การฝึกสมาธิที่ถูกต้องตามหลัก พุทธวจน..

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เราโตมาคนละแบบ, 7 มีนาคม 2017.

  1. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    :pขันธ์5 รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ..
    :mad:ธรรมชาติของจิต(มโน-วิญญาณ) จะต้องเกาะติดอยู่ใน4 ธรรมธาตุนี้เท่านั้น จะออกไปเกาะ ธรรมธาตุอื่น นอกจากนี้ไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้ ตามพุทธวจน จิตเมื่อตั้งใจมั่นเกาะรูปอยู่ตลอดเวลา (ลมหายใจ)- เวทนา-สัญญา-สังขาร ก็จะถูกทิ้งไปโดยปริยาย
    :p ธรรมชาติของจิต..ไม่สามารถจะเกาะลมหายใจได้ตลอดเวลา มันจะวิ่ง-แล็บ-ออกไปนึก-คิด-หลุดจากลมหายใจเสมอ การหลุดออกจากลมหายใจ จะออกไปด้วยความ-เพลิน-พอใจ-อยาก ของจิตนี้เราเรียกว่า ..การไป-เมื่อเรา ดึงจิต กลับมา เกาะลมหายใจเหมือนเดิม ก็เรียกว่า การกลับมา..การไป-การมา นี้ จึงเป็นการ "เกิด-ดับ" ของจิตนั่นเอง ตามวงจรปฏิจจสมุปบาท น่าจะชัดเจนนะครับเรื่องจิต เกิด-ดับ อย่างไร อจ.นิวรณ์
    (กรณี-เกิด-ดับ ตามธรรมชาติของจิต-นั่นอีกสภาวะหนึ่ง จิตไม่มีกำลังสมาธิ-คิดเรื่อยเปื่อยฟุ้งซ่าน-เต็มไปด้วยนิวรณ์5 นั่นไม่ใช่จิตเกิด-ดับ ในกรณีที่เราฝึกสมาธิเพื่อดูให้เห็น-ให้ทัน ครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2017
  2. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    หากจิตหลุดจากลมหายใจ แล้วไปเพลินอยู่กับธรรมธาตุอื่นๆ..นั่นคือการสร้างภพ ขึ้นมาใหม่ตามที่จิตไปเสพเกาะอารมณ์ใด..
    ดังนั้น ตามพุทธวจน จึงให้ฝึกละ "ความเพลินติด-พอใจ-ราคะ" ในระหว่างการไป ให้ทันให้สั้นที่สุด -รวมแล้วคือเราจึงต้อง ละนันทิ.. ตรงนี้ ให้ทัน
    ก่อน-ที่จิตจะไปสร้าง ภพชาติ เกิดขึ้นมาอีก ตามวงจรปฏิจจสมุปบาทครับ
     
  3. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    ตอบให้แล้วนะครับ
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ในพุทธวัจน จะมีท่อนนึง

    ระบุว่า อย่าเข้าใจว่า ขันธ์กองเดียว
    จะไม่มีขันธ์กองอื่นอยู่ในนั้น

    การตรึกแบ่งแยก รูปขันธ์ แล้วดำริว่า
    ขันธ์กอวอื่นไม่มีในรูปขันธ์ เปนการตี
    ความด้วยตรรกศาสตร์

    ยกตัวอย่าง อาสัญญสัตตาพรหม ซึ่งไม่มีจิต
    เหลือแต่เพียง รูปขันธ์1

    ถ้าอ่านข้างบนด้วยตรรกศาสตร์ ก้จะ แยก
    รูปขันธ์เพียงตัวเดียวตามตัวหนังสือ

    แล้วก้มานั่ง งง ว่า พออสัญญีสัตตาพรหม
    หมดอายุขัย ก้กลับมาเกิดอีก ส่วนใหญ่ไปนรก
    อีกต่างหาก เพราะอะไร

    เพราะอาสัญญสัตตาพรหม ปฏิบัติด้วยอาการ
    ใช้ตรรกศาสตร์

    ในทางปฏิบัติ ขันธ์แต่ละขันธ์ แยกออกไปแล้ว
    ก้ยังมีขันธ์ห้าไพบูลย์ขึ้น เพียงแต่หลบใน ไม่มี
    ความเปนใหญ่

    ดังนั้น การเจตนาจงใจดึงกลับมาที่ลม ย่อมเปนอถปทานจันธ์

    การภาวนา เราจะเน้น อบรมจิต แล้วให้จิต
    ปฏิวัติ วิวัติ พัฒนาขึ้น จนเราวางใจ แม้น
    จิตเกิดดับ ไม่อยู่ในอำนาจ แต่มีความพอเพียง
    ที่จะโน้มไปหาความสงบ ความพ้นขันธ์5 ได้เอง

    จึงเหนอนุโลมญานบางประการ เกิดความเลื่อมใส
    ในการเหนธรรมที่เหนได้ยาก แล้ว นมสิการด้วยดี

    จึงจะรู้ว่า แจ้งอริยสัจจ

    พอแจ้งอริยสัจจ ก้ต้องมีสติ มีสัมปชัญญา
    บริบูรณ์ รู้ชัดธรรมไม่ประมาท จึงตะพยากรณ์ตน
    โดยไม่สำคัญตน
     
  5. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    :p:mad: การแยกธาตึุขันธ์-นั่นเป็นการฝึกสมาธิ ของสายพระป่าซะส่วนมาก เพื่อฝึกให้ตนเอง นั่งสมาธิได้นาน..ได้จนสว่างคาตา..หรือหลบเข้าฌานไปเลยสำหรับผู้ที่ได้สมาธิ
    :pโดยการพิจราณาแยกธาตุ4 ของขันธ์5-ดิน น้ำ-ลม-ไฟ-อากาศธาตุ แต่แล้วสุดท้ายก็จะนั่งสู้กับเวทนาได้จนสว่างคาตา..ซึ่งยากมากที่ใครจะผ่านด่านนี้...ได้
    :pหากฝึกสมาธิแบบแยกธาตุขันธ์นี้ ฝึกแบบนี้ร้อยละร้อย จะติดสมาธิหมด เพราะกำลังจิตจะแก่กล้ามาก ทิ้งเมื่อใดกำลังจิตจะถอยลงทันที
    หากจิตไม่ได้เรียนรู้ วงจรปฏิจจสมุปบาทมาก่อน.. จิตก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อเมื่อเกิดสมาธิตรงนี้ ..ตรงนี้แหละ ผู้ฝึกสมาธิเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ จะไม่ยกจิตขึ้นดู เกิด-ดับ เพราะไม่รู้จะทำอะไรต่อ ครูอาจารย์ไม่สอน -ให้ต่อเนื่อง ผู้ฝึกจึงจะเข้าฌาน- จตุถฌาน ไปเลยหรือเลยเถิดไปไกล กว่าจะกลับมา ดูจิต เกิด-ดับ ได้อีกครัง ก็เกือบสายหรือสายไปแล้วครับ
     
  6. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    อาจารย์ นิวรณ์..

    :p:pการวิปัสสนา ตรงนี้แหละครับ ปัญหาใหญ่-ปัญหาใหญ่มาก เพราะคนลังเลและไม่แน่ใจทำไม่เป็น
    :pจิตจะเห็นเกิด-ดับ และวิปัสสนาได้เป็น ต้องวิปัสสนาให้เป็น ..วิปัสสนาตรงนี้ ไม่ใช้ความคิด-ย้ำไม่ใช้ความคิดครับ-วิปัสสนาตรงนี้ จะเข้าถึงด้วยตรรกะ เหตุผล หรือความเฉลียวฉลาด ในทางโลกไมไ่ด้เลย ต้องใช้การเฝ้าดู-การเฝ้าดูอย่างเดียว-จนเห็น-จนเกิดปัญาเอง ใช้การเฝ้าดูจิต เกิด-ดับ ด้วยกำลังสมาธิเท่านั้น ไม่ใช้ความคิด (เปิดยูทูป-คุณเพ็ญศรี อินทรทัต ฟังดูนะครับ-เป็นพระไตรปิฏกแปลมาจาก พม่า-วัดท่ามะโอ ลำปางครับ-ชื่อ พระมหาศรีชยาดอ-ชื่อวัดในพม่าจำไม่ได้ครับ)
     
  7. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    :pวิปัสสนา จึงมี2 แบบ อจ.ทูล ขิปปัญโญ วัดหนองผือ จ.อุดร ท่านก็เคยเทศน์ไว้ครับ คนที่หลุดพ้นในสมัยพุทธกาลด้วยการใช้ปัญญามีถึง 70 เปอร์เซ็นต์ เพราะการใช้ความคิด ซึ่งตรงกับ พุทธวจน ที่ให้สะสมสุตตมัยปัญญา เพื่อเป้นข้อมูลให้จิตภายในคิดค้น ให้เกิดปัญญา และยังเทศน์ว่าผู้หลุดพ้นด้วยการใช้สมาธิแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น
    :mad: คุณเพ็ญศรี อินทรทัต ที่เอาพระไตรปิฏกแปลฉบับพม่า ที่วัดท่ามะโอ ลำปาง เป็นเจ้าภาพแปลออกมานี้ ก็รับรองเป็นนัยว่า ผู้ที่ใช้ความคิด ด้วยปัญญา เป็นวิปัสสนา หลุดพ้นได้เช่นกัน แต่อ้างว่ายาก-
    :p:oops:หลวงพ่อทูล ขิปปัญโญ อุดร ท่านบอกง่ายกว่าสมาธิ จะเชื่อใครก็ลองเทียบเคียงกันดูนะครับ ผมแค่นำมาสื่อให้ค้นคว้ากันอีกที-ไปค้นหามาฟังกันเองอีกทีนะครับ ผมสื่ออาจตกหล่นหรือไม่ครบนะครับ อย่าด่ากัน สาธุ
     
  8. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    ปัญญา ก็ได้มาจากการอบรมสมาธิ ครับ
     
  9. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    อยู่ในบทธรรม๑๐ประการที่พึงพิจารณาเนืองๆครับ
    ทศธรรมาอภิณหังปัจเวกคิตัพพัง
    ข้อสุดท้ายครับ
    อุติมนุษธรรมาหรือคุณธรรมอันยิ่ง เรามีในตนหรือ ที่จะทำให้ไม่เป็นผู้เก้อเขิน
    ยามภิกษุอื่นสอบถาม หรืออะไรนี่แหละ ไม่แน่ใจครับ
    คำแปลจำไม่ได้ครับ
    แต่ประมาณนี้แหละครับ
     
  10. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ทำไมคุณเขียนอย่างนี้ละครับ นี้มันเขียนเดาเอาทั้งนั้น
    เท่าที่ผมสัมผัสและเคยฝึกมา

    แต่ถ้าเขียนเอามัน ก็ไม่ว่ากันo_O
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2017
  11. ชมทรัพย์

    ชมทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +248
    สติสมาธิไง กุญแจดอกสำคัญที่จะเห็นเกิดดับ

    มีสติ สมาธิ มีกำลังถึงจะเห็นได้

    มีกำลังสติ สมาธิ อุปาทานในกายในเวทนากายจะดับเพราะตัณหาดับ ถ้ามีกำลังมากอายตนะจะดับตามไป รูปจะดับเข้าถึงวิญญาณ ถ้ากำลังสติสมาธิถึงสังขารดับจะเข้าไปเห็นถึงผู้รู้ล้วนๆตัวอัศจรรย์ ต้นตอของสังสารวัฏ

    วิชชาไม่เกิด ญาณไม่สัมปยุต สติปัญญาไม่มีกำลังแก่รอบ ไม่รู้รอบรู้เท่า ผู้รู้สะอาดแต่ไม่บริสุทธิ์กระเพื่อมเกิดเป็นสังขาร ส่งออกเป็นวิญญาณหยั่งลงสู่นามรูป อายตนะปรากฏ เวทนาเกิดตาม สติสมาธิไม่มีกำลังเป็นมหาสติจึงเกิดตัณหาขึ้น จึงมีอุปาทานเป็นภพชาติทุกข์

    เรียกว่าเริ่มมีตาธรรมเห็นเกิดดับ

    เริ่มมีฐานปัญญาจากการภาวนา

    เมื่อฟังธรรมครูอาจารย์สายปฏิบัติจะเริ่มถึงจิตถึงใจ
     
  12. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    ผมยุติธรรมพอ-อย่างนั้นคุณลองเขียนของจริงคุณลงมาให้ชมหน่อยซิครับ..เชิญครับจะรออ่านของคุณครับ
     
  13. ศิษยโง่

    ศิษยโง่ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +1
    สมัยก่อนครูบาอาจารย์มักจะสอนให้นั่งเพื่อ "ต่อสู้" กับเวทนา ผลลัพธ์ที่ได้หลังการต่อสู้ มักจะได้ "ของดี" ครูบาอาจารย์สมัยก่อนๆจะสอนแบบนี้ทั้งนั้น

    สมัยนี้ไม่ค่อยเจอคำสอนแบบนี้เท่าไร สอนแต่วิธีง่ายๆ สมัยนี้เลยไม่ค่อยจะได้ของดีกัน


    เอาไว้ว่างๆ ถ้ามีอารมณ์เขียน ว่าจะตั้งกระทู้เรื่องนี้อยู่ครับ แต่คงไม่ใช่ช่วงนี้ เริ่มเบื่อๆการเข้าเว็บ เอาไว้มีอารมณ์ครึ้มๆ ก่อนครับ


    ขอบคุณที่ได้ร่วมสนทนาธรรมกับทุกท่านครับ

    คนในเว็บนี้เป็นนักปฏิบัติกันดีครับ

    ***อ้างอิงคำสอนจากตำราเก่าๆ ที่เคยอ่านสมัยเด็กๆบางเล่ม โตมาทุกวันนี้ยังจำได้ครับ
     
  14. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ได้ เอาของจริงมาให้คุณอ่านนะครับ
    ผมเริ่มภาวนาปึ37(เขียนบอกไว้แล้วในกระทู้นี้)
    จนปี44เจอพระป่าหลวงตามหาบัว ไปพักวัดท่าน

    เอาคำพูดที่ หลวงตา
    เคยพูดให้ผมฟังตอนปี 44


    เรื่องภาวนานั่นน่ะ อย่านอนตายอยู่ตั้งแต่ความสงบเฉย ๆ นะ
    เราเคยอยู่แล้วในความสงบเราเคยบอกแล้วนี่นะ
    เราติดสมาธิมาถึง ๕ ปีฟังซิน่ะ ตั้งแต่ฟัดกับกิเลสจนกระทั่งขึ้น
    บนตระพองมันได้ ขอกระหน่ำลงไปที่เราเคียดแค้น
    ให้มันเต็มสัดเต็มส่วน ฟาดกันถึงขนาดนั้น ตั้งแต่นั้นตั้งขึ้นได้
    จิตเป็นสมาธินี้อยู่ที่ไหนเป็นสมาธิตลอด จะอยู่ที่ไหนก็ตาม

    ความคิดความปรุงแต่ก่อนที่มันพาให้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม
    ไม่ได้คิดไม่ได้มันจะเป็นจะตายจริง ๆ กลับพลิกตาลปัตร
    ความคิดนี้เป็นภัยรบกวนใจที่สงบมากทีเดียว เพราะฉะนั้นผู้ที่จิตเป็นสมาธิเต็มภูมิแล้ว
    ไม่อยากคิดอยากอ่าน อยู่ไหนสบายไปหมด

    ไม่ว่ากลางวันกลางคืน ท่านนั่งครู่เดียวมันกี่ชั่วโมง คือท่านไม่ได้อยู่กับอะไร
    ไม่ได้อยู่กับอิริยาบถ อยู่กับจิตมีอันเดียวไม่มีอะไรเข้าไปยุ่ง เพียงเท่านี้ก็พอ

    เพราะฉะนั้นผู้ที่มีสมาธิจึงติดสมาธิได้ เพลินในความสงบร่มเย็นของตัวเอง
    จึงไม่ออกทางด้านปัญญา นี่เราก็ติดมาถึง ๕ ปี
    พ่อแม่ครูจารย์ขนาบไล่ออกจากสมาธิ ความสุขในสมาธิเท่ากับเนื้อติดฟัน
    เนื้อติดฟันมันเป็นความสุขขนาดไหนฟังซิเนื้อติดฟัน นี่แหละสุขในสมาธิมันก็เทียบเท่านั้นเองท่านว่า
    ขนาบเราออก

    เวลาออกทางด้านปัญญา ก็มันพร้อมแล้วสมาธิ พอออกทางด้านปัญญา
    นี้มันก็ผึงเลยทันที โอ๋ย ออกอย่างรวดเร็วเสียด้วยนะ
    เพราะมันพร้อมแล้ว อาหารเครื่องทำครัวที่จะทำให้เป็นอาหารประเภทต่าง ๆ มันพร้อมแล้ว
    แต่เราไม่นำมาประกอบมันก็เน่าเฟะ

    ไปเท่านั้นซิ อันนี้สมาธิพอแล้วควรแก่ด้านปัญญาทุกขั้นแล้ว
    ไม่นำออกมาใช้มันก็นอนจมอยู่นั่น ทีนี้ท่านลากออกมานี้
    พอออกมานี้ก็ผึงเลยทันที จนไม่ได้หลับได้นอน กลางคืนกลางวัน
    ไม่สนใจการหลับการนอน มีแต่จิตเป็นธรรมจักรหมุนฆ่ากิเลส
    เป็นลำดับลำดาไป นี่ปัญญานะที่จะฆ่ากิเลส สมาธิเพียงพัก
    ถ้าหากว่าเราเพลินในสมาธิก็ติดสมาธิจมไปเลย

    ปัญญาทีแรกมันจะฝืนมันไม่อยากออกนะ
    ความอยู่ในสมาธินี้สงบดีสบาย การออกทางด้านปัญญา
    เป็นการทำงาน ไม่อยากทำงาน แต่บังคับออก
    เมื่อเวลาออกทางด้านปัญญาแล้ว ปัญญาคือพิจารณาอะไร
    พิจารณานี้ละ เอาธาตุขันธ์ของเราท่านขันธ์ของเขามาเทียบมาเคียงกัน

    เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นของเล็กน้อยเมื่อไร

    นี้ทำลายภูเราทั้งลูกเลยภูเรานี่เต็มอยู่นี่ ภูเขาคือต้นไม้
    หรือภูเขาคือเขาคือเรา นี่ภูเขาภูเรา ภูเขาต้นไม้ดินฟ้าอากาศอยู่นู่นไม่ต้องพูด

    ภูเขาคือร่างกายของเขา ภูเราคือร่างกายของเรา มันติดอันนี้ละนะ เอาอันนี้เข้าไปจับไปแยกดูซิ
    เกสาเป็นยังไง ไล่เบี้ยมันลงไป สถานที่เกิดที่อยู่มันเป็นยังไง โลมา นขา ทันตา
    มันอยู่ในที่เช่นใดเกิดในที่เช่นไร เราไปสำคัญมั่นหมายมันว่าเป็นอะไร นี่เรียกว่าปัญญา

    แยกแยะเข้าไปซี ดูผมดูขน แล้วแต่เราจะถนัดในอาการใด
    ในสกลกายของเรา ๓๒ อาการ เราถนัดอันไหน เอา
    จับเอานั้นปั๊บแล้วมันก็จะเหมือนไฟได้เชื้อ มันลุกลามไปหมดบรรดา
    ที่เป็นสภาพเหมือนกันนั้น ต้องแยกต้องแยะไม่งั้นไปไม่ได้นะ

    นี้ได้เคยมาแล้วจมมาได้ ๕ ปีไม่ได้สนใจจะออก
    พอถูกพ่อแม่ครูจารย์มั่นลากไปนี้ก็ออกเพราะความเคารพเชื่อฟังน่ะซี
    พอออกมันก็ผึงเลยทันที มันถึงจ้า ๆ ไปเลย โห ปัญญานี้เป็นน้ำล้นแก้ว สมาธิเป็นน้ำเต็มแก้ว
    เต็มภูมิแล้วอยู่เท่านั้น ให้เลยนั้นไม่เลย พอปัญญาแล้วก็เป็นน้ำล้นแก้ว

    ทีนี้ออกเรื่อย ออกไม่มีประมาณ ออกอย่างหยาบอย่างกลางอย่างละเอียด

    ออกอย่างหยาบเกี่ยวกับเรื่องร่างกาย พิจารณาร่างกายสังขารเหล่านี้
    สติปัญญาเหมือนฟ้าดินถล่มนะ ผาดโผนโจนทะยานมาก
    เพราะร่างกายเป็นส่วนหยาบ สติปัญญาแก้กิเลสที่มันติดพันกับร่างกาย
    ก็ต้องเป็นปัญญาที่ผาดโผนโจนทะยาน พอผ่านนี้ไปแล้ว
    ทีนี้ก็เป็นสติปัญญาอัตโนมัติหมุนตัวไปเอง ๆ จนกระทั่งกลายเป็น
    สติมหาปัญญาซึมซาบไปเลย มหาสติมหาปัญญานี้ซึมซาบนะ

    ขั้นสติปัญญาอัตโนมัตินี้ถ้าเป็นมีดก็เรียกว่าเรายำปั๊บ ๆ คือทำงานไม่หยุด
    มันหากมีลักษณะเป็นอย่างนั้นละ

    เป็นพักเป็นตอน ๆ ของมัน นี่เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ทีนี้พอก้าวเชื่อม
    เข้าไปถึงมหาสติมหาปัญญาแล้ว ซึมซาบเลย
    ไม่มีคำว่า ป๊อก ๆ แป๊ก ๆ ซึมไปเลย ไปที่ไหนรู้ไปหมดเห็นไปหมดรู้
    ไป ๆ เห็นไปผิดคาดผิดหมาย

    จิตดวงนี้เวลาได้ออกรู้ออกเห็น มันไม่ใช่จิตดวงโง่ ๆ ตลอดไปนะ ถึงขั้นมันฉลาดมันเห็นไปหมดนี่จะว่าไง
    ใครไม่เห็นมันก็เห็น ใครไม่เชื่อมันก็เชื่อความเห็นของเจ้าของ
    นี่ละมันถึงชัดเจน อันนี้ละเป็นปัญญาที่จะถอดถอนกิเลส
    พากันใช้บ้างซิ สังขารร่างกายกอดกันไว้ทำไม ทิ้งกันไว้ทำไม เกิดประโยชน์อะไร
    พิจารณาให้เห็นชัด เวลาพิจารณาก็พิจารณา

    สิ่งเหล่านี้ละพาพวกเราทั้งหลายเกิดกองทุกข์ภูเขาภูเรานี้แหละ มันเป็นบ้าอยู่กับนี้แหละ

    เวลาพิจารณานี้แตกแยกออกไปแล้วมีสัตว์มีบุคคลที่ไหน มีเขามีเราที่ไหน
    ถ้าเทียบก็ว่าดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ เพียงเท่านั้น
    แล้วไปเสกสรรปั้นยอเป็นหญิงเป็นชาย
    ของสวยของงามที่ไหน มันเสกสรรบ้า ๆ ไป ปัญญาตำหนิแล้วนะที่นี่
    พอพิจารณาเข้าถึงขั้นนี้มันก็ตำหนิความเสกสรร
    ปั้นยอของกิเลสที่หลอกมาแต่ก่อน แล้วเห็นชัดเข้า แล้วกระจ่างออก ๆ
    ทีนี้ก็เบิกกว้างออก กว้างเท่าไรยิ่งละเอียดนะสติปัญญา


    นี่ละสติปัญญาออกจากใจดวงโง่ ๆ นี่ละ เวลามันได้เบิกกว้างออกแล้ว โอ้โห
    พอสุดท้ายแล้วไม่มีขอบเขตสติปัญญาญาณความหยั่งทราบ
    อำนาจของธรรมที่บริสุทธิ์เต็มส่วนแล้ว

    เป็นความสว่างไสวครอบโลกธาตุ โลกธาตุไม่มีขอบเขต นั่นเห็นไหมมันครอบไม่มีขอบเขตเลย
    นี่ละจิตดวงนี้ออกจากโง่ ๆ นี่ละ ขอให้อาศัยธรรมพระพุทธเจ้านี้อย่าปล่อยอย่าวาง
    ให้ยึดตามนี้ให้พิจารณาขี้เกียจขี้คร้านอะไร

    พิจารณาซิ เรื่องธาตุเรื่องขันธ์เ ทียบเขาเทียบเรา
    เขาเป็นยังไงเอามาดู ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
    เขาเป็นยังไง ตับ ไต ไส้ พุง คนทั้งคนเป็นยังไง เราทั้งคนเป็นยังไง
    เอ้า เทียบกันเข้า นี่เป็นการทำงาน
    เพื่อจะถอดถอนอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้ ถอนไปได้รู้ไปแล้วถอนไปเรื่อย ๆ แล้วหมดไป ๆ หมด

    เบาหวิว นั่นเห็นไหม แล้วเบาไปเรื่อย ๆ


    ปัญญาสำคัญมากทีเดียว นี้เราได้เห็นคุณค่าเต็มหัวใจ ได้เห็นคุณค่าของปัญญา
    ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนมันขี้เกียจไม่อยากพิจารณา แล้วก็พ่อแม่ครูจารย์มั่นเสียด้วยนะสอน
    เพราะความเคารพอันนี้เองถึงลากออกจากสมาธิหมูขึ้นเขียง ไม่อยากออกคิดออกปรุง หาว่าเป็นความรำคาญ
    แล้วลากอันนี้ออกไป เพราะคิดทางด้านปัญญามันเป็นงานนี่นะ
    ต้องคิดนั่นคิดนี่ มันไม่อยากทำงานทางด้านปัญญา มันอยากอยู่ความสงบ
    นี่ลากออกไปปัญญาออกไปดู ปิดประตูไว้ทำไม

    ความหมายว่างั้น มันอยู่ในห้องนี้ ปิดประตูไว้วันยังค่ำก็เห็นแต่ภายในห้องล่ะซิ
    เปิดประตูออกไปซิ เปิดประตูออกไปนี่เป็นด้านปัญญา

    พอเปิดออกไปนี้มันก็เห็นละที่นี่ เริ่มเห็น ๆ ต่อไปก็กระจ่างออก ๆ เบิกออก ๆ กว้างออกนะ จิตเป็นของเล่นเมื่อไร
    ทุกคน ๆ อยู่กับจิตทั้งนั้นนะ มองข้าม ๆ ทั่วโลกดินแดน มองตรงแต่พุทธศาสนาอย่างเดียว นอกนั้นมองข้ามทั้งนั้น

    มองข้ามใจดวงนี้ รู้เต็มตัว ๆ หาหลักยึดไม่ได้ก็คือความรู้ของคนกิเลสหนานั่นเอง
    ถ้าความรู้ที่มีสติธรรมปัญญาธรรมเข้าแทรกแล้ว
    มันจะแยกจะแยะให้เห็นเป็นสัดเป็นส่วนแบ่งสัดแบ่งส่วนไปได้

    จำเอานะ ให้ใช้ปัญญาบ้าง อย่ามานอนอยู่เฉย ๆ
    ไม่เกิดประโยชน์ตายจมอยู่นี่นะ
     
  15. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    มีอีกนะ ที่ท่านสอนผมนะ
    อีกตอนหนึ่ง ท่านมานั้งอธิบายต่อยอดให้
    หลังจากเดินปัญญาตามที่ท่านแนะนำระยะหนึ่ง...

    ท่านอธิบายว่า

    ปัญญานี้สำคัญมากนะ ให้ใช้ทางด้านปัญญา
    อยู่ขั้นใดภูมิใดให้พิจารณา พอสงบให้พิจารณา

    ที่ท่านว่า สมาธิปริภาวิตา ปญฺญามหปฺผลา โหติ มหานิสํสา
    คือปัญญาเมื่อสมาธิอบรมแล้วย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก
    คือจิตนี้มันอิ่มตัว

    ถ้าจิตกำลังฟุ้งซ่านวุ่นวายตลอดเวลาหาความสงบไม่ได้นี้
    เราจะพาพิจารณาทางด้านปัญญามันกลายเป็นสัญญาไปเสีย
    มันเป็นกิเลสไปเสีย


    เมื่อจิตมีความสงบแล้วมันอิ่มอารมณ์ ไม่อยากสนใจ
    กับรูปกับเสียงกับกลิ่นกับรส นี่เรียกว่าจิตอิ่มอารมณ์
    จิตที่อิ่มอารมณ์ขณะนี้ให้พาพิจารณาทางด้านปัญญา

    ได้ขณะนี้เข้าใจไหม

    ถ้ายิ่งอิ่มอารมณ์มากเท่าไร มันจะหมุนไปทางด้านปัญญา
    ไปเรื่อยของมันเอง นั่นละที่ว่าสมาธิอบรมปัญญา

    คือถ้าไม่มีสมาธิเลย ไม่มีความสงบอะไรเลย
    เราจะพิจารณาทางด้านปัญญามันเป็นสัญญาเป็นสมุทัย
    ไปหมดไม่ได้เรื่อง เราเคยแล้ว

    แต่พอจิตเป็นสมาธิแล้วนี้หมุนทางด้านปัญญานี้
    โหย พุ่ง ๆ อย่างว่านั่นแหละ นั่นท่านว่า

    สมาธิปริภาวิตา ปญฺญามหปฺผลา โหติ มหานิสํสา
    ปัญญาที่สมาธิอบรมแล้ว ย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก
    แต่แปลทางด้านปฏิบัตินี้ ปัญญาเมื่อมีสมาธิหนุนแล้วเดินได้คล่องตัว
    เป็นอย่างนั้นนะ เดินได้คล่องตัว

    ทีนี้ ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ
    จิตที่ปัญญาซักฟอกเรียบร้อยแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ

    คำว่าโดยชอบคือไม่ผิด ปัญญาซักฟอกแล้วไม่ผิด พ้นไปได้เลย
     
  16. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    มีต่ออีกนะ ถ้าคุณอ่านเข้าใจผมจะเอาลงไว้
    ถ้าปัญญาคุณมีมากพอที่จะเข้าใจมัน..

    อีกช่วงหนึ่ง หลวงตามหาบัว ท่านพูดเรื่องจิตว่างให้ฟัง


    พูดถึงเรื่องว่างนี้มันก็อดไม่ได้ ถอดมาจากหัวใจเหมือนกันนี่นะ
    จนถึงขนาดอัศจรรย์ตัวเอง เวลามันถึงขั้นว่างไม่มีอะไรติดหัวใจเลย
    ทั้ง ๆ ที่กิเลสยังติดหัวใจอยู่นะแต่มันมองไม่เห็น มันมองออกนอกเสีย
    เหมือนเราขึ้นไปยืนอยู่บนหัวตอนี่ เรามองดูท้องฟ้ามหาสมุทรเวิ้งว้างไปหมด

    แต่หัวตอที่เจ้าของเหยียบยืนอยู่นี้มันไม่ดู มันไม่ว่างที่ตรงนี้มันไม่เห็น
    มันก็เห็นตั้งแต่ข้างนอกว่างไปหมด นั่น มันก็อันนั้นอัศจรรย์ อันนี้อัศจรรย์
    ตัวเป็นภัยต่อความอัศจรรย์คือหัวตอที่เหยียบอยู่นี้ทำไมไม่ดู เข้าใจไหมล่ะ

    นี่ละใจที่เวลามันชำระของมัน ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างละเอียดเข้าไป ๆ
    จนกระทั่งว่างไปหมดเลย โห อันนั้นว่างอันนี้ว่าง แหม ว่างอัศจรรย์
    จิตใจเรานี้ส่องไปไหนมันว่างไปหมดนะ โอ๋ย อัศจรรย์ใจดวงนี้
    ทำไมถึงได้สว่างไสวจ้าขนาดนี้นะ ว่างไปหมดเลย ๆ

    หัวตอมันไม่ได้ดูนะ มันเห็นแต่สิ่งนั้นว่างสิ่งนี้ว่าง
    บทเวลาถึงขั้นเต็มเหนี่ยวมันแล้ว ดูที่ไหน ๆ มันก็ว่างไปหมด ๆ
    วนเข้ามา ๆ จนกระทั่งถึงหัวตอ โอ๋ มันไม่ว่างอยู่ตรงนี้ ซัดตรงนี้ขาดสะบั้น
    ลงไปแล้วไม่ต้องถามว่างไม่ว่าง นั่นละหัวใจเมื่อมันขาดสะบั้นลงจากความติดข้อง

    ฟาดตัวนั้นขาดสะบั้นลงไปแล้วว่างหรือไม่ว่างท่านไม่ถามหาใคร
    นั่นจิตเวลาว่างเป็นอย่างนั้นนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2017
  17. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    มีอีกนะที่ท่านสอนผมก่อนผมจะจากวัดป่าบ้านตาด
    ท่านพูดดวงจิตเหมือนดวงไฟ

    หากว่าเป็นดวงไฟก็แก้วไม่ใสสะอาดดี เวลาไฟส่องออกมาจากดวงไฟนี้มันก็มัว ๆ
    ถึงสว่างก็สว่างด้วยความมัว ความมัวนั้นแลคือกิเลสมันปิดแก้วครอบ

    เหมือนมลทินติดแก้วครอบ พอเปิดอันนั้นออกหมดไม่ให้มีเหลือ
    แก้วครอบก็ไม่มีที่นี่นะ เวลามันเปิดนะ แก้วครอบว่าใสอย่างนั้นใสอย่างนี้ไม่มี
    เพราะแก้วครอบก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง เวลาเปิด เปิดออกหมด ดวงไฟก็ไม่มี

    ดวงไฟที่เป็นต้นเหตุแห่งการแสดงสีแสงออกมานั้นก็พังไปด้วยกัน
    เพราะอันนี้ก็เป็นสมมุติ นั่นเห็นไหมที่นี่

    ทีนี้ความสว่างนอกสมมุติเป็นหลักธรรมชาติมีดั้งเดิมของจิตดวงนี้
    เป็นแต่เพียงว่าสิ่งเหล่านี้ครอบไว้ ๆ จนกระทั่งถึงดวงสว่างก็เป็นสิ่งที่ครอบเอาไว้เสีย

    แก้วครอบก็เป็นสิ่งที่ครอบใจดวงนั้นเสีย พังออกหมดแล้วไม่มีเหลือ
    นี่เรียกว่าสมมุติหมดโดยประการทั้งปวง นั่นท่านให้ชื่อว่าวิมุตติ

    เอาทีนี้จะกำหนดยังไงไม่ได้เลย คำนวณคำนึงไม่ได้แต่ไม่สงสัย
    นั่นชัดเจน นี่ละจิตที่ว่าเปิดเต็มเหนี่ยวแล้วเป็นอย่างนั้น นี่ที่ว่ารู้จริงเป็นอย่างนี้
    ที่รู้ไป ๆ ไม่มีอะไรสงสัย ๆ เลยนะ
     
  18. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    เป็นไร อ่านของจริงบ้างนะ
    ท่านสอนผมทั้งนั้นนะที่ยกมา ไม่ใช่ยกเฆมมานะ

    พอดีที่วัดเขามีการอัดไว้ เวลาหลวงตา ท่านออกมาพูดที่ศาลา
    ช่วงเย็นๆ มีช่วงเช้าบ้าง แล้วแต่โอกาส

    คุณโตมาคนละแบบ อ่านมันนะ ได้ความรู้ระดับการอ่านก็ยังดี...
     
  19. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ถามได้นะ ผมฝึกมา อาจใช้เวลา ยี่สิบกว่าปี
    แต่การฝึก มันมีขั้น ของมันอยู่ เป็นชั้นๆไป

    ผมนั้นประเภทเต่านะ ฝึกไปเรื่อยๆ ไม่เขียนมั่ว

    สงสัยถามได้นะ
     
  20. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    ขอเสริมตรงนี้นิดหนึ่งนะครับ การใช้ปัญญาล้วนๆโดยไม่มีสมาธิร่วมด้วยนั้น เป็นไปไม่ได้เลย แม้แต่การอ่านหนังสือ หรือ การตั้งใจสดับฟังธรรมเทศนา ก็ต้องส่งจิตไปตามธรรมเทศนานั้นๆ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา หรือ ภาวนามยปัญญา ล้วนมีสมาธิรวมอยู่ด้วย และระดับของสมาธินั้นก็มีหลายลำดับขั้น ตั้งแต่ ขณิกก อุปจารระ จนถึงอัปปนาสมาธิ มรรค ๘ นั้นคือหนทางสู่การพ้นทุกข์ จะขาดสัมมาสมาธิ หรือ มรรคใดมรรคหนึ่งไม่ได้เลย ถ้าใครกล้าพูดได้ว่า เราหลุดพ้นได้โดยใช้ปัญญาอย่างเดียว สังวรณ์ไว้เลยว่า.... ขี้จุ๊เบเบ๊!
     

แชร์หน้านี้

Loading...