ชีวิตของ ข้าพเจ้า

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ongsoffer, 31 มกราคม 2008.

  1. นิพพิทา2008

    นิพพิทา2008 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +55
    มองยังไงก็ทวนเข็มครับ
     
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    มันส์

    ของประหลาอย่างนี้ก็มีในโลกหนอ ขอบคุณคุณ mead ที่เอาของประหลาด
    มาลง ฟรั่งนี้ก็ช่างคิด สงสัยผมได้ฝึกมโนยิทธิก็เพราะรูปนี้ซะแล้ว อาย
    เหมือนกันนะนี้ มันชี้กิเลสบางอย่าง

    แต่เพราะความ สุขใจ ทำให้ภาพนี้กลายเป็นนิมิตได้อย่างง่าย หมุนได้ แล้ว
    กำหนดท่าได้ แป๊ปเดียวกลายเป็นนักบัลเลห์ไปซะแล้ว กลัว...เลยรีบถอน

    ใครเป็นเด็กเป็นเล็กไม่ควรจ้องเกินวันละสองนาน
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เห็นว่าหมุนตามเข็มนาฬิกาค่ะ
     
  4. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
  5. dhammadasa

    dhammadasa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    679
    ค่าพลัง:
    +69
    ออกไปเชียร์บอลไทยกลับมาแป๊บเดียว ไปหลายหน้าแล้ว ขี้เภียจตามอ่านแล่ว
    ของผมมองเห็นมันหมุนตามเข็มหากมองจากบน เฉลยได้แล้วคุณเอกวีร์
     
  6. นิพพิทา2008

    นิพพิทา2008 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +55
    ประหลาดมากๆครับผมมองเห็นเป็นหมุนตามเข็มแล้วครับ
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไปหาของมาฝากให้น้องจอยและทุกคนมาจากโพสท์ http://palungjit.org/showthread.php?t=111745&page=52
    เทสโกวาท100 ปี บทที่ว่าด้วยเรื่องจิตใจ
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->[​IMG]



    <HR>
    ความรู้เรื่องจิตใจเรียกว่า “วิชชา”
    พระพุทธศาสนาสอนให้น้อมเข้ามาพิจารณาในตัวของเรานี้
    ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก็อยู่ในตัวของเรา
    สอนออกไปนอกนั้น นั่นไม่ใช่พุทธศาสนา มันเป็นโลก

    เห็นอย่างไรเรียกว่าเห็นธรรม
    เห็นภายนอกด้วยตาว่าเราเป็นก้อนทุกข์
    ทั้งเห็นภายใน เห็นชัดด้วยใจด้วย
    เห็นเป็นธรรมทั้งหมด เราต้องพิจารณาให้ถึงสภาวะ
    ตามเป็นจริงของสังขาร ให้เห็นชัดอย่างนั้นว่า
    มันเป็นเพียงสักแต่ว่าธาตุ เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป
    มันไม่ใช่ตัวตนของเรา เรามัวเมาก็หลงนะซิ
    หลงสมมติว่าเป็นตัวเป็นตน จิตธรรมชาติเป็นของผ่องใส
    อาคันตุกะกิเลสมันพาให้เศร้าหมอง
    ที่มาหัดทำสมาธิภาวนานี้ ก็เพื่อขัดเกลาให้กิเลสหมดสิ้นไป
    เพื่อให้มันใสสะอาดคืนตามสภาพเดิม ให้เห็นจิตเห็นใจของตน

    จิตเป็นอย่างไร ใจเป็นอย่างไร
    ความรู้เรื่องของจิต ของใจนี่แหละ เรียกว่า “วิชชา” เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว

    พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าถึงใจ
    พระพุทธศาสนาจึงสอนให้เข้าถึงใจ
    คือสอนถึงที่สุด คือเข้าถึงความบริสุทธิ์นั่นเอง
    สุดนั่นก็คือ ที่สุดของทุกข์นั่นเอง
    การเห็นใจของเรานั่นแหละ เป็นของสำคัญอย่างยิ่ง
    เป็นของเลิศประเสริฐ เป็นสิ่งที่เราจะต้องให้รู้จักเรื่องของตน
    ถ้าไม่เห็นเรื่องไม่เห็นใจของตนแล้ว ทำดีทำชั่วก็ไม่รู้ทั้งนั้น

    อบรมใจ
    พระพุทธเจ้าสอนให้อบรมใจ
    คนใดได้มาอบรมใจ ใจสงบแล้ว
    ทอดธุระปล่อยวางเสียซึ่งสิ่งต่างๆ ลงในปัจจุบันได้
    จะเห็นชัดขึ้นมาภายในเลยว่า
    ทางนี้เป็นทางเป็นไปเพื่อสันติโดยแท้

    ปัญญาเป็นเครื่องเจียรไนใจ
    ทำใจให้ผ่องใสต้องใช้ปัญญาละซิ
    เหมือนกับเพชรนิลจินดา ที่เขาเอาแต่ดิน
    เป็นของใสจริง แต่มันมีเศร้าหมอง
    ต่อเมื่อไปเจียระไนเสียให้ละเอียดลงไป
    มันจึงค่อยผ่องใสเต็มที่ฉันใด

    “ใจ” ก็อย่างนั้นเหมือนกัน
    ใจเป็นใหญ่
    ใจเป็นใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด
    ถ้าเราคุมใจให้สงบ ไม่วุ่นวายส่งส่ายได้แล้ว
    ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า
    ปวดนั่นปวดนี่จะหายไปโดยไม่รู้ตัว

    ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน
    ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่สำเร็จด้วยใจ
    ถ้าจะพูดภาษาไทยๆของเรา ก็เรียกว่าธรรมทั้งหลาย
    เกิดปรากฏขึ้นที่ใจ รู้เฉพาะใจของตน (ปัจจัตตัง)
    ฉะนั้นใจจึงประเสริฐกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง
    เพราะใจเป็นผู้ให้สำเร็จกิจทุกกรณี

    รู้จิตไม่ต้องรู้สิ่งอื่น
    รู้อะไร ก็รู้จิตของเรานั่นละซิ ไม่ต้องไปรู้สิ่งอื่น
    รู้สิ่งอื่นไม่สามารถชำระจิตของตนได้
    รู้จิตของเรานี่แหละ จึงจะเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์

    สัจธรรมไม่ปรากฎแก่ผู้ไม่ฝึกใจ
    ใจมีอันเดียว ไม่ได้มีมาก ที่ว่ามากๆนั้นเป็นอาการของใจต่างหาก
    ผู้ที่ยังไม่ได้ฝึกอบรมชำระอาการของใจให้ยังเหลือหนึ่งแล้ว
    สัจธรรมของจริงจะไม่ปรากฏให้เห็นเลย
    จะเห็นก็แต่อาการของใจ คือ “กิเลส” นั่นแล

    กิเลสทั้งหลายเกิดจากจิต
    พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าถึงจิตถึงใจอันเดียว
    กิเลสทั้งหลายเกิดจากจิต จิตเป็นผู้ยึดเอากิเลสมาไว้ที่จิต จิตจึงเศร้าหมอง
    เมื่อจิตเห็นโทษของกิเลส สละถอนกิเลสออกจากจิตได้แล้ว
    จิตก็ผ่องใสบริสุทธิ์ นี่เป็นหลักพระพุทธศาสนา
    จิตเป็นตัวการของสิ่งทั้งปวง
    จิตเป็นตัวการของสิ่งทั้งปวงหมด ท่านจึงให้สำรวมจิต


    รู้เท่าทันจิต
    พระพุทธศาสนาสอนให้เราสำรวมจิต คือระวังจิต เมื่อจิตมันจะคิดนึกอะไร
    ไม่ว่าดีหรือชั่วให้รู้ตัวอยู่เสมอ ให้รู้เท่าทันมัน มิใช่รู้ตามจิต รู้ตามจิตไม่มีวันจะตามทัน
    เมื่อรู้เท่าทันมันแล้ว มันก็จะอยู่นิ่งเฉย ไม่คิดไม่นึกไม่ปรุงไม่แต่ง ไม่เป็นอดีตไม่เป็นอนาคต
    อยู่เป็นกลางเฉยๆ ไม่เป็นบุญเป็นบาป

    จิตเป็นของไม่มีตัวตน
    จิตเป็นของไม่มีตัวตน ถ้าไม่มีหลักให้จิตยึด ก็จับจิตได้ยาก
    ทำจิตให้เหมือนของที่อยู่ในลิ้นชัก
    การพักจิต ทำความสงบตามกาลเวลา
    เป็นการสร้างพลังของจิตได้เป็นอย่างดี
    การพักจิตก็เหมือนการพักกายนอนหลับ
    การงานที่เราทำไม่เสร็จค้างไว้ มันก็ไม่เห็นเสียหายไปไหน
    จงทำจิตให้เหมือนของที่อยู่ในลิ้นชัก
    เมื่อต้องการใช้ ก็ชักออกมาหยิบเอาไปใช้
    เมื่อไม่ต้องการใช้ก็ปิดไว้เสีย

    ความอยากทำใจให้ขุ่นมัว
    ความอยากทำใจให้ขุ่นมัว น้ำขุ่นทำให้ไม่เห็นตัวปลา
    ถึงแม้น้ำใสแต่ยังกระเพื่อมอยู่ ก็ไม่เห็นตัวปลาเหมือนกัน

    จิตเป็นหนึ่ง
    จิตเป็นหนึ่ง มันเป็นแก่นสารในตัวของเราแท้
    สาระอันนี้ไปไหนก็ไปด้วย ไม่เหมือนเนื้อหนังมังสา
    ส่วนต่างๆทุกอย่าง มันเป็นของปฏิกูล เปื่อยเน่า
    มันเป็นเพียงธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เท่านั้น

    ธรรมชาติของใจ
    ธรรมชาติของใจแท้ไม่มีอะไรทั้งหมด
    มีแต่ผู้รู้อย่างเดียว เรียกว่าธาตุรู้
    ก็ว่าความนิ่งเฉยเป็นอาการของใจผู้รู้ เป็นตัวใจแท้

    สติควบคุมจิต
    มีจิตจึงค่อยมีสติ สติควบคุมจิต
    เราควบคุมได้อย่างนี้เรียกว่า
    มันอยู่ในอำนาจของเรา
    เราไม่ได้ไปตามอำนาจของจิต เราก็ใช้มันได้ละซิ

    จงพากันหาจิต
    จงพากันหาจิตดู จิตคือผู้นึกผู้คิดผู้ส่งส่าย
    อาการเหล่านี้ เป็นเครื่องปกปิดกำบังของจิต
    เราจงพากันปล่อยวางเรื่องเหล่านี้
    แล้วจะเห็นจิตผู้เป็นกลางของสิ่งทั้งปวง
    และไม่มีอดีต อนาคต เฉยอยู่
    คราวนี้เราจะให้คิดก็ได้ ไม่คิดก็ได้
    นั่นแหละเห็นจิตของตนแล้ว
    จงรักษาไว้ให้มั่นคงต่อไป

    มอบจิตบูชาพระรัตนตรัย
    จิตใจที่มันส่งส่ายไปในเรื่องต่างๆ นั้นนะ
    ถวายให้เป็นการบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เสีย
    ความโกรธ ความโลภ ความหลง ก็เอาบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เสีย
    อย่าเอามาเป็นของเราเลย

    ทำบุญภายในด้วยกุศลจิต
    หาอุบายทำบุญ ด้วยบุญที่เกิดจากกุศลจิต เป็นการทำบุญภายใน
    ไม่ใช่ทำบุญภายนอกด้วยวัตถุสิ่งของ
    แต่เราทำบุญด้วยการสร้างกุศลจิต สร้างจิตที่ผ่องใสมีคุณงามความดี
    เป็นจิตไม่ตระหนี่เหนียวแน่น จิตไม่เกิดโทสะ มานะ ทิฏฐิ
    จิตไม่ประกอบด้วยกิเลส จึงเป็นบุญมหาศาลหาค่ามิได้ เกิดจากจิตภายใน
    ถ้าเราทำอย่างนี้อยู่เสมอๆ ก็เป็นอยู่ทุกอริยาบท และเราก็เห็นบุญในตัวของเรา
    ชมเชยบุญของเรา หรือการที่เราละความชั่วได้ เราไม่เก็บความชั่วไว้ในตัวเรา
    อันนั้นก็เป็นบุญกุศลเกิดขึ้นที่จิต เราเองก็รู้สึกชื่นชมยินดีในตัวของเรา
    จะพากันไปหาบุญที่ไหนอีก บุญไม่ได้อยู่นอกเหนือจิตใจนี้หรอก
    ขอให้พากันสะสมบุญอย่างนี้ ขึ้นภายในจิต ของตนทุกๆคน

    อำนาจจิต
    โดยทั่วไป จิตบังคับให้เรากระทำทุกสิ่งทุกอย่าง เราอยู่ในอำนาจของจิต
    เป็นไปตามวิสัยอำนาจของจิต คนปุถุชนมันต้องเป็นอย่างนั้น
    เมื่อเรากำหนดสติควบคุมจิตได้แล้ว เราจึงไม่อยู่ในอำนาจของจิต
    แต่จิตอยู่ในอำนาจของเรา

    จิตเป็นผู้แสวงหากิเลส
    กิเลสเกิดขึ้นที่จิต จิตนี้เป็นผู้ไปแสวงหามา
    เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วก็หยุดแสวงหา
    เมื่อจิตหยุดแสวงหา จิตก็รวมเข้ามาในใจ
    คือตัวกลางๆ วางเฉย และรู้ตัวว่าวางเฉย

    ถ้าจิตหยุดนิ่งเป็นกลาง
    ถ้าจิตหยุดนิ่งเป็นกลางที่เรียกว่า “ใจ” แล้วก็เป็นอันว่าความคิดนึกปรุงแต่ง
    ตลอดถึงบาป บุญคุณโทษ หยาบละเอียด ดีชั่ว สมมติ บัญญัติทั้งหมด เป็นไม่มีในที่นั้น

    ผลจากใจที่สงบ
    ถ้าใจของเราสงบแล้ว ใจจะผ่องใสเบิกบาน สามารถรู้คำสอนของพระพุทธเจ้าได้ถูกต้อง
    โดยแท้จริงนั่นแหละ จึงเป็นไปเพื่อชำระจิตใจของตนได้โดยถี่ถ้วน

    โรคของใจ
    โรคเกิดจาก ใจจิตใจไม่ปกติ เกิดความหวั่นไหว เกิดความโลภ ความโกรธ
    เกิดความเกลียด ความรัก ความชัง เรียกว่าโรคของใจ
    โรคของใจนี่แหละ พระพุทธเจ้าสอนให้พากันรักษา ด้วยธรรมโอสถ
    ปฐมพยาบาลขั้นแรกก็คือ ปล่อยทิ้งเสีย อย่าให้เป็นอารมณ์
    อย่าคิดถึงเรื่องนั้น ทำใจให้สงบนิ่งอยู่ในที่เดียว
    หากมันไม่อยู่ก็ให้นึกเอา พุทโธ เป็นต้น มาไว้เป็นอารมณ์ นี่เรียกปฐมพยาบาล

    กรรมเกิดที่ใจ
    กรรมที่ตนกระทำไว้แล้ว ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว
    ผลของกรรมนั้นย่อมเกิดที่ใจของตนเอง
    มิใช่ผู้ทำกรรมผู้หนึ่ง เจ้ากรรมนายเวรอีกผู้หนึ่ง

    ผู้รับผลกรรม
    พูดตามข้อเท็จจริงแล้ว เราคือธาตุ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประสมกัน
    เป็นก้อนขึ้นมาแล้วแตกสลายดับไปเท่านั้น ไม่มีสาระอะไรเลย
    ใจเป็นผู้เข้ามาครองรูปอันนี้ จึงทำให้เคลื่อนไหวได้
    เมื่อก้อนอันนี้แตกดับไปแล้ว ใจก็ไม่สามารถใช้ก้อนอันนี้ได้
    กรรมคือสิ่งที่ใจใช้ให้ก้อนอันนี้ กระทำทั้งดีและชั่วนั้น
    เมื่อก้อนอันนี้แตกดับแล้ว ใจย่อมรับกรรมนั้นแต่เพียงผู้เดียว

    ทำทานด้วยจิตเมตตา
    สอนให้ทำทาน การสละสิ่งของของตน ให้แก่สัตว์อื่นแลบุคคลอื่น
    ด้วยจิตเมตตาปารถนาความสุขแก่ผู้อื่น ถึงวัตถุนั้นจะเป็นของน้อยนิดเดียวก็ดี
    หากมากด้วยจิตเมตตา ก็จะเป็นของมากเอง

    เมื่อศีลเข้าถึงจิต เข้าถึงใจ
    เมื่อศีลเข้าถึงจิตเข้าถึงใจแล้ว เราไม่ต้องรักษาศีล ศีลกลับมารักษาตัวเราเอง

    ความอิ่มใจคือบุญแท้
    ตัวบุญแท้อยู่ที่ใจของเรา ความอิ่มใจนั่นแลเป็นตัวบุญแท้
    ฉะนั้นจึงว่าบุญและบาปมีที่ตัวของเรา เกิดที่ตัวของเรา นอกตัวเราไม่มีหรอก

    สงบวิเวกด้วยใจ
    คนเราเกิดมาในเมืองมนุษย์ ต้องพบมนุษย์อยู่ร่ำไป
    พระพุทธเจ้าสอนให้อยู่ด้วยความสงบ วิเวกด้วยใจ
    อย่าไปยึดเอาเรื่องของคนอื่นมา ไว้เป็นอารมณ์ของใจ
    แล้วก็จะวิเวกอยู่คนเดียว
    ถ้าใจไม่สงบแล้ว จะอยู่ในป่าคนเดียว
    มันก็ไม่สงบอยู่ดีนั่นเอง

    ทำใจให้บริสุทธิ์ขณะนี้
    เราไม่คิดถึงกรรมที่เราทำไว้และล่วงมาแล้ว
    เอาปัจจุบัน ทำใจให้บริสุทธิ์ในขณะนี้
    ไม่คิดถึงเรื่องในอดีต อนาคต
    ถ้าไปคิดแล้วกลุ้มใจร้อนใจ
    มันยิ่งสร้างกรรมไม่ดีต่อไปอีก
    เมื่อเราลงปัจจุบันเดี๋ยวนี้แล้ว ไม่มีอะไรเลย

    ธรรมชาติของใจ
    ใจ ธรรมชาติของเดิมเขาผ่องใส แต่มาเศร้าหมอง เพราะสิ่งที่มาห่อหุ้ม
    คือกิเลสที่จรมาต่างหาก ให้ชำระกิเลสนั้นออกไป
    มันก็จะเหลือแต่ ใจที่ผ่องใสสะอาดบริสุทธิ์

    แท้จริงจิตใจเป็นของใสสะอาด
    อุตส่าห์พยายามให้เห็น ให้รู้จักตัวของเรา
    ทุกคนพยายามตรวจดูตัวของตน
    ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเกิดที่ตัวของเรา
    ครั้นถ้าเราไม่เห็นตัวของเราแล้ว
    เราก็ไม่เห็น ความโลภ ความโกรธ ความหลง
    แท้ที่จริงจิตของเราเป็นของใสสะอาด บริสุทธิ์
    แต่เราไปยึดเอา ความโลภ ความโกรธ ความหลงมาใส่
    มันก็เลยขุ่นมัวไปหมด

    อิสระเหนือใจ
    ใจเป็นของมีคุณประโยชน์มาก
    หากเราจับใจไม่ได้ ก็ใช้ใจไม่ถูก
    ฉะนั้นใจจึงบังคับเรา ไม่ใช่เราบังคับใจ
    ที่ใจบังคับเราหมายความว่า
    ใช้ให้เราโกรธได้ ใช้ให้เรารัก เราชัง เราเกลียดก็ได้
    ใช้ให้เราหัวเราะ ร้องไห้ก็ได้ อันนี้เรียกว่า “ใจใช้เรา”

    ถ้าหากเราควบคุมใจของเราได้แล้ว
    ไม่ให้มันโกรธ ไม่ให้มันโลภ ไม่ให้มันหลง ไม่ให้มันชัง
    หรือไม่ให้มันหัวเราะร้องไห้ ไม่ให้ทุกข์กลุ้มใจได้
    นั่นแลจึงมีอิสระเหนือใจได้ เหตุนั้นใจจึงเป็นของดีมีค่า

    ไม่เห็นใจห่างไกลพุทธศาสนา
    คนเราก็มีใจกันทุกคน
    กิเลสทั้งหลายเกิดจากใจ
    บาปทั้งหลายก็เกิดจากใจ
    บุญทั้งหลายก็เกิดจากใจ
    แต่เรายังไม่ทันเห็นใจ
    จึงว่ายังห่างไกลจากพุทธศาสนามาก
    ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=3678
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  8. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เฉลยบ่ได้ เพราะไม่รู้ ของคุณ mead เขาเอามา

    นี่มันส์กว่านั้นอีก ไม่หมุนก็ได้นะ แค่ส่ายขาเดียวไปมาซ้ายขวา

    ประหลาดดีหนอ

    นี่ถ้าผีเสื้อมาดูนี่ สงสัยว่าเราบ้า เขาคงไม่เห็นมันหมุน
     
  9. นิพพิทา2008

    นิพพิทา2008 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +55
    เห็นแล้วครับยืนแกว่งขาไปมาอย่างเดียวไม่หมุน
     
  10. นิพพิทา2008

    นิพพิทา2008 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +55
    อนุโมทนาและขอบคุณของฝากจากคุณขวัญครับ ล้ำค่ามากครับ
     
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ผมไปลองเล่นแล้ว แปลกดีครับ มันควบคุมได้ด้วยใจเรา
    จะให้หมุนไปทางซ้ายก็ได้ ทางขวาก็ได้ หรือ แกว่่งไปมา หมุนไปหน่อยหนึ่งแล้วหมุนกลับอีกด้าน
     
  12. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    บอกหมุนซ้าย ผมก็กลับไปดูที
    บอกหนุนขวา ผมก็กลับไปดูอีกที
    นี่มีแกว่งไปมาด้วย
    ต้องกลับไปดูอีกรอบแล้วเรา

    ผมว่าเป็นโปรแกรมรึเปล่า ลองเอาตาจับที่ปลายเท้าหมุนไปเลื่อยๆสิครับ
    เดี๋ยวมันค้างแล้วก็หมุนกลับเอง

    (tm-love)
     
  13. นิพพิทา2008

    นิพพิทา2008 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +55
    ใจเราบังคับได้จริงๆด้วยครับจะให้หมุนซ้ายกี่รอบ ขวากี่รอบก็ได้ ยืนแกว่งขาอย่างเดียวก็ได้ ไม่รู้สั่งให้ทำท่าอย่างอื่นได้อีกหรือเปล่าเดี๋ยวต้องลอง
    ถ้าเป็นการตั้งโปรแกรมมาทำไมถึงทำตามใจเรานึกได้ แปลกหนอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2008
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ไม่น่าจะใช่โปรแกรมนะ มันอาจจะเป็นรูปที่มองได้สองด้านขึ้นอยูกับการทำงานของสมองจริงๆ เหมือนภาพลวงตาอะไรทำนองนั้นนะ

    ทีนี้การมองภาพมันก็กำหนดได้ด้วยตัวเราเอง
     
  15. คุณ วัชรพงษ์

    คุณ วัชรพงษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +30
    ดูกี่รอบก็เห็นแต่ตามเข็ม ดูครึ่งตัว ดูล่างดูบน ออกมาไปดูใหม่ ก็ยังเหมือนเดิม ผมไป2ชั่วโมง กลับมาก็เหมือนเดิม ดูยังไงอ่ะ งงๆๆ บอกวิธีหน่อยครับ
     
  16. คุณ วัชรพงษ์

    คุณ วัชรพงษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +30
    รึว่ามันลวงตาผมไม่ได้ 0.0
     
  17. คุณ วัชรพงษ์

    คุณ วัชรพงษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +30
    เวรกรรมๆ หลอกตาตัวเองอยู่ตั้งนานกว่าจะเห็นมันหมุนกลับทางได้ ต้องทำตาเบลอๆ มอง2มิติ เข้าใจเล่นเนอะ
     
  18. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    สาธุในความเพียร
    (good)
     
  19. คุณ วัชรพงษ์

    คุณ วัชรพงษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +30
    แต่ถ้ามองที่จุดศูนย์กลาง จะไม่สามารถกลับทางได้เลย เท้าที่เหยียบพื้นนะ ลองดู แล้วอย่าทำตาเบลอๆนะ ถ้ามองเห็นการติดดับของจอมอนิเตอร์ได้ที่ 65Hz. จะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงยาก เพราะว่าผมมองเห็นการกระพริบของจอที่65Hz. นี่ก็ใกล้จะมองเห็นการกระพริบที่ 70Hz. อีกและ
     
  20. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870

    ขอบคุณมากเลยคับพี่น้อง (ping)

    เพราะถ้าปกติแสดงว่า ยังเป็นมนุษย์ปุถุชน

    มีนักคิดอยู่จำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะนักคิดคนหนึ่ง
    ซึ่งมีเชาวน์ปัญญาอันปราดเปรื่องนามว่า เจฟฟรีย์

    ผู้กล่าวว่า อัจฉริยภาพ ก็คือ ความบกพร่อง ชนิดหนึ่ง
    คือ ความวิปลาสคลาดเคลื่อนผิดธรรมดา

    เช่น ไอน์สไตน์, แวนโกะห์, เอซราเพานด์ กวี จิตรกร
    นักวิทยาศาสตร์ หรือ รหัสยาธารินเหล่านี้
    ล้วนแต่ วิกลจริตทั้งสิ้น
    แต่ความวิกลจริตของพวกเขาไม่มีพิษมีภัยและทำร้ายผู้อื่น
    และมอบสิ่งอันทรงคุณค่ากับสังคม

    จนสังคมให้รางวัล โนเบล ใส่พานอีกต่างหาก

    แต่บุคคลเหล่านี้ เจ็บป่วยทั้งสิ้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...