BRAVA สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +2
    ข้อที่9 ท่านระลึกได้ทุกที่ ทุกเวลา ไม่ต้องตั้งโต๊ะหมู่ เวลาคุณอยากร้องเพลง ต้องไปคาราโอเกะก่อนเหรอ ถึงจะร้องได้ ส่วนเรื่องการสวดนั้น ต้องดูด้วยว่าในพิธีอะไร กิจของสงฆ์หรือไม่ เช่นงานเเต่ง หรือขึ้นบ้านใหม่ นี่ไม่ใช่กิจของสงฆ์ และคาถาที่แต่งขึ้นใหม่ก็ไม่ใช้
     
  13. BRAVA

    BRAVA สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +2
    ข้อที่10 ท่านว่าเชื่อโดยไม่สืบค้น ดูว่าพระพุทธเจ้าอนุญาติหรือไม่ และกำลังเป็นเหยื่อ และเป็นผู้ทำลายศาสนาโดยไร้ตัว
     
  14. BRAVA

    BRAVA สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +2
    เอาล่ะคุณ คนตาบอด ตอบเเล้วนะ ถ้าคุณถามด้วยความสงสัยจริงๆ ก็ยินดีมากที่มีคนนึกสงสัยและอยากหาคำตอบอยู่บ้าง เพราะถือว่าเป็นลักษณะของคนที่มีปัญญา แต่ถ้าถามเพราะหาเรื่อง ก็ไม่อยากสนใจล่ะค่ะ
     
  15. พลัjจิต

    พลัjจิต สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +18
    สือที่เอามาลงเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ฉิบหายหมดละงานนี้
    พระพุทธชินราชรูปจำลองน่าขำ พระพุทธชินราชท่านเป็นเทวดาเท่านั้นชื่อเป็นแค่นามเท่านั้น ผู้ที่มาช่วยมนุษย์หล่อพระพุทธชินราช ก็คือท้าวสักกะเทวราชก็เพราะเหตุนี้ท่านจึงต้องรับใช้วิบากกรรมนั้นอยู่ โดยลงมาเกิดเป็นมนุษย์และบวชเป็นบรรพชิตอยู่ กรรมนี้ท่านรับอยู่หนักหนานัก ถ้าไม่ได้เทวดาที่มีนามว่าพุทธชินราชช่วยไว้ท่านคงเป็นบ้าไปแล้ว พระราชวิจิตรปฎิญาณ 5555 น่าขำเทียบไม่ได้แม้แต่เส้นขนขอผมเลย แล้วนับประสาอะไรจะไปเปรียบกับหลวงพ่อเกษม วิจิตรปฎิญาณบวชเสียข้าวสุก การจะขาดความเป็นสงฆ์คือ ปราชิก4เท่านั้น ผมขอปรับอาบัติพระวิจิตรปฎิญาณ ข้อด้วยการกล่าวโทษแก่ผู้อื่นโดยไม่มีมูลความจริงแก่หลวงพ่อเกษมว่าปราชิก ท่านต้องสังฆาธิเสส
     
  16. ซุปเปอร์ไซย่า

    ซุปเปอร์ไซย่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +0
    แน่ใจเหรอว่า หลวงปู่เกษมเชื่อถือในหลักคำสอนพระไตรปิฏกจริงเหรอ???

    ใครยังมี ซีดี ผีทรงเจ้าบ้า ที่คุณ พอเพียงเอามาไล่แจกสมาชิกในเวบนี้

    ลองไปเปิดดูอีกรอบสิ ........ จะพบความจริง

    ว่าหลวงพ่อ
    ไม่ได้เชื่อในหลักคำสอนของพระไตรปิฏกจริงๆหรอกขนาดเรื่องเล่าเรื่องเก่าแก
    ่ที่เขาเล่ามานมนานยังเอามาเถียงเลย

    ว่าไม่จริง พระแม่ธรณีไม่ได้ช่วยเหลือพระพุทธเจ้า แถมปรามาสด่ามารดาแห่งโลกด้วย แย่ที่สุด
    กรรมเลยตามสนองทัน ***พอมีคนเอาสิ่งไม่ดีที่หลวงปู่ทำมาพูด***


    ก็ยกมาอ้างว่า " ในพระไตรปิฎก ไม่ได้บอกให้เคารพนับถือพระพุทธรูป เพระาฉะนั้นไม่ควรไปกราบไหว้ "

    แต่ในซีดีที่หลวงพ่อเทศน์สอนที่มากราบไหว้ กลับบอกว่า

    พระไตรปิฏกไม่น่าเชื่อถือ เพราะ พระแม่ธรณีไม่ได้เป็นคน ช่วยพระพุทธเจ้าตอนที่ พญามารและเหล่าอสูรยกกองทัพมา


    พระแม่ธรณีไม่ได้บีบมวยผม ปล่อยน้ำออกมาไล่กองทัพของพญามาร ***ถ้าไม่เชื่อลองไปดูในซีดีได้***

    ((((และในเวบของวัดสามแยกก็มีกระทู้บอกชัดเจนว่า พระแม่ธรณีไม่ได้เป็นคนช่วยพระพุทธเจ้า )))))

    -*-กล้าด่ามารดาแห่งโลกว่า - นังธรณีเนื่ยนะที่ช่วยพระพุทธเจ้า อาตมาถอดจิตไปถามเทวดา มาหมดแล้วไม่มีใครรู้เรื่องอะไรเลย
    ดูได้

    http://www.samyaek.com/board2/index.php?topic=1049.0

    <table style="table-layout: fixed;" cellpadding="5" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td rowspan="2" style="overflow: hidden;" valign="top" width="16%">คมกฤษ ส่งศรีเมฆ .
    [​IMG]
    [​IMG] ออฟไลน์

    กระทู้: 1



    </td> <td height="100%" valign="top" width="85%"> <table border="0" width="100%"><tbody><tr> <td valign="middle">[​IMG]</td> <td valign="middle"> อยากทราบประวัติของพระแม่ธรณีบีบมวยผมครับ
    « เมื่อ: วันที่ 10 เมษายน , 2008 เวลา 06:59:37 pm »
    </td> <td style="font-size: smaller;" align="right" height="20" nowrap="nowrap" valign="bottom">
    </td> </tr></tbody></table> <hr class="hrcolor" size="1" width="100%"> อยากทราบประวัติของพระแม่ธรณีบีบมวยผมครับ ว่ามีความหมายว่าอย่างไร เกิดขึ้นเมื่อใด เพราะสาเหตุใดทำไมต้องบีบมวยผม
    </td> </tr> <tr> <td class="smalltext" valign="bottom" width="85%"> <table style="table-layout: fixed;" border="0" width="100%"><tbody><tr> <td colspan="2" class="smalltext" width="100%">
    </td> </tr><tr> <td class="smalltext" id="modified_9991" valign="bottom">
    </td> <td class="smalltext" align="right" valign="bottom"> [​IMG] บันทึกการเข้า </td> </tr></tbody></table> </td> </tr> </tbody></table>
    <table style="table-layout: fixed;" cellpadding="5" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td rowspan="2" style="overflow: hidden;" valign="top" width="16%"> พระพันธกานต์ อภิปญฺโญ
    พระ
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG] ออฟไลน์

    กระทู้: 1387

    พระวัดสามแยก



    พระหม่าว </td> <td height="100%" valign="top" width="85%"> <table border="0" width="100%"><tbody><tr> <td valign="middle">[​IMG]</td> <td valign="middle"> Re: อยากทราบประวัติของพระแม่ธรณีบีบมวยผมครับ
    « ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 21 เมษายน , 2008 เวลา 09:04:03 pm »
    </td> <td style="font-size: smaller;" align="right" height="20" nowrap="nowrap" valign="bottom">
    </td> </tr></tbody></table> <hr class="hrcolor" size="1" width="100%">
    อ้างจาก: คมกฤษ ส่งศรีเมฆ ที่ วันที่ 10 เมษายน , 2008 เวลา 06:59:37 pm
    อยากทราบประวัติของพระแม่ธรณีบีบมวยผมครับ ว่ามีความหมายว่าอย่างไร เกิดขึ้นเมื่อใด
    เพราะสาเหตุใดทำไมต้องบีบมวยผม

    เรื่องนี้ไม่ทราบเลย
    เพราะไม่มีความสำคัญใดๆกับพระพุทธศาสนาในคำสอนของพระพุทธเจ้าสำหรับแม่ธรณีบีบมวยผมนี้นะ
    และแม่ธรณีก็ไม่ได้ช่วยพระโพธิสัตว์ในวันตรัสรู้อีกด้วย


    คลิ๊กดูตามลิงค์นี้ได้เลย


    แต่ถ้าอยากจะอุทิศบุญไปให้แม่ธรณีก็ได้เหมือนกัน
    และอุทิศบุญไปให้แม่ธรณีตามวิธีการที่บอกกล่าวอยู่ในเว็บนี้แหละ

    กระทู้นี้ที่ตอบก็เพราะเห็นว่ายังไม่เคยมีตอบไว้ในกระดานนี้ ก็เลยมาตอบไว้ให้
    แต่กระทู้อื่นๆที่ถามมาแล้วไม่ได้ตอบ ก็แสดงว่ามีคำตอบไว้ให้แล้ว
    ถึงแม้บางคำถามจะไม่ตรงเป๊ะซะทีเดียว แต่ก็สามารถเทียบเคียงเพื่อหาคำตอบให้แก่ตัวเองได้




    </td> </tr> <tr> <td class="smalltext" valign="bottom" width="85%"> <table style="table-layout: fixed;" border="0" width="100%"><tbody><tr> <td colspan="2" class="smalltext" width="100%">
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2008
  17. ซุปเปอร์ไซย่า

    ซุปเปอร์ไซย่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +0
    70 % เคยอ่านตำราหลวงปู่ + ดูVCD มากันหมดแล้ว ไม่ใช่ว่ามาวิจารณ์ปรักปรำพระให้เกิด บาปเวรอะไรหรอก

    จริงเหรอครับ.........เอาตัวเลขมาจากไหนครับ

    ++++++++++++++++++++++++


    ลองเอารายชื่อคนเข้ากระทู้ ที่ประกาศแจกซีดีแจกฟรี ผี ทรง เจ้า บ้า ของหลวงปู่เกษม

    มารันรายชื่อ ดูว่ามีใครบ้าง ซึ่งคนที่ได้แจกซีดี

    ก็มาด่าในกระทู้นี้ เพียบบบบบบบบบบบบบ

    ไม่เชื่อก็เข้าไปดูได้ที่


    http://palungjit.org/showthrea...=46899&page=16
     
  18. ซุปเปอร์ไซย่า

    ซุปเปอร์ไซย่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +0
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td class="postdetails">ตอบเมื่อ: 03 กันยายน 2007, 4:35 pm</td> <td align="right" nowrap="nowrap" valign="top">[​IMG][​IMG]</td></tr></tbody></table> <table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="94%"> <tbody> <tr> <td class="postbody" valign="top"> <hr> [​IMG]

    ‘แม่พระธรณี’ แผ่นดินนี้มีแต่ ‘ให้’ พยานแห่งการตรัสรู้

    แม้ว่าเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘แม่ธรณี’, ‘แม่พระธรณี’ หรือ ‘พระแม่ธรณี’ ตามแต่จะเรียกขานกันนั้น จะมิใช่คติดั้งเดิมของชาวพุทธอย่างแท้จริงก็ตาม แต่ก็ได้ปรากฏคติความเชื่อเรื่องนี้ในสังคมไทยมาเป็นเวลาช้านาน

    แม่พระธรณีเป็นใคร ? เกี่ยวโยงถึงเรื่องราวในศาสนาได้อย่างไร ? และเหตุใดจึงมีอิทธิพลต่อความเชื่อในวัฒนธรรมไทย ?

    เรื่องนี้ อาจารย์ฤดีรัตน์ กายราศ จากสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ได้ค้นคว้าและเรียบเรียงไว้เป็นความรู้ที่น่าสนใจและเห็นภาพได้ชัดเจน ดังความส่วนหนึ่งว่า

    ปรากฏการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติอันน่ามหัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่มนุษย์แต่โบราณกาลไม่สามารถทราบหรืออธิบายได้ด้วยปัญญาและเหตุผล จึงเข้าใจว่าเกิดจากฤทธิ์และอำนาจของผีสางเทวดาที่จะบันดาลให้ทั้งคุณและโทษ ประกอบกับธรรมชาติของมนุษย์ต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ เพื่อช่วยให้เกิดความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครอง จึงเกิดคติความเชื่อว่า หากมีการบนบานศาลกล่าวเซ่นไหว้บูชาแล้ว ก็จะพ้นจากความทุกข์ยากลำบากเดือดร้อน

    ด้วยความเชื่อดังนี้ เมื่อปฏิบัติสืบเนื่องกันมาเป็นเวลาช้านาน ก็ได้เข้าไปครอบงำอยู่ในความนึกคิดและจิตใจของคนในชาติในสังคมอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ กลายเป็นมูลฐานแห่งวัฒนธรรมจารีตประเพณี เกิดเป็นพิธีรีตองต่างๆ ที่มนุษย์ในยุคสมัยต่อมาได้ปรับปรุงให้ประณีตงดงามขึ้น เพื่อสัมฤทธิ์ผลแห่งความเป็นสวัสดิมงคลในการดำเนินชีวิต เทวดาในวัฒนธรรมไทยก็เป็นมรดกจากสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนการทำมาหากินของคนไทย และเป็นที่น่าสังเกตว่าเทวดาที่คอยเอื้อเฟื้อดูแลทุกข์สุขของมวลมนุษย์ มักจะเป็นเทวดา ผู้หญิงเสียเป็นส่วนใหญ่

    พระธรณี ตามคติความเชื่อของชาวฮินดูให้ความเคารพนับถือว่า แผ่นดินเป็นสิ่งค้ำจุนสรรพสิ่งทั้งปวงในโลก เปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดหล่อเลี้ยงโลกและแผ่นดิน จึงได้รับยกย่องว่าเป็น เทพจากธรรมชาติองค์หนึ่งเป็นเพศหญิง เรียกนามว่า ‘ธรณิธริตริ’ แปลว่าผู้ค้ำจุนพระธรณี แม้จะมิค่อยมีรูปเคารพอย่างแพร่หลายเช่นเทพองค์อื่น แต่ก็มีผู้ให้ความเคารพนับถือเป็นจำนวนมิใช่น้อย เพราะถือกันว่าพระธรณีสถิตอยู่ตามที่ต่างๆ ทุกหนทุกแห่ง จะทำการบูชาด้วย ข้าว ผลไม้ และนม ด้วยการวางไว้บนก้อนหิน หรือประพรมลงบนพื้นดิน บางแห่งใช้เหล้าเป็นการสังเวยก็มี

    นอกจากนี้ชาวฮินดูยังมีการขอขมาลาโทษเมื่อจะวางเท้าลงบนพื้นดินก่อนจะลุกขึ้นในตอนเช้า วัวหรือควายที่มีลูกก่อนที่จะให้ลูกกินนมครั้งแรก เจ้าของจะปล่อยน้ำนมของแม่วัวลงบนพื้นดินเสียก่อนทุกครั้งไป ถ้าเป็นพวกชาวนาก็จะขอให้พระธรณีช่วยคุ้มครองผืนนาและวัวควาย แม้ในพระเวทก็มีการขอร้องต่อพระธรณีให้ช่วยพิทักษ์คุ้มครองวิญญาณของคนตาย และต่อมาได้นับถือว่าเป็นเทพแห่งไร่นาด้วย ในแคว้นปัญจาบเชื่อกันว่าพระธรณีจะนอนหลับเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ของทุกๆ เดือน ชาวไร่ชาวนาจะหยุดไม่ทำงานในระยะนี้

    เทพแห่งแผ่นดินหรือพระธรณี ไม่ค่อยมีเรื่องราวประวัติความเป็นมาปรากฏมากมายดังเช่นเทพองค์อื่น หรือมีก็สับสน เช่น บางแห่งว่าพระธรณีมีโอรสกับพระนารายณ์องค์หนึ่งคือพระอังคาร บางแห่งว่าพระอังคารเป็นโอรสของพระศิวะกับพระธรณี หรือในคติพราหมณ์พบเพียงว่าเป็น ชายาของพระธุรวะหรือดาวเหนือ

    คติความเชื่อเรื่องพระธรณีได้เผยแพร่มาสู่ไทย ก็เนื่องจากอิทธิพลคัมภีร์พระพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ในพิธีกรรมต่างๆ อาทิ พิธีการก่อนไปจับช้าง ก็มีการกล่าวบูชาพระธรณีเช่นกัน แต่ความเชื่อถือเกี่ยวกับพระธรณีในไทยก็มิได้เป็นที่แพร่หลายนัก และมีความเชื่อเช่นเดียวกับทางอินเดียว่าเป็นเพศหญิง นามพระธรณีมีปรากฏในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง อาทิ หนังสือเทศน์มหาชาติปฐมสมโพธิกถา ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นต้น มีนามเรียกแตกต่างกันไปเช่น นางพระธรณี พระแม่วสุนธราพสุธา แปลในความหมายเดียวกันว่า ผู้ทรงไว้ซึ่งทรัพย์สมบัติ หมายถึงแผ่นดินนั่นเอง สำหรับชาวไทยทั่วไปจะเรียกกันติดปากว่า แม่พระธรณีบ้าง พระแม่ธรณีบ้าง ตามความนิยม

    จากเรื่องราวของพระธรณี แสดงให้เห็นว่าเป็นเทพที่รักสงบอยู่เงียบๆ จึงไม่ใคร่มีเรื่องราวอะไรในโลก เฝ้าแต่เลี้ยงโลกประดุจแม่เลี้ยงลูก คอยรับรู้การทำบุญกุศลของมนุษย์โลก ด้วยการใช้มวยผมรองรับน้ำจากการกรวดน้ำ เสมือนกับเป็นอรูปกะ คือไม่มีตัวตน แต่เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นหรือมีผู้ร้องขอจึงจะปรากฏรูปขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง

    พระธรณีเป็นเทวดาผู้หญิงที่มีสรีระรูปร่างใหญ่ หากแต่อ่อนช้อยงดงาม พระฉวีสีดำ พระพักตร์รูปไข่ มวยพระเกศายาวสลวยสีเขียวชอุ่มเหมือนกลุ่มเมฆ พระเนตรสีเหมือนดอกบัวสายคือสีน้ำเงิน พระชงฆ์เรียว พระพาหาดุจงวงไอยรา นิ้วพระหัตถ์เรียวเหมือนลำเทียน มีพระทัยเยือก เย็นไม่หวั่นไหว พระพักตร์ยิ้มละไมอยู่เสมอ

    [​IMG]
    ภาพพระแม่ธรณีจากวัดชมภูเวก จ.นนทบุรี


    ภาพเขียนรูปนางพระธรณีที่ถือกันว่างดงามเป็นพิเศษ คือ ภาพที่ฝาผนังด้านหน้าพระประธานในพระอุโบสถวัดชมภูเวก ตำบลท่าทราย อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ส่วนภาพปั้นหล่อนางพระธรณีในศิลปะไทยที่มีปรากฏอยู่จะทำเป็นรูปหญิงสาว มีรูปร่างอวบใหญ่ ล่ำสันอย่างได้สัดส่วน มีความงามประดุจเทพธิดา นั่งในท่าคุกเข่า แต่ยกเข่าขวาขึ้นสูงกว่าเข่าซ้าย บางแห่งสร้างให้อยู่ในท่ายืน แต่ที่เหมือนกันก็คือมวยผมปล่อยยาว มือขวายกข้ามศีรษะไปจับไว้ที่โคนมวยผม ส่วนมือซ้ายจับมวยผมแสดงท่ากำลังบิดให้สายน้ำไหลออกมาจากมวยผมนั้น ส่วนเครื่องทรงไม่มีแบบแผนที่แน่นอนตายตัว ตามแต่จินตนาการของผู้สร้าง บางแห่งสวมพัสตราภรณ์เฉพาะช่วงล่าง แต่บางแห่งทั้งนุ่งผ้าจีบและห่มสไบอย่างสวยงาม ประดับเครื่องถนิมพิมพาภรณ์มีกรอบหน้าและจอนหู เป็นต้น...

    ส่วนลักษณะตามความเชื่อทางพระพุทธศาสนาจากตำนานเกี่ยวกับเทวดา มาร พรหม และจากพระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส (พระองค์เจ้าวาสุกรี) เรื่องปฐมสมโพธิกถา ตอนมารวิชัยปริวรรต ได้กล่าวถึงพระแม่ธรณีที่ปรากฏขึ้นมาในช่วงที่สำคัญที่สุดของพระพุทธเจ้า คือ ก่อนการตรัสรู้ ได้เป็นพยานสำคัญในการปราบมารทั้งหลายทั้งปวง ดังความละเอียดต่อไปนี้

    “แต่ในชาติอาตมะเป็นพระยาเวสสันดรชาติเดียวนั้น ก็ได้บำเพ็ญทานบารมีถึงบริจาคนางมัทรีเป็นอวสาน พื้นพสุธาก็กัมปนาการถึง 7 ครั้ง แลกาลบัดนี้ อาตมะนั่งเหนือ อปราชิตบัลลังก์อาสน์ หมู่มารอริราชมาแวดล้อมยุทธการ เป็นไฉนแผ่นพสุธาธารจึงดุษณีภาพอยู่ฉะนี้ แลพระยามาร อ้างบริษัทแห่งตนให้เป็นกฎสักขีขานคำมุสา แลพื้นปฐพีอันปราศจากเจตนาได้สดับคำอาตมะในครั้งนี้จงรับเป็นสักขีพยานแห่งข้า

    แล้วเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาอันประดับด้วยจักรลักษณะอันงามดุจงวงไอยรารุ่งเรืองด้วยพระนขามีพรรณอันแดงดุจแก้วประพาฬออกจากห้องแห่งจีวร ครุวนาดุจวิชุลดาในอัมพรอันออกจากระหว่างห้องแห่งรัตวลาหก ยกพระดัชนีชี้เฉพาะพื้นมหินทรา จึงออกพระวาจา ประกาศแก่นางพระธรณีว่า ดูก่อนวนิดาดลนารี ตั้งแต่อาตมะบำเพ็ญพระสมภารบารมีมาตราบเท่าถึงอัตภาพเป็นพระเวสสันดรราช ได้เสียสละบุตรทานบริจาคแลสัตตสดกมหาทาน สมณะพราหมณาจารย์ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งจะกระทำเป็นสักขีพยานในที่นี้ก็มิได้ มีแต่พสุนธารนารีนี้แลรู้เห็นเป็นพยานอันใหญ่ยิ่ง เป็นไฉนท่านจึงนิ่งมิได้เป็นพยานอาตมาในกาล บัดนี้

    ในขณะนั้น นางพสุนธรีวนิดาก็มิอาจดำรงกายาอยู่ได้ ด้วยโพธิสมภารานุภาพยิ่งใหญ่แห่งพระมหาสัตว์ ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นปฐพียืนประดิษฐานเฉพาะพระพุทธังกุรราช เหมือนดุจร้องประกาศกราบทูล พระกรุณาว่า ข้าแต่พระมหาบุรุษราช ข้าพระบาททราบซึ่งสมภารบารมีที่พระองค์สั่งสมอบรมบำเพ็ญมา แต่น้ำทักษิโณทกตกลงชุ่มอยู่ในเกศาข้าพระพุทธเจ้านี้ ก็มากกว่ามากประมาณมิได้ ข้าพระองค์จะบิดกระแสใสสินโธทกให้ตกไหลหลั่งลง จงเห็นประจักษ์แก่นัยนาในครานี้ แลนางพระธรณีก็บิดน้ำในโมลีแห่งตน อันว่ากระแสชลก็หลั่งไหลออกจากเกศโมลีแห่งนางพสุนธรี เป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศที่ทั้งปวงประดุจห้องมหาสาครสมุทร พระผู้เป็นเจ้ารักขิตาจารย์จึงกล่าวสารพระคาถาอรรถาธิบายความก็เหมือนนัยกล่าวแล้วแต่หลัง

    ครั้งนั้น หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำปลาตนาการไปสิ้น ส่วนคิรีเมขลคชินทรที่นั่งทรงองค์พระยาวัสวดีก็มีบาทาอันพลาดมิอาจ ตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร อันว่าระเบียบแห่งฉัตรธวัชจามรทั้งหลาย ก็ทักทบท่าวทำลาย ล้มลงเกลื่อนกลาดและพระยามาราธิราชได้ทัศนาการเห็นมหัศจรรย์ ดังนั้น ก็บันดาลจิตพิศวงครั่นคร้ามขามพระเดชพระคุณเป็นอันมาก พระคันถรจนาจารย์จึงกล่าวพระคาถาสรรเสริญคุณานุภาพโพธิสัตว์อรรถาธิบายความก็ซ้ำหนหลัง

    ครั้งนั้นมหาปฐพีก็ป่วนปั่นปานประหนึ่งว่าจักรแห่งนายช่างหม้อบันลือศัพท์นฤนาทหวาดไหวสะเทือนสะท้าน เบื้องบนอากาศก็นฤโฆษนาการ เสียงมหาเมฆครืนครั่นปิ่มปานจะทำลายภูผาทั้งหลาย มีสัตตภัณฑ์บรรพต เป็นต้น ก็วิจลจลาการขานทรัพย์สำเนียงกึกก้องทั่วทั้งท้องจักรวาล ก็บันดาลโกลาหลทั่วสกลดังสะท้าน ปานดุจเสียงป่าไผ่อันไหม้ด้วยเปลวอัคคี ทั้งเทวทุนทุภีกลองสวรรค์ก็บันลือลั่นไปเอง เสียงครืนเครงดุจวีหิลาชอันสาดทิ้ง ถูกกระเบื้องอันเรืองโรจน์ร้อนในกองอัคนี การอัสนีบาตก็ประหารลงเปรี้ยงๆ เพียงพื้นแผ่นปฐพีจะพังภาคดังห่าฝน ถ่านเพลิง ตกต้องพสุธาดลดำเกิงแสงสว่าง หมู่มารทั้งหลายต่างๆ ตระหนกตกประหม่า กลัวพระเดชานุภาพแพ้พ่าย แตกขจัดขจายหนีไปในทิศานุทิศทั้งปวงมิได้เศษ

    แลพระยามาราธิราชก็กลัวพระเดชบารมี ปราศจากที่พึ่งที่พำนักซ่อน เร้นให้พ้นภัยหฤทัย ท้อระทดสลดสังเวช จึงออกพระโอษฐ์สรรเสริญพระเดชพระคุณพระมหาบุรุษราชว่า ดังอาตมะจินตนาการอันว่าผลทานศีลสรรพบารมีแห่งพระสิทธัตถกุมารนี้ ปรากฏอาจให้บังเกิดมหิทธฤทธิ์สำเร็จกิจมโนรถปรารถนาทุกประการ มีพระกมลเบิกบานแผ่ไปด้วยประสาทโสมนัส จึงทิ้งเสียซึ่งสรรพาวุธ ประนมหัตถ์ทั้ง 2,000 อัญชลีกรนมัสการ ก็กล่าวสารพระคาถาว่า นโม เต ปุริสาชญญ เป็นอาทิ อรรถาธิบายความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ปุริสาชาไนยชาติเป็นอุดมบุรุษราชในโลกนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายวันทนาการชุลีพร้อมด้วยทวารทั้ง 3 คือกาย วจี มโน ประณามประณตในบทบงกชยุคลบาท บุคคลผู้ใดในมนุษย์โลกธาตุกับทั้งเทวโลก ที่จะปูนเปรียบประเสริฐเสมอพระองค์คงเทียมเทียบนั้นมิได้มี

    พระองค์ได้ตรัสเป็นพระศรีสรรเพชญ์เสร็จแจ้งจตุราริยสัจจ์ศาสดาจารย์มีพระเดชครอบงำชำนะหมู่มาร เป็นปิ่นปราชญ์ฉลาดในอนุสัยแห่งสรรพสัตวโลกจะข้ามขนนิกรเวไนย์ให้พ้นจตุรโอฆกันดารบรรลุฝั่งฟากอมฤตมหานฤพานอันเกษมสุขปราศจากสังสารทุกข์ในครั้งนี้ แลพระยาวัสวดีมารโถมนาการพระคุณพระมหาบุรุษราชด้วยจิตประสาทเลื่อมใส ผลกุศลนั้นจะตกแต่งให้ได้ตรัสแก่พระปัจเจกโพธิญาณในอนาคตกาลภายหน้า เมื่อพระยามารกล่าวสัมภาวนากถาสรรเสริญคุณพระโพธิสัตว์ แล้วก็นิวัตตนาการสู่สกลฐานเทวพิภพ”


    จึงสรุปความเชื่อทั้ง 2 ลักษณะ คือ พระแม่ธรณีเป็นอรูปกะคือไม่มีรูปกาย เช่นเดียวกับพระแม่คงคา ซึ่งชาวฮินดูจะทำการสักการะได้ทุกสถานที่ เมื่อต้องการความช่วยเหลือก็อ้างเรียกได้ทุกเวลา ส่วนความเชื่ออีกลักษณะหนึ่งที่ทางศาสนาพุทธได้เชื่อตามพุทธประวัติ ที่พระแม่ธรณีได้มีพระคุณต่อพระพุทธเจ้าก่อนการตรัสรู้ดังได้กล่าวมาแล้วนั้น พระแม่ธรณีมีรูปกายผุดขึ้นมาจากพื้นปฐพี เป็นองค์ที่มีภาพเป็นนิมิตรเป็นรูปสตรีที่ทางพุทธได้กำหนดพระนามของพระแม่ธรณี คือ ‘นางพสุนธรี’

    ซึ่งเป็นองค์ตามลักษณะของรูปร่างตามพระแม่ธรณีบีบมวยผม จะประดิษฐานอยู่ใต้แท่นฐานพระพุทธเจ้า ‘ปางปราบมาร’ และเมื่อเกิดมหาปฐพีป่วนปั่น ด้วยอิทธิฤทธิ์ของพระแม่ธรณีบีบมวยผม น้ำมาท่วมท้นหมู่มาร มีทั้งฝนตกและน้ำท่วม และ ‘ปางนาคปรก’ หรือเรียกว่า ‘พระอนันตชินราช’ ซึ่งมีพญานาคได้มาแผ่ปกบังฝนและขดตัวยกชูบัลลังก์ขึ้นสูงจากน้ำที่ท่วมท้นขึ้นมาอย่างฉับพลัน จึงมีรูปภาพที่ตามผนังพระอุโบสถวัดต่างๆ ตรงข้ามกับพระประธาน พระแม่ธรณีจึงเป็นเทพผู้อุปถัมภ์พระพุทธเจ้า การบูชาจึงดูได้จากภาพพระแม่ธรณีที่ทูนบัลลังก์พระพุทธองค์สูงเหนือเศียร เป็นต้น

    การสักการบูชาพระแม่ธรณี เมื่อศึกษาจากบทสวดทางพุทธศาสนา จึงเป็นบทที่เกี่ยวกับการ ‘ให้’ เป็นหลักใหญ่ จนมีผู้เรียบเรียงไว้สำหรับผู้สนใจได้ใช้บูชาคู่กับพุทธคุณ ซึ่งนิยมใช้บทสวด ‘พาหุง พุทธคุณคุ้มครองโลก’

    [​IMG]
    รูปปั้นแม่พระธรณีบีบมวยผม


    แม่พระธรณีบีบมวยผม
    สาธารณทานของ ‘พระราชินีนาถ’ ในรัชกาลที่ 5


    รูปปั้นแม่พระธรณีบีบมวยผม ซึ่งประดิษฐานบริเวณเชิงสะพานผ่านพิภพลีลา ถือเป็นอนุสรณ์สถานสำคัญของกรุงเทพมหานคร สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ตามประวัติกล่าวว่า

    สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 5 หรือสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในรัชกาลที่ 6 และ 7 ทรงมีพระราชดำริให้สร้างรูปแม่ธรณีบีบมวยผมขึ้น เพื่อแจกจ่ายน้ำดื่มสะอาดบริสุทธิ์ให้ผู้คนทั่วไป เป็นสาธารณทานแก่ชาวกรุงเทพฯ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 50 พรรษาของพระองค์ เมื่อปี พ.ศ.2456

    โดยมีลักษณะเป็นรูปแม่ธรณีบีบมวยผมนั่งอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว ซึ่งสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ทรงออกแบบรูปแม่ธรณี ส่วนพระยาจินดารังสรรค์ (พลับ) เป็นผู้ออกแบบซุ้มเรือนแก้ว กระทั่งแล้วเสร็จและประกอบพิธีเปิดในวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2460 อันเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ดังที่ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2460 ความว่า...

    “พรุ่งนี้ฉันจะทำบุญวันเกิดที่นี่ตามคตินิยม ให้คุณจัดเปิดรูปนางพระธรณีท่ออุทกทาน ซึ่งฉันได้ออกทรัพย์ให้หล่อขึ้นสำเร็จตั้งไว้ ณ เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา และขออุทิศท่ออุทกทานนี้ให้เป็นสาธารณทานแก่ประชาชนผู้เพื่อนแผ่นดินใช้กินบำบัดร้อนและกระหาย เป็นความสบายตามปรารถนาทั่วกันเทอญ”

    [​IMG]
    อนุสรณ์สถานแม่พระธรณีบีบมวยผม


    ปัจจุบัน อนุสรณ์สถานแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร ที่มีประชาชนมาสักการบูชาอย่างไม่ขาดสาย


    จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 81 ส.ค. 50 โดย มุทิตา
    โดย ผู้จัดการออนไลน์ 3 สิงหาคม 2550 14:14 น.
    </td></tr> <tr> <td> </td></tr></tbody></table>
     
  19. ซุปเปอร์ไซย่า

    ซุปเปอร์ไซย่า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +0
    <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="95%"> <tbody> <tr> <td>QUOTE (racerwin_x @ Apr 27 2006, 06:52 PM)</td></tr> <tr> <td id="QUOTE"><!--QuoteEBegin-->ก่อนที่พระพุธเจ้าจะ ตร้สรู้ ท่านต้องพบกับมารผจญมากมายขนาดไหนครับ เท่าที่รู้คือ มีปีศาจที่เรียกลูกตัวเองมาแล้วก็ยั่วพระพุธเจ้า

    แต่พระพุธเจ้าหยุดแล้วจึงขจัดมารไปได้ นอกจากมารตัวนี้แล้ว มีตัวไหนอีกครับ ที่มารังควาญก่อนจะตรัสรู้ ขอบคุณครับ

    ผมไม่ทราบชื่อมารตัวนี้ครับ จําไม่ได้ ขออภัยด้วยครับ <!--QuoteEnd--></td></tr></tbody></table><!--QuoteEEnd-->
    พอดีไม่มีเวลาค้นละเอียด ลองศึกษาดูก่อนนะครับ <!--emo&:lol:-->[​IMG]<!--endemo-->

    <!--QuoteBegin--> <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="95%"> <tbody> <tr> <td>QUOTE </td></tr> <tr> <td id="QUOTE"><!--QuoteEBegin-->เหตุการณ์ที่เกิดกับพระมหาบุรุษตอนนี้เรียกว่า 'มารผจญ' ซึ่งเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือนหก ก่อน
    ตรัสรู้ไม่กี่ชั่งโมง พระอาทิตย์กำลังอัสดงลงลับทิวไม้ สัตว์สี่เท้าที่กำลังจะใช้งาทิ่มแทงพระมหาบุรุษนั้นมี
    ชื่อว่า 'นาราคีรีเมขล์' เป็นช้างทรงของพระยาวัสสวดีมารซึ่งเป็นจอมทัพ สตรีที่กำลังบีบมวยผมนั้นคือพระ
    นางธรณี มีชื่อจริงว่า 'สุนธรีวนิดา'

    พระยามารตนนี้เคยผจญพระมหาบุรุษมาครั้งหนึ่งแล้ว คือ เมื่อคราวเสด็จออกจากเมือง แต่
    คราวนี้เป็นการผจญชิงชัยกับพระมหาบุรุษยิ่งใหญ่กว่าทุกคราว กำลังพลที่พระยามารยกมาครั้งนี้มืดฟ้ามัว
    ดิน มาทั้งบนเวหา บนดิน และใต้บาดาลขนาดเทพเจ้าที่มาเฝ้ารักษาพระมหาบุรุษต่างเผ่นหนีกลับวิมานกัน
    หมดเพราะเกรงกลัวมาร

    ปฐมสมโพธิพรรณนาภาพพลมารตอนนี้ไว้ว่า "...บางจำพวกก็หน้าแดงกายเขียว บางจำพวก
    ก็หน้าเขียวกายแดง ลางเหล่าจำแลงกายขาวหน้าเหลือง...บางหมู่กายลายพร้อยหน้าดำ...ลางพวกกายท่อน
    ล่างเป็นนาค กายท่อนต่ำหลากเป็นมนุษย์..."


    ส่วนตัวพระยามารเนรมิตพาหาคือแขนซ้ายและขวาข้างละหนึ่งพันแขน แต่ละแขนถืออาวุธ
    ต่างๆ เช่น ดาบ หอก ธนู ศร โตมร (หอกซัด) จักรสังข์ อังกัส (ของ้าวเหล็ก) คทา ก้อนศิลา หลาว
    เหล็ก ครกเหล็ก ขวานถาก ขวานผ่า ตรีศูล (หลาวสามง่าม) ฯลฯ


    เหตุที่พระยามารมาผจญพระมหาบุรุษทุกครั้ง เพราะพระยามารมีนิสัยไม่อยากเห็นใครดีเกิน
    หน้าตน เมื่อพระมหาบุรุษจะทรงพยายามเพื่อเป็นคนดีที่สุดในโลก จึงขัดขวางไว้ แต่ก็พ่ายแพ้พระมหา
    บุรุษทุกครั้ง ครั้งนี้เมื่อเริ่มยกแรกก็แพ้ แพ้แล้วก็ใช้เล่ห์ คือ กล่าวตู่พระมหาบุรุษว่ามายึดเอาโพธิบัลลังก์
    คือตรงที่พระมหาบุรุษประทับนั่ง ซึ่งพระยามารตู่เป็นที่ของตน พระยามารอ้างพยานบุคคลคือพวกพ้อง
    ของตน ฝ่ายพระมหาบุรุษทรงมองหาใครเป็นพยานไม่ได้ เทพเจ้าเล่าก็เปิดหนีกันหมด จึงทรงเหยียดพระ
    หัตถ์ขวาออกจากชายจีวร แล้วทรงชี้พระดัชนีลงยังพื้นพระธรณี พระนางธรณีจึงผุดขึ้นตอนนี้เพื่อเป็น
    พยาน<!--QuoteEnd--></td></tr></tbody></table><!--QuoteEEnd-->

    <!--QuoteBegin--> <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="95%"> <tbody> <tr> <td>QUOTE </td></tr> <tr> <td id="QUOTE"><!--QuoteEBegin-->สถานที่ที่พระมหาบุรุษประทับนั่งพื่อทรงบำเพ็ญเพียรทางใจ แสวงหาทางตรัสรู้ ซึ่งอยู่ที่
    โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น เรียกว่า 'โพธิบัลลังก์' พระยามารกล่าวตู่ว่าเป็นสมบัติของตน ส่วนพระมหา
    บุรุษทรงกล่าวแก้ว่า บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรง
    อ้างพระนางธรณีเป็นพยาน

    ปฐมสมโพธิว่า "พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้...ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้น
    ปฐพี..." แล้วกล่าวเป็นพยานมหาบุรุษ พร้อมกับบีบน้ำออกจากมวยผม น้ำนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า 'ทักษิโณทก'
    อันได้แก่ น้ำที่พระมหาบุรุษทรงกรวดทุกครั้งที่ทรงบำเพ็ญบุญบารมีแต่ชาติปางก่อนเป็นลำดับมา ซึ่งแม่
    พระธรณีเก็บไว้ที่มวยผม เมื่อนางบีบก็หลั่งไหลออกมา

    ปฐมสมโพธิว่า "เป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศทั้งปวง ประดุจห้วง
    มหาสาครสมุทร...หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำ ปลาสนาการไปสิ้น
    ส่วนคิรีเมขลคชินทร ที่นั่งทรงองค์พระยาวัสสวดี ก็มีบาทาอันพลาด มิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตาม
    ชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร... พระยามารก็พ่ายแพ้ไปในที่สุด"

    บารมีนั้นคือความดี พระมหาบุรุษท่านทรงรำพึงว่า ชีวิต ดวงหทัย นัยน์เนตรที่ท่านทรง
    บริจาคให้เป็นกุศลผลทานมาก่อนนั้น ถ้าจะเก็บรวมไว้ก็จะมากกว่าผลาผลไม้ในป่า มากกว่าดวงดาราใน
    ท้องฟ้า

    ความดีที่ทำไว้นั้นไม่หนีไปไหน ถึงใครไม่เห็น ฟ้าดินก็เห็น ดินคือแม่พระธรณี
    <!--QuoteEnd--></td></tr></tbody></table><!--QuoteEEnd-->

    <!--QuoteBegin--> <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="95%"> <tbody> <tr> <td>QUOTE </td></tr> <tr> <td id="QUOTE"><!--QuoteEBegin-->พระพุทธเจ้าเสด็จประทับเสวยวิมุติสุขอยู่ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นเวลา ๗
    วัน คำว่า 'เสวยวิมุติสุข' เป็นภาษาที่ใช้สำหรับท่านผู้ทรงหลุดพ้นแล้ว เทียบกับภาษาสามัญชนคนมีกิเลสก็
    คือพักผ่อนภายหลังที่ตรากตรำงานมานั่นเอง

    หลังจากนั้นจึงเสด็จไปยังต้นอชปาลนิโครธ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของต้นศรีมหาโพธิ์ ต้น
    นิโครธคือต้นไทร ส่วนคำหน้าคือ 'อชปาล' แปลว่า เป็นที่เลี้ยงแพะ ตามตำนานบอกว่าที่ใต้ต้นไทรแห่งนี้
    เคยเป็นที่อาศัยของคนเลี้ยงแพะมานาน คนเลี้ยงแพะที่ตำบลแห่งนี้ได้เข้ามาอาศัยร่มเงาต้นไทรเป็นที่เลี้ยง
    แพะเสมอมา

    ระหว่างที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นี่ นักแต่งเรื่องเรื่องในยุคอรรถกถาจารย์ ยุคนี้เกิดขึ้นภาย
    หลัง พระพุทธเจ้านิพพานแล้วหลายร้อยปี ได้แต่งเรื่องขึ้นเฉลิมพระเกียรติของพระพุทธเจ้าว่า ลูกสาว
    พระยามารซึ่งเคยยกทัพมาผจญพระพุทธเจ้าเมื่อตอน ก่อนตรัสรู้เล็กน้อยแต่ก็พ่ายแพ้ไป ได้ขันอาสาพระยา
    มารผู้บิดาเพื่อประโลมล่อพระพุทธเจ้าให้ตกอยู่ในอำนาจของพระยามารให้จงได้ ลูกสาวพระยามารมี ๓
    คน คือ นางตัณหา นางราคา และนางอรดี

    ทั้งสามนางเข้าไปประเล้าประโลมพระพุทธเจ้าด้วยกลวิธีทางกามารมณ์ต่างๆ เช่น เปลื้อง
    ภูษาอาภรณ์ทรงออก แปลงร่างเป็นสาวรุ่นบ้าง เป็นสาวใหญ่บ้าง เป็นสตรีในวัยต่างๆ บ้าง แต่พระพุทธ
    เจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์สิ้นเชิงแล้วไม่ทรงแสดงพระอาการผิดปกติแม้แต่ลืมพระเนตรแลมอง


    เรื่องธิดาพระยามารประโลมพระพุทธเจ้าก็เป็นปุคคลาธิษฐาน ถอดความได้ว่า ทั้งสามธิดา
    พระยามารนั้น ล้วนหมายถึงกิเลสทั้งนั้น อย่างหนึ่งคือความยินดี อีกอย่างหนึ่งคือความยินร้ายหรือความ
    เกลียดชัง ความยินดีส่วนหนึ่งแยกออกเป็นตัรหา คือความอยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด อีกส่วนหนึ่งเป็นราคา
    หรือราคะ คือความใคร่หรือกำหนัด ความเกลียดชังหรือยินร้ายออกมาในรูปของอรดี อรดีในที่นี้คือ
    ความริษยา

    ความที่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงพระอาการผิดปกติ แม้แต่ทรงลืมพระเนตรนั้น ก็หมาย
    ถึงว่า พระพุทธเจ้าอยู่ห่างไกลจากกิเลสดังกล่าวมาโดยสิ้นเชิงนั่นเอง
    <!--QuoteEnd--></td></tr></tbody></table><!--QuoteEEnd-->
     
  20. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +973
    คุณเป็นพระหรือ ถึงปรับอาบัติพระได้ ฆราวาส เค้าทำได้แค่ฟ้องและติเตียน ขนาดผม ผมยังบอกแค่ว่า ถ้าผมเป็นพระผมปรับพระเกษมปาราชิกไปแล้ว ทักท้วงด้วยเมตตา 555+ เดี๋ยวท่านตกนรก
     

แชร์หน้านี้

Loading...