สารพันปัญหา ตอบโดยคุณ nopphakan

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย รูปติดบัตร, 26 พฤศจิกายน 2016.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041
    การรับรู้ทางกาย ไม่ว่าจะขนลุก ผิวหนังบริเวณนั่นตึงๆ
    เป็นพื้นฐานในการรับรู้เรื่องของพลังงานอย่างหนึ่ง
    เพียงแต่ตัวจิตยังตัดร่างกายไม่ขาด ณ เวลานั้น
    ซึ่งเป็นเรื่องปกติทั่วๆไปนะครับ ไม่ใช่เรื่องแปลก
    และในส่วนของ
    พลังงานนั้นประกอบด้วยพลังงานฝ่ายเย็น(บุญ)พลังงาน
    ฝ่ายร้อน(อกุศล กำลังน้อย ต้องการบุญ)ต่างๆ ถ้าหากว่าจิตรับรู้พลังงานเหล่านี้
    ได้ในระดับที่ส่งผลต่อกายอยู่ แต่ว่าเราขาดการปรับสมดุลย์
    ให้พลังงานเหล่านี้ จนกระทั่งรู้สึกว่า ร่างกายเราเบาๆ
    ได้ก่อนนั้น มันก็จะเกิดการสะสมพลังงานต่างๆเหล่านี้
    อาจจะทำให้รู้สึกเกิดเวทนาที่จิต เพียงแต่ว่า มันจะไม่ชัดเจน
    เหมือนการสะสมที่ บริเวณผิวหนังของร่างกาย
    เพราะเราสามารถรับรู้ความรู้สึกบริเวณนี้ได้ดีกว่าบริเวณอื่นๆ
    เป็นผลให้เกิดอาการธาตุร่างกาย โดยรวมเกิดการพร่องขึ้นมา
    พร่องในที่นี้ มีธาตุใดธาตุหนึ่ง มากไปหรือน้อยไป
    ธาตุร่างกายทั่วไป ที่รวมเป็นกายนั้น ประกอบด้วยธาตุ ๔
    คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และพอกายรับรู้พลังงานร้อน(อกุศล กำลังน้อย และพลังงานเย็น)ได้ โดยมีอากาศธาตุ ซึ่งเป็นธาตุภายนอกเป็นตัวกลาง
    ให้พลังงานต่างๆเหล่านั้นเดินทางเข้ามาสัมผัสที่กายได้
    แต่ขาดการปรับสมดุลย์ เป็นเหตุให้เกิดการตกค้างที่บริเวณ
    ผิวหนังต่างๆของเราเป็นเหตุให้ พอไปนั่งสมาธิ
    ก็จะเกิดอาการตัวชาตัวแข็งได้ปกติ
    ซึ่งมันจะส่งผลกระทบที่ส่งผลให้ร่างกายรู้สึกเหนื่อยเป็นเรื่องปกติ
    ทั่วๆไป........

    หากสังเกตุที่เกริ่นนำไปก่อนหน้า จะพบว่า มีเรื่องเกี่ยวกับ
    การที่ตัวจิตตัดการยึดร่างกาย(ซึ่งมากน้อยจะมาจาก
    การวิปัสสนา)ซึ่งจะส่งผลต่อเรื่องการรับรู้พลังงานทั้งร้อนและเย็น
    (นี่ก็ผลจากการสวดมนต์หรือนั่งสมาธิ)
    และเกี่ยวกับการพร่องของธาตุร่างกายโดยรวม
    ซึ่งเป็นผลที่กระทบซิ่งมาจาก
    ความสามารถในการตัดการยึดร่างกาย
    และการรับรู้เรื่องพลังงานนั่นเอง

    วิธีก็ไม่ยาก เราก็ควรสร้างเหตุอะไรก็ตาม
    เพื่อไม่ให้เป็นเชื้อให้เกิดการสะสมของ
    พลังงานต่างๆ จนกระทั่งสะสม
    แล้วส่งผลกระทบต่อทางกายนั่นเอง....

    ด้วยการสร้างอุบายให้จิตสร้างกระแสเย็น
    ด้วยการอุทิศส่วนกุศลก่อนที่จะสวดมนต์และนั่งสมาธิ
    และซ้ำลงไปด้วยการอุทิศส่วนกุศลอีกครั้ง
    หลังจากสวดมนต์เสร็จ หรือนั่งสมาธิแล้วเสร็จ
    พูดง่ายๆ ไม่ว่าจะสวดหรือนั่งอย่างเดียว
    ควรฝึกอุทิศส่วนกุศก่อนและหลังให้เป็นนิสัย

    แต่ด้วยบทสวดที่เกี่ยวโยงด้านพลังงาน
    กับกำลังบุญในระดับคลื่นความถี่สูง
    และผลของการสวดมนต์และนั่งสมาธิ
    ที่จะดึงพลังงานที่ต้องการกำลังบุญเข้ามา
    ได้ปกติ เนื่องจากการมองเห็นได้ของกำลังบุญ
    ที่ยังน้อยเหล่านั้น ทั้งสองส่วนนี้ เข้ามาเกี่ยวพันธ์กัน
    โดยธรรมชาตินั้น

    การที่สร้างอุบายให้จิตเกิดกระแสเย็น
    เพียงอย่างเดียวจะไม่เพียงพอ เพราะในกระแสกำลังบุญ
    ที่สูง ย่อยมีความสามารถในการคลื่นผ่านอากาศได้อัตโนมัติ
    แต่กระแสกำลังบุญที่น้อย จะไม่มีกำลังเพียงพอที่จะ
    เคลื่อนที่หรือรับกำลังบุญในระดับที่เย็น ได้ในทันที
    เพราะไม่มีกำลังเพียงพอในการขับเคลื่อนกระแส
    ผ่านอากาศธาตุได้เหมือนในระดับที่มีกำลังบุญระดับสูง
    ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการใช้น้ำร่วมเพื่อให้น้ำเป็น
    เสมือนหรือเป็นตัวขับเคลื่อนถ่ายเทพลังงานเย็น
    ที่เราสร้างเหล่านั้นไปสู่ระดับกำลังที่ต่ำนั่นเอง
    และควรกรวดน้ำลงสู่พื้นดิน เพราะกำลังระดับต่ำนั้น
    มักจะอยู่ติดกับพื้นดินขึ้น หรือมาจากระดับดิน
    เราจึงมักจะรู้สึกมีอะไรบริเวณหน่อง
    หรือบริเวนต่ำกว่าข้อศอก(เพราะมีกำลังสูงกว่าข้อเหนือข้อศอก)
    พูดง่ายๆว่า ควรทำบุญกรวดน้ำร่วมด้วยทุกครั้งเสมอไป....

    นอกจากการอุทิศส่วนกุศลก่อนและหลัง
    ก็ให้กรวดน้ำร่วมด้วย และแรกๆควรใช้น้ำปริมาณมากหน่อย
    ให้กรวดน้ำไปเรื่อยๆ จนรู้สึกถึงความโล่งโปร่งของร่างกาย
    รู้สึกว่า กระแสต่างๆรอบๆกายเรานั้น มันเคลีย คล้ายๆ
    เป็นเส้นตรงวิ่งขึ้นไปบนอากาศได้
    เมื่อตัวเบา กายจะเบา จิตจะเบา
    เหตุที่สะสมทำให้ธาตุโดยรวมพร่อง
    แบบไม่รู้ตัว ที่ส่งผลกระทบต่อกาย
    และความรู้สึกเหนื่อย ก็จะหายไปเอง
    ตามธรรมชาติของมัน
    วิธีการนี้ เรียกว่า การใช้หลักการพลังงาน
    ธรรมชาติในการแก้ปัญหานั่นเอง...

    ปล เป็นกันได้ทุกคน เป็นปกติ
    เป็นแค่เรื่องที่คาดไม่ถึง....

    พนมมือไว้ที่หน้าอก ตามองเหนือนิ้วกลาง
    ออกไปตรงๆ อย่าขยับสายตาไปทางซ้ายและขวา
    มองเหนือนิ้วกลางประมาณ ๒ นิ้ว
    ทำตานิ่งๆ แล้วสวดมนต์ในใจ ไม่ต้องสนใจวรรคตอน
    จะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงของพลังงาน
    รอบๆกายได้เอง ด้วยตาเปล่า
    ไม่ว่าจะเห็นแบบไหน อย่าสนใจ
    จนกระทั่ง เห็นว่า มันใสๆวิ่งขึ้นบน
    และกายเบา ตัวเบา เป็นใช้ได้
    ถือว่า การสวดมนต์ได้ผลครับ....
     
  2. ธรรมรัตน์4541

    ธรรมรัตน์4541 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +4
    กระจ่างใจ ขอบพระคุณอย่างสูง
     
  3. ธรรมรัตน์4541

    ธรรมรัตน์4541 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2018
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +4
    สวดมนต์แล้วมองที่เหนือนิ้วกลาง2นิ้วเห็นควันขาวออกมาจากปลายนิ้วและรอบมือที่พนม ทำถูกแล้วใช่ไหมครับ และที่ท่านบอก
    ให้กรวดนำ้ผมไม่ได้ทำแต่ใช้การแผ่เมตตาถึงสิ่งที่มีกำลังบุญน้อยผลปรากฏว่าตัวเบาสบายขึ้นมากครับ ขอความเห็นอาจารย์หน่อยครับ (กรวดนำ้ทำหลังจากปฏิบัติเสร็จนอกบ้าน) ขอบพระคุณอย่างสูง
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041
    ควันนั่นหละครับการเริ่มต้นที่ถูกแบบที่เล่า
    เคยให้ฟังครับ ส่วนถ้าตัวเบาแล้วไม่เป็นไร
    กรวดน้ำเอาไว้กรณีที่ การแผ่เมตตาแล้วยังรู้สึกว่า บริเวนหน่องและบริเวนต่ำกว่า
    แขนยังมีเหมือนลมหมุนๆอยู่
    ซึ่งอาจจะเจอในเร็วๆนี้ได้ครับ
    เพราะเป็นเรื่องปกติที่ต้องเจอนั่นเอง
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041
    ตอบข้อ 1. คนไม่เคยฝึกอะไรมาเลย คนทั่วไป ก็เกิดขึ้นได้
    ปกติครับ โดยทั่วไป มันจะแสดงในลักษณะพลังงานคล้าย
    ลมหมุนตามจุดจักระต่างๆ ด้านหน้าของร่างกายเรานี่หละครับ
    ในประเทศนี้มีอยู่คน สามารถไปโน้นนี่นั้นด้วยการเนื้อๆ
    อายุไม่เกิน ๓๐ ปี มีอยู่คนครับ ที่พอทราบ
    ลพ.ท่านหนึ่งบอกว่า บางดวงจิต
    เก่งขนาดพลิกจักรวาลยังได้เลยครับ
    แต่ที่พอมีประสบการณ์จะเจอในรูปแบบ
    พลิกนามธรรมเป็นรูปธรรมได้ครับ
    แต่ที่สำคัญคือ เรื่องพวกนี้มันยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ได้ครับ
    ประเด็นมันคือ ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ครับ ย้ำอีกรอบ

    วิธีการแก้คือ เราจะไม่ไปควบคุมอะไรมันเลยครับ
    เราจะปล่อยให้มันผ่านไป มันจะเกิดการหมุนอะไรแบบไหน
    ในกาย
    ก็ช่างมันไม่เลย เพราะถ้าไปดู ไปสนใจ ไประลึกถึงมัน
    เมื่อไรจะกลายเป็นวิบากทันที ทีนี่หละครับ มันจะดลให้เรา
    ต้องเป็นไปตาม อนุสัย จริต วิบาก เราอย่างใดอย่างหนึ่งครับ
    เช่น บางคนหมุนตรงท้อง เข้าใจว่าตนมีสัมผัสพิเศษภายใน
    กลายไปเป็นหมอดูซะงั้น บางคนหมุนที่ฝ่ามือฝ่าเท้า
    กลายเป็นเข้าว่าตนเป็นระดับโพธิฯ กลายเป็นยึดเข้าไปอีก
    พอมองภาพออกนะครับ.....ฯลฯ

    ส่วนสภาวะแฝง ส่วนมากจะเสร็จออเจ้า งูน้อย(ส่วนตัวเรียก
    ว่างูน้อย)แต่หลายๆที่ ชอบบอกว่า มันเป็นพลังวิเศษ ใครมี
    ไม่ใช่คนธรรมดา ถ้าเข้าใจอย่างนี้หละเสร็จเลย เพราะมันเป็น
    วิถีหนึ่งของการบำเพ็ญแนวอสูรกายนะครับ เป็นอย่างไรหรือ
    ก็พวกที่เน้นสะสมพลังงาน เพื่อไปแปลงร่างเป็นสัตว์ที่
    ดูดุร้ายนั่นหละครับ เป็นคนธรรมดาไม่ชอบ ดันอยากแปลงร่าง
    คือ อุบายที่ทำให้เราไปหลงคือ มักจะหลอกหล่อว่า
    ถ้าเรา มีพลังงานนี้ เราจะต้องเป็นผู้ไม่ธรรมดาหลงมาเกิด
    เป็นแต่ระดับเท่ห์ๆด้วยนะครับ แล้วก็ชอบอ้างหรือเอาพระพุทธฯ
    มาอ้าง แต่สังเกตุดีๆ วิธีการจะทำให้เรายึดติด ในลาภ ยศ สุข สรรเสริญอย่างใดอย่างหนึ่งครับ เด่วก็บอกว่า มีแล้วทำอย่างนี้
    จะรวย ทำอย่างนี้หนุ่มๆจะมาชอบมากมาย สาวๆจะหลงไหล
    จะมีความพิเศษอย่างโน้นนี่นั้น จะมีกายทิพย์อมตะอะไรของเค้านั่นหละ พอมองภาพออกเนาะ ฯลฯ

    คือ ดวงจิตที่จะหลงได้ง่าย ส่วนมากจะเป็นดวงจิตแบบที่ไม่ได้
    ฝึกสมาธิมาก่อน และไม่ได้เดินปัญญามาก่อน พอเอาเรื่อง
    เคยเป็นระดับโน้นนี่นั้นที่สำคัญ ทำแล้วเป็นคนที่จะรวย
    ที่จะมีคนมาหลงไหลกรี๊ดกร๊าด ที่สำคัญเลยก็คือ
    อยากจะมีความสามารถพิเศษแบบทางลัดไม่ต้องฝึกเอา
    พอหลอกล่อให้ใจเศร้าหมอง พวกพลังงานภายนอก
    ก็จะแอบเจาะเข้าทางท้ายทอย เพื่อที่จะมาคลุมจิตเรานั่นหละครับ
    หลอกหล่อเพื่อระเบิดต่อมไฟเนียลแกน พวกนี้ก็จะเข้ามาแทรก
    แล้วควบคุมจิตเรา ดวงจิตนั้น จะคล้ายๆคนสองบุคคลิกครับ
    (จริงๆก็ไม่ต่างจากร่างทรงนะครับ แต่ร่างทรงคือยอมรับเอง
    เลือกเอง แต่กรณีที่เล่าส่วนมากจะถูกหลอกครับ)
    คือ ทำ รู้ โน้นนี่ได้ แต่ไม่รู้ว่า ทำและรู้ได้อย่างไร
    คือสอนใคร ในสิ่งที่ตนทำได้ กับคนอื่นๆไม่ได้นั่นหละครับ นึกออกเนาะ
    และเผลอๆ ทั้งๆที่ทำแบบคนทั่วไปมองเห็นกันหมด
    แต่จะบอกว่า ตนเองไม่ได้ทำซะงั้น
    พอมีตัวอย่างให้เห็นได้ทั่วไปครับ


    จริงๆอาการแฝงมันก็มาจาก เจ้างูน้อยนี่หละครับ ทางกิริยานั้น
    งูน้อยเป็น เครื่องมือหรืออาการอย่างหนึ่ง
    ในการส่งออกไปภายนอก
    เพื่อไปรับรู้สิ่งๆต่างๆที่มันออกไปกระทบ(คล้ายๆตัววิญญาน
    ที่ส่งออกจากตัวจิตนั่นหละครับ)เพียงแต่ตัววิญญานที่ส่งออก
    จากจิตมันจะรู้ในระดับสัญญา เช่น เห็นแล้วเรียกถูก แต่เจ้างูน้อย
    เนื่องจากมันส่งจากฐานสัมผัสภายในที่มาจากท้องเรานั้น
    มันเกี่ยวข้องกับเรื่องสัมผัสภายในนั้น มันเลยพอมีความสามารถ
    ในการเข้าถึงนามธรรมต่างๆ ในระดับการรับรู้ลึก ที่ต้องอาศัย
    สัมผัสภายใน(คือมันเป็นปกติของมัน) โดยปกติดวงจิต
    ที่มีสัมผัสแบบนี้ ทั่วไป งูน้อยนี้จะดึงไปเชื่อมและผูกกับกระแส
    ครูบาร์อาจารย์ที่อยู่เหนือศรีษะครับ ไม่เหมือน เจ้าออเจ้างูน้อย
    ที่มันดันไปออกทางท้ายทอยนะครับ
    ตรงนี้อันตราย......
    หน้าที่เรา แค่รับรู้ว่า มันมี แต่อย่าไปสน
    ถ้ายังไม่เคยเดินปัญญามาก่อน
    หรือจิตพอมีกำลังสมาธิสะสมมาก่อน
    หรือมีกำลังจิตมาก่อน โอกาศที่จะหลงไป
    กับมันจะง่ายมาก แต่ถ้าไม่หลง
    เราก็สามารถนำพลังงานตรงนี้
    มาใช้งานในทางที่เป็นประโยชน์ได้ครับ
    เพียงแต่ต้องรู้จักใช้ และทิ้งให้เป็นครับ
    ปล.เด่วไปต่อข้ออื่น
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041
    ที่เล่าให้ฟังก่อนหน้า คงพอตอบข้อ ๑ ถึง ๒ ได้แล้วนะครับ
    ทีนี้มาข้อที่เหลือ....
    จะบอกว่า ตราบใดที่ยังมีดวงอาทิตย์ มีดวงจันทร์ ไม่ว่าระบบสุริยะใดๆก็ตาม ตราบนั้นก็ยังมีพลังงานจักรวาลครับ

    ต้องขอย้อนก่อน ถึงน่าจะพอเข้าใจได้ ว่าเกี่ยวข้องพุทธฯอย่างไร
    นะครับ
    ไอ้ตัวจิตเนี่ย เดิมๆมันแทรกตัวอยู่ในความว่างนี่หละครับ
    และความว่างเนี่ย มันคงจะบอกประมาณ ขนาดอะไรไม่ได้
    และตัวจิตมันก็มีการเคลื่อนที่ของมันได้
    และมันมีตัวหนึ่งที่เราเรียกว่า
    ผัสสะ โดยใช้เครื่องมือตัวที่เราเรียกว่า วิญญาน(คล้ายๆเส้นสายที่ส่งออกมาตัวมัน). แต่ด้วยผัสสสะที่มีปกติของจิตนี้ มันชอบ
    ไปเที่ยวพระนครกับพี่หมื่น เห้ย ! นี่มัน บุพเพสันนิวาศ ๕๕
    มันชอบส่งออกไปกระทบภายนอก พอกระทบเสร็จแล้ว
    มันก็ชอบไปดึงมาเก็บไว้ เก็บไว้ทั้งๆที่มันไม่รู้อะไร
    ทางพุทธฯเรียกกิริยานี้ ว่าการไม่รู้ หรือการหลง
    หรือเรียกหล่อๆว่าอวิชชานั้นหละครับ
    แต่เราจะเรียกที่มันเอามาเก็บไว้ว่า สัญญา
    ด้วยที่มัน เก็บไว้แบบไม่รู้นั้น มันเลยสร้างตัววิญญาน
    เพื่อให้มีรูปแบบในการไปเก็บสิ่งๆต่างๆเข้ามาเก็บ
    ไว้ในตัวมัน มันก็สร้างออกมาเป็น ช่องทางต่างๆ
    ไม่ว่า ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ เป็นรูปร่างหน้าตา
    ต่างๆ ตามแต่ ตัวที่มันเคยเก็บเอาไว้ในจิตมัน
    ซึ่งเรามักจะเชื่อว่า ถ้ามันเก็บสิ่งที่ดีๆไว้(หรือกำลังบุญ)
    มันก็จะสร้างออกมาอย่างที่เราๆเข้าใจได้ทั่วไป
    เอาว่า ยังไงมันก็สร้างช่องทางให้ตัววิญญานมันผ่านได้ง่าย
    ตามแต่สิ่งที่มันเก็บไว้ในจิต ถ้าไม่ดี ก็อาจสร้างแล้วเป็น
    การคลาน ไม่ใช่การเดินประมานนี้นั่นเอง ถ้าอ่านดีๆจะพบว่า
    การที่กำเนิดขึ้นมามีกายเนื้อนั้น มันจะอาศัยตัววิญญาน
    ที่ผูกติดกับสิ่งที่มันสร้างนั่นเองครับ

    ต่างกับการกำเนิด ดาวเคราะห์ต่างๆ ที่กระบวณการสร้าง
    ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวจิต และสร้างขึ้นแบบที่ไม่มีการผูกกับร่างกาย
    ของใครแบบกำเนิดมาเป็นร่างกายแบบที่เล่าให้ฟังก่อนหน้านั่นเองครับ. ส่วนตำราจะว่าไงไม่รู้
    แต่ส่วนตัว ตอบได้แค่ประมาณนี้หละครับ ๕๕๕๕

    มาว่ากันต่อ ในเรื่องของพลังงานจักรวาลนั้น เราปฎิเสธไม่ได้ว่า
    มีอยู่คู่กับพุทธศาสนามาตลอด คล้ายๆเรื่องการนับถือผี นั่นหละครับ พวกนี้กำเนิดขึ้นก่อนจะมีพุทธศาสนาด้วยซ้ำไปครับ.....

    แต่ยุคปัจจุบันเรา พอประมาณได้ว่า ผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพท่านเน้น
    ทางด้านปัญญาเพื่อการหลุดพ้น ดังนั้นเรื่องอะไรที่ ยังไม่ตรงทาง
    หรือทำให้ช้า ท่านก็จะไม่เน้นครับ แต่ไม่ใช่ทำไม่ได้นะครับ
    เห็น พระมหาฤาษีที่เคยสอนท่านองค์ที่ ๒ ไหมครับ
    นั่นสำเร็จระดับจิตธาตุนะครับ นึกอะไรไม่ออก ว่าจิตธาตุ
    คืออะไรนะครับ
    ก็คนที่ สามารถพลิกนามธรรมเป็นรูปธรรมได้
    แบบสิวๆนั่นหละครับ
    แต่เก่งระดับนี้ ก็ยังยกให้พระพุทธฯท่านเป็นอาจารย์ตนเอง
    และพระพุทธฯท่าน ก็ยังเห็นว่า ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์
    และออกมา และค้นพ้บวิธีการพ้นทุกข์ ตลอดจน สามารถแยก
    แยะ จำแนก แจงแจง ตลอดจนแนะวิธีแนวทางเดินเพื่อ
    การพ้นทุกข์ได้ พอมองภาพรวมๆที่สื่อ ในประเด็นนี้ได้นะครับ


    และพุทธศาสนา จะเป็นศาสนาที่เป็นกลางที่สุดแล้วครับ
    คือ ไม่ได้ปฏิเสธ ไม่ได้แยกแยะ ยกตนเอง แล้วไปถากทางอะไร
    แต่จะบอกว่า ถ้าจะพ้นทุกข์ได ควรจะเป็นอย่างโน้นนี่นั้น
    มีแต่กลุ่มที่ปากเป็นพุทธฯเท่านั้นหละครับ
    ที่เอาเรื่องระหว่างทางที่ ผู้เป็นเลิศท่านได้ผ่านมาแล้ว
    กลับมาดูถูก ดูแคลน ยกตน แล้วท้ายๆก็ยังหลงตน
    จะยกตนเทียบเท่า ผู้เป็นเลิศ
    ทางกิริยา ก็บอกอยู่แล้วว่า เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพ
    คือได้รับการยอมรับจากทุกภพ แต่ด้วย
    การไม่รู้เท่าทัน ตัวโทสะ โมหะ โลภะ ที่ไปดึง
    เอาลาภยศ สุข สรรเสริญ ภายนอกแล้วดึงเข้ามา
    จนกลายเป็นตัวตน เนื่องจากประมาท ปัญญาไม่เพียงพอ
    ที่จะรู้เท่าทัน และรู้จักการอยู่ร่วมกันอย่างแยบยลนั่นเอง


    และพุทธฯเป็น อะไรที่เป็นกลาง และรู้จักการอยู่ร่วม
    กับธรรมชาติ ทั้งที่ปรากฏขึ้นแล้วปกติ และที่เวียนมา
    ได้อย่างแยบยลนั้น
    ทางด้านพลังงานต่างๆ เหล่านั้นจึงพลิกนำมาใช้
    เพื่อที่จะหนุนทางด้านที่ส่งเสริมทางด้านปัญญาครับ

    เราไม่จำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมอะไรครับ
    เรื่องพวกนี้ ถ้ามันจะรู้ หรือเป็นอะไรก็ช่างมันครับ
    ยกเว้นว่า เรามีความจำเป็นจะต้องใช้พลังงานเหล่านี้
    เพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งในระหว่างทางครับ
    แต่ต้องไม่ยึดนะครับ ถ้าเผลอยึด มันจะทำให้เรา
    ต้องเป็นไป ตามจริต อนุสัย วิบากเราได้อีก
    (พวกนี้เป็นเหตุให้เรากำหนดพฤติกรรมของเรานั่นหละครับ)
    เพราะพลังงานในทางพุทธนั้น
    มีพลังงานที่มาจากภายในกายของเราเอง
    กับพลังงานภายนอก
    ที่มีอยู่แล้วเป็นปกติครับ ไม่ว่าจากดวงอาทิตย์
    ดวงจันทร์ เราเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับพลังงานภายนอก
    ต่างๆเหล่านั้น แต่พุทธฯเราจะเริ่มมาเข้าใจพลังงาน
    ต่างๆภายในกายของเราเองนี่หละครับ เปลี่ยนมันเป็น
    พลังงานทุกๆอย่างที่ส่งเสริมในทางด้านปัญญา
    เป็นพลังงานที่มีเอาไว้เพียงพอที่จะรู้เท่าทัน การเกิด
    ของความคิดต่างๆ เป็นพลังงานที่เพียงพอที่จะทำให้
    จิตเรามันอารมย์เป็นกลาง เพื่อที่จะให้มันรับรู้ตาม
    ความเป็นจริงจนเกิดเป็นปัญญาขึ้นมาได้ครับ
    และก็มีพลังงานเพียงพอ ที่จะให้เราไป สังเกตุ
    การเกิด การดับ ว่ามันเกิดเพราะอะไร ดับเพราะอะไร
    ดับตอนไหน ได้ท่าน จนเป็นเหตุไปถึงระดับปัญญาญาน
    ที่เข้าใจกระบวณในการเกิดเรื่องนั้นๆ จนไม่ให้มันผุดขึ้น
    มาได้อีกครับ....และด้วยพลังงานที่ช่วยหนุนสิ่งๆต่างๆ
    ที่ผ่านมานั้น มันก็จะเพียงพอ ที่จะทำให้จิตมันคลายตัวเอง
    ได้อย่างธรรมชาติของมัน และได้ระยะเวลานานขึ้นเรื่อยๆ
    จนเริ่มเข้าสู่ธรรมชาติเดิมแท้ของจิตได้. เมื่อจิตเริ่มกลับคืน
    สู่ธรรมชาติเดิมแท้ของมันได้ มันก็จะเริ่มเข้าใจธรรมชาติ
    ต่างๆทางด้านพลังงานเหล่านี้(พลังงานที่ทำให้มันเคลื่อนไหว
    ตั้งแต่ก่อนกำเนิดมีกาย) นี่เป็นวิธีการหนึ่งในการปรับตัว
    ในเรื่องพลังงาน การนำในเรื่องพลังงานมาใช้ วิธีการหนึ่ง
    เท่านั้นเองครับ

    พุทธฯเรียนรู้ เพื่อที่จะเข้าใจธรรมชาติ และอยู่ร่วมกับธรรมชาติ
    ได้อย่างแยบยล มีผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพเริ่มต้นด้วยการเข้าใจธรรมชาติในกายตนเอง
    จนเป็นเหตุให้ทราบเหตุแห่งทุกข์ ตลอดจนค้นพบวิธีการ
    พ้นจากทุกข์ได้..........แต่เนื่องจากสติปัญญาระดับนี้
    มีแต่ระดับดวงจิตพระพุทธฯครับ....


    แต่อย่าเราๆ ออเจ้าทั้งหลาย ก็เรียนรู้ที่จะเข้าใจธรรมชาติ
    ในกายตัวเองได้เหมือนๆกัน เมื่อหันมาเรียนรู้ธรรมชาติ
    ที่กายตนเองได้แล้ว ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า ระหว่างทาง
    ที่เรียนรู้นั้น ย่อมมีพลังงานต่างๆที่รอบๆกายแวะเข้ามากระทบได้
    แต่ก็รู้จักที่จะเรียนรู้ และอยู่ร่วมกับพลังงานเหล่านั้น
    แบบที่ไม่กลายเป็นตัวขวางที่จะทำให้เราไม่ถึงฝั่งเท่านั้นเอง

    เปรียบเหมือนใบไม้ ที่ย่อมถูกลมมากระทบได้เป็นธรรมดา
    แม้มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ก็รู้ว่ามันมีอยู่
    เมื่อเรียนรู้ว่า ใบไม้ นั่นมีอะไรบ้าง ก็ย่อมเริ่มที่จะรู้ลงมาถึงส่วน
    ประกอบต่างๆที่ใบไม้นี้อยู่ได้เอง จนเข้าใจว่าต้นไม้ทั้งต้นประกอบด้วยอะไร พอเริ่มเข้าใจทั้งกระบวนการเกิดต่างๆ ที่ใบไม้นั้นมีส่วนอยู่ด้วยนั้น ก็ย่อมทำให้เข้าใจใบไม้
    ทั้งป่าไปในตัวเองนั่นหละครับ เพราะต้นกำเนิด เมื่อย้อนไปแล้ว
    มันจะเหมือนกัน แค่ปรากฏไม่ได้หายไปไหน แตกต่างกันเพียงรูปร่างภายนอกเท่านั้น ก็อย่าให้ลมที่มา
    กระทบใบไม้ มาทำการย้อมลงมารู้ส่วนประกอบต่างๆของต้นไม้
    ที่จะทำให้เริ่มเข้าใจกระบวณการ
    ของต้นไม้นั้นชงัก เพราะมัวเริ่มต้นไปสนใจลมที่มากระทบนั่นเอง
    เราเพียงแค่อยู่กับร่วมกับลมอย่างแยบยลให้เป็น ในช่วงก่อน
    ที่จะย้อนมารู้กระบวณการเกิดแห่งตนให้ได้ก่อนเท่านั้นเองครับ

    ปล. ทั่วๆไปถือว่า ไม่มีอะไรหรอกครับ พอขำๆ...
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041
    งูน้อย ไม่ใช่ว่ามันเลี้ยงไม่เชื่องนะ
    คือต้องเข้าใจมันมีเป็นปกติ
    เหมือนตัววิญญานที่ส่งออกจากจิต
    (นึกภาพตัวจิตเป็นวงกลมนะ ตัววิญญาน
    คือเส้นสายหรือแสงที่ส่งออกมาจากวงกลม
    เพียงแต่ว่าตอนที่อยู่ในกาย มันจะส่งผ่าน
    ออกมาทาง ตา หู จมูก ฯลฯประมาณนี้
    เจ้างูน้อยเนี่ย กิริยามันเหมือนตัววิญญานที่ส่ง
    ออกจากตัวจิต เพียงแต่จุดกำเนิดมันจะส่ง
    ออกมาจาก ฐานสัมผัสภายในที่ท้องเท่านั้นเอง
    คือมนุษยทุกคน ที่มีสัมผัสภายใน สามารถเห็น
    นามธรรมต่างๆ รับรู้นามธรรมต่างๆ ได้ดีหรือไม่ดี
    จะมี ฐานสัมผัสจากภายในที่ท้องทุกคน ดังนั้น
    ไม่เกี่ยวกับว่า มันจะเชื่องไม่เชื่อง มันอยู่ที่เรา
    เช่น ถ้าตาเราชอบดูแต่ภาพศิลปะแนวนุ่งน้อยห่มน้อย
    ที่จะบอกว่า เชื่องไม่เชื่อง อยู่ที่กำลังสติทางธรรม
    ในการควบคุมมัน มี ๒ แบบ ๑.ใช้สติควบคุมและกำลังสมาธิ
    ข่มมันไม่ให้ไปดู แต่แบบนี้จะไม่ได้มรรคผลอะไรเพราะ
    เป็นการบังคับ กับ ๒.ปล่อยให้มันดูไป แต่กำลังสติ
    ควบคุมไม่ให้เกิดการปรุงแต่งอะไร นี่คือ หลักการเกี่ยว
    กับเชื่องไม่เชื่อง)

    เพียงแต่ว่า เจ้างูน้อย มันไม่ได้ ขึ้นมาจากจิตเราโดยตรง
    แต่มันมาจาก ฐานสัมผัสที่ท้อง และมันชอบท่องเที่ยว
    หรือชอบส่งออก(ส่งตัววิญญานออกแบบที่จิตส่ง)เป็นปกติ
    และถ้าไม่มีการควบคุม มันก็ชอบออกไปทางท้ายทอย
    ซึ่งท้ายทอย เป็นต่ำแหน่งที่พวกพลังงานภายนอกต่างๆ
    มักจะใช้เป็นจุดที่จะเจาะเค้ามาควบคุมจิต.....

    เราจึงจำเป็นต้องใช้กำลังสมาธิของเรา โยงเจ้างูน้อยนี้
    ขึ้นไปผูกกับกะแสครูบาร์อาจารย์ที่ไล่ตามแนวจักระด้านหน้า
    ตัวของเราเอาไว้. พูดง่ายๆว่า ให้พลังงานระดับสูงกว่า
    ควบคุมพฤติกรรมของมันเอาไว้นั่นเอง

    นึกออกนะ ตัววิญญานจากจิต เราใช้กำลังสติ สมาธิควบคุมได้
    แต่งูน้อย มันไม่ได้ขึ้นจากจิต มันแค่ผ่านตัวจิต เราจึงต้องให้
    พลังงานข้างบนควบคุมเอาไว้ ก็จะเป็นการควบคุม
    พฤติกรรมการรับรู้ของเราไปโดยปริยายนั่นเอง

    เพราะข้างบนทำอะไร ก็จะไปทางกุศล
    พวกภายนอกมักจะไปทางอกุศลนั่นเอง

    ส่วนที่ฝันร้ายนั้น เพราะว่าเราเองเผลอไปเก็บมันมาคิด
    เผลอไประลึก นึกถึงมันเอง มันก็เลยเก็บเอาไว้
    ในความทรงจำภายใต้ท้ายทอยของเราเองครับ
    และมันผูกโยงไปกับต่ำแหน่งตาที่สามเรา
    แต่เป็นการสร้างให้เห็น จากฐานความทรงจำ
    ที่เราเผลอไปเก็บมันไว้นั่นหละ ไม่ใช่จากข้างบนทำให้เห็น
    พอมองภาพออกเนาะ เหมือนเราไปค้นข้อมูลที่เราเก็บ
    เอาไว้เองมาดูนั่นหละ......

    ปกติ ถ้าเราฝัน ถ้าไม่เข้าใจเหตุการณ์ในฝันแล้ว ณ เวลาที่ฝัน
    หรือลืมตาแล้วไม่เข้าใจได้ทันที จะต้องลืมมันไปเลย
    ไม่ว่าเรื่องอะไร เสมือนว่า มันไม่เคยมีในระบบสุริยจักรวาลนี้
    ถ้าลืมได้ พอกำลังสติมากขึ้น เราถึงจะย้อนรู้ได้เอง
    ว่ามันสื่อถึงและมีวัตถุประสงค์อะไร

    ที่พลาดกันเพราะเผลอไปพยายามคิดโน้นนี่นั้น
    หลังจากที่ลืมตาแล้วนั่นเอง.....

    วิธีแก้ตรงนี้ ให้ฝึกระลึกเข้าถึง กระแสพระพุทธฯองค์ใดก็ได้
    หรือครูบาร์อาจารย์องค์ใดก็ได้ ที่ตนนับถือ
    หรือจะใช้พระคาถาจักรพรรดิ์ก็ได้ เพื่อเป็นการสร้าง
    อุบายให้ตัวจิตส่งกระแสะออกจากจิตไปเชื่อม
    กระแสระดับสูงๆไว้เพื่อให้เกิดความคุ้นเคย
    ก็จะแก้ปัญหาการฝันร้ายได้ของมันเองอัตโนมัติครับ

    ฝึกตอนก่อนสวดมนต์ หลังสวดมนต์
    หรือก่อนนอน หรือหลังจากตื่น
    หรือ เบสิก คือ ท่องคาถาเอาไว้ในใจให้ได้
    แล้วก็ท่องในใจ
    ประมาณนี้ครับ....เครเนาะ

    ปล.อย่าให้ความสนใจมัน เพราะมันมีเป็นปกติได้
    ในมนุษย์ทุกคนครับ..อยู่ร่วมกับมันให้เป็นก็พอครับ
     
  8. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    สวัสดีครับท่านนพ ไม่ได้เข้ามากระทู้ท่านนพนานเลย จากที่ท่านนพเคยกล่าวไว้เมื่อหลายเดือนที่แล้วผมก็ยังปฏิบัติไปเรื่อยๆไม่เคยหยุด ก็จะมาเล่าอะไรให้ฟังนิดหน่อยครับ
    หลายๆอย่างที่เคยเข้าใจแล้ว มันก็รู้สึกเหมือนเข้าใจขึ้นลึกซึ้งขึ้นทีละน้อยแต่ก็เป็นขั้นเป็นตอนความนอบน้อมก็ค่อยๆเกิดขึ้นในหลายๆทางครับ
    ตอนนี้ก็รู้สึกละครับว่าก่อนที่ตัวจิตเขาจะทำอะไร เขาจะมีอาการสั่นก่อนครับ แล้วค่อยเคลื่อนตัวไปร่วมกับผัสสะต่างๆ แต่มันจะแยกเป็น 2 อย่างครับ 1 คือเราคิดมีการปรุงแต่งแต่จิตไม่ได้เข้าไปร่วมด้วย 2 คือเป็นอย่างที่บอก จิตจะสั่นเมื่อกระทบหรือเขาเตรียมจะทำอะไรซักอย่างอย่างที่ท่านนพเคยกล่าวไว้ ซึ่งเขาจะทำงานของเขาเองครับ
    ซึ่งธรรมมันก็เป็นของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่เราไปวุ่นวายเองเมื่อไปพบ ไปเจอ ไปเห็นขั้นตอนเหล่านั้น แต่พูดก็พูดได้ละครับไม่เจอไม่กระทบด้วยตัวเอง ผมจะผ่านหรือติดอะไรอีกก็ค่อยเรียนรู้ต่อไปครับ
    ขอบคุณครับท่านนพ ถ้ามีเรื่องราวอะไรจะมาเล่าให้ท่านฟังครับ
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041
    ถ้าไปปฏิบัติมา
    ความเข้าใจก็จะลึกเข้าไปเรื่อยๆ
    แม้ในคำพูดที่มาจากประโยคเดียวกันก็ตาม
    ส่วนตัวก็เป็นครับ...
    เวลาถามท่านที่สอน
    ท่านก็มักย้อนเหตุก่อน
    แล้วก็บอกล่วงหน้าว่าจะ
    เจอโน้นนี่นั้นให้ระวังไว้นะ
    ตอนฟังท่านสอน ก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอกครับ
    แต่ก็เฉยๆไว้ก่อน ไม่ได้คิดอะไร
    พอไปปฏิบัติมันก็จะเก็ทได้ของมันเองนั่นหละครับ
    ปล.ไม่มีอะไร เรื่องปกติ ดีแล้วหละครับ...
     
  10. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับท่านนพ ก็เป็นไปตามท่านกล่าวครับค่อยๆเดินสบายใจดีครับ
    ไม่ได้เข้ามานานมีอะไรน่าอ่านเยอะแยะเลย ต้องเก็บข้อมูลเพิ่มเติมละครับแต่ที่ผมไม่อยากถามมากเพราะบางที เราไปเอาสิ่งที่เราคิดอ่านและจำมา เป็นคำตอบว่ากูรู้ ไปสร้างอะไรขึ้นมาอีกครับ
    ขอบคุณอีกครั้งครับท่านนนพ
     
  11. เด็กน้อย...

    เด็กน้อย... สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +14
    ผมขอเรียกว่า คุณอา แล้วกันนะครับ
    คือมีเรื่องอยากถามอะครับ ผมก็ติตตามอ่านคอมเม้นของคุณอามานาน ตอนนี้ก็กำลังปฎิบัติ คือดันลมให้ถึงท้อง ช่วงแรกๆพวกหน้าอกท้องผมจะรู้สึกชาๆแข็งๆแน่นมีอะไรยุบยิบๆแล้วก็ลามไปแขนขาแล้วก็เริ่มรู้สึกคล้ายๆเมาๆพอปล่อยดันลมร่างกายเบาสบายตอนนี้ถ้าวางก็จะทำตลอดคืออยากทราบว่าต้องทำจนกว่าจะไม่มีอาการพวกนี้ใช่ไหมครับ ขอถามคุณอาอีกสักนิดครับ ตรงหน้าผากนี้จะมีแสงสีขาวสว่างๆว็าบๆอยู่ บางที่ก็ตุ๊บๆร้อนๆเย็นๆเป็นก้อนๆเคยเห็นควันสีม่วงลอยอยู่ตรงหน้าผากด้วยครับ

    ขอบพระคุณในความกรุณาครับผม
    _/\_
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041
    แห๋มๆ. สงสัยว่า
    จะไม่แนะนำก็เพราะเรียก อา นี่หละนะ ๕๕๕๕ ( ล้อเล่น )
    กิริยาที่เราเจอถือว่าเป็นเรื่องปกติ และถ้าทำมันจะเป็นอย่างนั้นหละไม่แปลก และทำไปเรื่อยๆก็จะไม่มีอาการพวกนั้นอย่าง
    ที่เข้าใจก็ใช่อีก เพราะอาการพวกนี้ มันบอกว่า เราจะสามารถ
    เข้าถึงพลังงานได้ เพราะว่า ระบบลมหายใจมันจะละเอียด
    มันจะช่วยในการตัดร่างกายกับจิตได้ดีขึ้น เวลาที่เราจะไปรับรู้
    เรื่องพลังงาน.

    นึกออกไหม อาการขนลุก หยุบๆหยิบๆ
    เป็นกิริยารับรู้พลังงานในเบื้องต้น ซึ่งจะเป็นกันได้ปกติ
    พออนาคต มันก็จะกลายเป็นเบาๆ นิ่งๆแทน
    คล้ายๆว่า กายนี้จะเป็นแค่ทางผ่าน นั่นหละ...

    ส่วนตาปกติเรา ก็จะสามารถมองเห็นอากาศ
    เป็นคล้ายควันได้ นี่ก็เป็นเริ่มต้น
    ก่อนที่อนาคตเราจะเห็นมันได้แบบใสๆ พอมองภาพรวมออกเนาะ
    ถ้าเห็นได้จนใส ก็ถือว่า ใช้ได้...เครเนาะ

    การเห็นแสงได้ นั่นก็เพราะตอนนั้นจิตเรามันทำได้
    จำเอาไว้เลยว่า จิตจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อ ๑ .มีแสงนำ(เห็นเป็นสีต่างๆ
    ส่วนความหมายของสีเอาไว้กำลังสติทางธรรมมากขึ้น
    จะเข้าใจได้เอง) และ ๒.มีเส้นสายนำ พวกนี้ เริ่มต้นจะเห็น
    อากาศภายนอกเป็นคล้ายควันได้ก่อน ไม่ว่าควันดำ หรือควันขาว
    ซึ่งก็เป็นการเริ่มต้น. สมมุติปลายทางเราคือ การดิฟอินทรีเกรท
    ตอนนี้เราก็กำลังฝึก บวก ลบ คูณ หาร อยู่นั่นหละ
    และถ้าจิต ทำงานพร้อมกันได้ทั้ง ๒ อย่าง
    เราก็จะเห็นเป็นรูปร่างและมีสีได้
    แต่เล่าให้ฟังมา มันคือเรื่องปกติ ไม่แปลกอะไร....

    ดังนั้นก็ทำของเราไป อย่าไปสนใจกิริยาอะไร
    ถ้าไม่ใช่แบบที่บอกปลายทางไว้ ไม่ว่ากิริยา
    อะไรก็ไม่ต้องไปสนใจมัน จะช่วยให้เข้าถึงได้เร็ว
    ช้าหรือเร็ว อยู่ที่ตรงนี้หละ...
    พอเข้าใจเนาะ...
     
  13. เด็กน้อย...

    เด็กน้อย... สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2018
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +14
    ครับผมคุณอา

    กราบขอบพระคุณในความเมตตาที่ได้กรุณาตอบคำถามของผมครับและบอกทางในอนาคตไว้ด้วย

    ขอบพระคุณครับ _/\_
     
  14. 2zani

    2zani เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +5,549
    สวัสดีครับพี่นพ มีเรื่องสงสัยครับ นั่งสมาธิจิตตั้งมั่นในคำภาวนาดี มีอาการ เหมือนมีลูกโป่งแตกอยู่กลางอกได้ยินเสียงชัดเจนครับสิ่งที่เกิดขึ้นคืออาการทางกายใช่ไหมครับ เราควรรู้และข้ามไปใช่ไหมครับ เวลานั่งสมาธิ สมองซีกซ้ายเต้นเหมือนหัวใจก็เคยเป็น ขอคำแนะนำด้วยครับ ขอบคุณครับ
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041
    เสียงแตกที่อก คือจิตมันคลายจากวงกลมไปเป็นรูป
    พลังงานคล้ายท่อวงกลม
    และวิ่งไปเชื่อมกับข้างบนชั่วคราว
    ซึ่งมันเป็นอาการของจิต
    อย่างหนึ่งแบบที่พวกใช้งานทางจิต
    ได้ปกติจะต้องมี
    ส่วนเสียงไม่ว่าสมองหรือหัวใจเป็นผล
    ของสมาธิที่จิตมันไปรับรู้ภายในได้
    ถือว่าดี และทั้งหมดถือว่าเป็นเรื่องปกติ
    ก่อนที่เสียงมันจะไปได้ยินเสียงภายนอก
    ในเวลาต่อมา
    ปล
    ให้เฉยๆ เครเนาะ
     
  16. Domecare

    Domecare สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2016
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +4
    จึงไหมครับ ว่ามนุษย์ ต่างดาว กับ เทพ เป็น ชนิดเดียวกัน
    มีหมอดูท่านนึงพูดออกรายการว่า
    ย้อนไปในอดีต ขณะมีการประชุม สร้างโลก
    เห็นประธานมี 4 หน้าเหมือน พระพรหม แต่ตัวดำเป็นถ่าน. เขาจึงบอกว่า มีทฤษฎีที่คิดว่า มนุษย์ต่างดาวกับเทพ เป็นชนิดเดียวกัน แล้วเทพ จีน หรือ เทวดา ท้าวสักกะ พระอินทร์ คือมนุษย์ต่างดาวหรือไม่ครับ (ขออภัยอย่างสูง ถ้าไปลบลู่ความเชื่อของทุกท่านครับ ) เป็นความสงสัยมากๆครับ
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041
    ที่คุณ Domecare ได้ยินมาส่วนตัวมองว่าเป็นข้อมูลหนึ่งครับ
    เอาว่าที่จะเล่าต่อไปนี้ถือว่าเป็นนิทานแล้วกันเนาะ...

    ชนิดเดียวกัน แม้ว่ารูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกัน
    ถ้าเราตั้งสมมุติฐานในเชิงที่ เทพเทวดาทั้งหลาย
    เป็นนามธรรมและมนุษย์ต่างดาวก็เป็นเชิงนามธรรม
    เหมือนๆกันนะครับ

    ถ้าพิจารณาลักษณะของความเข้มของคลื่นพลังงานที่
    ปรากฏบนโลกแล้ว...จะพบว่าเป็นคนละคลื่นความถี่
    กันเลยครับ....และมีความแตกต่างกันอย่างชิ้นเชิง

    ถ้าเป็นเทพจีน เทพไทย พบว่าความถี่ของคลื่น
    จะมีความละเอียด และไม่พบว่า บริเวณที่ปรากฏ
    จะมีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมใดๆ สภาพแวดล้อม
    ในที่นี้ นอกจากวัตถุต่างๆ ยังรวมถึงบรรยากาศ
    อากาศต่างๆ ที่อยู่บริเวณสภาพแวดล้อมนั้น
    พูดง่ายๆว่า ถ้าเราไม่รู้ว่าที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเรา
    เป็นเทพไม่ว่า จะเทพจีน เทพไทย เราก็จะสามารถ
    ใช้ชีวิต เดินไปเดินมาได้ปกติครับ.....

    แต่ถ้าเป็นมนุษย์ต่างๆดาวปรากฏ ณ บริเวณเดียวกัน
    ในเวลาเดียวกัน สภาพแวดล้อมเดียวกัน
    และก็มีเรานั่นอยู่ในต่ำแหน่งเดียวกัน เหมือนกับ
    ประโยคข้างบนที่กล่าวมา....เราจะพบได้อย่างชัดเจน
    ว่าจะแม้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม
    ที่เป็นวัตถุต่างๆ แต่จะพบการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ
    บริเวณนั้นได้อย่างชัดเจน คือ บรรยากาศอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก
    ไร้กาลเวลา (เคยดูเรื่อง x-men ไหมครับ ที่ทุกคนหยุดนิ่งหมด
    แล้วพวก x-men บางคนก็เดินปกติ พอกลับคืนสู่สภาพแวด
    ล้อมปกติ ทุกคนในบริเวณนั้น ก็จะใช้ชีวิตปกติเหมือนไม่มี
    อะไรเกิดขึ้น พูดพอให้เห็นภาพ) แม้แต่ร่างกายของเราเอง
    หากจะมีการขยับหรือเคลื่อนไหวก็ยังยากครับ

    ตรงนี้เป็นอีกฐานข้อมูลหนึ่ง ที่พูดให้ฟัง
    แบบตาเปล่าๆ ย้ำว่า ลืมตาปกติ ไม่ใช่ฝัน
    ไม่ใช่การเห็นในนิมิตอะไร
    และแม้จะพอมีประสบการณ์แบบหลับตา
    แต่ก็ไม่ได้เอามาเป็นฐานข้อมูลให้พิจารณาอะไร

    เพราะส่วนตัวถือว่า การหลับตาเห็น
    ไม่ว่าจะหลับ หรือนั่งสมาธิเห็น มันเป็นเพียง
    กลจิต คือ มันเป็นมายาของจิตที่จะสร้าง
    ให้เราเห็นอย่างไรก็ได้ ตามสัญญาในจิตเรา

    และไม่ได้บอกว่า แม้จะเห็นด้วยตาเปล่า
    ถือว่า มีความน่าเชื่อถือ กว่าหลับตานะครับ
    เพราะยังถือว่า มีภาพแสดงให้เห็น
    ซึ่งภาพเหล่านี้ ก็ยังเป็นมายาจิตได้อีกเช่นกัน
    ....

    แต่ใช้เกณฑ์ในการพิจารณาด้วย
    คลื่นความถี่ คลื่นพลังงานต่างๆ
    ที่ปรากฏและส่งผลกระทบต่อสภาพแวด
    ของบรรยากาศ ซึ่งคลื่นความถี่
    มันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
    คล้ายกับลายนิ้วมือเรานั่นหละครับ.....

    ปล. ลองพิจารณา ฐานข้อมูลนี้ดูนะครับ...
    '' กลจิตเป็นเพียงมายาจิตชนิดหนึ่ง
    แม้เห็นด้วยตาเปล่าก็ยึดอะไรไม่ได้ ''
    เข้าใจที่สื่อนะครับ...
     
  18. Domecare

    Domecare สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2016
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +4
    พอทราบแล้วครับ ว่า ทำไม พระพุทธเจ้า พระองค์ ถึงบอกว่ามันเป็นเรื่อง อจินไตย เป็นเรื่องที่เข้าใจยากพอดูครับ

    ยังไงก็ ขอบคุณ มากๆ มา ณ ที่นี้ด้วยครับ -/\-
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,041
    ฐานข้อมูล แท้แล้วมันก็หลายมุมมอง
    ที่จะทำให้เราเห็น ช่องว่าง
    ที่มันเป็นข้อพิรุธ เป็นปัญหาที่
    มันทำให้เรารู้สึกแย้งได้
    ส่วนตัวพยายามแสดงในมุมมอง
    ที่เข้าใจว่า ง่ายในการที่จะเห็น
    ช่องว่างพวกนี้เท่านั้นเองครับ

    อจิณไตย เป็นเรื่องที่เราจะรู้ได้
    แต่ควรมาจากการเข้าถึง
    จากการปฏิบัติด้วยตัวเราเอง
    และที่สำคัญก็คือ รู้แล้วก็ต้องปล่อยวาง
    เท่านั้นเองครับ

    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง
     
  20. Domecare

    Domecare สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2016
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +4
    สาธุ ครับ _/\_
     

แชร์หน้านี้

Loading...